แค่ได้เขียนก็เป็นสุขหัวใจ แค่มีใครผ่านเข้ามาก็รู้สึกดี แต่ถ้าใครใจดี..ช่วยเม้นท์ให้ จะรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ...จากหัวใจ...
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
16 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 
ได้เวลาทบทวน ..บางสิ่งบางอย่างที่ละเลยไป

รู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง และเหมือนถูกทวงถามสัญญาที่ให้ไว้
บางทีมันก็รู้สึกแย่ อย่างหาเหตุผลไม่ได้ สลดหดหู่
ในสิ่งที่คิดว่าทำถูกต้องแล้ว ดีที่สุดแล้ว
เมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ ในใจมีแต่ความเคว้งคว้าง ว่างเปล่า
ใจของเราช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน ..ควบคุมอะไรไม่เคยได้
..เมื่อมันรู้สึกอยาก ก็ต้องตามใจมันไป..จนกว่ามันจะพอใจ
...แล้วเมื่อไรล่ะ ? มันถึงจะ ..พอ..เสียที

เช็คเมล์เจอฟอร์เวิร์ดเมล์จากเพื่อนที่แสนดีคนหนึ่ง ผู้ซึ่งคอยรั้งฉันไว้ไม่ให้หลุดวงโคจร สม่ำเสมอ.. ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นด้วยในทุกสิ่งที่เธอเป็น
เหตุผลแค่ความต่างในความคิด วิธิคิดของกันและกัน แต่อย่างไรก็ดี เพียงแค่ความจริงใจที่เรามีต่อกัน ..มันทำให้เรารู้สึกว่า ..บางการกระทำ บางคำพูดร้าย ๆ ...ที่เธอแสดงออกนั้น เธอทำเพราะว่าเธอรักจริงและหวังดีกับฉันเสมอ ...ขอบคุณ

.............................................................

..ชาวต้นไม้..

ผมขอเกริ่นนำให้ทราบถึงโครงสร้างของศาสนาคร่าวๆก่อนดังนี้...

อิสลาม เป็นชื่อศาสนา ซึ่งตามรากศัพท์แล้วมีสองความหมาย คือ 1.)สันติ 2.)การยอมจำนนต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า แน่นอนครับเมื่อมีการน้อมรับและปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า มันจึงจะทำให้เกิดความสันติ

มุสลิม หมายถึงคนที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือมีความหมายว่า “ผู้ที่ยอมจำนนต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า”

จากตรงนี้ท่านคงแยกแยะออกแล้วนะครับว่า“อิสลาม”คือศาสนา ส่วน“มุสลิม”คือคน ดังนั้นเวลาท่านเห็นคนมุสลิมไปทำชั่ว ไปกินเหล้า ไปตีหัวคน ก็อย่าบอกว่า “อิสลาม”ชั่ว! แต่ให้ใช้คำว่า“มุสลิม”คนนั้นชั่ว!

ประการต่อมาให้ทราบว่าอิสลามไม่ใช่ชื่อ“เชื้อชาติ” (เช่นไทย, จีน, ฝรั่ง, แขก) ดังนั้นก็อย่าเข้าใจว่าอิสลามคือแขก! หรือไปเข้าใจว่าแขกคืออิสลาม! เพราะแขกนั้นมีหลายศาสนาเหลือเกิน โดยเฉพาะอินเดีย, เนปาล, ศรีลังกา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธ (อย่าลืมสิครับว่าศาสนาพุทธมาจากไหน?)

ฉะนั้นในเมื่ออิสลามเป็นศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในสากลโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย อิสลามจึงเป็นศาสนาของมนุษย์ทุกเชื้อชาติทุกเผ่าพันธุ์นับตั้งแต่อาดัมมนุษย์คนแรกที่เกิดมาบนโลกจนกระทั่งถึงยุคสุดท้ายของมนุษยชาติ โดยมีศาสดาจำนวนมากมายที่พระผู้เป็นเจ้าได้แต่งตั้งให้ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาของพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกอย่างมีศีลธรรมและมีความสงบสันติ และจะได้รับผลตอบแทนในโลกหน้า โดยมีศาสดาคนสุดท้ายแห่งมนุษยชาติก็คือท่านนบีมุฮัมมัดนั่นเอง ถึงแม้ท่านจะเป็นคนอาหรับ แต่ศาสนาที่ท่านนำมาไม่ได้ถูกจำกัดไว้นับถือเฉพาะคนอาหรับเท่านั้น แต่มันเป็นศาสนาสำหรับมนุษย์ทั้งโลกไม่ว่าจะผิวขาว, ผิวดำ หรือผิวเหลืองก็ตาม

เอาล่ะครับเมื่อเราเข้าใจแก่นของศาสนาแล้ว เราก็มาดูเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับอิสลามกัน ซึ่งถึงแม้คำถามหรือข้อสงสัยเหล่านี้บางข้อก็ไม่ใช่ส่วนที่เป็นหลักสำคัญของศาสนา แต่ก็มักจะเป็นคำถามที่คนถามบ่อยเพราะเป็นส่วนที่ทำให้มุสลิมมีความแตกต่างไปจากศาสนิกอื่นนั่นเอง

โดยหลักการแล้ว เหตุผลของมุสลิมที่จะกระทำสิ่งใดก็เนื่องจากพระเจ้าสั่งหรืออนุญาตให้กระทำ และมุสลิมจะไม่กระทำสิ่งใดก็เนื่องจากพระเจ้าสั่งห้ามไม่ให้กระทำ มันเป็นเหตุผลที่เพียงพอสำหรับมุสลิม แต่สำหรับคนต่าง ศาสนิกอาจมองว่าเหตุผลยังไม่เพียงพอหรืออาจมองว่ามุสลิมนั้นเป็นประชาชาติที่ไม่นิยมใช้เหตุผล ..ดูเหมือนจะใช่ครับ แต่ว่าไม่ใช่!

ที่ถูกคืออิสลามสอนให้ใช้เหตุผลใช้ปัญญาในช่วงแรก และให้ใช้ความศรัทธาในช่วงหลัง...

อิสลามสอนให้มนุษย์ใช้เหตุผล ใช้ปัญญา และสามัญสำนึกในการ“แสวงหาพระเจ้า” อิสลามจะไม่สอนให้มนุษย์ศรัทธาพระเจ้าด้วยวิธีงมงาย หรือใช้วิธีการรอปาฏิหาริย์เพื่อพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริง แต่อิสลามจะสอนให้มนุษย์ได้ใช้ปัญญาพิจารณาธรรมชาติ ..ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าใครคือผู้สร้าง ..ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าใครคือผู้ที่ควรแก่การถูกสักการะบูชา ..ให้ใคร่ครวญอย่างหนักว่าศาสนาไหนกันแน่ที่เป็นสัจธรรม ..ไม่ใช่สักแต่เพียงหลับหูหลับตานับถือศาสนาหรือความเชื่อตามบรรพบุรุษปู่ย่าตายาย และเมื่อหาข้อสรุปลงเอยได้แล้วว่า สรรพสิ่งทั้งปวงนั้นมีผู้สร้าง มีผู้บริหาร มีผู้คุมกฎธรรมชาติ และผู้สร้างนั้นมีอยู่หนึ่งเดียว และนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้ายที่พระองค์แต่งตั้งให้มนุษย์เชื่อฟัง และอัล-กุรอานคือคัมภีร์เล่มสุดท้ายอันเป็นธรรมนูญสูงสุดที่จะมาควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ..ใครที่ศรัทธาแบบนี้เขาคือ“มุสลิม”

ดังนั้นการที่ใครมีชื่อมุสลิม เกิดมาในครอบครัวมุสลิมนั้นไม่เพียงพอนะครับต่อการที่เขาจะเป็นมุสลิม นอกจากว่าเขาจะต้องมีความศรัทธาด้วย เพราะอิสลามเป็นศาสนา ไม่ใช่ประเพณี

..และขอเรียนให้ทราบว่าเรื่องกฎบัญญัติข้อสั่งใช้และสั่งห้ามนั้น ไม่ใช่หลักการที่มุสลิมอุตริตั้งกฎขึ้นมาเอง หรือไม่ใช่ว่าจะไปเอาประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นใดๆมายึดถือปฏิบัติกันได้ แต่มุสลิมจะยึดถือตามบัญญัติที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นนั่นก็คือ 1. คัมภีร์อัล-กุรอาน (เป็นพระดำรัสของพระเจ้า) 2. หะดีษ (แบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งมีทั้งคำพูด, การกระทำ และการนิ่งเฉยยอมรับในสิ่งที่สาวกกระทำ)

ทีนี้มาถึงคำถามที่ชาวต่างศาสนิกมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอิสลามว่าสิ่งเหล่านี้มันมีเหตุผลหรือมีคำตอบหรือไม่?



1.) ทำไมมุสลิมไม่กินหมู ?

ใครที่ถามแบบนี้ถือว่าเป็นการตั้งคำถามที่ถูกต้องครับ เพราะมุสลิมไม่กินหมู แต่ถ้าใครถามว่า “ทำไมมุสลิมกลัวหมู?” แบบนี้ถือว่าตั้งคำถามผิดนะครับ เพราะมุสลิมไม่ได้กลัวหมู แต่คนไทยเรามักเข้าใจผิดๆโดยไปจดจำมาจากหนังตลกว่ามุสลิมกลัวหมู และต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อเห็นหมู!

ส่วนคำตอบที่ว่าทำไมมุสลิมไม่กินหมูก็คือพระเจ้าสั่งห้ามนั่นเองครับ และสิ่งที่พระเจ้าสั่งห้ามก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในบางเรื่องนั้นมนุษย์ก็ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ หรือในบางเรื่องมนุษย์ก็สามารถค้นพบหาเหตุผลได้ด้วยกระบวนการศึกษาธรรมชาติหรือที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์

ยุคปัจจุบันมีการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเนื้อสัตว์ก็พบว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดมีพยาธิตัวเล็กๆที่ตามนุษย์มองไม่เห็นอยู่มากน้อยต่างกันไป แต่ในเนื้อหมูมีพยาธิบางชนิดซึ่งมีเกราะที่เกิดจากไขมันในเนื้อหมูห่อหุ้มมันอยู่ ซึ่งความร้อนจากการหุงต้มไม่สามารถทำลายมันได้ พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์หลังจากที่กินเนื้อหมูเข้าไป และรอฟักตัวออกมาทำอันตรายร่างกายมนุษย์ เช่น ประสาทตาและประสาทสมอง เป็นต้น

มุสลิมในยุคก่อนเขาไม่ทราบถึงเหตุผลเหล่านี้ แต่เขาน้อมรับและปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่มาจากพระเจ้า และหมูเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ(กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ของมัน)ซึ่งพระเจ้าระบุไว้ว่าเป็นสัตว์สกปรก(นะญิส) ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามุสลิมไม่กินหมูเพราะเหตุผลที่ว่าหมูมีพยาธิ ดังนั้นถึงแม้ในอนาคตจะสามารถทำให้เนื้อหมูปลอดจากพยาธิชนิดนี้ได้ หรือจะเลี้ยงหมูอย่างดีไม่ต้องให้กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ แต่มุสลิมก็จะยังคงไม่กินหมูอยู่ดีเนื่องจากเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติห้าม

...แล้วถามว่าทำไมต้องห้ามน่ะหรือครับ? ก็เนื่องจากเป็นการพิสูจน์ความศรัทธาครับ มนุษย์ที่ศรัทธาในพระเจ้าเขาก็จะน้อมรับกฎระเบียบที่พระเจ้าบัญญัติไว้ เขาจะไม่กินตามปากอยาก แต่เขาจะเลือกกินโดยพิจารณาว่าพระเจ้าอนุญาตให้กินหรือไม่

...และอาจมีบางคนตั้งคำถามว่า ในเมื่อไม่ให้กินหมูแล้วพระเจ้าจะสร้างหมูมาทำไม? คืออย่างนี้ครับ พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตมาหลากหลายชนิด แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิด จะถูกสร้างมาเพื่อเป็นอาหารสำหรับมนุษย์นะครับ สัตว์บางชนิดเกิดมาเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์ สัตว์บางชนิดถูกสร้างมาเพื่อกินสัตว์กินพืช ไม่เช่นนั้นแล้วสัตว์กินพืชก็จะกินใบไม้หมดป่า ซึ่งป่าไม้และพืชนั้นก็ทำหน้าที่ซับน้ำ, ผลิตออกซิเจน, รักษาชั้นบรรยากาศของโลก และยังเป็นอาหารให้มนุษย์ด้วย ทำนองนี้เป็นต้นครับ ดังนั้นเราจึงต้องเลือกครับว่าสิ่งใดพระเจ้าอนุญาตให้กิน สิ่งใดพระเจ้าไม่อนุญาตให้กิน ซึ่งในเรื่องของอาหารแล้ว สิ่งใดที่พระเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามสิ่งนั้นถือว่าอนุญาตให้กินได้โดยปริยายครับ

ส่วนสิ่งอื่นที่พระเจ้าบัญญัติห้ามกิน ได้แก่ 1.)สิ่งมึนเมาทุกชนิด 2.)เลือด 3.)สัตว์บกที่ตายโดยไม่ได้ถูกเชือด 4.)สัตว์บกที่ไม่ได้กล่าวนามพระเจ้าขณะเชือด 5.)สัตว์บกที่ใช้กรงเล็บหรือเขี้ยวล่าสัตว์กินเป็นอาหาร 6.)เนื้อลา 7.)สัตว์ที่พระเจ้าระบุว่าเป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจ(นะญิส) เช่น หมา 8.)อาหารใดก็ตามที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม เช่นขโมยมา หรือซื้อมาด้วยทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดหลักการศาสนา (เช่นเงินดอกเบี้ย เป็นต้น) ซึ่งทั้งหมดถูกบัญญัติในอัล-กุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ..และนอกจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้รวมทั้งสัตว์น้ำทั้งหมดก็เป็นที่อนุญาตให้กินได้

เห็นไหมครับว่าที่ว่ากันว่ามุสลิมไม่กินหมูนั้น ไปๆมาๆไม่ใช่แค่หมูนะครับที่มุสลิมไม่กิน ดังนั้นคงหายสงสัยแล้วสินะครับว่าทำไมมุสลิมจึงมักจะหาแต่ร้านที่เป็นร้านอาหารอิสลาม แต่เห็นกฎระเบียบเยอะอย่างนี้คุณคงว่าสิ่งที่ศาสนาอิสลามบัญญัติห้ามนั้นมีเยอะเหลือเกิน แต่ที่จริงหากคุณนับถือศาสนาพุทธน่าจะลองเปิดพระไตรปิฎกดูมั่งนะครับว่า จริงๆแล้วศาสนาพุทธห้ามกินอะไรบ้าง? ซึ่งหากจะให้ผมนำมากล่าวในหนังสือเล่มนี้ก็คงจะไม่ไหวแน่ เพราะมีเยอะมาก! หรือคนที่นับถือศาสนายิวหรือคริสต์ก็เช่นกันหากเขาจะปฏิบัติตามคัมภีร์ล่ะก็มีสัตว์หลายชนิดครับที่คัมภีร์ระบุว่าห้ามกิน และที่สำคัญไม่เคยมีใครถามเลยว่าทำไมชาวยิวและชาวคริสต์ ปัจจุบันกินหมูกันซะแล้ว? ทั้งๆที่ในไบเบิล พันธสัญญาเก่าได้ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามกินหมู! (ในบทเลวีนิติ)



2. ทำไมมุสลิมมีภรรยาได้ 4 คน?

ถ้าใครบอกว่าศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่อนุญาตมีภรรยาได้เยอะที่สุด ผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่อนุญาตให้มีภรรยาได้น้อยที่สุดต่างหากล่ะครับ! งงใช่ไหมล่ะครับ? ยังไม่พอแค่นั้นครับ ผมจะให้คุณงงเพิ่มเข้าไปอีก.. เนื่องจากสังคมปัจจุบันมองว่าอิสลามเป็นศาสนาที่กดขี่สตรีเพศ ผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ยกฐานะของสตรีต่างหากล่ะครับ! งงว่าทำไมมันถึงกลับตะละปัดอย่างนี้ใช่ไหมครับ? สาเหตุที่คุณงงก็เพราะคุณไม่เคยดูคัมภีร์หรือบัญญัติศาสนาของคุณเลย ส่วนอีกประการคือคุณไม่เคยใคร่ครวญถึงอดีตเลย นอกจากมีประวัติศาสตร์ไว้เป็นเพียงตำนานเล่าขานหรือไว้เรียนเพื่อให้สอบผ่านก็เท่านั้น

ประการแรกเรามาดูเรื่องบทบัญญัติของคัมภีร์กัน.. คัมภีร์อัล-กุรอานได้บัญญัติเรื่องแต่งงานไว้ว่า “หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่บรรดา(สตรี)กำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับสตรีที่ดีแก่พวกเจ้า จะสองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว หรือไม่ก็สตรีที่มือขวาของเจ้าครอบครองอยู่(คือทาสหญิง) นั่นเป็นสิ่งดียิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง” (คำแปลบทอัน-นิซาอฺ โองการที่ 3) ดังนั้นคัมภีร์อัล-กุรอานของศาสนาอิสลามจึงเป็นคัมภีร์เดียวนะครับที่มีระบุประโยคที่บอกว่า “จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว” ซึ่งประโยคนี้ไม่มีถูกบัญญัติไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นเลยซักเล่มเดียว และศาสนาอิสลามได้จำกัดจำนวนของการมีภรรยาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งการจำกัดจำนวนของการมีภรรยานั้นไม่มีในศาสนาอื่นนะครับ นั่นหมายความว่าศาสนาอื่นอนุญาตให้มีภรรยากี่คนก็ได้โดยที่ไม่จำกัดจำนวนไงครับ แต่สังคมเราปัจจุบันลืมข้อนี้ไปซะสนิท มนุษย์เราขี้ลืมจนถึงขั้นลืมประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษตน.. คนไทยในอดีตมีภรรยากันเป็นสิบ ยิ่งมียศศักดิ์สูงก็ยิ่งมีภรรยามาก แต่การมีภรรยาหลายคนของคนในอดีตเขาไม่ได้ให้ความเท่าเทียมแก่บรรดาภรรยา เขาจะยกย่องภรรยาคนแรกมากที่สุด ส่วนคนต่อๆมาจะถือว่าเป็นนางสนมหรือไม่ก็เมียน้อย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ศาสนาอิสลามไม่เห็นด้วย ดังนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาที่มายกเลิกอนารยธรรมเหล่านี้ต่างหากล่ะครับ อิสลามไม่มีเมียหลวงเมียน้อย แต่จะมีกฎข้อบังคับให้สามีให้ความเท่าเทียมกับภรรยาทุกๆคน เราจะไม่เรียกว่าใครเป็นเมียหลวงเมียน้อย แต่จะเรียกเป็นภรรยาคนที่ 1..2..3..4.. นอกจากนั้นแล้วอิสลามก็เป็นศาสนาที่มายกสถานะของสตรี จากในอดีตที่ผู้คนถือว่าสตรีเป็นสินค้า แต่อิสลามได้เข้ามายกสถานะสตรีซึ่งเป็นเพศแม่ ให้ได้ถูกรับการปกป้องคุ้มครองจากสามีและกฎหมายอิสลาม ในขณะที่สังคมยุคปัจจุบันกำลังจะนำอนารยธรรมในอดีตกลับมาใช้คือ เห็นผู้หญิงเป็นสินค้าและมีหน้าที่ไว้บำเรอให้ความสุขแก่ผู้ชาย ไม่ว่าจะปรากฏในรูปของโสเภณี, ดารานักร้อง, หรือนักเต้นโชว์ก็ตาม(ในอดีตกาลก็มีสิ่งเหล่านี้) ซึ่งสังคมเราก็กำลังนำสิ่งต่ำทรามในอดีตกลับมาใช้ใหม่

ประการต่อมาคือเหตุผลของการตั้งกฎบัญญัติ ซึ่งเราก็ทราบแล้วว่าเป็นบัญญัติที่มาจากพระเจ้า ซึ่งหวังดีและเอื้ออำนวยประโยชน์ให้มนุษย์เสมอ ไม่ใช่มนุษย์ผู้ชายหน้าไหนมาตั้งกฎเอง หรือนบีมุฮัมมัดซึ่งเป็นผู้ชายได้ออกบัญญัติเพื่อเข้าข้างเพศตนเอง(ดังที่คนชอบกล่าวหากัน) แต่กฎระเบียบทั้งปวงมาจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสร้างมนุษย์มาและรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์อย่างดียิ่ง

ธรรมชาติของผู้ชายนั้น จะมีความชอบหรือพอใจในผู้หญิงหลายคน โดยธรรมชาตินั้นมีความแข็งแรง มีความเป็นผู้นำ ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเพศที่อ่อนแอ มีความพอใจที่จะอยู่ในการดูแลของผู้ชาย และโดยธรรมชาติแล้วเป็นช้างเท้าหลัง (ถ้าไม่มีเท้าหลัง ช้างก็เดินไม่ได้)

การที่มนุษย์สร้างแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นมาว่าผู้หญิงเท่าเทียมกับชายหรือสามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชายนั้น ขัดกับหลักความเป็นจริงทางธรรมชาติของมนุษย์โดยสิ้นเชิง เป็นเพียงการหลอกตัวเองและเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ.. เราลองคิดตามกันดูว่า..นักวิ่งที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักมวยที่เก่งที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักแข่งรถที่เก่งที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักยกน้ำหนักที่ทำสถิติได้สูงที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..และตกลงเพศชายหรือเพศหญิงครับที่เป็นฝ่ายตั้งท้องและให้นมลูก? ..นี่คือธรรมชาติครับ ผู้หญิงไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชาย และผู้ชายก็ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนผู้หญิง

..ในมุมมองของผู้คนสังคมปัจจุบันนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกล้างสมองให้มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อระบบ“ผัวเดียวเมียเดียว”กันไปหมดแล้วไม่เว้นแม้แต่มุสลิมเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วการกำหนดให้ผู้ชายทุกคนมีภรรยาคนเดียว เป็นสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงในทางปฏิบัติ เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าจำนวนของผู้หญิงบนโลกนั้นมีมากกว่าชาย

ในนิวยอร์ครัฐเดียวมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 1 ล้านคน ในรัสเซียมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 9 ล้านคน และในอเมริกานั้นมีสตรีที่หาสามีไม่ได้จำนวนมากกว่า 30 ล้านคน! (เนื่องจากผู้ชายชาวอเมริกันไปเป็นเกย์กันเยอะด้วยส่วนหนึ่ง) ส่วนในอังกฤษสตรีมีมากกว่าชาย 4 ล้านคน ในเยอรมันมีหญิงมากกว่าชาย 5 ล้านคน และสำหรับเฉพาะรัสเซียแค่ประเทศเดียวมีสตรี 9 ล้านคนที่ยังหาสามีไม่ได้! ….เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ถึงความเป็นจริงข้อนี้แล้วยังจะมีคำถามอยู่อีกหรือไม่ว่า “ทำไมไม่ให้ผู้หญิงมีสามีได้ 4 คน บ้าง”! (นึกภาพดู ถ้าคุณมีสามี 4 คน แล้วในขณะที่คุณท้องอยู่น่ะนะ สามีทั้ง 4 คุณวุ่นแน่นอนครับ)





เมื่อเราทราบสถิติข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้แล้ว ตกลงจะเลือกแบบไหนดี

ระหว่างให้สตรีที่เป็นโสดได้ไปแต่งงานกับคนที่มีภรรยาแล้ว..? หรือให้สตรีที่เป็นโสดได้เป็นโสดต่อไป หรือไปเป็นโสเภณีไว้รับใช้ในสถานบริการสำหรับสามีที่แอบหนีภรรยามาเที่ยว?

และสำหรับเรื่องสถานขายบริการทางเพศ(ไม่ว่าจะปรากฏในรูปของสถานบันเทิงชนิดใดก็ตาม) นั่นก็คืออีกปัญหาหนึ่งของสังคม บรรดานักเรียกร้องสิทธิสตรี(ที่เกลียดระบบเมีย 4 ของอิสลาม) เขาไม่เคยเล็งเห็นถึงโทษของการบังคับให้ผู้ชายมีภรรยาได้คนเดียว เขาคิดว่าสถานบริการต่างๆทั่วโลกที่ทำกำไรมหาศาลทุกวันนี้ได้ลูกค้ามาจากไหนกันนักหนาล่ะ? ก็สามีพวกคุณทั้งนั้นแหละ! เพราะความพอใจในผู้หญิงหลายคนนั้นเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของผู้ชาย ดังนั้นอิสลามจึงป้องกันปัญหาเรื่องความมักมากของผู้ชายไม่ให้ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นอย่างไม่ถูกต้อง จึงให้มีการแต่งงานซะ แล้วสตรีคนนั้นก็ถือว่าเป็นภรรยาของคุณ ซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลให้ความรักและความคุ้มครองอย่างดี ..ศาสนาอิสลามได้วางระบบระเบียบไว้เหมาะสมแล้วสำหรับมนุษย์ ทั้งเรื่องการอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่า 1 แต่ไม่เกิน 4 และทั้งกฎหมายอิสลามที่ไม่อนุญาตให้มีสถานบันเทิงซักชนิดเดียว ซึ่งถ้าประเทศไหนรัฐไหนนำกฎนี้ไปใช้ สังคมนั้นก็จะเกิดความสันติสุข(ดังชื่อของศาสนา)

เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา เขาจึงไม่รู้เบื้องลึกเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นบรรทัดฐานกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ได้อุตริตั้งขึ้นมาเองตามอารมณ์เห็นชอบของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นผลดีกับพวกเขาเลย แล้วยังกลับทำให้สังคมเสื่อมทรามไปทั้งระบบ และต้นตอของปัญหาก็คือมาจากสถาบันครอบครัวนั่นเอง เพราะฉะนั้นศาสนาอิสลามจึงสนับสนุนให้มนุษย์มีครอบครัว มีการแต่งงาน และสมควรที่รีบแต่งงานเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือวัยหนุ่มสาว แต่ถ้าเราฝ่าฝืนหรือปฏิเสธกฎข้อนี้ มันก็จะเกิดปัญหาสำหรับวัยรุ่นอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน



3. ทำไมต้องคลุมหิญาบ?

อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ยกย่องสถานะของสตรี ดังนั้นกฎระเบียบว่าด้วยการแต่งกายนั้นก็เป็นบทบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งรู้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดีและหวังดีต่อมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วทั้งร่างกายของสตรีถือเป็นส่วนเย้ายวนต่อเพศตรงข้าม ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงได้บัญญัติให้ทั้งร่ายกายของสตรีถือเป็นส่วนพึงสงวน(เอาเราะฮฺ) ที่ต้องปกปิด ยกเว้นหากจะเปิดก็อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนสำหรับผู้ชายนั้น ส่วนพึงสงวนที่ต้องปกปิดก็คือบริเวณตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวเข่า โดยไม่มีการจำกัดว่าเครื่องแต่งกายนั้นจะเป็นชุดของวัฒนธรรมใดหรือชาติใด แต่หากต้องการจะได้รับผลบุญมากขึ้นก็ให้แต่งกายซึ่งเป็นรูปแบบที่นบีมุฮัมมัดเคยสวมใส่ไว้เพื่อเป็นการแสดงความรักที่มีต่อท่านนบี และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาวมุสลิม ซึ่งกฎระเบียบเรื่องการแต่งกายทั้งหญิงและชายก็ล้วนมาจากบทบัญญัติของอัล-กุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าการที่มุสลิมแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมหรือประเพณีของชาติใดหรือท้องถิ่นใด แต่มันเป็นการแต่งกายตามบัญญัติศาสนา

แต่สำหรับสตรีส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และบรูไนนั้นมีการแต่งกายที่ผิดหลักการศาสนา เช่น คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้ารัดรูป หรือคลุมศีรษะไม่มิดชิดเปิดผมและคอ หรือบ้างก็คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้าบางๆ และยิ่งในยุคปัจจุบันมีการคลุมศีรษะแต่สวมเสื้อเอวลอย..! ทำนองนี้เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการแต่งกายที่ผิดหลักศาสนา และทำให้คนต่างศาสนิกมีความเข้าใจเรื่องการแต่งกายของมุสลิมแบบผิดๆไปด้วย

ในสังคมปัจจุบันได้มีมุมมองที่แสนจะไร้เหตุผลว่า การที่ให้สตรีคลุมผมคลุมหน้าและแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นการกดขี่สตรี! หรือเป็นการปิดกั้นสิทธิของสตรี! ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ขัดกับความเป็นจริงและสามัญสำนึกของมนุษย์ เพราะมนุษย์เราทุกคนก็รู้ดีว่าสตรีที่มีเกียรติคือคนที่รักนวลสงวนตัว มีกิริยาที่สุภาพและมีการแต่งกายที่เรียบร้อย ดังนั้นการปกปิดเรือนร่างของสตรีก็เป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าร่างกายของสตรีนั้นมีเกียรติ เป็นสิ่งพึงสงวนปกป้องปกปิดแม้จะเป็นแค่สายตาก็ตาม ส่วนผู้ชายคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการกดขี่สตรีนั้นถือว่าเขาพูดโกหก! เพราะจริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นโอกาสในการมองของเขามากกว่า! และสตรีคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการปิดกั้นสิทธิสตรี จริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นสิทธิในการทำชั่วนะครับ เพราะการที่เราเปิดส่วนพึงสงวนนั้นก็เท่ากับว่าเราไปเย้ายวนให้ผู้ชายนั้นเกิดตัณหา และสิ่งเหล่านี้ตามตรรกะเหตุผลแล้วไม่ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะครับ เพราะตราบใดที่มันไปกระทบสายตาผู้อื่นนั่นก็ถือว่ามันเป็นสิทธิของผู้รับภาพนั้นด้วย ก็เหมือนกับคุณเปิดเพลงฟัง ตราบใดที่เพลงนั้นมันเสียงดังหนวกหูไปถึงข้างบ้าน นั่นหมายความว่ามันเป็นสิทธิของผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นด้วย

ดังนั้นเป็นที่พิสูจน์ได้แน่นอนแล้วไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยว่า เรือนร่างของสตรีนั้นก่อความวุ่นวายให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นได้ในข่าวทุกๆวันว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมก็คือตัวสตรีเอง ซึ่งความจริงมันได้ปรากฏให้เห็นว่าประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามอย่างสะอุดีย์อาระเบียนั้นในรอบปีไม่มีข่าวอาชญากรรมทางเพศเลย (รวมทั้งอาชญากรรมอื่นๆด้วย) เพราะกฎหมาย อิสลามมีบทลงโทษที่เด็ดขาด แต่หากมีข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราเมื่อไหร่ นั่นจะเป็นข่าวดังในรอบ 2-3 ปีของประเทศเขาเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากประเทศไทยเราที่มีข่าวเหล่านี้ปรากฏแทบทุกวัน นั่นก็เพราะการแต่งกายที่แตกต่างกันนั่นเอง และสาเหตุอื่นๆที่ทำให้ประเทศสะอุดีย์อาระเบียมีความสงบสุขกว่าไทยหลายเท่า ก็เพราะกฎระเบียบในการปกครองและความเชื่อทางศาสนา

อิสลามจึงได้จำกัดในเรื่องสิทธิของทั้งหญิงและชายก็เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขและความสันติ(ตามชื่อศาสนา) ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่มีสิทธิในการทำชั่ว มันแตกต่างจากสังคมไทยและสังคมของคนในอดีตที่จำกัดสิทธิไว้เฉพาะผู้หญิง ส่วนสำหรับผู้ชายนั้นจะทำชั่วอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับอิสลามแล้วถือว่าทำชั่วไม่ได้ทั้งสองเพศ แม้แต่การมอง ผู้ชายจะจ้องมองผู้หญิงในลักษณะชู้สาวก็ไม่ได้ ซึ่งกรณีอย่างนี้ในอัล-กุรอาน (บทอันนูรฺ โองการที่ 30)ได้สั่งให้ผู้ชายลดสายตาลงว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาชาย ให้พวกเขาลดสายตาพวกเขาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเขาไว้” ส่วนสำหรับสตรีนั้น อัล-กุรอานได้บัญญัติว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิง ให้พวกเธอลดสายตาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับเว้นแต่ส่วนที่เปิดเผยได้ และให้เธอปิดผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอก” (คำแปลบทอันนูรฺ โองการที่ 31)

อนึ่ง เรื่องข้อบทบัญญัติเกี่ยวกับการคลุมผมและการแต่งกายที่มิดชิดของสตรีนั้นไม่ใช่ถูกระบุไว้เฉพาะในคัมภีร์อัล-กุรอานเท่านั้น แต่ยังมีระบุไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นด้วยทั้งคัมภีร์ของชาวฮินดู, คัมภีร์ของชาวยิวและคริสต์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าสตรีชาวคริสต์ในอดีตกาลนั้นจะมีการคลุมศีรษะเช่นกัน แต่ในปัจจุบันพวกเขาก็เลิกยึดถือบทบัญญัตินั้นซะแล้วที่เหลืออยู่ก็มีแต่เฉพาะซิสเตอร์เท่านั้นที่คลุม



4. ทำไมต้องขลิบ?

ในยุคปัจจุบันเรื่องการขลิบเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับในทางการแพทย์ว่า เป็นการรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศและป้องกันการเกิดกามโรค เพราะเชื้อโรคและสิ่งสกปรกหมักหมมทั้งหมดจะเกาะตัวอยู่ในบริเวณหนังห่อหุ้มของอวัยวะเพศซึ่งทำความสะอาดได้ยาก และหนังส่วนนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆเลยเมื่อมนุษย์เติบโตขึ้นมา ดังนั้นการแพทย์จึงสนับสนุนให้มีการขลิบ และในประเทศอเมริกานั้นถือเป็นธรรมเนียมหรือค่านิยมโดยทั่วไปคือการให้มีการขลิบตั้งแต่แรกเกิด

นอกจากมุสลิมแล้ว ชาวยิวก็มีบทบัญญัติให้ผู้ชายขลิบเช่นกัน เนื่องจากเป็นบัญญัติที่พระเจ้าสั่งต่อโมเสส(นบีมูซา) และก็เป็นบทบัญญัติสำหรับชาวคริสต์ด้วย เพราะคำสอนของโมเสสก็ถือเป็นบัญญัติสำหรับชาวคริสต์เช่นกัน (ดูบทเยเนซิศ) และพระเยซู(นบีอีซา)ก็ขลิบด้วยเช่นกัน (ดูบทลูกา) แต่ปัจจุบันมีชาวคริสต์หลงเหลืออยู่เพียงบางนิกายเล็กๆเท่านั้น ที่ยังคงปฏิบัติตามบัญญัติเรื่องการขลิบ

ท่านนบีมุฮัมมัดได้ตั้งเป็นข้อบังคับสำหรับผู้ชายทุกคน ให้มีการขลิบ ส่วนการรักษาทำความสะอาดร่างกายอื่นๆตามแบบฉบับที่ท่านนบีแนะนำไว้ได้แก่ การตัดเล็บ, การถอนขนรักแล้, การโกนขนอวัยวะเพศ, การขลิบหนวดและไว้เครา

ส่วนการขลิบสำหรับฝ่ายหญิงนั้นไม่เป็นที่บังคับ แต่ท่านนบีมุฮัมมัดได้แนะนำว่าการขลิบ(คลิตอริส)สำหรับฝ่ายหญิงจะช่วยเพิ่มความสุขทางเพศให้แก่เธอ แต่จากข้อแนะนำตรงนี้ได้ถูกบิดเบือนออกไปเป็นประเพณีของชาวอัฟริกันเผ่าหนึ่งซึ่งนับถืออิสลาม และได้นำเรื่องการขลิบสำหรับสตรีนี้ไปทำอุตริกรรม เป็นประเพณีของพวกเขาในการรักษาพรหมจารีด้วยการขลิบและเย็บปิดอวัยวะเพศ ซึ่งพิธีกรรมนี้ไม่มีในบัญญัติของศาสนาอิสลาม



5. ทำไมต้องละหมาด?

การละหมาดเป็นบัญญัติที่พระเจ้าได้สั่งให้ผู้ศรัทธาทุกๆยุค กระทำ(ไม่ว่าจะศาสดาท่านไหนๆก็ตาม) เพื่อแสดงความเคารพรักภักดีต่อพระองค์ โดยที่ผู้ศรัทธาห้ามไปแสดงความเคารพรักภักดีต่อวัตถุ หรือมนุษย์หน้าไหน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สร้างมนุษย์ ไม่ได้เป็นผู้ให้ชีวิตและปัจจัยยังชีพแก่มนุษย์ หากแต่มนุษย์เราต่างก็นำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมาใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งพ่อแม่ของเราเองก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างอสุจิ ไม่ได้เป็นผู้สร้างมดลูก ไม่ได้เป็นผู้สร้างกระบวนการตกไข่ ไม่ได้เป็นผู้สร้างกลไกการปฏิสนธิ หากแต่กลไกทางธรรมชาติเหล่านี้ถูกสร้างมาโดยพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งอภิบาลสรรพสิ่งทั้งปวง

การละหมาดเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นการเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง โดยไม่ต้องมีสื่อกลางหรือนักบวชมาคอยทำพิธีให้ นอกจากนั้นแล้วผลดีที่เกิดขึ้นนอกจากได้รับผลบุญแล้วก็คือ การละหมาดเป็นอาหารทางด้านจิตวิญญาณด้วย มนุษย์เรากินอาหารสำหรับร่างกายวันละ 3 เวลา แต่สำหรับอาหารของจิตวิญญาณบางคนไม่มีเลย เขาจึงเป็นคนที่จิตใจไม่สะอาด หรือมีจิตใจที่อ่อนแอ(เป็นลักษณะหนึ่งของผู้ที่ไม่ศรัทธา) ซึ่งสำหรับมุสลิมแล้วถูกกำหนดให้ละหมาด เป็นข้อบังคับวันละ 5 เวลา ส่วนนอกจากนี้แล้วก็สามารถละหมาดได้เนื่องในสถานการณ์ต่างๆ(ตามที่ท่านนบีได้ทิ้งแบบฉบับไว้) แต่ไม่เป็นที่บังคับ

การละหมาดยังเป็นการขัดเกลาจิตใจและพัฒนาศีลธรรมตนเอง ให้พ้นจากความชั่วทั้งหลาย ดังที่อัล-กุรอานได้กล่าวว่า “แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำสิ่งลามกและความชั่ว” (บทอัลอังกะบูต โองการที่ 45) ดังนั้นใครที่ละหมาดด้วยความศรัทธา และความรักต่อพระเจ้า(ไม่ใช่สักแต่ละหมาดไปตามประเพณี) เขาก็จะได้รับการขัดเกลาทางศีลธรรมให้พ้นจากการมีจิตใจที่ชั่วช้า



6. ทำไมต้องถือศีลอด?

มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ก็ตรงนี้แหละครับ เมื่อสัตว์มันหิวมันก็กิน เมื่อมันง่วงมันก็นอน เมื่อมีอารมณ์ทางเพศมันก็ผสมพันธุ์ แต่มนุษย์เราใช่ว่าจะกินได้เมื่อหิว จะทำอะไรทำเมื่ออยาก เพราะมันต้องดูด้วยว่าทำได้หรือไม่? ถูกหรือผิด? การถือศีลอดจึงเป็นการฝึกหักห้ามใจ

การถือศีลอดไม่ได้มีแต่เพียงการฝึกอดอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการงดเว้นการกระทำอื่นๆบางประการอีกด้วย ฉะนั้นการถือศีลอดจึงเป็นการฝึกให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ ให้รู้จักควบคุมตนเองว่าห้ามกินทั้งๆที่หิว สามีภรรยาห้ามร่วมประเวณีกันในเวลากลางวัน(ขณะถือศีลอด) ให้รู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ให้โกรธ ให้รู้จักควบคุมคำพูดไม่ให้พูดไร้สาระ ไม่นินทาว่าร้ายคน ถ้าหากเราระงับการนินทาว่าร้ายไม่ได้ การอดอาหารนั้นก็แทบจะเป็นการหิวฟรี! ไม่ได้บุญอะไร

การถือศีลอดเป็นแบบทดสอบความศรัทธาอย่างหนึ่ง มนุษย์ที่ไม่มีศรัทธาเขาก็ไม่รู้ว่าจะอดไปเพื่ออะไร แต่สำหรับผู้ศรัทธาเขาก็จะมีความยำเกรงต่อพระเจ้าและไม่กล้าประพฤติผิดระเบียบวินัยที่พระเจ้าบัญญัติไว้ โดยมีการอดอาหารเป็นตัวควบคุมจิตใจและเตือนสติว่ากำลังถือศีลอยู่นะ.. อย่าทำผิดนะ..

พระผู้เป็นเจ้าได้บัญญัติให้มีข้อบังคับสำหรับมุสลิมคือ ให้ถือศีลอดตลอดเดือนรอมฎอนในทุกปีสำหรับผู้ที่มีความสามารถ ไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่คนชรา ไม่ใช่คนป่วยหรือคนท้อง ส่วนการถือศีลอดนอกเหนือจากเดือนรอมฎอนนั้นก็สามารถกระทำได้ตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัดแต่ไม่เป็นข้อบังคับ

การที่มุสลิมถือศีลอดบ่อยๆ นอกเหนือจากเดือนรอมฎอนนั้นเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นการฝึกควบคุมพฤติกรรมให้พ้นจากความลามกและความชั่วช้าต่างๆ ซึ่งเมื่อมีการฝึกควบคุมร่างกายและจิตใจบ่อยๆก็จะทำให้เรากลายเป็นคนที่สามารถควบคุมความคิดและการกระทำของตนเองได้

ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสายกลางตัวจริง! เพราะอิสลามไม่มีการแยกสงฆ์ออกจากฆราวาส มุสลิมเป็นทั้งสงฆ์ทั้งฆราวาสในคนๆเดียว จะถือศีลหรือบำเพ็ญตนก็ไม่ต้องปลีกตัวออกจากทางโลกไปอยู่ป่า หรืออยู่ในศาสนสถานอย่างเดียว หรือจะฝึกควบคุมจิตใจก็ไม่ต้องไปใช้วิธีทรมานกาย หรือจะอดข้าวอดอาหารก็ไม่ใช้เวลาสั้นเกินไป และก็ไม่ยาวนานจนเกินไปจนทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะมุสลิมจะใช้เวลาอดอาหารตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงดวงอาทิตย์ตก ก็ประมาณ 12 ชั่วโมงถูกต้องตามหลักการแพทย์พอดี นอกจากนั้นแล้วผลพลอยได้ก็คือ การถือศีลอดนั้นเป็นผลดีต่อสุขภาพกายและจิตด้วย

ส่วนคัมภีร์ของยิวและคริสต์ก็มีการถือศีลอดเช่นกันครับ ทั้งเยซูและสานุศิษย์ต่างก็ถือศีลอด (ดูบทมัทธิวและมาระโก)



7. ทำไมต้องให้คนไปเหยียบกันตายที่เมกกะ?

คงไม่มีใครตั้งใจจะไปตายหรอกนะครับ แต่เรื่องของอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งแล้วการไปประกอบศาสนกิจที่มีผู้คนเป็นจำนวนมากจากทั่วโลกก็ย่อมเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายถ้าเจ้าหน้าที่ไม่จัดระเบียบให้ดี แต่อย่างไรก็ตามการไปประกอบพิธีฮัจญ์นั้นไม่ได้น่ากลัวและไม่ได้เสี่ยงอันตรายอย่างที่สื่อตะวันตกได้สร้างภาพลบให้ สถิติเหตุการณ์คนตายจากการประกอบพิธีฮัจญ์นั้นมีน้อยมากหากเทียบกับอุบัติเหตุอื่นๆ ที่เกิดจากกิจกรรมสนุกสนานไร้สาระของมนุษย์ อย่างประเทศไทยเราที่มีเทศกาลปีใหม่, สงกรานต์, ลอยกระทง ซึ่งนอกจากจะเป็นเทศกาลรื่นเริงแล้วยังเป็นเทศกาลแห่งความตายก็ว่าได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีใครนำเสนอในเชิงคัดค้านว่าจะมายกเลิกไม่ให้มีเทศกาลเหล่านี้ แต่ทีเวลาคนไปทำฮัจญ์แล้วตาย กลับนำเสนอข่าวในเชิงไม่สนับสนุนให้มีพิธีกรรมทางศาสนาแบบนี้! เราลองมาคิดดูด้วยสามัญสำนึกว่า การตายในสถานการณ์ไหนประเสริฐกว่า? บางคนตายในระหว่างกิจกรรมชั่วช้าลามก ..บางคนตายในระหว่างกิจกรรมรื่นเริงไร้สาระ ..บางคนตายในหน้าที่อาชีพการงาน ..บางคนตายในสมรภูมิ ..บางคนตายในขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ..ซึ่งสำหรับศาสนาอิสลามแล้วถือว่าการตายที่มุสลิมพึงพอใจมากที่สุดคือการตายในหนทางของศาสนา และที่มุสลิมไม่พึงประสงค์เลยคือการตายในสภาพที่ทำชั่วหรือทำกิจกรรมไร้สาระ ..ตรงนี้ผมคงไม่ต้องมานั่งเลือกให้คุณนะครับว่าจะเอาแบบไหนดี เพราะสามัญสำนึกของมนุษย์แล้วมันรู้อยู่แก่ใจครับว่าอะไรดีอะไรไม่ดี

การทำฮัจญ์นั้นก็เป็นบทบัญญัติหนึ่งซึ่งมุสลิมมีหน้าที่ต้องกระทำ ถ้ามีความสามารถไปได้ อย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้งในชีวิตต้องไปทำฮัจญ์ที่นครมักกะฮฺ(หรือที่ชาวตะวันตกเรียกเมกกะ) มันเป็นการแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระเจ้าในดินแดนอันเป็นบ้านเกิดของท่านนบีมุฮัมมัด เป็นจุดศูนย์รวมของชาวมุสลิมทั่วโลก เป็นพิธีกรรมที่ทุกๆศาสดาในอดีตที่พระเจ้าส่งมาได้เคยกระทำ และที่สำคัญอีกประการคือการทำฮัจญ์นั้นเป็นการแสดงถึงความสามัคคีและความเสมอภาคของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นพ่อค้า หรือจะเป็นยาจกเร่ร่อน แต่ในที่นั้นคุณทำอะไรก็ต้องทำเหมือนๆกันและมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน การทำฮัจญ์เป็นการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวของชาวมุสลิม เพราะไม่ว่าจะมาจากเชื้อชาติไหนภาษาไหนก็ตาม ต่างก็มารวมตัวกันแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้าร่วมกัน



8. ทำไมต้องกราบกะบะฮฺ?

ชาวต่างศาสนิกเองมีความสับสนก่อนที่จะถามคำถามนี้ ในเรื่องของหินดำกับกะบะฮฺ เพราะเขาได้ยินทั้งคำว่า “หินดำ” ได้ยินทั้งคำว่า “กะบะฮฺ” แล้วก็คิดว่ามันเป็นอันเดียวกัน ดังนั้นบางคนจึงตั้งคำถามว่ามุสลิมไม่เคารพรูปปั้นแต่ทำไมดันกราบหินดำ? ในขณะที่บางคนถามว่าทำไมต้องกราบกะบะฮฺ? แต่จริงๆแล้วมันคนละอันกันครับ

กะบะฮฺนั้นเป็นอาคารที่สร้างโดยมะลาอิกะฮฺ (ทูตสวรรค์หรือที่ชาวคริสต์เรียกว่าAngel) ซึ่งสร้างตามพระบัญชาของพระเจ้าที่ต้องการให้มี“บ้านแห่งพระเจ้า”(บัยตุลลอฮฺ) เพื่อไว้ให้มนุษย์รำลึกถึงพระองค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคนบีอาดัมมนุษย์คนแรกของโลก และพังไปในยุคที่น้ำท่วมโลก หลังจากนั้นก็ได้ถูกสร้างใหม่โดยนบีอิบรอฮีม(อับราฮาม) เนื่องจากมุสลิมนั้นจะไม่ปั้นรูปใดๆขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระเจ้า อาคารหลังนี้จึงเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อรำลึกถึงพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมกราบไหว้บูชาแต่อย่างใด

อาคารกะบะฮฺนี้ได้ถูกตบแต่งประดับประดาเรื่อยมาในยุคของท่านนบีมุฮัมมัดและหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป(จนปัจจุบันเราเห็นมีผ้าสวยๆคลุมอยู่) และสำหรับเหตุการณ์ที่นบีอิบรอฮีมสร้างบ้านแห่งพระเจ้าหลังนี้ก็ถูกเล่าไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเช่นกัน แต่ชาวคริสต์โดยมากไม่รู้ว่าเป็นอาคารกะบะฮฺหลังนี้ ..จากที่กล่าวมานี้เราคงทราบกันแล้วว่ากะบะฮฺนั้นเป็นแค่อาคาร จึงตัดประเด็นออกไปได้เลยว่ามุสลิมจะกราบกะบะฮฺนี้ เพียงแต่จากภาพที่เห็นมุสลิมละหมาดนั้นจะมีการก้มกราบไปในทิศทางของกะบะฮฺและหินดำ..

หินดำนั้นวางอยู่ที่มุมหนึ่งของอาคารกะบะฮฺ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมกำลังกราบอยู่ เพียงแต่ตำแหน่งมันอยู่บนจุดที่มุสลิมหันหน้าก้มกราบไปทางนั้น แล้วจุดนั้นมันคืออะไร? ..มันก็คือจุดที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เป็นทิศทางในการผินหน้าสำหรับมุสลิมในขณะละหมาดหรือขอวิงวอน

ในเมื่ออิสลามห้ามสร้างวัตถุขึ้นมากราบไหว้แทนพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงให้มุสลิมผินหน้าไปทางจุดที่ถูกกำหนดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการกราบ หรือการละหมาด หรือการขอวิงวอน ซึ่งเราเรียกว่าทิศ“กิบลัต” และจุดๆนั้นเองเมื่อลองกางแผนที่ดูแล้วก็จะพบว่ามันช่างเหมาะเหลือเกินที่จะเรียกว่า จุดศูนย์กลางของโลก ดังนั้นไม่ว่ามุสลิมจะอยู่ส่วนใดของโลกก็ตาม เวลาละหมาดเขาก็จะหันหน้าไปยังจุดนี้แหละครับ

หินดำไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใด แต่เผอิญตัวหินดำมันดูมีความพิเศษกว่าหินทั่วไปตรงความประหลาด และ ความเก่าแก่ของมันซึ่งท่านนบีเล่าว่าเป็นหินที่มาจากสวรรค์ (ในบันทึกของอิมามติรมีซีย์และอิมามอิบนุ คุซัยมะฮฺ) และในบันทึกของอิมามติรมีซีย์(นักบันทึกหะดีษท่านหนึ่ง)ยังมีหะดีษที่ท่านนบีได้เล่าว่า หินดำนั้นเดิมทีเป็นสีขาวซึ่งขาวกว่าน้ำนมและเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะความผิดบาปของลูกหลานอาดัม (คือมนุษย์ทั้งหลาย) แต่หินดำก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่มุสลิมเคารพบูชาแต่อย่างใด ซึ่งมุสลิมเองก็ห้ามไปมีความเชื่อว่าหินดำนั้นมีความขลังหรือมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์

การจูบหินดำเป็นสิ่งที่มุสลิมนิยมกระทำเพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนบีว่าหินดำนี้ท่านนบีเคยจูบนะ ท่านอุมัรฺ(สาวกคนหนึ่งของนบีมุฮัมมัด)ได้พูดว่า “โอ้หินดำเอ๋ย ฉันรู้ว่าแกคือหินธรรมดา ไม่ให้โทษและไม่ให้คุณ ถ้าท่านศาสนทูต(นบีมุฮัมมัด)ไม่จูบฉันก็จะไม่จูบแกเลย” (บันทึกของอิมามบุคอรีย์และอิมามมุสลิม) นอกจากนั้นแล้วยังมีประวัติว่าท่านนบีเคยใช้ให้ท่านบิลาล(สาวกคนหนึ่ง) ขึ้นไปยืนอะซาน (ขับร้องประกาศเชิญชวนคนมาละหมาด) บนอาคารกะบะฮฺ นั่นหมายความว่าทั้งกะบะฮฺและหินดำไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมเคารพบูชาครับ เพราะไม่มีวัตถุใดหรอกนะครับที่คนซึ่งเคารพบูชาจะกล้าขึ้นไปยืนเหยียบ



9. ทำไมต้องก่อการร้าย?

กลุ่มคนที่สวมชุดยูนิฟอร์ม พกอาวุธชั้นดี มีเครื่องบินรบ มีรถถัง และได้รับคำสั่งจากทางรัฐให้ฆ่าคน เขาเรียกว่า “ทหาร” ส่วนกลุ่มคนที่ไม่มีชุด ยูนิฟอร์ม(และมักจะเห็นว่ามีการโพกหัวไว้เครา) มีอาวุธไม่ค่อยดีนัก ไม่มีเครื่องบินรบ ไม่มีรถถัง และไม่ได้รับคำสั่งจากทางรัฐให้ฆ่าคน เขาเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” ดังนั้นภาพพจน์ของทหารจะถูกวาดไว้ให้ดูดีเสมอ ส่วนผู้ก่อการร้ายก็ถูกสร้างภาพให้ดูเลวและมีความน่าสะพรึงกลัวเสมอ แต่อย่างไรก็ตามใช่ว่าการฆ่าคนของทหารจะมีความชอบธรรมเสมอไปหรือจะผิดเสมอไป และก็ใช่ว่าการฆ่าคนของกลุ่มก่อการร้ายจะมีความชอบธรรมเสมอไปหรือจะผิดเสมอไปเช่นกัน

ในยุคปัจจุบัน มีความขัดแย้งระดับสากลระหว่างประเทศมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร กับกลุ่มก่อการร้ายสากลซึ่งนำขบวนโดยกลุ่ม “อัล-กออิดะฮฺ” ซึ่งมีอุดมการณ์ในการต่อสู้กับมหาอำนาจโดยใช้หลักการของศาสนาอิสลาม

ถึงแม้ประเทศมหาอำนาจ จะมีอำนาจในการควบคุมสื่อในการสร้างภาพลักษณ์ และสามารถสร้างกระแสให้ประชาชนผู้เสพข่าวได้เกลียดโลกมุสลิมและเกลียดกลุ่มคนที่ออกมาต่อสู้กับพวกเขา โดยยัดเยียดให้มีชื่อว่า“กลุ่มก่อการร้าย” แต่ในขณะเดียวกันอำนาจในการคุมสื่อของพวกเขาก็ไม่เพียงพอต่อการปกปิดความจริง นั่นก็คือความชั่วช้าป่าเถื่อนที่สหรัฐและพันธมิตรได้กระทำไว้(โดยมีอิสราเอลเป็นเจ้านายบงการอยู่เบื้องหลัง) ชาวโลกส่วนหนึ่งที่ติดตามข่าวคราวก็ย่อมรู้ดีว่า บรรดาประเทศมหาอำนาจนั้นเป็นฝ่ายที่ไปรุกรานเบียดเบียนผู้อื่นอย่างอธรรม ตลอดทุกครั้งที่มีการบุกรุกของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นในโซมาเลีย, ปาเลสไตน์, อัฟกานิสถาน และอิรัค จะมีการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ มีการทำลายบ้านเรือน มีการข่มขืน (แต่ท่านจะไม่ค่อยได้ยินข่าวเหล่านี้จากสำนักข่าวของพวกเขา) ดังนั้นโดยสัจธรรมแล้วก็ต้องมีผู้ที่ออกมาต่อสู้ปกป้องและตอบโต้ ซึ่งสามารถกระทำได้โดยชอบธรรมอยู่แล้ว ในศาสนาอิสลามก็มีสอนเรื่องการต่อสู้ และการสงครามไว้เช่นกัน ที่เรียกว่า“ญีฮาด” ส่วนกลุ่มนักรบที่ออกมาต่อสู้เราเรียกว่า“มุญาฮิดีน” ไม่ได้เรียกว่า“ผู้ก่อการร้าย”นะครับ ถึงแม้นักรบมุญาฮิดีนจะได้ไม่ได้ขี่ม้าสวมชุดเกราะและถือดาบอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีตก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะว่าในยุคปัจจุบันไม่มีระบอบรัฐอิสลาม และไม่มีผู้นำที่คอยประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ ดังนั้นบรรดานักรบจึงต้องต่อสู้ในลักษณะที่เรียกว่า“สงครามกองโจร”อย่างนี้แหละครับ ดังนั้นการเรียกพวกเขาว่าผู้ก่อการร้ายจึงไม่เหมาะสมกับเกียรติศักดิ์ศรีของพวกเขา อย่างน้อยๆเรียกว่า“กลุ่มต่อต้าน”ก็ยังดีครับ ส่วนคำว่า“ผู้ก่อการร้าย”นั้นเหมาะที่จะเป็นชื่อไว้เรียกประเทศมหาอำนาจที่รุกรานประเทศอื่นซะมากกว่า ส่วนในการต่อสู้ของกลุ่มมุญาฮิดีนนั้นก็อาจมีการกระทำที่เกินเลยไปบ้าง ผิดไปบ้างในบางเหตุการณ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันผิดไปซะทั้งหมด และก็ยังดีกว่าการที่ไม่ออกมาต่อสู้อะไรเลย

บางคนอาจมีคำถามว่าอิสลามแปลว่า“สันติ” แล้วทำไมจึงสอนเรื่องการทำสงคราม? ผมขอตอบว่าความสันตินั้นบางครั้งก็ได้มาจากการใช้กำลังครับ เห็นไหมครับว่าตำรวจที่พกอาวุธไปยิงผู้ร้ายยังถูกเรียกว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” หรือแม้แต่ประเทศอเมริกาที่ครอบครองอาวุธร้ายแรงที่สุดในโลกไว้เขาก็ยังอ้างว่าเอาไว้สร้างสันติภาพให้แก่ชาวโลก(ดังเช่นที่เราเห็นเขาไปถล่มอิรัคจนทำให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปนับแสน) แต่สำหรับอิสลามแล้วเรื่องการทำสงครามมีกฎระเบียบข้อห้ามมากมาย ไม่ใช่ว่าในภาวะสงครามมุสลิมจะสามารถไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ แต่มีสิทธิอยู่หลายประการที่ต้องรักษาไม่ว่าจะเป็นชีวิตของผู้บริสุทธิ์, ผู้หญิง, เด็ก และนักบวชของศาสนาอื่น เรื่องข้าวของจะต้องไม่ถูกทำลายโดยใช่เหตุ หรือแม้กระทั่งการปฏิบัติต่อเชลยศึก อิสลามล้วนมีกฎควบคุมวินัยการรบไว้อย่างละเอียด

บางคนอาจแปลกใจว่าทำไมศาสนาจะต้องมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือคนเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือเปล่า? ไม่ใช่เลยครับ แต่เป็นเพราะว่าอิสลามเป็นศาสนาที่จะมาจัดระเบียบสังคมมนุษย์ มาควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อที่จะได้เกิดความสงบสุขแก่พวกเขาทั้งโลกนี้และโลกหน้า อิสลามจึงไม่ได้สอนแค่ว่า..อย่าเบียดเบียนนะ..อย่าพูดโกหกนะ..อย่าขโมยของนะ..ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนะ ซึ่งส่วนตัวผมแล้วคิดว่าถ้าสอนแบบนี้คงไม่ต้องมีศาสนาหรอกครับ เอาไว้เป็นแค่วิชาจริยธรรมสอนเด็กอนุบาลก็พอ เพราะนำมาใช้จริงไม่ได้ในทางปฏิบัติ แต่อิสลามเป็นศาสนาที่สามารถนำมาปฏิบัติจริงได้ในชีวิตประจำวันและเห็นผลจริง ไม่ใช่เป็นแค่ทฤษฎีหรือปรัชญาที่มาสอนเพียงลอยๆเท่านั้น เพราะฉะนั้นอิสลามจึงมีสอนในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย, เศรษฐศาสตร์, การเมืองการปกครอง, การสงคราม, วิทยาการทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์, การดำเนินชีวิต สิ่งที่พึงปฏิบัติต่อสังคม และสิ่งที่พึงปฏิบัติต่อครอบครัว เช่นการเลี้ยงดูบุตรหลานหรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆที่พึงปฏิบัติระหว่างสามีภรรยาศาสนาอิสลามก็มีสอน อิสลามเป็นศาสนาที่มีสอนเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยในชีวิตของมนุษย์มากที่สุด ซึ่งเราต้องศึกษาเรียนรู้อีกมากและถ้าหากศึกษาและนำมาใช้แล้วก็จะเกิดความสงบสุขในชีวิตสำหรับผู้ที่นำมาใช้ แต่ที่โลกนี้ไม่พบกับความสันติและความสงบสุขก็เพราะว่ามนุษย์ปฏิเสธอิสลาม ปฏิเสธศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า และไปนำแนวคิดทฤษฎีที่มนุษย์คิดค้นกันเองมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิประชาธิปไตย ลัทธิเผด็จการ ลัทธิสังคมนิยม ลัทธิเสรีนิยม ซึ่งปัจจุบันนี้ลัทธิวัตถุนิยม(ไม่เชื่อในสิ่งเร้นลับ)ได้มีอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์ทั่วโลกเป็นอย่างมากไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม การใช้ชีวิตแบบอิสรเสรีไร้ขอบเขตทำให้สังคมมนุษย์พบกับความหายนะอย่างมหาศาลที่เราเห็นกันอยู่ แต่คนเรามักมองไม่เห็นถึงต้นตอปัญหา ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็เพราะผู้คนจำนวนมากถูกล้างสมองโดยลัทธิวัตถุนิยม พวกเขาสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่แนวคิดอิสรเสรีของพวกเขา เขามีจิตวิทยาดี มีการเอาใจเพศหญิง มีการเอาใจคนผิดปรกติทางเพศ(เกย์,เลสเบี้ยน) และที่สำคัญพวกเขาต้องสร้างภาพลบให้ศัตรูหมายเลขหนึ่งซึ่งมีแนวคิดที่สวนทางกับพวกเขานั่นก็คือศาสนาอิสลาม! เราจึงจะเห็นได้ว่าศาสนาอิสลามมักถูกสร้างภาพลบ ถูกบิดเบือนใส่ไคล้อยู่เสมอ และมุสลิมที่เคร่งครัดในศาสนาก็ถูกสร้างภาพลบให้ว่าเป็นพวกล้าหลัง หรือถ้ายิ่งเคร่งมากๆก็จะถูกจัดกลุ่มให้ว่าเป็นพวกหัวรุนแรง! แล้วพอเวลามีการปะทะกันระหว่างอารยธรรม สื่อของพวกเขาก็จะยัดเยียดให้มุสลิมเป็นฝ่ายผิดเสมอ

ทั้งที่จริงแล้วศาสนาอิสลามมีการจัดระเบียบจัดโซนสำหรับผู้ไม่ศรัทธาหรือคนต่างศาสนิกไว้อย่างชัดเจน อิสลามไม่ได้บีบบังคับให้ใครมานับถือ ดังที่อัล-กุรอานได้กล่าวว่า “ไม่มีการบังคับใดๆในศาสนา” (บทอัล-บะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 256) และเรื่องความเชื่อและการปฏิบัติศาสนกิจนั้นก็ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่ต้องเอามารวมปะปนกัน ดังที่อัล-กุรอานได้กล่าวว่า “ศาสนาของท่านก็สำหรับท่าน ศาสนาของฉันก็สำหรับฉัน” (บทอัล-กาฟิรูน โองการที่ 6) ดังนั้นจึงเลิกคิดไปได้เลยว่าที่มุสลิมทำญีฮาดก็เพื่อบีบบังคับให้คนอื่นเข้าศาสนา! ดังที่นักเผยแพร่ศาสนาอื่นชอบกล่าวหาใส่ไคล้กัน



10. อัลลอฮฺคือใคร?

คนไทยจำนวนมากเข้าใจดังนี้ว่า คนพุทธนับถือพระพุทธเจ้า คนคริสต์นับถือพระเยซู ส่วนมุสลิมนับถืออัลลอฮฺ ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าคือศาสดา(เป็นมนุษย์) พระเยซูก็คือศาสดา(ก็เป็นมนุษย์) ดังนั้นอิสลามนับถืออัลลอฮฺ ก็คงจะเป็นศาสดาล่ะมั้ง? ..ไม่ใช่ครับ อัลลอฮฺไม่ใช่มนุษย์ อัลลอฮฺเป็นพระนามที่พระผู้เป็นเจ้าเรียกพระองค์เอง ดังนั้นเมื่อมุสลิมกล่าวถึง อัลลอฮฺ ก็ให้เข้าใจว่าหมายถึงพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้านั้นมีองค์เดียวเป็นผู้สร้าง และควบคุมกฎระเบียบกลไกของธรรมชาติ ซึ่งก็เป็นพระเจ้าเดียวกับที่ชาวยิวและชาวคริสต์นับถือ (โมเสสและเยซูก็เป็นศาสดาซึ่งพระผู้เป็นเจ้าแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนา) และจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนนั้นรู้จักพระเจ้าครับ ถึงแม้พวกเขาจะเรียกชื่อไม่ถูกหรือไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือพระเจ้าก็ตาม แต่จิตใต้สำนึกมนุษย์รู้ว่ามีอำนาจซึ่งควบคุมอยู่เบื้องหลังความเป็นไปของธรรมชาติ และความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ มีผู้ซึ่งให้คุณและโทษอยู่เบื้องหลัง ให้มีการประสพความโชคดีและโชคร้าย มนุษย์หลายคนเชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำชั่วไว้ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้รับโทษ แต่ซักวันต้องได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนึ่งอย่างใดแน่นอน.. และเหตุที่มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ก็เพราะจิตใต้สำนึกเขารู้ว่า มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคอยตอบแทนผลการกระทำอยู่นั่นเอง

มุสลิมเป็นกลุ่มชนที่รักพระเจ้ามากที่สุด มีการละหมาดอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง และเป็นกลุ่มชนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบที่พระเจ้าบัญญัติมากที่สุด มีความรักและใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดทั้งๆที่เขาก็มองไม่เห็นพระเจ้าเลย

แต่วิธีการรู้จักพระเจ้าไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เรารู้จักพิจารณาไตร่ตรอง ใคร่ครวญถึงข้อเท็จจริงของธรรมชาติอย่างมีเหตุผล ยอมรับความเป็นจริงและไม่หลอกตัวเองว่าในธรรมชาตินั้นมันมีกลไกที่สลับซับซ้อน เอาเฉพาะในระบบสุริยะจักรวาลของโลกเรานั้น มีวงโคจรของดวงดาวที่แสนมหัศจรรย์ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีความสัมพันธ์ต่อโลกและสิ่งมีชีวิตอย่างที่จะขาดไม่ได้ มันดูไร้สติหากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ๆมันก็หลงเข้ามาบรรจบและโคจรกันอย่างเหมาะเหม็งโดยบังเอิญ อย่างตำแหน่งของดวงจันทร์หากมันขยับเข้าใกล้โลกอีกนิด แรงดึงดูดของโลกก็จะดูดเอาดวงจันทร์พุ่งเข้ามาชนโลกเสียหายแน่นอน หรือถ้ามันอยู่ห่างจากโลกไปอีกนิดมันก็จะหลุดจากวงโคจรออกไปและจะทำให้โลกของเราไม่มีน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งก็จะทำให้น้ำไม่มีออกซิเจนและทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งดวงจันทร์มันคงไม่รู้ตัวแน่นอนว่ามันช่างมีประโยชน์ต่อโลกมนุษย์เหลือเกิน วิถีโคจรที่แน่นอนของดวงดาวต่างๆ ก็ทำให้มนุษย์สามารถคำนวณเวลาและมีวิชาดาราศาสตร์ขึ้นมาได้ จากนอกโลกเราลองเข้ามาดูสรรพสิ่งในโลกนี้ก็ล้วนเป็นความมหัศจรรย์ในเรื่องความสวยงาม ความสมบูรณ์และกลไกที่สลับซับซ้อนมากกว่านอกโลกเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นชั้นบรรยากาศก็มีประโยชน์ต่อการป้องกันความร้อนจากดวงอาทิตย์และอันตรายจากวัตถุเล็กๆนอกโลก.. น้ำ อากาศ สิ่งมีชีวิต ต่างมีความสัมพันธ์ต่อกันในระบบนิเวศน์ ซึ่งตัวมันเองก็ไม่รู้ไม่เข้าใจถึงระบบนี้นอกจากทำตามอำนาจการบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งรายละเอียดและความสลับซับซ้อนทั้งหมดเราไม่สามารถพูดกันได้วันเดียวจบ แต่ต้องทำการศึกษาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติกันทั้งชีวิตเลยทีเดียว ส่วนถ้าเราต้องการรู้จักพระเจ้าจากการดูตัวมนุษย์เองก็เช่นกัน วันเดียวคงพูดกันไม่จบเพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุด มีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่ละเอียดซับซ้อน แต่วิธีการสังเกตอย่างง่ายๆก็ให้พิจารณาดูแล้วกันว่าระบบต่างๆในร่างกายมันทำงานกันอย่างมีระบบระเบียบอย่างไร ไม่ว่าจะระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบหมุนเวียนของเลือด เส้นประสาทต่างๆ สมองและสัมผัสทั้งห้า การรับภาพของดวงตา การรับเสียงของหู การรับกลิ่นของจมูก สิ่งเหล่านี้ยังเป็นแค่เรื่องผิวๆเปลือกๆเท่านั้น ความจริงแล้วรายละเอียดเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์นั้นมีมากเหลือเกิน ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้รู้ถึงความมหัศจรรย์ของการสร้างของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น

เครื่องบินลำหนึ่งๆ อยู่ๆไม่ใช่ว่ามันจะเกิดเป็นเครื่องบินขึ้นมาเอง แต่มันต้องมีสถาปนิกผู้ออกแบบ มีวิศวกรผู้คำนวณ และมีช่างผู้สร้างมันขึ้นมา มันถึงได้กลายมาเป็นเครื่องบินที่มีระบบการทำงานที่สมบูรณ์ สามารถบินได้ ดังนั้นเป็นเรื่องไร้สติปัญญาเหลือเกินถ้าผมจะบอกว่า เครื่องบินนั้นเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ! เช่นเดียวกันธรรมชาติซึ่งมีกลไกมีระบบที่ซับซ้อนมากกว่าเครื่องบินหลายเท่า ถ้าใครจะบอกว่ามันเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญก็คงโง่เขลายิ่งกว่าที่ผมบอกว่าเครื่องบินเกิดมาโดยบังเอิญซะอีก! เราอย่าว่าไปถึงธรรมชาติทั้งหมดเลย เราเอาแค่นกก็พอ แค่นี้ก็เยี่ยมยอดกว่าเครื่องบินแล้ว เพราะเครื่องบินไม่มีสมองคิด ไม่สามารถผสมพันธุ์และฟักไข่แล้วคอยนำอาหารมาป้อนให้ลูก ไม่สามารถถ่ายทอดดีเอ็นเอจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งเพื่อกำเนิดเครื่องบินมาใหม่อีกลำ!

เพราะฉะนั้นความศรัทธาในพระเจ้า จึงเป็นสัจธรรมไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อและงมงาย ดังนั้นใครที่ต้องการจะปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าจึงมีทางออกเดียวคือ หลอกตัวเอง! ไม่ยอมรับความจริง!

สำหรับใครที่บอกว่าไม่มีพระเจ้า ด้วยความที่ไม่รู้นิยามของคำว่าพระเจ้านั้น ผมก็จะขอบอกว่ามุสลิมเราก็เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าเช่นกัน! เพราะหากเราพูดถึงคำว่าพระเจ้าแล้ว ผู้คนก็มักจะนึกไปถึงเทพเจ้าที่อยู่บนเมฆ เทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพแห่งน้ำ เทพแห่งการกีฬา เทพแห่งศิลปะ เทพแห่งการทำลายล้าง ฯลฯ ซึ่งพระเจ้าเหล่านี้อิสลามก็เชื่อว่าไม่มีเช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงจากจินตนาการเพ้อฝันของมนุษย์ แต่ถ้ามันจะมีจริงๆขึ้นมาแล้วล่ะก็ มันก็คือสิ่งที่อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติอีกที ก็คือถูกสร้างมาโดยอัลลอฮฺผู้ซึ่งสร้างธรรมชาติมานั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นชาวกรีก ชาวจีน ชาวอินเดีย หรือชาวอาหรับเองก็เชื่อว่ามีเทพเจ้าเหล่านี้โดยที่ชาวมักกะฮฺในอดีตนั้นก็เคารพบูชาเทพเจ้าหลายองค์และปั้นรูปขึ้นมาเคารพบูชา แล้วให้เทพเจ้าทั้งหลายนำคำวิงวอนขอพรไปให้ทูลแก่อัลลอฮฺพระเจ้าสูงสุดเพื่อประทานพรมาให้มนุษย์อีกที แต่อัลลอฮฺได้ยืนยันให้มนุษย์รู้ว่าเทพเจ้าเหล่านั้นไม่มีจริง มันเป็นจินตนาการที่มนุษย์เสกสรรปั้นแต่งขึ้นเอง โดยที่อัลลอฮฺได้ให้ทุกๆศาสดาที่พระองค์แต่งตั้งนั้นมาสอนคำพูดเดียวกันว่า“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ” รวมทั้งท่านนบีมุฮัมมัดก็ต้องทำหน้าที่นำประโยคนี้มาสอนแก่มนุษยชาติเช่นกัน ดังนั้นประโยคนี้จึงเป็นคำพูดที่สำคัญที่สุดของมุสลิม และสำหรับคนที่เข้ารับอิสลามคำกล่าวแรกที่เขาต้องพูดก็คือคำว่า “ลาอิลาหะอิลลัลลอฮฺ” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “ไม่มีพระเจ้า แต่มีอัลลอฮฺ” หรือที่เราให้ความหมายให้มีสำนวนที่ถูกต้องว่า“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ”นั่นเอง ถ้าเราเคลียร์ความเชื่อตรงนี้ได้มันก็คือทางไปสู่สวรรค์

พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาอย่างไร้จุดหมายหรือให้มนุษย์ใช้ชีวิตบนโลกอย่างไม่รู้จักบุญคุณของพระองค์เลย แต่ได้ส่งบรรดาผู้สอนสัจธรรมมาทุกยุค ซึ่งได้แก่บรรดา“นบี”ซึ่งแปลว่า“ผู้บอกข่าว” บุคคลเหล่านี้จะมาสอนให้มนุษย์ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว และมาแจ้งข่าวต่างๆล่วงหน้าโดยเฉพาะเรื่องการมาของนบีคนต่อๆไปหรือการมาของนบีท่านสุดท้ายคือท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งสำหรับท่านนบีมุฮัมมัดเองนอกจากจะเป็นผู้สอนสัจธรรมและการใช้ชีวิตให้อยู่ในทางสวรรค์และรอดพ้นนรกไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ท่านก็ยังแจ้งให้เราทราบถึงเหตุการณ์ล่วงหน้ามากมาย เพื่อให้เราเตรียมพร้อมรับมือไม่ว่าจะเป็นอุบัติภัยต่างๆที่เกิด สภาพสังคม สภาพของมนุษย์ ข่าวดีข่าวร้ายสำหรับโลกมุสลิม ฯลฯ ซึ่งมันได้ทยอยเกิดขึ้นจริงเกือบจะครบทุกข้อแล้ว ส่วนบรรดานบีนี้จะมีบางคนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็น“รอซูล” ซึ่งแปลว่า “ผู้นำสาส์น” (ซึ่งสาส์นที่นำมาก็คือสาสน์หรือศาสนา)ในภาษาไทยมักจะแปลว่า“ศาสนทูต” ซึ่งหมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่นำคำสอนหรือคัมภีร์จากพระเจ้ามาเทศนาให้แก่มนุษย์ ซึ่งบรรดานบีและรอซูลนั้นจะได้รับการดลใจหรือที่เรียกว่าวิวรณ์(วะฮีย์)ให้พูดหรือกระทำสิ่งต่างๆ ฉะนั้นในอิสลามจึงไม่มีคำว่า“ศาสดา” แต่เพื่อความเข้าใจได้ง่ายสำหรับคนต่างศาสนิกเราจึงเรียกบรรดานบีและรอซูลว่าศาสดา ซึ่งมีความหมายที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับภาษาไทย เนื่องจากในความเชื่อของคนไทยเรานั้นศาสดาหมายถึงผู้ก่อตั้งศาสนาหรือลัทธิด้วยตนเอง แต่สำหรับนบีและรอซูลนั้นไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งศาสนา แต่เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าให้ทำหน้าที่ทางศาสนา ส่วนสำหรับภาษาอังกฤษนั้นไม่มีปัญหาครับเพราะคำว่า “Prophet” มีความหมายเดียวกับทั้งคำว่า“นบี”และคำว่า“ศาสดา” ซึ่งคำว่าProphetแปลว่าผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้สอนศาสนาหรือแจ้งข่าวก็ได้ หรือจะแปลว่าผู้ก่อตั้งศาสนาก็ได้

บรรดารอซูลทั้งหลายต่างก็ได้ทำหน้าที่เผยแผ่คัมภีร์ ซึ่งก็คือพระดำรัสจากพระเจ้า อย่างเช่นท่านนบีมุฮัมมัดก็ได้รับคัมภีร์อัล-กุรอานโดยได้รับการดลใจให้กล่าวออกไปในลักษณะค่อยๆทยอยลงมาทีละโองการ กว่าจะครบทั้งเล่มก็ใช้เวลาถึง 23 ปี ก่อนหน้ายุคของนบีมุฮัมมัดนั้นรอซูลท่านอื่นๆก็ทำหน้าที่นี้เช่นกัน เช่นท่านนบีดาวูด(เดวิด)ได้รับคัมภีร์ซะบูร, นบีมูซา(โมเสส)ได้รับคัมภีร์เตารอด
............................

นำมาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ : ขอบคุณคณะผู้จัดทำ (ทีมงานชาวต้นไม้) ,และเพื่อนที่ส่งต่อ


Create Date : 16 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2554 8:06:23 น. 6 comments
Counter : 732 Pageviews.

 
ดีคับ...รับรับทราบ ในสิ่งที่ไม่รู้จะถามได้จากที่ไหน
.....ขอบคุณคับ


โดย: biocellulose วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:8:33:25 น.  

 
แวะมาเยี่ยมชม ขอบคุณค่ะ.....................


โดย: tadatul วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:10:35:38 น.  

 
...ขอบคุณ สำหรับบทความ ดีดี ที่แบ่งปัน


โดย: ตรี (kate_tee ) วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:22:20 น.  

 
อ่านแล้วทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น.... ขอบคุณนะค่ะ ^^


โดย: Atatayajung วันที่: 19 พฤศจิกายน 2554 เวลา:0:20:34 น.  

 
มาทักทายจ้า


โดย: backhold วันที่: 24 พฤศจิกายน 2554 เวลา:23:07:48 น.  

 
สุดยอดคับขนาดผมอิสลามแท้ๆยังไม่รู้ขนาดนี้เลย


โดย: Middy IP: 115.87.255.72 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:1:41:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระติก น้ำชา ลีลาวดี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
เรียบง่ายอย่างมีแบบแผน..ตามแนวทางของผู้สร้างทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน
Friends' blogs
[Add กระติก น้ำชา ลีลาวดี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.