|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ชาติมหาอำนาจปรัสเซีย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชนชาติเยอรมันมีเจ้าปกครองเป็นแคว้นต่างๆ แต่ยังไม่มีการรวมตัวเป็นชาติรัฐ ในบรรดาแคว้นเยอรมนีเหล่านี้ ปรัสเซียเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุด (ยกเว้นอาณาจักรออสเตรีย) ซึ่งแต่เดิมปรัสเซียเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ แต่การที่พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 1 ช่วยออสเตรียรบในสงครามสืบราชสมบัติสเปน ปรัสเซียจึงได้รับการยกฐานะเป็นอาณาจักรอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1713 บรรดาชาติที่เป็นศัตรูกับฝรั่งเศส คาดหวังว่าปรัสเซียจะเป็นศูนย์อำนาจใหม่ในกลุ่มแคว้นของเยอรมันเพื่อสู้รบกับฝรั่งเศสแทนออสเตรียที่เสื่อมอำนาจลง ดังนั้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ปรัสเซียจึงเริ่มเป็นชาติที่มีฐานะเป็นที่ยอมรับในสังคมนานาชาติของยุโรป ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปรัสเซียกลายเป็นชาติที่มีอำนาจในเวลาต่อมา คือ ปรัสเซียมีผู้นำที่มีความสามารถ เช่น พระเจ้าเฟรเดอริก วิลเลียมที่ 1 ผู้ทรงเข้มแข็งเจ้าระเบียบ ประหยัดและมีขันติธรรมทางศาสนา ดังนั้นเมื่อชาวฝรั่งเศสที่นับถือโปรเตสแตนต์ หรือคาทอลิกที่อพยพลี้ภัยทางศาสนาเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ปรัสเซีย จึงได้รับการต้อนรับทั้งสิ้นทำให้ปรัสเซียซึ่งเดิมเป็นแคว้นที่มีประชากรเบาบางได้มีประชากรเพิ่มขึ้นและเป็นประชากรที่มีคุณภาพ ส่วนในด้านการปกครอง ผู้นำปรัสเซียแต่ก่อนได้วางรากฐานไว้โดยทำการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ปฏิรูปกฎหมายและการศาล การจัดเก็บภาษี รวมทั้งเก็บภาษีขุนนางแทนการปฏิบัติหน้าที่ของขุนนางต่อกษัตริย์ตามพันธะแบบระบบฟิวดัล พระเจ้าเฟรเดอริก วิลเลียมที่ 1 ทรงปฏิรูปด้านอุตสาหกรรม ทำให้ปรัสเซียในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้า รวมทั้งการค้ากับนานาชาติ ขณะเดียวกันได้มีการออกกฎหมายกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ เช่น ห้ามนำเข้าผ้าขนสัตว์จากอังกฤษ และกำหนดให้เครื่องแบบทหารปรัสเซียต้องตัดด้วยผ้าที่ผลิตในประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันเงินตรารั่วไหลออกนอกประเทศและหาทางนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาให้มากที่สุด การปฏิรูปที่สำคัญของปรัสเซียอีกด้านหนึ่งคือการปฏิรูปกองทัพ เมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้าเฟรเดอริกวิลเลียมที่ 1 พระโอรสของพระองค์ คือ พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช ทรงปฏิบัติหน้าที่กษัตริย์ในฐานะผู้รับใช้ประเทศอย่างเข้มแข็ง พระองค์ทรงดำเนินนโยบายต่อจากพระราชบิดา โดยทรงปรับปรุงกองทัพจนทำให้กองทัพปรัสเซียมีระเบียบวินัยและมีอาวุธที่ทันสมัย ดังนั้นนับตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาปรัสเซียจึงมีอำนาจมากขึ้นในยุโรป ทั้งนี้จะเห็นได้จากบทบาทปรัสเซียในสงคราม เช่น สงครามชิงราชสมบัติออสเตรีย (ค.ศ. 1740-1748) พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชทรงส่งกองทัพปรัสเซียเข้าโจมตีดินแดนออสเตรียทางตะวันตก และสามารถยึดดินแดนได้โดยกองทัพออสเตรียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ปรัสเซียยังได้แนะนำยุทธวิธีฝรั่งเศส ให้โจมตีกรุงปราก เมืองหลวงของแคว้นโบฮีเมียก่อน แทนที่จะมุ่งเข้าโจมตีกรุงเวียนนาเมืองหลวงของออสเตรีย เป็นต้น ภายหลังจากการโจมตีออสเตรีย ทำให้ปรัสเซียรู้ว่าจะต้องต่อสู้กับออสเตรียอีก พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชจึงทรงเตรียมพร้อมเพื่อทำสงครามต่อไป ในระยะแรกของสงครามกองทัพออสเตรียตอบโต้กองทัพปรัสเซียให้ถอยไปได้สำเร็จ แต่ในปี ค.ศ. 1745 ปรัสเซียรบชนะออสเตรียสามารถยึดดินแดนได้หลายแห่ง การขยายอำนาจทางทหารเพื่อชิงดินแดนต่างๆ ทำให้ปรัสเซียถูกโจมตีหลายด้านจนต้องเข้าร่วมสงครามเจ็ดปี (ค.ศ. 1756-1763) ทั้งนี้เนื่องจากออสเตรียต้องการยึดดินแดนที่เสียให้แก่ปรัสเซียเมื่อปี 1745 คืน นอกจากนี้รัสเซียซึ่งระแวงว่าความเข้มแข็งทางทหารของปรัสเซียจะเป็นอันตรายต่อประเทศ จึงทำสัญญากับออสเตรียและฝรั่งเศสเพื่อยึดดินแดนด้านตะวันออกของปรัสเซีย เพื่อให้ปรัสเซียกลับเป็นแคว้นเล็กๆ เหมือนเดิม สวีเดนที่เคยขัดแย้งเรื่องดินแดนกับปรัสเซียเตรียมทัพเข้าโจมตีปรัสเซีย เช่นเดียวกับแคว้นเยอรมนีที่อยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น ปรัสเซียได้แก้ไขโดยดำเนินการทางการทูตและต่อสู้กับกองทัพชาติต่างๆ โดยมีเพียงอังกฤษเป็นพันธมิตร ในที่สุดสงครามยุติลงโดยปรัสเซียร่วมกับอังกฤษเป็นฝ่ายชนะ เมื่ออังกฤษทำสนธิสัญญาปารีสกับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1763 แล้ว ในปีเดียวกันปรัสเซียกับออสเตรียได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพที่ทำให้ปรัสเซียได้ดินแดนบางส่วนกลับคืน ดังนั้นช่วงเวลาครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ปรัสเซียได้กลายเป็นชาติมหาอำนาจที่มีบทบาททางการเมืองและการทหารในยุโรปอีกทั้งสามารถทำลายอำนาจผูกขาดของออสเตรียที่มีต่อแคว้นเยอรมนีต่างๆ ที่มีมานับเป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อเกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1789 ออสเตรีย ปรัสเซียและแคว้นต่างๆ ในเยอรมนีซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ได้ร่วมกันทำสงครามต่อต้านการปฏิวัติ โดยชาติเหล่านั้นนำทัพเข้าโจมตีกรุงปารีส ทำให้ชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ที่เป็นกลางตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติ เพราะถือว่าเป็นการป้องกันประเทศจากการรุกรานโดยกองทัพต่างชาติ พลังชาตินิยมฝรั่งเศสทำให้กองทัพปรัสเซียไม่สามารถยึดกรุงปารีสและการที่ปรัสเซียยกทัพรุกรานฝรั่งเศสเป็นสาเหตุสำคัญที่คณะปฏิวัติได้ตัดสินประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เพื่อยุติข้ออ้างที่ต่างชาติใช้ในการรุกรานฝรั่งเศส ในช่วงเวลานั้นปรัสเซียและออสเตรียกังวลอยู่กับการขยายอำนาจของรัสเซียในโปรแลนด์ ทั้งสองชาติเกรงว่ารัสเซียจะผนวกโปรแลนด์จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสขยายอำนาจไปยังดินแดนต่างๆ ในยุโรป ปรัสเซียซึ่งขัดแย้งกับออสเตรียด้วยเรื่องการแบ่งโปรแลนด์ จึงทำให้สัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1795 โดยปรัสเซียยอมรับสิทธิของฝรั่งเศสเหนือดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำไรด์ แลกกับปรัสเซียที่มีสิทธิควบคุมแคว้นเยอรมนีทางภาคเหนือ ด้วยสัญญาสงบศึกปี 1795 ที่ทำกับฝรั่งเศส ปรัสเซียดำเนินนโยบายเป็นกลางไม่เข้าร่วมรบกับพันธมิตรในสงครามต่อต้านการขยายอำนาจของนโปรเลียนในระหว่าง ค.ศ. 17990-1801 สงครามครั้งนี้มีผลที่เป็นประโยชน์ต่อปรัสเซีย ประการหนึ่งคือทำให้ออสเตรียซึ่งเคยมีอิทธิพลเหนือแคว้นต่างๆ ในเยอรมนีได้หมดอิทธิพลลงในขณะที่ปรัสเซียกลายเป็นอาณาจักรที่มีอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาแคว้นเยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 19
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552 |
Last Update : 4 ธันวาคม 2552 6:17:05 น. |
|
1 comments
|
Counter : 3628 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ตัวแสบ IP: 124.121.105.47 วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:19:49:49 น. |
|
|
|
|
|
|
|