[แงะสาระ] LN ผู้กล้ามากับดวง เล่ม5 ~ เก็บตกเทคโนโลยีในเรื่อง
ลองชำแหละเทคฯ ออกมาดูครับ พอดีเป็นหนึ่งในนิยายที่ชอบพอสมควร (ในบรรดานิยายค่าย Dexpress ผมชอบเรื่องนี้เป็นอันดับ 2 เลยครับ) เพราะว่าในนิยายเล่ม 5 นี่ผู้ประพันธ์ได้มีการแอบสอดใส่เทคโนโลยีในช่วงยุคกลาง และยุคอุตสาหกรรมใหม่ไว้เยอะมากทีเดียว
บางคนทั่วไปที่ไม่คุ้นเคยอาจจะงงๆกันบ้าง เพราะศัพท์แสง (เชิงกระบวนการ) ที่ตัวเองไม่ได้เรียนมาก่อนจะโผล่เต็มไปหมด...หากใครเรียนตรงสายก็คงสนุกมากขึ้นด้วย ผมเลยลองเอาที่ได้คุยกับเพื่อนทาง msn มาเรียบเรียงใหม่พอให้อ่านง่ายๆ (ไม่ครบนะครับ ทำหมดไม่ไหว )
เอาเท่าที่ผมจะมีความรู้ (อันน้อยนิด) มาเรียบเรียงละกันครับ ตอนนี้ก็เกิน 20 เรื่องแหละ
1. เสื้อไหมแมงมุม 2. เครื่องร่อน 3. เครื่องดีดส่งไอน้ำ 4. ระเบิดนาปาล์ม 5. บอลลูนสงคราม 6. ไรเฟิลบรรจุท้าย 7. กระสุนเพลิง 8. ทิศทางลม 9. แนวกีดขวางฟันมังกร 10. กำแพงปราสาท 11. คูเมือง/แนวสะพาน 12. ฤดูน้ำหลาก 13. ระบบบัญชีคู่ 14. เครื่องจักรไอน้ำ 15. เครื่องยนต์ 16. เชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมันสาหร่าย) //jusci.net/node/2852 17. ระบบอุตสาหกรรมทางทหาร 18. ฟาร์มปศุสัตว์ทางน้ำ 19. ระบบลำเลียงพลทางราง 20. ยานพาหนะแบบสายพาน(ตีนตะขาบ) 21. เครื่องยนต์เจ็ต/วอเตอร์เจ็ต 22. เรือลำเลียงพล/เรือยกพลขึ้นบก 23. การตรวจการณ์ทางอากาศ 21. โทรศัพท์ 23. ปราการดารา (ป้อมรูปดาว)
13. ระบบบัญชีคู่ (Double - Entry System)
กระบวนการก้าวหน้าอันนึงทีเดียวของวิชาการบัญชี และคนที่เรียนสาย Account ทุกคนจะต้องรู้จัก แต่มันสำคัญยังไงหละ? แต่ก่อนอื่นขอแนะนำระบบบัญชีเดี่ยวก่อน (Single Entry System)
- นึกภาพตัวเองทำงานมีเงินเดือนครับ รายได้ประจำเดือนลงสมุด - นึกภาพตัวเองมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ รายจ่ายก็ถูกหักออกไปตามเวลา - ทุกอย่างถูกบันทึกลงในสมุดตามหัวข้อ,ลำดับ ตัวเลขสุดท้ายก็คือยอดคงเหลือ (Balance) ว่า +/- เท่าไหร่ - เป็นรูปแบบที่ง่ายและคุ้นเคยกันที่สุดในชีวิตประจำวัน - ไม่ซับซ้อนและเป็นจริงแน่นอน
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ยังมีปัญหาอยู่ดี โดยเฉพาะการทำบัญชีขององค์กรที่มีผู้มีเกี่ยวข้องจำนวนมาก เพราะว่าไม่อาจป้องกัน - Human Error/ ความผิดพลาดของการลงบัญชีผิด - Corruption/ การคดโกงภายใน และเจตนาบิดเบือนตัวเลข
เพราะว่าในระบบบัญชีเดี่ยวทุกอย่างจะรวมอยู่ที่เดียวกันหมด ....หากตัวเลขใดตัวนึงผิดพลาด ก็จะดึงให้เลขทั้งบัญชีผิดพลาดไปเป็นแผงตลอดกาล และไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ช่วงไหนเป็นต้นไป ซึ่งเรื่องพวกนี้จะทำให้นักสอบบัญชี (Auditor) ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากันมาตลอด โดยเฉพาะยามที่มีบัญชีหลายๆเล่มเข้ามาเกี่ยวข้องพร้อมกัน การกระโดดของตัวเลขไปๆมาๆนั้นเหมือนกับการเล่นพัซเซิลเลยว่าปัจจุบันเงินก้อนนั้นไปอยู่กับใครที่บัญชีไหนแน่?
นั่นคือที่มาของระบบบัญชีคู่....
จนกระทั่ง ศตวรรษที่15 นี่เอง, Luca Pacioli นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียนลูกศิษย์คนนึงของดาวินชี่ ก็ได้เสนอแนวคิดใหม่ขึ้นมาในการตรวจสอบบันทึกและการเคลื่อนไหวทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะการไหลของกระแสเงิน/กระแสทุน (Fund Flow) ที่ชื่อว่า บัญชีคู่ขนาน (Double Entry System) นี่เอง
จุดเด่นของมันคืออะไรหละ? (งานเพิ่มขึ้นแน่ๆอย่างนึงแหละ ^^")
ระบบบัญชีคู่ (Double - Entry System)
- หลักการที่กำหนดให้การบันทึกบัญชีแต่ละรายการจะต้องให้จำนวนเงินที่บันทึกบัญชีด้าน"เดบิต"เท่ากับจำนวนเงินที่บันทึกในบัญชีด้าน"เครดิต"เสมอ ไม่ว่าจะบันทึกด้านละกี่บัญชีก็ตาม เพราะการวิเคราะห์รายการค้าทุกรายการจะมีผลกระทบต่อบัญชีอย่างน้อย 2 บัญชี (เหมือนกับเงินเข้าด้านนึง...จะต้องไปโผล่อีกด้านนึง)
- โดยทั่วไปรายการค้าจะแยกบันทึกบัญชีใน 2 ลักษณะ คือ A) รายการค้าที่ทำให้จำนวนเงินในบัญชีเพิ่มขึ้น B) รายการค้าที่ทำให้จำนวนเงินในบัญชีลดลง
- ดังนั้นเมื่อมีการตรวจสอบลักษณะคู่ขนาน, การทุจริตจะเป็นไปได้ยากกว่าเดิมมากนักเพราะ เมื่อใดก็ตามที่เลขสองฝั่งมีอัตราการเพิ่มลดไม่ตรงกันก็จะแสดงให้เห็นในทันทีว่า ตัวเลขช่วงไหนมีการลงไม่ครบหรือลงเกินที่ควรจะเป็น...และที่สำคัญยังสามารถนำไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับยอดสินทรัพย์คงคลังต่างๆได้ทั้งในการคำนวนบนกระดาษ หรือเดินไปดูตำแหน่งสินค้าในสถานที่จริง
ตามนิยาย
- เทคนิคนี้ยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันครับ สังเกตว่านาวาลในเรื่อง ใช้ระบบนี้ไล่ตรวจสอบบัญชีย้อนหลังขึ้นไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เอกสารยังอยู่จะไม่มีทางหลุดรอดไปได้เลยเพราะ การหมกเม็ดต่างๆ บนบัญชีเดี่ยวนั้นจะเกิดขึ้นด้วยการเอาทรัพย์สินเงินทอง ไปดองไว้ในบางบัญชี หรือแปรรูปไป แล้วลงว่าสินทรัพย์นั้นใช้งาน-หรือไม่ก็เงินก้อนนั้นยังไม่พร้อมถูกถอนมาเบิกจ่าย
- และทุกครั้งที่นาวาลไล่ตัวเลขย้อนกลับขึ้นไปยังหน่วยงานก่อนหน้า ที่เบิกจ่ายเงินไม่ตรงกับที่ลงรับ ก็จะยิ่งเห็นอีกว่าเส้นทางการเงินมันไหลไปทางไหน...และแตกแขนงซุกไว้กี่ช่องทางตามหน่วยงานต่างๆ (บางทีอาจเป็นการตกหล่นทางบัญชีโดยไม่เจตนา...แต่ก็จะพอตัวเลขสะท้อนออกมาก็จะแสดงว่า ผู้รับผิดชอบการตกหล่นทางบัญชีคนนั้นอยู่หน่วยงานไหน)
- เรื่องบัญชีปราบทุจริตนี่ ในนิยายผมจัดว่าเป็นสิ่งสำคัญทีเดียว เพราะเมืองอุตสาหกรรมเช่นนี้จะมีแหล่งผลประโยชน์จำนวนมาก และระบบการตรวจสอบที่หละหลวมจะชักนำให้พวกปลิงเหลือบไรทั้งหลายเข้ามาเกาะกินอยู่ตลอดเวลา....(การจับผู้ทุจริตได้จะช่วยให้ข้าราชการที่ซื่อสัตย์มีกำลังใจขึ้นอักโข) ผลงานของนาวาลในสายตาผมเองนี้ถือว่าสำคัญไม่แพ้การปกป้องเมืองของเมเบลเลยครับ
1. เสื้อไหมแมงมุม
นี่เป็นจุดนึงที่ผมสนใจมากและชื่นชมผู้แต่งในการหาข้อมูลทีเดียวครับ เพราะเราอาจจะคุ้นเคยกับผ้าหม่อนผ้าไหมกันเยอะแยะ แต่น้อยคนมากที่จะคิดถึง "แมงมุม" ซึ่งผลิตเส้นใยธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกจากโปรตีนล้วนๆ ทว่า, แทบไม่มีใครจะมองมันในฐานะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเลยเพราะความยากในการผลิตแบบสุดๆของมันนั่นเอง
คำถาม: ต้องใช้แมงมุมเท่าไหร่ถึงจะพอทำเสื้อผ้าสักชุด? คำตอบ: ประมาณ 1 ล้านตัว
ตอนนี้มีชุดที่ทำจากใยแมงมุมล้วนจริงนะครับบนโลก อย่างน้อยก็ที่ American Netural History' Musuem ที่นิวยอร์คที่นึงหละ, ชุดผ้าไหมแมงมุมทองคำที่นั่นใช้คนกว่า 70 คน และแมงมุมมากกว่า 1 ล้านตัวทำกันอย่างต่อเนื่องถึง 4 ปี...ตามนิยาย[ผู้กล้ากับดวง] ที่บอกว่าผลิตยากมากนั้นผมเห็นด้วยอย่างแรง และยิ่งทึ่งขึ้นมาอีกที่บอกว่าผลิตได้แค่ปีละ 10 ชุด (แค่นี้ก็เยอะโคตรๆแล้ว)
กระบวนการผลิต กว่าจะรีดได้สักขนาดนี้นี่เป็นปีเลยนะ -*-
ไหมของแมงมุมนั้นเมื่อผ่านการอบไล่ด้วยความร้อนที่เหมาะสมเพื่อสลายแรงยึดและความเหนียวของสารเคมีแล้ว จะเป็นหนึ่งในด้านที่แข็งแกร่งมากๆ - ความยืดหยุ่นสูง เส้นใยผ้าจะยืดขยายได้มากกว่าเส้นใยทุกแบบ - มันสามารถรับน้ำหนักได้เป็นพันเท่าของตัวเส้นใยมันเอง - แข็งแกร่งทัดเทียมกับแผ่นเหล็ก หรือแม้แต่เกราะประสานเคฟล่าห์ (ที่ใช้กันกระสุน) - มันสามารถเป็นฉนวนกันความร้อนและความเย็นได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะบางเหลือเชือ่ - ในปริมาณผ้าเท่ากัน มันจะเบากว่าชุดปกติถึงร้อยเท่า...
ปัจจุบันเส้นใยแมงมุมนั้นมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้นครับ โดยเฉพาะในแง่ของการแพทย์ และอุตสาหกรรมยา หรือการวิจัยสารไฟเบอร์แบบต่างๆ แต่ในนิยายผู้กล้าฯ คงยังไม่ถึงขั้นนั้น...แค่ตัดเป็นชุดอาภรณ์ของสูงให้เหล่าสังฆราชเฉยๆ
ปล. เมเบลรอดตายต้องขอบคุณชุดนี้จริงๆนะ ผมไม่รู้ว่าผู้แต่งเขาหาข้อมูลเยอะรึเปล่า แต่ความสามารถมันตรงมากที่รับแรงปะทะของกระสุนเพลิงของปืนไรเฟิลได้เต็มที่ โดยที่ปลดภัยจากคุณสมบัติ [ไหมเกราะ/ฉนวนความร้อน]
หน้าตาแมงมุมน้อย
23. ปราการดารา (ป้อมรูปดาว)
เมืองที่เมเบล/นาวาลไปในเล่ม 5 นี่มันชื่อว่าอะไรหว่า? เอาเถอะ ผมเรียกมันว่ากรุงศรีฯ ละกัน เพราะสภาพทางยุทธศาสตร์/ยุทธภูมิเหมือนกันสุดๆ - กำแพงเมือง - ป้อมปืนใหญ่ - ฤดูน้ำหลาก
ดังนั้นเมืองนี้ชื่อ "กรุงศรีฯ" นะ! OK!?
ตอนแรกที่พวกเมเบลมาถึงกรุงศรี นั้นจะเห็นถึงแนวป้องกันเมืองที่ค่อนข้างพร้อมทีเดียวเมื่อเทียบกับเมืองหลวงของตน อาจจะเป็นเพราะกรุงศรีฯที่นี่นั้นต้องเผชิญหน้ากับพม่ารามัญมาบ่อยๆทั้งทางบกและทางเรือ โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวซึ่งยังไม่มีน้ำหลาก ซึ่งแนวป้องกันหลักๆ ของเมืองตอนแรกนั้น
- กำแพงเมืองสูง เพื่อป้องกันการปีนป่าย - แนวปืนใหญ่ตั้งบนยอดกำแพงเพื่อเสริมระยะยิง - พลปืนไฟ (บรรจุหน้า) และพลธนู/หน้าไม้สลับฟันปลา - แนวคูเมืองกว้าง มีสะพานข้ามฝั่ง+ อีกด้านติดแม่น้ำใหญ่
โดยปกติก็น่าจะเพียงพอแหละ เพียงแต่ในคราวนี้เหล่าพม่ารามัญมันเอาจริงมาก จัดมาสะชุดใหญ่กะว่าปีหน้าต้องตีกรุงฯแตกชัวร์ๆ
- บอลลูนทิ้งระเบิด (คิรอฟฯ นี่หว่า!) - ปืนไรเฟิล + บรรจุท้าย + กระสุนไฟ (อำนาจการยิงสูง ฝั่งนางเอกยังปืนดาบคาบศิลากรอกดินประสิวยิงทีละนัดอยู่เลย) - กองเรือยกพลขึ้นบก (D-Day?, พม่ารามัญมันจะไปช่วยพลทหารไรอันกันแล้ว!?) - เรือลำเลียงพลประชิดหาดด้วยเครื่องเจ็ต - ระเบิดนาปาล์ม (เผาเมืองสุกๆดิบๆได้เลย) - บังกาโลตอร์ปิโด (ระเบิดทลายสนามเพราะ/เครื่องกีดขวาง)
จะเยอะไปไหน ?
Q: ผลการรบครั้งแรกรึครับ? A: ก็เละสิคุณ พม่ารามัญจัดหนักขนาดนี้ ฝั่งกรุงศรีพึ่งฉลองท่านเซนต์ไปหมาดๆเอง Q: เละยังไง? A: ก็ฝั่งพม่าเตรียมมาแก้ทางเยอะไง
- บอลลูน อาศัยลมเหนือบินได้สูงกว่าเครื่องร่อน ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง มีแนวปืนคุ้มกันยิงจากบนลงล่าง ได้เปรียบเห็นๆ - อาวุธปืน, ไม่มีปืนใหญ่หนักก็จริง แต่ปืนไรเฟิลที่มีระยะยิงตั้งแต่ 1-400 เมตรนั้นได้เปรียบ ปืนรุ่นโบราณของกรุงศรีฯ - ปืนกรุงศรีฯที่มีระยะแค่50-100 m นั้นสกัดกั้นได้จำกัดเพราะถูกกดดันจากระยะยิงที่ไกลกว่า ทำให้พม่ารามัญเข้าประชิดกำแพง - พม่ารามัญใช้เรือไอพ่น ทำความเร็วได้มากกว่าเรือปกติหลายสิบน็อต (นึกภาพเรือซิ่ง+ดริฟต์ได้) ทำให้ปืนใหญ่เล็งยาก - เมื่อเรือลำเลียงพลเข้าประชิดกำแพงเมืองได้ ก็จะเกิดมุมอับอัตโนมัติขึ้น - ทหารประจำกำแพงที่อยู่สูงไม่สามารถเล็งยิงศัตรูที่อยู่ประชิดเบื้องล่างได้ถนัด
II(A) ====== II II (X) II IIIIIIIII
สังเกตว่า A จะยิง X ไม่ได้เพราะติดแนวกำแพงยาวๆของตัวเอง ผลก็คือโดนบังกะโลเตอร์ปิโดเจาะกำแพงเละสิครับ
หลังจากนั้นก็อย่างที่รู้กัน คือเมเบลออกมาสกัดถ่วงเวลาไว้ แล้วโดนสอยร่วง นั่นทำให้ท่านเซนต์เมเบลทรงพิโรธขึ้นมากระทันหัน ครึ่งท้ายของนิยายเล่มนี้เลยกลายเป็นสงครามทางกลยุทธ์แบบเต็มรูปแบบ ที่อาศัยเวลา 15 วันที่ทิศทางลมยังถ่วงเวลากองทัพอากาศฝ่ายตรงข้ามไว้ให้....เมเบลเลยจัดการรีโนเวทกรุงศรีฯทั้งเมืองใหม่หมดด้วยสารพัดเทคโนโลยี โดยเฉพาะจุดสำคัญที่สุดคือ
- แนวสกัดฟันมังกร - เมืองปราการดารา (ป้อมดาว)
ลองจินตนาการป้อมปราการแบบเดิมๆก่อนครับ - กำแพงสูง - รูปทรงเหลี่ยมเรขาคณิต - เลื้อยไปตามขอบเมือง - มีคูน้ำลึกล้อมรอบ
มันมีทั้งจุดแข็ง - จุดอ่อนของเมืองแบบนี้ก็คือ - เมืองสามารถใช้พื้นที่ของตนได้เต็มที่ กำแพงจะอุดไม่ให้ข้าศึกเข้าตัวเมืองได้ทุกมุม (ที่ลงทุนสร้าง) - สร้างได้ง่ายและเร็ว สามารถต่อเติม หรือรื้อทิ้งบางส่วนได้สะดวก - ในปริมาณวัตถุดิบที่เท่ากัน จะสร้างกำแพงได้สูงกว่า ทำให้ฝ่ายตรงข้ามปีนกำแพง หรือสร้างหอรบให้สูงทัดเทียมกันยาก
จุดอ่อนก็คือ - สิ่งสำคัญที่สุดเลยก็คือ "มุมอับวิถีการยิง" โดยจะมีทั้งมุมอับด้านล่างและด้านข้าง - มุมอับด้านล่างก็คือเมื่อข้าศึกประชิดกำแพงเมืองได้ ทหารบนเชิงเทินตรงนั้นจะแทบยิงไม่ได้เลย - มีวิธีแก้ปัญหาพื้นฐานอยู่บ้างคือการสร้าง "หอรบ" (Tower) ตามมุมกำแพงซึ่งเป็นเหมือนหอรบยกสูงขึ้นเป็นระยะ ตามกำแพงเพื่อให้ตำแหน่งสูงสามารถระดมยิงโดยมีมุมมองที่เปิดมากขึ้น...แต่ก็ได้่แค่ลดลง ยังมีมุมบอดอยู่ดี (อีกอย่างสร้างหอรบเยอะๆจะเกะกะและแพง) - อ่อนแอต่อการกระแทก และแรงโจมตีหนักๆเช่น กระสุนปืนใหญ่ ที่อาจยิงจนกำแพงล้มหรือทะลุ - รากฐานจะแข็งแรงไม่มาก อาจเจออุโมงค์ เจาะเผาทำลายให้ทรุดตัวได้
นั่นแหละเลยเป็นที่มาของป้อมรูปดาว ที่ใช้เหลี่ยมมุม ให้กำแพงอีกฝั่งช่วยชดเชยวิธีการยิงทดแทนครับ . . . ลองดูรูปก็ได้ว่า ป้อมแบบปกติทรงกลมจะมีจุดบอดที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าประชิด แต่ด้านแหลมของดาวจะไม่มี
จุดเด่นของปราการดาว คือจะเน้นอาวุธหนักไปที่ส่วนแหลมและมุมทแยงด้านต่างๆครับ
นั้นทำให้แทนที่เราต้องวางปืนใหญ่จำนวนมากเรียงรายตลอดแนวกำแพง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ เพราะเวลาฝ่ายตรงข้ามบุกเจาะ จะเลือกเฉพาะบางส่วนของแนวรับ ทำให้เสียทรัพยากรปืนเปล่าๆไปจำนวนนึง
ด้วยระบบป้อมดาว ก็จะเหลือแค่ตามมุมไม่กี่จุดที่ต้องเน้น
เช่นป้อมปกติ ทุกๆ 200 เมตรกำแพงวาง 1 กระบอก ถ้ายาว 10 km ก็ต้องวาง 50 กระบอก, แถมเวลาใช้จริงๆ ดันยิงถึงศัตรูแค่กระบอกเดียว
แต่ถ้าป้อมดาว, ทุก 400 เมตรวาง 5 กระบอก แต่พอมีเหลี่ยมมุมชดเชย ปืน 1 กระบอกจะยิงได้ 2 ด้าน นั้นทำให้พอวาง 50 กระบอกจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าข้าศึกบุกมุมไหนก็จะเจออย่างน้อย5 กระบอกรุมยิงเสมอ
ปล. อันนี้ขึ้นกับการออกแบบนะ อย่างป้อมบางอันมีระบบ "ดาวซ้อนดาว" ให้โหดสำหรับฝ่ายบุกขึ้นไปอีก (ประมาณว่าชั้นแรกแตก หลบเข้ามุมดาวชั้นที่2 เพื่อยิงสวนคืน และดาวชั้นในยิงเสริมชั้นนอก)
- สังเกตว่ากำแพงแต่ละชั้นจะเตี้ยๆ แต่ฐานหนาทำให้มีสมดุลที่มั่นคงมาก - มุมสโลปลาดลงคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมู (คล้ายเกราะลาดของรถถัง) ทำให้รับแรงปะทะปืน/ระเบิดได้ดี - อาจจะเตี้ย ปีนง่าย แต่การที่ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาคิดจะปีนเมืองขึ้นมาจริงๆจะต้องเจออำนาจการยิงประจำป้อมอย่างน้อย 3 มุมตลอดเวลา (ซ้าย-กลาง-ขวา) และจะหนักขึ้นอีกถ้ามีดาวซ้อนด้านหลัง
อันนี้ป้อมกาเนว่า ปี1841
สังเกตระบบ-ดาวซ้อนดาว ได้ครับ ผมว่าเมืองนี้ใกล้เคียงกับที่เมเบลออกแบบในนิยายมากที่สุดแหละ (มีแม่น้ำ มีคู)
/me แล้วเจอกันใหม่โอกาศหน้า
Create Date : 30 เมษายน 2555 |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2555 14:26:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4047 Pageviews. |
|
|