Group Blog
 
 
มีนาคม 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
31 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
แด่ความเหงาที่ยาวนาน


นวนิยายขนาดสั้น



บทนำ

ใบไม้ร่วงลงมาใบแล้วใบเล่า เมื่อใบไม้เหล่านั้นพลิ้วลงสัมผัสพื้นหญ้าคล้ายกับมันจมหายไปในความเงียบงัน แม้แต่ใบไม้บางใบที่ปลิวลงไปยังหนองน้ำใกล้ๆ ก็เงียบงันเช่นกัน ดูไปคล้ายกับมันเป็นภาพลวงตาที่ไร้สรรพสำเนียง

ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ต้นนี้ก็เงียบงัน ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองพอใจที่จะอยู่ในความเงียบงัน
หรือว่าแท้จริงความเงียบงันก็เป็นสภาวะที่คนเราต้องการ

ดวงตาของทั้งคู่จับจ้องกันและกันราวกับว่าทั้งสองพอใจจะจมดิ่งอยู่อย่างนี้ชั่วนิรันดร์ ภายในสวนสาธารณะมีผู้คนเดินไปมาบางตา นานๆจะผ่านมาตรงมุมที่หนุ่มสาวทั้งสองยืนอยู่ ทำให้บรรยากาศโดยรอบบริเวณคล้ายพื้นที่อันเปลี่บวร้าง

ในความเงียบงันของทั้งคู่ เหมือนกับว่ากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบงันเหล่านี้ ทว่าดวงตาของทั้งคู่กลับทอประกายของความอับจนถ้อยคำที่จะสื่อสารกันและกัน เหมือนกับว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอ่ยถ้อยขึ้นมาจะทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน แม้ว่าแววตาของทั้งคู่ก็สะท้อนความปวดร้าวบางอย่างโดยไม่เอ่ยถ้อยคำ

“คุณเลือกแล้ว”
ในที่สุดชายหนุ่มหลุดคำพูดออกมา แต่คำพูดของชายหนุ่มราวกับว่าสะท้อนออกมาจากทิศทางอันห่างไกล

“ใช่ค่ะชาญ”
น้ำเสียงของหญิงสาวก็แผ่วเบาเช่นกัน

ชายหนุ่มเบือนหน้าจากใบหน้าของหญิงสาว มองไปบนผิวหนาว บนผิวน้ำมีใบไม้แห้งลอยอยู่หลายใบ ยามลมพัดมา ใบไม้เหล่านั้นวิ่งไปตามแรงลม
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าหญิงสาว
“ผมเข้าใจครับนุช”

หญิงสาวเบือนหน้าไปอีกทาง บนดวงตาแวววาวสดใสของหญิงสาว เพิ่มหยดหยาดน้ำตาคลออยู่ เหมือนกับน้ำค้างอยู่บนใบไม้ไม้ยามรุ่งอรุณ

“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำเบาๆ จากนั้นหญิงสาวก้าวเท้าเดินห่างออกไป ทุกฝีเท้าของหญิงสาวแผ่วเบาราวไร้สำเนียง
ชายหนุ่มไม่ได้หันหน้าไปมอง แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าหญิงสาวกำลังเดินห่างออกไปจนสุดขอบฟ้า ขอบฟ้าที่แสนไกล
ไกลจนชายหนุ่มไม่อาจไปถึง
การมองกลับไปจึงเหมือนไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ไม่มีน้ำตาบนดวงตาของชายหนุ่ม เหมือนกับน้ำตามันตกลงไปข้างในจนหมดสิ้น


ตอนที่๑



สายลมเดือนตุลาคมพรมรำเพยเหนือยอดข้าวเขียวขจี ชาญมองไกลออกไปจากระเบียงเรือน ณ ที่ไกลออกไปสุดสายตา ต้นข้าวอวบอ้วนที่กำลังตั้งท้องไกวโอนเอนตามลมอย่างอ้อยอิ่ง

แสงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงอ่อนๆของมันลงมาทาทาบกับม่านใยน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่ตามใบข้าวและยอดหญ้า

“ตื่นเช้าจริงนะครับคุณชาญ” น้ำเสียงที่อบอุ่นของชายวัยหกสิบเศษดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง

ชาญหันหลังกลับไปทางต้นเสียง ยิ้มให้อย่างซาบซึ้งใจในความเอื้ออาทรของชายสูงวัย

“อากาศสดชื่นมากครับลุงพัน ถ้าผมไม่ตื่นแต่เช้าผมก็ขาดทุนแย่” ชาญพูดออกมาจากความรู้สึกอันแท้จริง

พลางมองเลยออกไปที่ขอบฟ้า ตรงที่แสงทองอร่ามงามของดวงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกไม่นาน

พันมองดูชาญแล้วยิ้มนิด
“คุณชาญเป็นคนที่ช่างฝันจริงๆนะครับ”
“ลุงพันคิดอย่างนั้น”
“ดูที่ดวงตาของคุณชาญก็รู้”
“อย่างนั้นเหรอครับ” ชาญพูดแล้วถอนหายใจ
“แน่สิครับ แต่ผมก็ไม่น่าจะพูดอะไรโง่ๆเลยนะครับ ก็คุณชาญเป็นนักเขียนนี่ นักเขียนทุกคนช่างฝันและมีจินตนาการที่สูงส่งอยู่แล้ว”

“ลุงพันก็พูดเกินไป จินตนาการผมไม่ได้สูงส่งขนาดนั้นหรอก ผมเป็นแค่คนเขียนหนังสือที่ไม่มีอนาคตเท่านั้น ตอนนี้ผมยังรู้สึกว่าผมบ้าหรือเปล่าที่ผมลาออกจากงานประจำที่ผมทำอยู่ แล้วมาขีดๆเขียนๆอะไรที่ไร้สาระอย่างนี้ ” ชาญพูดแล้วหัวเราะราวขบขัน แต่ในเสียงหัวเราะของเขากลับเจือปนด้วยความขมขื่นบางอย่างที่ลึกซึ้ง

“จริงๆแล้วคุณชาญเป็นคนที่มีความสามารถ ความจริงหากทำงานต่อไปก็คงจะก้าวหน้าไปกว่านี้ ความจริงมนัสหลานชายของผมหากไม่มีคุณชาญฝากฝังก็คงไม่สมารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการแผนกได้หรอก”

“มนัสเขามีความสามารถ ผมช่วยเขาแค่ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง”
“แต่หากไม่มีคุณชาญมนัสก็คงไม่ก้าวถึงขั้นนั้นเร็วอย่างนี้แน่” ลุงพันพูด “และความจริงแล้วหากคุณชาญไม่เพราะ.......เออ...”

พันหยุดความคิดไว้แค่นั้น และนึกตำหนิตัวเองที่พูดอะไรไม่เข้าท่าไปสะกิดความรู้สึกของชาญ
“นั่นแค่เหตุผลเพียงน้อย” ชาญพูด “ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดทำให้ผมตัดสินใจอย่างนี้หรอก ”

ชาญพูดแล้วยิ้มให้กับลุงพันเพื่อให้พันรู้สึกสบายใจ
แต่ในใจของชาญเองหล่ะ
“ผมขอตัวออกไปเดินเล่นก่อนนะครับ” ชาญพูดขึ้น
“ตามสบายครับคุณชาญ ที่นี่ก็เหมือนบ้านของคุณชาญเองนั่นแหละ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

ชาญเดินลงจากระเบียงเรือน แล้วเดินออกไปสู่ทุ่งนาที่ข้าวกำลังเขียวขจี แต่อวบอ้วน เพราะข้าวกำลังตั้งท้อง

พันมองตามหลังของชาญอย่างเห็นใจ ชายสูงวัยเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดของชาญ แม้เขาจะเก็บช่อนความรู้สึกนี้ไว้ แต่ก็ไม่อาจปิดได้
มนัสผู้เป็นหลานกำชับพันมาเป็นอย่างดีว่าอย่าพูดอะไรให้สะเทือนใจชาญ เพื่อนรุ่นพี่คนนี้อย่างเด็ดขาด

“คุณชาญ คุณคงเจ็บปวดมากนะ มนัสพูดให้ผมฟังทุกอย่างแล้ว” พันพึมพำเบาๆ ขณะที่สายตายังคงมองไปที่ชาญซึ่งกำลังเดินออกไปสู่ทุ่งด้วยอาการที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย

.................................................................................................................

ลมพัดเหนือยอดข้าวล้อไล้สายลมราวน้อมยอมตาม ชาญถอนหายใจอีกครั้งนึกขบขันตัวเองที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ถึงเพียงนี้

เขาอ่อนแอมากมายขนาดนี้เชียวหรือ
ชาญรู้ตัวเองดีว่าเขาเป็นคนที่ทะนงและเข้มแข็งเสมอมา ผ่านความทุกข์แสนสาหัสมามากมาย ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะอ่อนแอ

ความรู้สึกบางอย่างมันทำร้ายจิตใจเขามากมายอย่างนี้หรือ
ชาญนึกไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะเป็นคนที่อ่อนแอถึงเพียงนี้
ชาญเดินไปเรื่อยๆ เท้าของเขาที่สวมเพียงรองเท้าแตะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่ตามยอดหญ้า

“พี่ชาญ”
เสียงหวานๆของสาวรุ่นดังแว่วมา เมื่อชาญมองไปทางต้นเสียงก็เห็นด็กสาววัยประมาณสิบเจ็ดสิบแปดยืนโบกมืออยู่ที่ริมทุ่ง

เขาเดินมาเรื่อยเปื่อย จึงไม่รู้ว่าเขาเดินออกมาไกลพอสมควรแล้ว
เขาโบกไม้โบกมือให้เด็กสาว


(มีต่อ)







Create Date : 31 มีนาคม 2549
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 20:25:37 น. 1 comments
Counter : 366 Pageviews.

 
(นวนิยาย )
โดย......เกรียงไกร หัวบุญศาล


แด่ความเหงาที่ยาวนาน

ตอนที่ ๒








หญิงสาวเองก็ดีใจที่ชาญโบกมือให้ พลางโบกมือตอบชาญที่กำลังเดินย้อนกลับมา ไม่นานนักชาญก็เดินมาหาเด็กสาวที่ยังคงยืนอยู่ที่ริมทุ่ง
“ไม่เบื่อเหรอค่ะพี่ชาญ เห็นแต่ทุ่งข้าวอย่างนี้ทุกวัน” หญิงสาวพูดขึ้น

“พี่อยู่กรุงเทพฯเสียนานนี่ครับน้องนา พี่ เบื่อสภาพอย่างนั้นเต็มที การที่ได้เปลี่ยน
บรรยากาศอย่างนี้บ้าง ถือว่าเป็นกำไรชีวิต อีกอย่างพี่ก็เป็นลูกชาวนา มันเหมือนกับว่าช่วงนี้ไกลับมารื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็ก” ชาญพูดพลางสบตาหญิงสาวตรงๆ
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อหลบตาชาญอย่างเขินอาย

ชาญแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เฉมองไกลออกไปที่ท้องทุ่งเพื่อให้หญิงสาวหายประหม่า ชาญรู้สึกขบขันอยู่ในใจกับอากัปกิริยาของหญิงสาว

“ดูท่าทางพูดชาญก็เป็นผู้ชายโรแมนติกดีนะค่ะ เหมือนกับในงานเขียนของพี่ชาญเลย มิน่าคนเขียนหนังสือทุกคนมักจะช่างฝัน” พูดขึ้นอีก
“อย่างนั้นเหรอ”
“อือฮึ”
“ตรงข้ามกับความจริงเลย”
“ตรงกับความเป็นจริงเลยแหละ”
“ใครบอก”
“ก็นานี่ค่ะบอก”
ชาญหัวเราะอย่างขบขัน หญิงสาวเองก็หัวเราะอย่างขบขันเช่นกัน

แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าขึ้นทุกขณะ ส่องกระทบแก้มขาวเนียนของนายิ่งช่วยขับเน้นให้เห็นความผุดผาดบนใบหน้ารูปไขได้รูปของหญิงสาวยิ่งขึ้น
“การเขียนหนังสือนี่ยากไหมค่ะพี่ชาญ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ทั้งยากและทั้งง่าย ที่สำคัญต้องเขียนและก็เขียน”
“เขียนอย่างไรหละค่ะ”

“หากไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก็หัดเขียนบันทึกประจำวัน เก็บรายละเอียดขอ งชีวิตในแต่ละวัน หัดสังเกตสิ่งรอบข้าง ติดตามความเป็นไปของสังคม และที่สำคัญต้องอ่านให้มาก อ่านทุกแนว พี่เคยอ่านเจอนะมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งประมาณว่าเป็นกฎให้เรียนเก่ง เขาบอกว่าการจะเรียนให้เก่งต้องอ่านละสนใจในวิชาที่เรียน อย่าไปอ่านทุกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน เพราะไม่ใช่นักเขียน แต่นักเขียนต้องอ่านทุกอย่าง เรียนรู้โลกให้มากและก็ลึก ใครที่ลึกซึ้งในการเรียนรู้โลกมากเท่าไหร่ก็จะเป็นต้นทุนในการเขียนมากเท่านั้น แต่จริงๆแล้วในใจพี่ก็แย้งในหนังสือเล่มนั้นนะ พี่ว่าเราควรจะอ่านหนังสือทุกแนวและอ่านให้มากไว้จะดีที่สุด ทั้งตำราเรียนและนอกตำรา เพราะมันเป็นประสบการณ์ทางอ้อม เพราะในโลกความเป็นจริงแล้ว คนที่เรียนดีที่สุดไม่ใช่คนที่ไปสู่อนาคตที่ดีที่สุดเสมอไป คนที่เปิดกว้าง เปิดรับ และพร้อมจะเรียนรู้ในสิ่งที่แปลกใหม่และต่างจากกรอบหรือความคิดเดิมของเรามากกว่าที่จะไปสู่อนาคตที่ไกลกว่า แม้ว่าไม่ประสบความสำเร็จ แต่เขาจะเป็นคนที่มีความคิดกว้างไกล เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต การเขียนหนังสือก็ต้องมีวิถีแนวคิดเช่นนี้เป็นมูลฐานของความคิด”

“โอ้โห....แค่การเขียนก็ต้องมีความคิดหรือพื้นฐานทางความคิดเลิศหรูอลังการ์อย่างนั้นเลยเหรอค่ะพี่ชาญ” หญิงสาวทำตาโต

“ความจริงก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ขอให้เขียนแล้วคนอ่านคนชอบก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วหละ แต่คนที่จะทำอย่างนี้ได้มีไม่มาก พี่ก็ยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้น” น้ำเสียงของชาญเคร่งขรึมขึ้น

“แต่นวนิยายของพี่ชาญก็น่าจะมีคนอ่านในระดับหนึ่งนะค่ะ”

“แต่ถ้าคิดจะเขียน อย่าไปคำนึงอะไรมากมาย อขให้เขียนและก็เขียน ลองเริ่มจากเขียนบันทึกประจำวันก่อน”

“ความจริงนาก็มีบันทึกประจำวันนะค่ะ” นาพูด
“นั่นแหละคือการเริ่มต้นที่ดี เพราะพี่ก็เริ่มต้นจากจุดนั้น”
“นาก็คงจะบันทึกทุกวัน เพราะมีคนที่เป็นแรงบันดาลใจแล้วในตอนนี้”

“อย่างนั้นหรือ” ชาญพูด แล้วจ้องมองไปที่ดวงตาของหญิงสาว

หญิงสาวหน้าแดงระเรื่ออย่าเขินอายที่ถูกมองตรง
แต่ชั่วขณะนั้น ชาญก็ถอนหายใจอย่างลืมตัว

“ออกจากบ้านมาอย่างนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ดุเหรอ” ในที่สุดชาญพูดก็พูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“ไม่ว่าหรอกค่ะ ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่ค่ะ”
หญิงสาวงงงันเล็กน้อยในกิริยาของชาญ

“เป็นเด็กเป็นเล็กเสียด้วยสิ” ชาญแกล้งพูด แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ทุ่งข้าว
“บ้าพี่ชาญนี่ เค้าโตเป็นสาวแล้วนะ” หญิงสาวพูดพลางทำริมฝีปากงุ้มงอ

“เป็นสาวแล้วเหรอ” ชาญแกล้งพูดต่อพยายามจะทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“ก็เป็นสาวแล้วสิ อายุสิบแปดปีแล้วนะ”
“งั้นก็มีแฟนแล้วสิ” ชาญพูดแล้วหยีตาล้อเล่น
“ไม่มี ใครจะกล้าจีบหล่ะ ถ้าใครจีบจะชกให้เลย” หญิงสาวพูดแล้วหยุดชะงักราวกับว่าไม่น่าพูดอะไรต่อไป

“นักเลงอย่างนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ ที่โรงเรียนไม่มีใครมาต่อแยกับนาหรอก”
“งั้นพี่ก็เจอนักเลงแล้วสิ” ชาญแกล้งพูด
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หญิงสาวพูดเสียงแผ่วเบาลง ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่

“พี่ว่านากลับบ้านดีกว่านะ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ว่าเอา พี่เป็นผู้ชาย น้องนาเป็นผู้หญิง อยู่ใกล้ชิดกันมากจะดูไม่ดี”

“พี่ชาญคิดมาก ลุงพันก็เป็นพี่ชายแท้ๆของพ่อ แล้วพี่ก็เป็นเพื่อนสนิทกับพี่มนัส ก็เป็นเสมือนญาติกันอยู่แล้วนี่ นั่นไงบ้านลุงพันกับบ้านนาก็ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร” หญิงสาวแย้ง

“มัวแต่แย้งพี่อยู่นั่นแหละ เห็นไหมนั่น ลุงพันเดินมาโน้นแล้ว” ชาญพูด พลางมองไปที่พันซึ่งกำลังเดินมา
“นา มัวแต่รบกวนพี่ชาญเขาอยู่นั่นแหละ พี่เขาต้องการมาพักผ่อน” พันพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึง

“ไม่ได้รบกวนอะไรนี่ค่ะลุงพัน”
“หลานลุงคนนี้แก่นแก้วเสียจริงๆ”
“น้องนาไม่ได้รบกวนอะไรหรอกครับ ก็แค่อยากจะคุยเกี่ยวกับงานเขียน ดูท่าทางนาก็ชอบงานเขียนเหมือนกัน”

“ได้เวลาทานข้าวแล้วครับ มื้อนี้จะรวมสองครอบครับลุงกับน้าทานข้าวร่วมกันสักมื้อ แล้วก็มีแขกพิเศษเป็นนักเขียนมาร่วมทานข้าวด้วย”พันพูดบท
“ผมคงไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกครับ นักเขียนในเมืองไทยไม่ค่อยมีใครรู้จักเท่าไหร่หรอกครับ” ชาญพูดแล้วนึกขบขันตัวเองที่ยังคงมีคนให้ความสำคัญในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง แต่เป็นนักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรนัก

พันหัวเราะแล้วพูด
“แค่ได้รู้จักกับคุณชาญไม่ว่าในฐานะอะไรก็นับว่าโชคดีแล้วครับ คุณชาญเป็นคนที่มองโลกกว้าง เข้าใจชีวิต ตรงนี้คือสิ่งที่มีค่าที่สุด ไปทานข้าวกันดีกว่าครับ”
พันพูดแล้วเดินนำหน้า นาและชาญเดินตาม
....................................................







โดย: เกรียงไกร (huaboonsan ) วันที่: 20 มิถุนายน 2550 เวลา:10:14:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

huaboonsan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





.....มีความฝันเป็นเรือ
ล่องลอยไปในทะเล
แห่งกาลเวลา............

Friends' blogs
[Add huaboonsan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.