Kross (เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง~
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
30 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
[แงะสาระ] LN ผู้กล้ามากับดวง เล่ม5 ~ เก็บตกเทคโนโลยีในเรื่อง

ลองชำแหละเทคฯ ออกมาดูครับ  พอดีเป็นหนึ่งในนิยายที่ชอบพอสมควร  (ในบรรดานิยายค่าย Dexpress ผมชอบเรื่องนี้เป็นอันดับ 2 เลยครับ)  เพราะว่าในนิยายเล่ม 5 นี่ผู้ประพันธ์ได้มีการแอบสอดใส่เทคโนโลยีในช่วงยุคกลาง และยุคอุตสาหกรรมใหม่ไว้เยอะมากทีเดียว


บางคนทั่วไปที่ไม่คุ้นเคยอาจจะงงๆกันบ้าง เพราะศัพท์แสง (เชิงกระบวนการ) ที่ตัวเองไม่ได้เรียนมาก่อนจะโผล่เต็มไปหมด...หากใครเรียนตรงสายก็คงสนุกมากขึ้นด้วย ผมเลยลองเอาที่ได้คุยกับเพื่อนทาง msn มาเรียบเรียงใหม่พอให้อ่านง่ายๆ
(ไม่ครบนะครับ  ทำหมดไม่ไหว )Smiley


เอาเท่าที่ผมจะมีความรู้ (อันน้อยนิด) มาเรียบเรียงละกันครับ  ตอนนี้ก็เกิน 20 เรื่องแหละ 

1. เสื้อไหมแมงมุม
2. เครื่องร่อน
3. เครื่องดีดส่งไอน้ำ
4. ระเบิดนาปาล์ม
5. บอลลูนสงคราม
6. ไรเฟิลบรรจุท้าย
7. กระสุนเพลิง
8. ทิศทางลม
9. แนวกีดขวางฟันมังกร
10. กำแพงปราสาท
11. คูเมือง/แนวสะพาน
12. ฤดูน้ำหลาก
13. ระบบบัญชีคู่
14. เครื่องจักรไอน้ำ
15. เครื่องยนต์
16. เชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมันสาหร่าย)
//jusci.net/node/2852
17. ระบบอุตสาหกรรมทางทหาร
18. ฟาร์มปศุสัตว์ทางน้ำ
19. ระบบลำเลียงพลทางราง
20. ยานพาหนะแบบสายพาน(ตีนตะขาบ)
21. เครื่องยนต์เจ็ต/วอเตอร์เจ็ต
22. เรือลำเลียงพล/เรือยกพลขึ้นบก
23. การตรวจการณ์ทางอากาศ
21. โทรศัพท์
23. ปราการดารา (ป้อมรูปดาว)



13. ระบบบัญชีคู่ (Double - Entry System) 

กระบวนการก้าวหน้าอันนึงทีเดียวของวิชาการบัญชี และคนที่เรียนสาย Account ทุกคนจะต้องรู้จัก  แต่มันสำคัญยังไงหละ? แต่ก่อนอื่นขอแนะนำระบบบัญชีเดี่ยวก่อน (Single Entry System)

- นึกภาพตัวเองทำงานมีเงินเดือนครับ  รายได้ประจำเดือนลงสมุด
- นึกภาพตัวเองมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ  รายจ่ายก็ถูกหักออกไปตามเวลา
- ทุกอย่างถูกบันทึกลงในสมุดตามหัวข้อ,ลำดับ ตัวเลขสุดท้ายก็คือยอดคงเหลือ (Balance) ว่า +/- เท่าไหร่
- เป็นรูปแบบที่ง่ายและคุ้นเคยกันที่สุดในชีวิตประจำวัน
- ไม่ซับซ้อนและเป็นจริงแน่นอน



แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ยังมีปัญหาอยู่ดี โดยเฉพาะการทำบัญชีขององค์กรที่มีผู้มีเกี่ยวข้องจำนวนมาก เพราะว่าไม่อาจป้องกัน
- Human Error/ ความผิดพลาดของการลงบัญชีผิด
- Corruption/ การคดโกงภายใน และเจตนาบิดเบือนตัวเลข


เพราะว่าในระบบบัญชีเดี่ยวทุกอย่างจะรวมอยู่ที่เดียวกันหมด ....หากตัวเลขใดตัวนึงผิดพลาด ก็จะดึงให้เลขทั้งบัญชีผิดพลาดไปเป็นแผงตลอดกาล และไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ช่วงไหนเป็นต้นไป  ซึ่งเรื่องพวกนี้จะทำให้นักสอบบัญชี (Auditor) ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากันมาตลอด  โดยเฉพาะยามที่มีบัญชีหลายๆเล่มเข้ามาเกี่ยวข้องพร้อมกัน  การกระโดดของตัวเลขไปๆมาๆนั้นเหมือนกับการเล่นพัซเซิลเลยว่าปัจจุบันเงินก้อนนั้นไปอยู่กับใครที่บัญชีไหนแน่?



นั่นคือที่มาของระบบบัญชีคู่....


จนกระทั่ง ศตวรรษที่15 นี่เอง, Luca Pacioli  นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียนลูกศิษย์คนนึงของดาวินชี่ ก็ได้เสนอแนวคิดใหม่ขึ้นมาในการตรวจสอบบันทึกและการเคลื่อนไหวทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะการไหลของกระแสเงิน/กระแสทุน (Fund Flow) ที่ชื่อว่า บัญชีคู่ขนาน (Double Entry System) นี่เอง



จุดเด่นของมันคืออะไรหละ?
(งานเพิ่มขึ้นแน่ๆอย่างนึงแหละ ^^")


ระบบบัญชีคู่ 
(Double - Entry System)

- หลักการที่กำหนดให้การบันทึกบัญชีแต่ละรายการจะต้องให้จำนวนเงินที่บันทึกบัญชีด้าน"เดบิต"เท่ากับจำนวนเงินที่บันทึกในบัญชีด้าน"เครดิต"เสมอ ไม่ว่าจะบันทึกด้านละกี่บัญชีก็ตาม เพราะการวิเคราะห์รายการค้าทุกรายการจะมีผลกระทบต่อบัญชีอย่างน้อย 2 บัญชี (เหมือนกับเงินเข้าด้านนึง...จะต้องไปโผล่อีกด้านนึง)


- โดยทั่วไปรายการค้าจะแยกบันทึกบัญชีใน 2 ลักษณะ คือ
A) รายการค้าที่ทำให้จำนวนเงินในบัญชีเพิ่มขึ้น
B) รายการค้าที่ทำให้จำนวนเงินในบัญชีลดลง


- ดังนั้นเมื่อมีการตรวจสอบลักษณะคู่ขนาน,  การทุจริตจะเป็นไปได้ยากกว่าเดิมมากนักเพราะ  เมื่อใดก็ตามที่เลขสองฝั่งมีอัตราการเพิ่มลดไม่ตรงกันก็จะแสดงให้เห็นในทันทีว่า  ตัวเลขช่วงไหนมีการลงไม่ครบหรือลงเกินที่ควรจะเป็น...และที่สำคัญยังสามารถนำไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับยอดสินทรัพย์คงคลังต่างๆได้ทั้งในการคำนวนบนกระดาษ หรือเดินไปดูตำแหน่งสินค้าในสถานที่จริง




ตามนิยาย

-  เทคนิคนี้ยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันครับ  สังเกตว่านาวาลในเรื่อง ใช้ระบบนี้ไล่ตรวจสอบบัญชีย้อนหลังขึ้นไปเรื่อยๆ  ตราบเท่าที่เอกสารยังอยู่จะไม่มีทางหลุดรอดไปได้เลยเพราะ การหมกเม็ดต่างๆ  บนบัญชีเดี่ยวนั้นจะเกิดขึ้นด้วยการเอาทรัพย์สินเงินทอง ไปดองไว้ในบางบัญชี  หรือแปรรูปไป แล้วลงว่าสินทรัพย์นั้นใช้งาน-หรือไม่ก็เงินก้อนนั้นยังไม่พร้อมถูกถอนมาเบิกจ่าย


- และทุกครั้งที่นาวาลไล่ตัวเลขย้อนกลับขึ้นไปยังหน่วยงานก่อนหน้า  ที่เบิกจ่ายเงินไม่ตรงกับที่ลงรับ  ก็จะยิ่งเห็นอีกว่าเส้นทางการเงินมันไหลไปทางไหน...และแตกแขนงซุกไว้กี่ช่องทางตามหน่วยงานต่างๆ  (บางทีอาจเป็นการตกหล่นทางบัญชีโดยไม่เจตนา...แต่ก็จะพอตัวเลขสะท้อนออกมาก็จะแสดงว่า  ผู้รับผิดชอบการตกหล่นทางบัญชีคนนั้นอยู่หน่วยงานไหน)


- เรื่องบัญชีปราบทุจริตนี่ ในนิยายผมจัดว่าเป็นสิ่งสำคัญทีเดียว  เพราะเมืองอุตสาหกรรมเช่นนี้จะมีแหล่งผลประโยชน์จำนวนมาก และระบบการตรวจสอบที่หละหลวมจะชักนำให้พวกปลิงเหลือบไรทั้งหลายเข้ามาเกาะกินอยู่ตลอดเวลา....(การจับผู้ทุจริตได้จะช่วยให้ข้าราชการที่ซื่อสัตย์มีกำลังใจขึ้นอักโข)  ผลงานของนาวาลในสายตาผมเองนี้ถือว่าสำคัญไม่แพ้การปกป้องเมืองของเมเบลเลยครับ




1. เสื้อไหมแมงมุม

นี่เป็นจุดนึงที่ผมสนใจมากและชื่นชมผู้แต่งในการหาข้อมูลทีเดียวครับ  เพราะเราอาจจะคุ้นเคยกับผ้าหม่อนผ้าไหมกันเยอะแยะ แต่น้อยคนมากที่จะคิดถึง "แมงมุม"  ซึ่งผลิตเส้นใยธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกจากโปรตีนล้วนๆ   ทว่า, แทบไม่มีใครจะมองมันในฐานะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเลยเพราะความยากในการผลิตแบบสุดๆของมันนั่นเอง


คำถาม:  ต้องใช้แมงมุมเท่าไหร่ถึงจะพอทำเสื้อผ้าสักชุด?
คำตอบ: ประมาณ 1 ล้านตัว Smiley


ตอนนี้มีชุดที่ทำจากใยแมงมุมล้วนจริงนะครับบนโลก  อย่างน้อยก็ที่ American Netural History' Musuem ที่นิวยอร์คที่นึงหละ, ชุดผ้าไหมแมงมุมทองคำที่นั่นใช้คนกว่า 70 คน และแมงมุมมากกว่า 1 ล้านตัวทำกันอย่างต่อเนื่องถึง 4 ปี...ตามนิยาย[ผู้กล้ากับดวง] ที่บอกว่าผลิตยากมากนั้นผมเห็นด้วยอย่างแรง   และยิ่งทึ่งขึ้นมาอีกที่บอกว่าผลิตได้แค่ปีละ 10 ชุด  (แค่นี้ก็เยอะโคตรๆแล้ว)

กระบวนการผลิต   กว่าจะรีดได้สักขนาดนี้นี่เป็นปีเลยนะ -*-



ไหมของแมงมุมนั้นเมื่อผ่านการอบไล่ด้วยความร้อนที่เหมาะสมเพื่อสลายแรงยึดและความเหนียวของสารเคมีแล้ว  จะเป็นหนึ่งในด้านที่แข็งแกร่งมากๆ   
- ความยืดหยุ่นสูง  เส้นใยผ้าจะยืดขยายได้มากกว่าเส้นใยทุกแบบ
- มันสามารถรับน้ำหนักได้เป็นพันเท่าของตัวเส้นใยมันเอง
- แข็งแกร่งทัดเทียมกับแผ่นเหล็ก หรือแม้แต่เกราะประสานเคฟล่าห์ (ที่ใช้กันกระสุน)
- มันสามารถเป็นฉนวนกันความร้อนและความเย็นได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะบางเหลือเชือ่
- ในปริมาณผ้าเท่ากัน  มันจะเบากว่าชุดปกติถึงร้อยเท่า...



ปัจจุบันเส้นใยแมงมุมนั้นมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้นครับ  โดยเฉพาะในแง่ของการแพทย์ และอุตสาหกรรมยา หรือการวิจัยสารไฟเบอร์แบบต่างๆ   แต่ในนิยายผู้กล้าฯ คงยังไม่ถึงขั้นนั้น...แค่ตัดเป็นชุดอาภรณ์ของสูงให้เหล่าสังฆราชเฉยๆ


ปล. เมเบลรอดตายต้องขอบคุณชุดนี้จริงๆนะ     ผมไม่รู้ว่าผู้แต่งเขาหาข้อมูลเยอะรึเปล่า  แต่ความสามารถมันตรงมากที่รับแรงปะทะของกระสุนเพลิงของปืนไรเฟิลได้เต็มที่ โดยที่ปลดภัยจากคุณสมบัติ [ไหมเกราะ/ฉนวนความร้อน]


หน้าตาแมงมุมน้อย

23. ปราการดารา (ป้อมรูปดาว)


เมืองที่เมเบล/นาวาลไปในเล่ม 5 นี่มันชื่อว่าอะไรหว่า?
เอาเถอะ ผมเรียกมันว่ากรุงศรีฯ ละกัน  เพราะสภาพทางยุทธศาสตร์/ยุทธภูมิเหมือนกันสุดๆ
- กำแพงเมือง
- ป้อมปืนใหญ่
- ฤดูน้ำหลาก

ดังนั้นเมืองนี้ชื่อ "กรุงศรีฯ" นะ!  OK!?


ตอนแรกที่พวกเมเบลมาถึงกรุงศรี นั้นจะเห็นถึงแนวป้องกันเมืองที่ค่อนข้างพร้อมทีเดียวเมื่อเทียบกับเมืองหลวงของตน  อาจจะเป็นเพราะกรุงศรีฯที่นี่นั้นต้องเผชิญหน้ากับพม่ารามัญมาบ่อยๆทั้งทางบกและทางเรือ โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวซึ่งยังไม่มีน้ำหลาก  ซึ่งแนวป้องกันหลักๆ ของเมืองตอนแรกนั้น


- กำแพงเมืองสูง เพื่อป้องกันการปีนป่าย
- แนวปืนใหญ่ตั้งบนยอดกำแพงเพื่อเสริมระยะยิง
- พลปืนไฟ (บรรจุหน้า) และพลธนู/หน้าไม้สลับฟันปลา
- แนวคูเมืองกว้าง มีสะพานข้ามฝั่ง+  อีกด้านติดแม่น้ำใหญ่


โดยปกติก็น่าจะเพียงพอแหละ เพียงแต่ในคราวนี้เหล่าพม่ารามัญมันเอาจริงมาก  จัดมาสะชุดใหญ่กะว่าปีหน้าต้องตีกรุงฯแตกชัวร์ๆ 

- บอลลูนทิ้งระเบิด (คิรอฟฯ นี่หว่า!)
- ปืนไรเฟิล + บรรจุท้าย + กระสุนไฟ
(อำนาจการยิงสูง ฝั่งนางเอกยังปืนดาบคาบศิลากรอกดินประสิวยิงทีละนัดอยู่เลย)
- กองเรือยกพลขึ้นบก 
(D-Day?, พม่ารามัญมันจะไปช่วยพลทหารไรอันกันแล้ว!?)
- เรือลำเลียงพลประชิดหาดด้วยเครื่องเจ็ต
- ระเบิดนาปาล์ม (เผาเมืองสุกๆดิบๆได้เลย)
- บังกาโลตอร์ปิโด  (ระเบิดทลายสนามเพราะ/เครื่องกีดขวาง)


จะเยอะไปไหน ?


Q: ผลการรบครั้งแรกรึครับ?
A: ก็เละสิคุณ  พม่ารามัญจัดหนักขนาดนี้  ฝั่งกรุงศรีพึ่งฉลองท่านเซนต์ไปหมาดๆเอง
Q: เละยังไง?
A:  ก็ฝั่งพม่าเตรียมมาแก้ทางเยอะไง


- บอลลูน  อาศัยลมเหนือบินได้สูงกว่าเครื่องร่อน  ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง มีแนวปืนคุ้มกันยิงจากบนลงล่าง  ได้เปรียบเห็นๆ
- อาวุธปืน, ไม่มีปืนใหญ่หนักก็จริง แต่ปืนไรเฟิลที่มีระยะยิงตั้งแต่ 1-400 เมตรนั้นได้เปรียบ ปืนรุ่นโบราณของกรุงศรีฯ
- ปืนกรุงศรีฯที่มีระยะแค่50-100 m นั้นสกัดกั้นได้จำกัดเพราะถูกกดดันจากระยะยิงที่ไกลกว่า ทำให้พม่ารามัญเข้าประชิดกำแพง
- พม่ารามัญใช้เรือไอพ่น  ทำความเร็วได้มากกว่าเรือปกติหลายสิบน็อต (นึกภาพเรือซิ่ง+ดริฟต์ได้) ทำให้ปืนใหญ่เล็งยาก
- เมื่อเรือลำเลียงพลเข้าประชิดกำแพงเมืองได้ ก็จะเกิดมุมอับอัตโนมัติขึ้น  
- ทหารประจำกำแพงที่อยู่สูงไม่สามารถเล็งยิงศัตรูที่อยู่ประชิดเบื้องล่างได้ถนัด



        II(A)
        ====== 
        II
        II
  (X) II
IIIIIIIII


สังเกตว่า A จะยิง X ไม่ได้เพราะติดแนวกำแพงยาวๆของตัวเอง  ผลก็คือโดนบังกะโลเตอร์ปิโดเจาะกำแพงเละสิครับ 




หลังจากนั้นก็อย่างที่รู้กัน  คือเมเบลออกมาสกัดถ่วงเวลาไว้ แล้วโดนสอยร่วง  นั่นทำให้ท่านเซนต์เมเบลทรงพิโรธขึ้นมากระทันหัน    ครึ่งท้ายของนิยายเล่มนี้เลยกลายเป็นสงครามทางกลยุทธ์แบบเต็มรูปแบบ ที่อาศัยเวลา 15 วันที่ทิศทางลมยังถ่วงเวลากองทัพอากาศฝ่ายตรงข้ามไว้ให้....เมเบลเลยจัดการรีโนเวทกรุงศรีฯทั้งเมืองใหม่หมดด้วยสารพัดเทคโนโลยี  โดยเฉพาะจุดสำคัญที่สุดคือ 

- แนวสกัดฟันมังกร
- เมืองปราการดารา (ป้อมดาว)


ลองจินตนาการป้อมปราการแบบเดิมๆก่อนครับ 
- กำแพงสูง 
- รูปทรงเหลี่ยมเรขาคณิต 
- เลื้อยไปตามขอบเมือง 
- มีคูน้ำลึกล้อมรอบ


มันมีทั้งจุดแข็ง - จุดอ่อนของเมืองแบบนี้ก็คือ
- เมืองสามารถใช้พื้นที่ของตนได้เต็มที่  กำแพงจะอุดไม่ให้ข้าศึกเข้าตัวเมืองได้ทุกมุม (ที่ลงทุนสร้าง)
- สร้างได้ง่ายและเร็ว  สามารถต่อเติม หรือรื้อทิ้งบางส่วนได้สะดวก
- ในปริมาณวัตถุดิบที่เท่ากัน  จะสร้างกำแพงได้สูงกว่า ทำให้ฝ่ายตรงข้ามปีนกำแพง หรือสร้างหอรบให้สูงทัดเทียมกันยาก


จุดอ่อนก็คือ
- สิ่งสำคัญที่สุดเลยก็คือ  "มุมอับวิถีการยิง"  โดยจะมีทั้งมุมอับด้านล่างและด้านข้าง
- มุมอับด้านล่างก็คือเมื่อข้าศึกประชิดกำแพงเมืองได้  ทหารบนเชิงเทินตรงนั้นจะแทบยิงไม่ได้เลย
- มีวิธีแก้ปัญหาพื้นฐานอยู่บ้างคือการสร้าง "หอรบ" (Tower) ตามมุมกำแพงซึ่งเป็นเหมือนหอรบยกสูงขึ้นเป็นระยะ
ตามกำแพงเพื่อให้ตำแหน่งสูงสามารถระดมยิงโดยมีมุมมองที่เปิดมากขึ้น...แต่ก็ได้่แค่ลดลง ยังมีมุมบอดอยู่ดี 
(อีกอย่างสร้างหอรบเยอะๆจะเกะกะและแพง)
- อ่อนแอต่อการกระแทก และแรงโจมตีหนักๆเช่น กระสุนปืนใหญ่  ที่อาจยิงจนกำแพงล้มหรือทะลุ
- รากฐานจะแข็งแรงไม่มาก  อาจเจออุโมงค์ เจาะเผาทำลายให้ทรุดตัวได้


นั่นแหละเลยเป็นที่มาของป้อมรูปดาว  ที่ใช้เหลี่ยมมุม ให้กำแพงอีกฝั่งช่วยชดเชยวิธีการยิงทดแทนครับ
.
.
.
ลองดูรูปก็ได้ว่า  ป้อมแบบปกติทรงกลมจะมีจุดบอดที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าประชิด แต่ด้านแหลมของดาวจะไม่มี



จุดเด่นของปราการดาว คือจะเน้นอาวุธหนักไปที่ส่วนแหลมและมุมทแยงด้านต่างๆครับ

นั้นทำให้แทนที่เราต้องวางปืนใหญ่จำนวนมากเรียงรายตลอดแนวกำแพง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ เพราะเวลาฝ่ายตรงข้ามบุกเจาะ จะเลือกเฉพาะบางส่วนของแนวรับ ทำให้เสียทรัพยากรปืนเปล่าๆไปจำนวนนึง  


ด้วยระบบป้อมดาว ก็จะเหลือแค่ตามมุมไม่กี่จุดที่ต้องเน้น

เช่นป้อมปกติ ทุกๆ 200 เมตรกำแพงวาง 1 กระบอก  ถ้ายาว 10 km ก็ต้องวาง 50 กระบอก, แถมเวลาใช้จริงๆ ดันยิงถึงศัตรูแค่กระบอกเดียว


แต่ถ้าป้อมดาว, ทุก 400 เมตรวาง 5 กระบอก  แต่พอมีเหลี่ยมมุมชดเชย ปืน 1 กระบอกจะยิงได้ 2 ด้าน นั้นทำให้พอวาง 50 กระบอกจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าข้าศึกบุกมุมไหนก็จะเจออย่างน้อย5 กระบอกรุมยิงเสมอ


ปล. อันนี้ขึ้นกับการออกแบบนะ  อย่างป้อมบางอันมีระบบ "ดาวซ้อนดาว" ให้โหดสำหรับฝ่ายบุกขึ้นไปอีก
(ประมาณว่าชั้นแรกแตก หลบเข้ามุมดาวชั้นที่2 เพื่อยิงสวนคืน  และดาวชั้นในยิงเสริมชั้นนอก)


- สังเกตว่ากำแพงแต่ละชั้นจะเตี้ยๆ  แต่ฐานหนาทำให้มีสมดุลที่มั่นคงมาก 
- มุมสโลปลาดลงคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมู (คล้ายเกราะลาดของรถถัง) ทำให้รับแรงปะทะปืน/ระเบิดได้ดี
- อาจจะเตี้ย ปีนง่าย แต่การที่ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาคิดจะปีนเมืองขึ้นมาจริงๆจะต้องเจออำนาจการยิงประจำป้อมอย่างน้อย 3 มุมตลอดเวลา (ซ้าย-กลาง-ขวา) และจะหนักขึ้นอีกถ้ามีดาวซ้อนด้านหลัง


อันนี้ป้อมกาเนว่า ปี1841


สังเกตระบบ-ดาวซ้อนดาว ได้ครับ  ผมว่าเมืองนี้ใกล้เคียงกับที่เมเบลออกแบบในนิยายมากที่สุดแหละ (มีแม่น้ำ มีคู)


/me   แล้วเจอกันใหม่โอกาศหน้า Smiley



Create Date : 30 เมษายน 2555
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2555 14:26:19 น. 0 comments
Counter : 4047 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kross_ISC
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 79 คน [?]




Blog จับฉ่ายของ Kross ครับ เทคโนโลยี, การทหาร,Military Expert, การ์ตูน, Anime, Manga, Review, Preview, Game, Bishojo Game, Infinite Stratos (IS), Hidan no Aria, Light Novel (LN)

ติดตามเพิ่มเติมได้ทาง Twitter ที่ @PrameKross
New Comments
Friends' blogs
[Add Kross_ISC's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.