|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
Sunshine
ระทึก กดดันและผิดคาด
บิดาแห่งดนตรีกรั๊นจ์ เคิร์ท โคเบนหล่นวาทะในเพลง Dump ไว้ว่า The sun has gone but I have a light – ถึงอาทิตย์จะดับแต่ข้ายังมีไฟแช็คโว้ย ประโยคแสดงถึงความโอหังของยอดขบถแห่งถนนดนตรีผู้นี้อย่างมาก... แต่บางทีเคิร์ทเองก็คงไม่คิดว่า พระอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่ทุกวันนี้จะดับไปได้จริงๆ
ใดใด ไม่ว่าในโลกหรือนอกโลกก็อนิจจังด้วยกันทั้งนั้น ดวงอาทิตย์ที่เราเห็นอยู่ก็เช่นกัน เหล่าผู้เชี่ยวชาญระบุว่าสักวันหนึ่งดาวดวงนั้นก็จะมีอันเป็นไปเช่นกัน... ครับ มันคงไม่เกิดในช่วงชีวิตเรา(ในชาตินี้)หรอก ฉะนั้นถ้าใครที่เผลอคิดว่าจะหนาวตายเพราะตะวันดับ มาหาทางป้องกันการร้อนตายในสภาพอากาศแบบนี้ก่อนดีกว่า
แต่... ถ้ามันดันกำลังจะตายขึ้นมาจริงๆล่ะ มนุษยชาติจะหาวิธีไหนมาป้องกันตัวเองจากการสูญพันธุ์... และนั่นคือแนวคิดคร่าวๆของหนังเรื่อง Sunshine ภาพยนตร์ไซไฟ-ทริลเลอร์เรื่องล่าสุดจาก ฟ๊อกเซิร์ชไลท์พิคเจอร์
สารภาพว่าก่อนหน้าไม่นานเท่าไหร่ ผมไม่ระแคะระคายมาก่อนจะมีหนังเรื่องนี้อยู่ในสารบบกะเขาด้วย คืออยู่ดีๆมันก็โผล่เข้ามาในโปรแกรมฉายเสียอย่างนั้น และบอกตามตรงว่า ผมเผลอดูแคลนทัวร์ท่องพระอาทิตย์ครั้งนี้ว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่าหนังเกรดรองธรรมดาๆ
(และที่ไปดูเพราะไม่รู้จะดูอะไรดี)
Sunshine เป็นผลงานกำกับล่าสุดของแดนนี่ บอย – คนเดียวกันกับที่กำกับหนังอย่าง The Beach, 28 Days Later และ A Life Less Ordinary มาแล้วและครั้งนี้เขาก็มากับมือเขียนบทคู่บุญอย่างอเล็ก การ์แลนด์
ถึงหนังจะมาพร้อมทีมนักแสดงที่พอนับได้ครบด้วยมือแค่ 2 ข้าง แต่หลายในนั้นก็เป็นระดับที่พอคุ้นหูเช่นว่า... ซิลเลี่ยน เมอร์ฟี่ (พระเอกที่หน้าตาค่อนไปทางผู้ร้ายโรคจิตมากกว่า), คริส อีแวนส์ (พี่ Human Torch), มิเชล โหย่ว (อดีตบอนด์ เกิร์ล) และอื่นๆ
Sunshine ตั้งเรื่องราวไว้ในอีก 50 ปีข้างหน้าเมื่อดวงอาทิตย์กำลังอยู่ในอาการโคม่าเจียนอยู่เจียนไปเต็มที่ หลังจากบทเกริ่นนำแค่ 2 – 3 ประโยคเกี่ยวกับภารกิจที่จุด Big Bang ด้วยโคตรระเบิดที่สรรหาได้เพื่อให้ดวงอาทิตย์ใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา ยานอิคารัสลำแรกที่สูญหายไปและกลุ่มเจ้าหน้าที่ทีมปัจจุบันที่ประกอบด้วยนักฟิสิกส์ จิตแพทย์ นักบินอวกาศและนักวิทยาศาสตร์
จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปแบบไม่หยุดรอดผู้ชมไตร่ตรองอะไร... หนังพาเราไปรู้จัก 8 สุดยอดบุคคลของโลกที่ถูกคัดสรรมาเพื่อแบกความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ แน่นอนว่าถึงหนังจะไม่ได้บอกแต่เราก็จะทึกทักเอาว่า พวกที่คัดขึ้นมาคงเป็นหัวของหัวกระทิอีกทีนึง
ก็ถ้าไม่เกณฑ์คนแบบนี้ขึ้นไป จะไปเรียกทีมขุดเจาะน้ำมันที่ไหนมาหรือ
ด้วยภารกิจที่หนักอึ้งท่ามกลางอวกาศที่เวิ้งว้าง ลูกเรือบางคนก็ออกอากาศสติแตกเอาได้ง่ายๆ และเมื่อการเดินทางผ่านไประยะหนึ่งจุดหักเหของเรื่องราวก็ถูกเติมเข้ามา... พวกเขาพบกับยานอิเครัส 1 ที่หายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว… หากแต่อะไรรออยู่ที่นั่น
การค้นพบโดยไม่ได้คาดหมายเช่นนี้คือประตูสู่เรื่องราวยุ่งเหยิงที่จะตามมาเป็นพรวน ในระยะทางที่ห่างไกลจากโลกเป็นล้านไมล์ ต่อหน้าดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าและพร้อมจะเผาผลาญพวกเขาทุกขณะ ความหวังของมวลมนุษยชาติจะถูกจุดขึ้นสำเร็จหรือไม่... ครับ ต้องจ่ายตังค์เข้าไปดูเองตามอัธยาศัย
งวดนี้ไม่อยากเล่ามากเพราะเรื่องมันก็ไม่ซับซ้อน ถ้าพูดต่อจะกลายเป็นเฉลยบางส่วนให้ขัดใจเสียเปล่าๆ
ว่ากันที่ตัวหนัง ถึง Sunshine จะสวมชุดและตีตราไว้ว่าเป็นหนังวิทยาศาสตร์แต่โดยเนื้อแท้แล้วนั้น ไซไฟคือหนังที่สะท้อนตัวตนของมนุษย์ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความกดดันจะเร่งเร้าสัญชาติญาณที่ถูกกลบซ่อนให้เผยออกมา
ถ้านั่นฟังดูจับต้องไม่ได้... พูดใหม่ ... Sunshine ดูจะใช้อวกาศเป็นเวที ใช้ภารกิจจุดระเบิดตะวันเป็นเงื่อนไข แต่ที่จริงมันเหมือนกับเรากำลังนั่งดู เรียลลิตี้โชวจากในยานอวกาศที่มีตัวละครทั้ง 8 มาชูรสให้... ความกดดันที่มากขึ้นทำให้ตัวละครหลายตัวดูเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
นอกเหนือจากความกดดันและอึดอัดที่หนังนำเสนอได้อย่างถึงใจนั้น หลายๆฉากก็ทำให้เราระทึกจนอยากจะหนีลงจากยานนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย... แต่เมื่อไม่มีทีทางหนี – เหมือนในชีวิตจริงที่หลายครั้งเราต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซันไชน์ก็เลยเป็นเจ้าของช่วงเวลาที่ชวนหดหู่ในบางฉาก
บทของอเล็กซ์ การ์แลนด์นั้นถือว่าน่าสนใจทีเดียว... ถ้าไม่นับไอ้การที่โผล่ขึ้นมาอยู่หน้าสถานการณ์โดยไม่ทันตั้งตัว บทของเขาก็ค่อนข้างจะเรียงร้อยเหตุการณ์ได้สมเหตุสมผลพอประมาณ ถึงจะมีอะไรบางอย่างโผล่มาเป็นตัวแปรสุดท้ายที่แหม่งๆหน่อยก็เถอะนะ
เพราะตั้งแต่ต้นหนังเรื่องนี้มันก็โผล่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่น่าตกใจหรอก... ถึงหนังจะกลับไปกลับมาจาก ไซไฟไปเป็นดราม่า แล้วก็เป็นทริลเลอร์ แล้วก็มีแอคชั่นแทรกมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วหนังก็วกกลับมาจบแบบนิยายวิทยาศาสตร์จนได้ ก็ถือว่าพาทัวร์แล้วใจดีส่งกลับบ้านถูก
ส่วนของภาพ CGI ไม่มีปัญหา หนังทำดวงอาทิตย์ออกมาได้สวยงามและทรงพลังจนน่าหลงใหล ถึงแม้จะใช้โลเกชั่นส่วนมากในยานและห้องแคบๆ ก็ต้องถือว่าไม่มีอะไรขี้เหร่จนต้องตำหนิขณะที่เสียงประกอบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันโดดเด่น อาจเป็นเพราะโดนกลบจากบรรยากาศหลอนๆในหลายช่วงเวลาก็เป็นได้
อย่าที่เพิ่งบอกไปเมื่อครู่ Sunshine กลายเป็นหนังที่สะท้อนสัญชาติญาณของมนุษย์โดยอาศัยภารกิจอันยิ่งใหญ่เป็นเงื่อนไข ถึงบางการกระทำจะน่าข้องใจอยู่บ้างแต่ก็พออนุโลม – ยกประโยชน์ให้ว่านั่นเป็นเพราะสภาพแวดล้อมพาเสียจริต แต่สิ่งที่แยบยลคือหนังหยิบเอาตัวเงื่อนไขมาเป็นธีมของครึ่งหลังได้ด้วย
การวางโครงเรื่องอย่างฉกาจฉกรรจ์ทำให้นำไปสู่คำถามที่ว่า ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะกระทำเช่นนั้นหรือ... ดวงตะวันที่กำลังจะมอดดับอาจเป็นพระประสงค์ที่มิควรขัดขืน ซึ่งไม่น่าแปลกว่าหนังตอบคำถามตัวเองในแบบของมนุษย์นิยมเฉกเช่นเรื่องราวสมัยใหม่อื่นๆ
ในส่วนนักแสดง Sunshine ใช้ดาราแบบพอเพียง คือถ้าไม่นับซิลเลี่ยน เมอร์ฟี่แล้วความโดดเด่นของตัวละครถูกเกลี่ยให้ได้แสดงพลังพอๆกัน... ก็มันมีแค่ 8 – 9 คนถ้าไม่แชร์บทให้ก็แย่แล้ว แต่ว่าก็ว่านะครับในขณะที่ตัวละครอื่นมีบุคลิกชัดเจนแต่ว่า พี่แคปป้าพระเอกของเรากลับดู... เนือยๆ และเหนื่อยๆ... ผมว่าเขาดูล้ากว่าลูกเรือคนอื่นมากเลย
ส่วนคริส อีแวนส์ที่มาเล่นกับไฟอีกแล้ว สงสัยแค่เป็นคบเพลิงมนุษย์ยังไม่สาแก่ใจ แต่เขาก็ทำเมซดูเป็นคนและเข้มแข็งมากที่สุดในหมู่ตัวละครอื่นๆ ขณะที่ป้าโหย่วของผมนี่ริ้วรอยประสบการณ์ชักเยอะขึ้นนะครับเรื่องนี้
และอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือ... ใครอุตริตั้งชื่อยานได้อัปมงคลเหลือเกินครับ -- Icarus ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักก็จะเล่าให้ฟังพอสังเขปแล้วกัน อิคารัสเป็นตัวละครในเทพนิยายกรีกครับเป็นผู้ชายที่สร้างปีกจากขนนกและขี้ผึ้งแล้วพยายามบินขึ้นไปหาดวงอาทิตย์ สุดท้ายแสงอาทิตย์ก็แผดเผาขี้ผึ้งจนละลายและเขาก็ร่วงลงมายังพื้นดิน
สำหรับผมแล้ว แม้ว่า Sunshine จะกดดันและชวนอึดอัด... มันก็กลับกลายเป็นหนังที่ดีเกิดคาด ถึงในที่สุดแล้วจะไม่โดดเด่นอะไรมากไปกว่าหนังแนววีรบุรุษทั่วๆไป แต่ภารกิจของลูกเรืออิคารัส 2 ก็ยังน่าจดจำด้วยเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ
ทำใจด้านๆมองความ อะไรๆที่ขาดๆเกินๆและไม่มีเหตุไม่มีผลอธิบายไว้บ้าง สำหรับคนที่ดูหนังเอามันส์ Sunshine ก็ตอบโจทย์ได้อย่างไม่น่าเกลียด... ฉะนั้นจะรีรออยู่ไยยกให้ไปเลย 3 ดาวครึ่งกับหนังร้อนๆหลอนๆท่ามกลางอวกาศอันมืดมิดแห่งนั้น
เวลาใดที่ความหวังควรจะส่องแสงสว่างมากที่สุด...? อาจจะเป็น... เวลาที่แสงอื่นดับสนิทหมดแล้วก็เป็นได้
ดูหนังให้สนุกนะครับ
Create Date : 06 เมษายน 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 1:42:49 น. |
Counter : 3895 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: JJ IP: 203.209.26.21 6 เมษายน 2550 17:46:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: invisible_TJ IP: 58.9.13.233 9 เมษายน 2550 16:51:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: KhunnongOrn (KhunnongOrn ) 21 กันยายน 2550 22:03:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: KhunnongOrn (KhunnongOrn ) 1 ตุลาคม 2550 21:51:39 น. |
|
|
|
| |
|
|