|
ความรู้พื้นฐานสำหรับการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (ตอนที่8) Options6: Buyer VS Seller
เป็นผู้ซื้อหรือเป็นผู้ขาย??
ใครที่ติดตามกันมาตั้งแต่ตอนแรก ก็คงพอทราบว่า การลงทุนใน options ทำได้ 2 อย่างคือ ซื้อ (long) หรือ ขาย (short) และเมื่อมีสินค้าอยู่ 2 ประเภทคือ Call option และ Put option ก็เลยกลายเป็นว่า เรามีทางเลือก 4 อย่าง (แต่ละอย่างก็ต้องไปเลือก strike price อีก ก็สมกับใช้คำว่า option จริงๆ คือ มีแต่ทางเลือกให้เราเลือก)
เรากลับมาที่พื้นฐานแนวคิดกันก่อนนะครับ จำได้ไหมครับ เราบอกว่า การซื้อ call ก็เหมือนการซื้อใบจอง ดังนั้น การขาย (short) call ก็คือเหมือนคนที่ขายใบจอง แต่มันไม่เหมือนพวกใบจองรถ หรือใบจองคอนโดซะที่เดียวตรงที่คนขาย เขาจะบวกค่าธรรมเนียมไปซะหน่อยหรือที่เรียกว่า premium และเช่นเดียวกัน เราบอกว่า การซื้อ put ก็เหมือนกับการซื้อประกัน ดังนั้นคนขาย put ก็คือบริษัทประกัน (อันนี้ในชีวิตจริงมีค่าธรรมเนียมแน่นอนอยู่แล้ว)
เราเคยทำตาราง trade off ของการลงทุนซื้อ call และ put มาแล้ว การเป็นคนขาย ไม่ว่าจะ call หรือ put ก็คือ เป็นคู่สัญญา กับคนซื้อ หรือ ตารางที่เราทำ ก็จะเหมือนกันแต่กลับเครื่องหมายบวกและลบซะ คือถ้าคนซื้อกำไร คนขายก็ต้องขาดทุน และเมื่อคนซื้อขาดทุน คนขายก็ต้องกำไร และเมื่อเราทำกราฟ ก็จะพบว่ามันเป็นภาพสะท้อน(mirror image) ของคนซื้อและคนขาย (อย่าเพิ่งงงกับตอนก่อน ๆ ที่ผมบอกว่า call และ put มันเป็น mirror image กัน เพราะอันนั้นมันเป็นภาพสะท้อนแบบ ซ้าย-ขวา แต่ buyer กับ seller จะเป็นภาพสะท้อนบน-ล่าง ดูรูปเลยดีกว่าครับ ยิ่งพูดยิ่งงง
1 เห็น mirror image ด้านซ้าย-ขวา และ บน- ล่างไหมครับ ไม่ต้องไปดูตัวเลข ไม่ต้องไปดูมุมนะครับ เอาแค่รูปร่าง
2 ถ้ามองว่าดัชนีขึ้น ก็ต้อง long call หรือ short put ที่นี้ลองดู 2 อันนี้สิครับ ว่าหน้าตามันต่างกันอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือ เมื่อดัชนีวิ่งไปด้านขวาพอสมควร ก็จะกำไรทั้งคู่
3 เช่นเดียวกัน มองว่าดัชนีลง ก็ต้อง short call หรือ long put ลองดูหน้าตาทั้ง 2 อันสิครับ
แล้วจะเอายังไงล่ะ อุตส่าห์ set target แล้ว ก็ยังต้องเลือกอีก เรามาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของการเป็น buyer และ seller กัน
1 การเป็น buyer เวลาขาดทุน จะlimit lossไม่เกินเงินที่จ่ายซื้อ option แต่กำไรไม่จำกัด แต่ถ้าเป็น seller ตรงกันข้ามเลย คือ กำไรจำกัดได้แค่เงินที่ได้รับตอนขาย แต่ขาดทุนไม่ limit
2 การเป็น buyer เสียเงินประกัน ตามราคาที่ซื้อ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่เป็น seller เสียเงินประกันแล้ว อาจต้องเพิ่มเงินประกันได้ ถ้า ดัชนีวิ่งไปในทิศที่ไม่ favor ต่อoption (เช่น short call แล้วดัชนีดันขึ้น อาจต้องเพิ่มเงินประกัน)
3 เป็น buyer ต้องรอให้ดัชนีวิ่งผ่าน break even point ก่อน จึงจะเริ่มกำไร แต่ถ้าเป็น seller ณ ตรงที่ขาย ก็คือกำไรไปแล้ว แต่จะรักษากำไรนั้นไว้ได้ตลอดจนถึงวันสิ้นสุดสัญญาหรือเปล่า ขอขยายความเพิ่มเติมหน่อยนะครับ บางคนอาจแย้งว่า ไม่ต้องรอจนถึง break even point ในวันสิ้นสุดสัญญา ก็ทำกำไรได้ เช่น ซื้อ call710 ที่ราคา 20 และดัชนี ณ ตอนที่ซื้อคือ 705 ต่อมา ดัชนีปรับตัวขึ้นเป็น 720ในวันรุ่งขึ้น call710 มีคนตั้งซื้อที่ 30 ถ้าเราขายก็ได้กำไร 10 ไม่เห็นต้องรอให้จบ และผ่าน break even point คือ 730 เลย
ไม่ผิดครับที่คิดอย่างนั้น แต่ปัญหาคือ การซื้อขายระหว่างช่วงที่ยังไม่หมดอายุ มันมีตัวแปรหลายอย่าง และที่สำคัญคือ demand supply ลองคิดดูครับ ว่าจากตัวอย่างข้างบน ดัชนีเปลี่ยนไป 15 จุด เราซื้อ call มันก็ต้องได้กำไรจากราคาขึ้น แต่วันนั้นเกิดดันไม่มีใครตั้งราคา bid หรือตั้งซะต่ำเลยเช่น 10 ก็หมายความว่า สิ่งเราคาดว่าจะได้กำไรเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น มันก็อาจไม่เกิดได้ และเราก็ไม่สามารถไปเรียกร้องกับใครได้ (ก็ไม่มีใครยอม bid นี่หว่า) ดังนั้น model ในการคิดที่ถือว่า safety คือเป็นไปได้แน่ ๆ คือ การคิดในวันที่ maturity หรือวันหมดอายุ ส่วนการ trade แล้วได้กำไรจากราคาตลาด หากทำได้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีไปครับ
มันมีคู่เทียบอีกอันที่เราอาจนำมาพิจารณา ก็คือ การ long call option กับการ long future และการ long put option กับการ short future ความต่างเป็นดังนี้ครับ
1 size ของ future และ option ไม่เท่ากัน โดย future ขึ้นลง จุดละ 1000 บาท แต่ option ขึ้นลงจุดละ 200 บาท ดังนั้นหากเอาแข่งกัน ก็ต้องใช้ option 5 สัญญา ต่อ future 1 สัญญา
2หากดัชนีปรับตัวในทางที่ favor เรา (เช่น ขึ้น เมื่อเรา long call หรือ long future) future จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะ เมื่อ สินทรัพย์อ้างอิง (หรือตัวดัชนี SET50) ปรับตัวขึ้น 1 จุด future จะปรับตัว 1 จุด (หรือใกล้เคียง) แต่ option จะปรับตัวน้อยกว่า คือไม่ถึง 1 โดย ถ้าเป็น ITM มาก ๆ จะปรับตัวใกล้เคียง 1, ATM จะปรับตัวประมาณ 0.5 และ OTM จะปรับตัวน้อย ๆ (ใกล้เคียง 0) ดังนั้นหากมองถึง profitที่ได้ต่อดัชนีที่เปลี่ยน future ดีกว่า
3 แต่หาดัชนีปรับตัวในทางตรงกับที่เราคาดการณ์ future ก็เสียเนื้อ ๆ แต่ option จะเสียน้อยกว่า และเมื่อถึงจุด strike price และต่ำกว่านั้นในกรณี call (สูงกว่า strike price ในกรณี put) เราก็จะได้ประโยชน์ของ option คือ limit loss คือเสียเฉพาะค่า option ที่เราซื้อเท่านั้น
4 ประเด็นที่คนขอบมาคิดคือ เงินประกัน เพราะ future ใช้เงินประกันตอนต้นคือ ประมาณ 50000 หรือคิดขนาดให้เท่ากับ option ก็คือประมาณ 10,000 บาท แต่ option ที่ 10,000 บาทก็คือ option ที่ราคา 50 หรือเป็น option ที่ ITM มาก ๆ เพราะ option ที่ ATM โดยทั่วไป ในเดือนแรก จะประมาณ 30 เดือนที่ 2 จะประมาณ 20 และเดือนสุดท้ายจะประมาณ 10 จะเห็นได้ว่า option ใช้เงินน้อยกว่า แต่ก็ต้องแลกกับข้อ 1
5 ลงทุน future หากไม่เป็นไปตามคาด และผิดทางมาก ๆ อาจโดนเรียกให้เพิ่มเงินประกัน แต่ option ไม่โดน
เขียนมาเยอะแยะ สรุปว่าอะไรดีกว่ากัน ก็ตอบว่า ขึ้นอยู่กับนักลงทุนครับ ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง แต่หลักการก็คือ เราต้องมีมุมมองก่อนว่า ดัชนีจะไปทางไหน แล้วก็มาเลือกเครื่องมือ เช่น
1ผมมองว่า ดัชนีน่าจะเพิ่มขึ้น เมื่อถึงวันสิ้นสุดสัญญา ผมไม่มีเวลามาดูตลาดทุกวัน ผมก็เลือกการซื้อ call โดยผมคิดว่าไม่อยากให้ break even สูงไป และ ไม่อยากซื้อ option deep ITM มาก ๆ เพราะกลัวขาดทุนเยอะ ผมก็เลือก call option ATM
2 เพื่อนผมก็คิดว่าดัชนีขึ้น แต่มีเวลาดูตลาดได้เกือบตลอด ก็เลือก long future
3 น้องผมคิดว่าดัชนีขึ้นแต่ไม่น่าขึ้นเยอะ พอมีเวลาดูตลาดได้พอควร แต่เป็นพวกขี้งก ไม่อยากเสีย time value และคิดว่า ดัชนีที่ขึ้นไม่เยอะ อาจไม่คุ้มกับการไปซื้อcall ที่มี premium เผลอ ๆ ไม่ผ่าน break even point ก็เลย ***short put option*** ทีนี้ มันก็กลัวพลาดเหมือนกัน ก็เลยเลือกตัวที่ OTM พอควร โดยได้ค่า time value ไม่เยอะ แต่ break even ที่จะเริ่มขาดทุนก็สูง ถามน้องว่า ไม่ long future ล่ะ มันบอกว่า ดัชนีไม่น่าขึ้นเยอะ หากดูผิดกลายเป็นลงนิดหน่อย long future ก็ขาดทุน แต่หาก*** short put*** หากลงไม่เยอะก็ยังได้กำไรอ่ะ
วันนี้เนื้อหาเยอะครับ และรู้สึกเหมือนเขียนเร็ว (คล้าย ๆพูดเร็ว) ถ้าตรงไหนรู้สึกว่ามันกระโดด ไม่ปะติดปะต่อ ถามได้นะครับ คราวหน้าน่าจะ wrap up และก็จบได้ซะที ส่วน intermediate ขอไปคิด plot ก่อนนะครับ ระหว่างรอ จะมี quiz ให้ เป็นการสลับฉากไปก่อน
ลงชื่อหน่อยนะครับ จะได้รู้ว่ายังอยู่กันหรือเปล่า อ่านถึงตอนนี้ช่วยบอกด้วยว่า คิดอย่างไร อยากให้ปรับปรุงหรือเพิ่มเรื่องอะไร เผื่อจะกลับไป edit เพิ่มครับ
*** แก้ไขครับ พิมพ์ผิด***
Create Date : 18 มกราคม 2554 |
|
21 comments |
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2554 11:39:55 น. |
Counter : 3991 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Mhuton IP: 58.9.229.91 18 มกราคม 2554 9:37:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ช้างทมิฬ 18 มกราคม 2554 10:33:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: เฉลียง IP: 58.9.213.31 18 มกราคม 2554 13:31:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: MANSF IP: 58.181.131.18 18 มกราคม 2554 16:39:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: chess IP: 58.11.50.198 18 มกราคม 2554 16:59:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: Krit587 (krit587 ) 18 มกราคม 2554 17:28:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: แมกซ์ IP: 118.173.142.188 18 มกราคม 2554 19:35:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: krit587 18 มกราคม 2554 21:36:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: chess IP: 58.9.120.96 18 มกราคม 2554 22:19:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: U1000 IP: 58.8.183.245 19 มกราคม 2554 16:17:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: krit587 20 มกราคม 2554 14:07:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: 3am IP: 183.89.205.126 23 มกราคม 2554 19:06:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: นักลงพุง IP: 183.89.123.19 24 มกราคม 2554 0:05:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: seafrog 27 มกราคม 2554 13:04:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: seafrog 10 กุมภาพันธ์ 2554 10:34:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: seafrog 10 กุมภาพันธ์ 2554 13:31:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: krit587 13 กุมภาพันธ์ 2554 13:12:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: seafrog 16 กุมภาพันธ์ 2554 8:07:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: prat IP: 110.169.197.19 18 ตุลาคม 2554 22:19:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: kenkoong IP: 58.9.6.137 15 มกราคม 2556 21:57:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: เจ้าปิ้ง IP: 110.171.33.2 27 เมษายน 2556 5:07:33 น. |
|
|
|
| |
|
|
อ่านแล้วเข้าใจง่าย เห็นภาพครับ
ขอบคุณมากเลยครับสำหรับความรู้ดี ๆ
จะติดตามต่อไปครับผม ^^