|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
intro to anglo-saxon society
วันนี้จะขอเขียนเรื่องของวรรณคดีชิ้นหนึ่งที่เราถือว่าเป็น มหากาพย์แรกของภาษาอังกฤษ นะครับ (The first English epic poem) และนั่นก็คือ Beowulf (จริงๆแล้วอ่านตามเสียงภาษาอังกฤษโบราณว่า เบ-เออะ-วุฟ แต่เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ ผมขอย่อลงเหลือ เบ-วุฟ)
ถึงแม้ เบวุฟ จะเป็นมหากาพย์แรกและวรรณคดีชิ้นเอกของอังกฤษ แต่เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ หรือ คนอังกฤษ หรือ ตัวเอกที่เป็นคนอังกฤษ แต่อย่างใด ในทางตรงข้าม Setting ของเบวุฟ อยู่ในเขตที่เราถือเป็นประเทศแถบสแกนดิเนเวียในปัจจุบัน (ประมาณเดนมาร์ค หรือ สวีเดน) และตัวละครในนิทานเรื่องนี้ก็เป็นคนที่มีที่มาหรือสืบเชื้อสายจากพวกสแกนดิเนเวียนทั้งสิ้น
ไม่มีใครทราบแน่นอน และยังเป็นที่โต้เถียงในหมู่นักวิชาการจนถึงปัจจุบันว่า ใครคือผู้แต่งเบวุฟ และ แต่งเมื่อไรครับ เนื่องจาก manuscript (manu = มือ, script = to write, เพราะฉนั้น manuscript = to write by hand ในที่นี้ผมขอเรียก คัมภีร์) ที่บรรจุเบวุฟไว้ไม่ได้มีชื่อผู้แต่ง และลักษณะภาษานั้นก็หลากหลายเหลือเกินปนเปกันไปหมด เป็นที่รวมของ dialect หรือภาษาถิ่นจากถิ่นต่างๆและมีลักษณะของภาษาหลายสมัยปนกันอยู่ ครับ
ก่อนอื่นต้องพูดถึงลักษณะการเขียนของชนเผ่าอังกฤษโบราณก่อนครับ เมื่อประมาณศตวรรษที่ห้า หลังจากกองกำลังทหารโรมันได้ถอนกำลังออกไปจากเกาะอังกฤษโดยสิ้นเชิง เนื่องจากทางโรมเองก็ประสพปัญหาอย่างหนักนั้น ประเทศอังกฤษในปัจจุบัน(ตอนนั้นยังไม่มีประเทศอังกฤษครับ เป็นแค่เกาะที่มีคนอังกฤษแท้ๆ คือพวก Briton อาศัยอยู่) ถูกรุกรานจากชาว Pict กับ Scot อยู่เนืองๆ ทำให้กษัตริย์อังกฤษองค์หนึ่งได้ขอความช่วยเหลือจากพวก Scandinavian เพื่อช่วยมารบ
แต่เมื่อพวก Scandinavian เข้ามา แทนที่จะมารบอย่างเดียวก็ถือโอกาสครอบครองประเทศ ย้ายเข้ามาเป็นระลอกๆ และอยู่อาศัยและแต่งงานจนมีลูกผสมกับชาวพื้นเมืองดั้งเดิม (พวก Briton ที่มีเชื้อสาย Celt) และนอกไปจากนั้น ได้ขับไล่ผู้ที่อยู่บนเกาะนี้เดิม (คือ Briton) ออกไปจนตกขอบเกาะ (ปัจจุบันคือ ชาวเวลส์ ชาวสกอตแลนด์ และชาวไอริช)
พวก Scandinavian ที่อพยพมานี้ มาจากสามชนเผ่าใหญ่ๆ คือ Jute, Angle, and Saxon (นั่นคือที่มาของคำว่า Anglo-Saxon ครับ) เพราะฉะนั้นเมื่อรวมตัวกันได้(หลังจากขับไล่ชนพื้นเมืองเดิมไปจนตกขอบเกาะ) จึงตั้งชื่อประเทศว่า Engla-land หรือดินแดนของพวกแองเกิ้ล ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งจากสามเผ่าที่มาจาก Scandinavian ข้างต้น (ไม่ทราบว่าทำไมไม่เรียก Jute land หรือ Saxon Land นะครับ) เพราะฉนั้นชื่อประเทศอังกฤษ England นั้นก็แปลว่า ดินแดนแห่งพวกแองเกิลน่ะแหละครับ เพราะฉะนั้นเราต้องแยกให้ถูกนะครับว่า ใครคือ England และใครคือ Briton (English people คือพวกบุกรุก ส่วน Briton คือพวกชนดั้งเดิมที่มีเชื้อสาย Celt )
ประวัติศาสตร์อังกฤษส่วนนี้นะครับเปรียบเทียบได้กับประวัติศาสตร์อเมริกันที่พวกบุกรุก (คือชาวยุโรปจากหลายๆประเทศ) ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือ และขับไล่ชาวพื้นเมืองดั้งเดิม (คือพวก Native American or Red Indian) แล้ว ตั้งตนเป็นเจ้าของประเทศครับ (เหมือนอเมริกา อิรัก ไหมเนี่ย)
สมัยที่พวก Anglo-Saxon เข้ามาตั้งรกรากใหม่ๆนั้น ต้องบอกว่าเป็นสังคมแบบไม่รู้หนังสือ คือ ประชาชนทั่วไปนั้นยังไม่รู้ภาษาครับ ไม่มีการเขียนในรูปแบใดๆทั้งสิ้น การเขียนนั้นจะถูกจำกัดอยู่ในสังคมชั้นสูง คือ พระ หรือ เจ้านาย และเป็นภาษาละติน (อิทธิพลจากชาวโรมันที่ปกครองมาก่อน) ครับ และภาษาของพวก Celt หรือชนพื้นเมืองดั้งเดิม ก็ได้ถูกลืมไป (เพราะถูกไล่ไปแล้วและเป็นชนกลุ่มน้อย เหมือนภาษาชาวเขาบ้านเรา) ดังนั้น ภาษาที่กลายมาเป็นภาษาอังกฤษปัจจุบันที่เราเรียนกันอยู่ คือภาษาที่ชนอพยพ Anglo-Saxon พูดกันครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ภาษาอังกฤษจะมีส่วนคล้ายภาษาเยอรมัน หรือ ภาษาดัช หรือภาษาในแถบสแกนดิเนเวียครับ (เพราะพัฒนามาจากภาษาที่ผู้อพยพนำติดตัวมาด้วย)
ดังนั้นเมื่อลักษณะสังคมเป็นแบบไม่รู้หนังสือ (illiterate society) การเล่าเรื่องราวต่างๆ หรือ วรรณคดี หรือ การสวดมนต์ หรือการบูชาเทพเจ้า หรืออะไรที่ต้องใช้ภาษา จะต้องเป็นในรูปของ จากปากเปล่าเท่านั้นครับ (oral performance)
ต่อมาหลังจาก settle down ได้ที่ ชนชาวอพยพ ก็เริ่มที่จะพัฒนารูปแบบการเขียนของตัวเอง โดยนำตัวอักษรโรมัน (คือตัว a, b, c ที่เราใช้อยู่นะครับ) ที่ชาวโรมันได้นำเข้ามาเมื่อครอบครองดินแดนแห่งนี้ใหม่ๆมาใช้ เพื่อแทนเสียงสระและพยัญชนะในภาษา Anglo-Saxon ครับ
แต่ถึงแม้มีระบบการเขียนแล้ว มิใช่ว่าปราศจากปัญหาครับ ปัญหาที่สำคัญคือ ไม่มีมาตรฐานของภาษาครับ นั่นคือ ไม่ได้กำหนดว่า คำคำหนึ่งนั้นต้องสะกดอย่างไร หรือ ออกเสียงอย่างไร เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราจึงเห็นรูปแปร (variant) ของคำๆเดียวในหลายรูปแบบเหลือเกิน ครับ เช่น คำว่า พ่อ อาจเขียนได้เป็น fader, father, vader เป็นต้นครับ และในแต่ละถิ่น เช่น ทางเหนือ หรือ ทางใต้ ก็มีเอกลักษณ์ฉพาะเป็นของตนเอง ดังนั้นเมือ่ไม่มีมาตรฐานกำหนด (ไม่เหมือนภาษาไทยหรือจีนที่เขียนอย่างเดียวกัน ถึงแม้บางภาคอาจออกเสียงต่างกัน) ทำให้มันมั่วไปหมดครับ (แต่ข้อดีก็คือ เวลาเราอ่านคัมภีร์จริงๆนั้น เราจะรู้เลยว่าเป็นภาษาถิ่นแถบไหนครับ)
มากไปกว่านั้น ในสมัยนั้นยังไม่มีระบบการพิมพ์ การเขียนหรือบันทึกเรื่องราวจำต้องทำด้วยมือ หนังสือหนึ่งเล่มก็ต้อง copy จากต้นฉบับด้วยมือครับ (หนังสือเล่มหนึ่งทำจากหนังวัวฟอก ตัดสี่เหลี่ยมแล้วพับเป็นสี่ทบ และเอาหนังแต่ละแผ่นมา bind รวมกันเป็นคัมภีร์ และเขียนด้วยหมึกที่ทำจากรากไม้) เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีการพิมพ์ ก็ต้องมีอาชีพหนึ่งที่เรียกว่า จารึก(scribe) เป็นผู้ที่รู้หนังสือ (แต่มิใช่พระ) มีหน้าที่จารึกข้อความและคัดลอกข้อความจากต้นฉบับครับ (คือมีต้นฉบับอยู่หนึ่งเล่ม และให้นักจารึก copy จากต้นฉบับครับ)
แต่เนื่องจากไม่ได้มีมาตรฐานของภาษา นักจารึกก็อาจจะจารึกภาษาถิ่นของเขาเอง หรือ จารึกผิดพลาด (เพราะไม่แตกฉานทางภาษาพอ เหมือนเราไปจ้างเขาพิมพ์หนังสือน่ะครับ ถ้าไม่ตรวจทาน ก็มีผิดได้ ) เพราะสาเหตุเหล่านี้ ทำให้ แต่ละคัมภีร์ไม่เหมือนกัน (เพราะ copy โดยจารึกต่างคนกัน และ จารึกแต่ละคน อาจเขียนผิดได้ครับ) หรือ อาจเป็นไปได้ว่า หนังสือหนึ่งเล่ม มีนักจารึกมากกว่าหนึ่งคน (สังเกตได้จากลายมือที่ต่างกัน หรือ ลักษณะการเขียนที่ต่างกันครับ)
อ่านต่อตอนสองนะครับ
Create Date : 19 สิงหาคม 2548 |
|
5 comments |
Last Update : 19 สิงหาคม 2548 14:11:59 น. |
Counter : 4267 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: LordStronghold IP: 125.25.236.209 30 กรกฎาคม 2550 20:39:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: หนูอีฟ thanadda@mac.com IP: 58.64.56.126 9 สิงหาคม 2550 16:16:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: หนูแนน IP: 58.64.38.253 22 พฤศจิกายน 2550 20:39:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: เม IP: 124.120.161.87 10 กุมภาพันธ์ 2551 11:25:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เดี๋ยวจะตามไปอ่านตอนสอง