★ฝัน หวาน อาย จูบ ::เปิดใจรับความต่าง และดูหนังอย่างสมานฉันท์
ตอนแรกว่าจะไม่เขียนถึงเรื่องนี้แล้วเชียว แต่เพราะ “ฝัน หวาน อาย จูบ”ชักจะกลายเป็นหนังที่ทำให้เกิดการปะทะทางความคิดของผู้ชมสูงมาก (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฉายอย่างเป็นทางการ)เราก็เลยขอระบายความคิดเห็นส่วนตัวบ้างดีกว่า อาจจะย้อนศรความคิดเห็นของคนส่วนมากไปบ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องจริงของสังคมนี่นา
ถ้าคิดเห็นเหมือนกันหมดมันก็ไม่สนุกสิ…
เมื่อฉันเดินยิ้มกริ่มออกจากโรงฉายในรอบสื่อมวลชน (ด้วยอานิสงส์บัตรฟรีจากการไปฝึกงาน 555) ก็เริ่มได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ยิ่งกับกลุ่มพี่ๆที่ไปด้วยกัน ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ละคนก็แสดงความคิดเห็นกันอย่างดุเดือดซึ่งส่วนมากจะไปในทางลบ ส่วนฉันที่เพิ่งอารมณ์ดีออกมาจากโรงหนังก็เลยเลือกที่จะยืนฟังอยู่ห่างๆ ดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นไอ้ความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่กำลังมีมันหายไป
ในตอนนั้น ฉันแค่อยากมีความสุขอยู่กับหนังไปนานๆ มากกว่า
“ฝัน หวาน อาย จูบ”ก็ยังเป็นมหกรรมยำหนังสั้น เหมือนที่สมัยนี้เค้าฮิตทำกัน แต่ต่างตรงที่มันไม่มีอะไรเชื่อมเกี่ยวกันระหว่างทั้ง 4 เรื่อง และแม้จะพูดถึงเรื่องความรักแต่มันก็ยังไม่ใช่แก่นหลักที่แข็งแรงพอที่จะมาอ้างว่าหนังทั้งสี่กำลังเกาะธีมนี้อยู่
มันก็เลยเป็นหนังสั้นแบบต่างคนต่างทำสี่เรื่อง แล้วเสี่ยงเจียงก็เอามันมาฉาย และขายรวมกัน เท่านั้นเอง
พูดอย่างนี้ดูเหมือนแย่เลยเนอะ แต่จริงๆ แล้วฉันออกจะชื่นชอบ และชื่นชมความแปลกใหม่ ที่หาชมได้เรื่องนี้ ซึ่งน่าจะเป็นข้อดีของการทำเป็นหนังสั้นเพราะมันทำให้ผู้กำกับได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ลงไปในหนังตลาดและไม่ต้องดันทุรังทำมันเป็นหนังยาว
แต่ทั้งนี้ ผู้ชมอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ต้องเปิดใจพอสมควรในการดูหนัง ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอาการเครียดแตก นอยจัด หรืออารมณ์เสียได้
ต้องเปิดใจกว้างๆ อย่าคาดหวังและยึดติด จะนำมาซึ่งความสุข…
“จูบ” ถูกเลือกมาฉายเปิดหนังสั้นชุดนี้ การกลับมาของคุณ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล ถือว่าไม่น่าแปลกใจ เพราะสิ่งที่แกทำใน “จูบ” นั้นก็ไม่ได้ผิดแปลกไปจากแนวทางเดิมของเขาเท่าไหร่ บทหนังที่กระชับฉับไวเล่ากันสั้นๆ ให้สมเป็นหนังสั้น และมีจังหวะจะโคนแปลกประหลาดนั้นเหมาะสมลงตัวดีกับภาพสีสด คอนทราสจัดและเลือกวางมุมกล้องได้เท่ชะมัด ทั้งหมดที่ว่ามาดู “เชย” มาก สำหรับฉันมันเชยตรงที่พอฉันได้ดูแล้วก็นึกถึงหนังวัยรุ่นสมัยก่อนตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก พวก“โลกทั้งใบฯ” หรือ “เด็กระเบิด” อะไรพวกนั้น และก็แปลกใจว่า เฮ้ย!มาจนถึงตอนนี้ ไอ้ภาพและการเล่าเรื่องแบบนี้มันก็ยังเท่อยู่นี่นา
อีกส่วนที่ฉันชอบมากใน “จูบ” ก็คือเพลง มันแทบจะเป็นตัวละครหนึ่งในหนังไปแล้ว ฉันเข้าใจว่าเพลงพวกนี้น่าจะทำขึ้นเพื่อประกอบหนังโดยเฉพาะและหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ขอชื่นชม เพราะจังหวะบีทและอารมณ์ขึ้นลงของมันช่าง “กวนตีน” หัวใจฉันได้ดีนัก
ส่วนมาริโอ้ ขอไม่พูดถึง เพราะน้องเขาก็หล่อเป็นธรรมดาอยู่แล้ว (555เกี่ยวอะไรวะ) แต่ที่ชอบกว่าก็คือ “ไอ้มิค” หรือ “ไอ้เด็กหน้าชั่ว” ที่เล่นบทชั่วมาตั้งแต่ 12 ยัน 13 และรักแห่งสยามแม่งก็ยังดูเลว ในเรื่องนี้น้องชั่วของพี่ ได้ชั่วหนักกว่าเดิมถือเป็นพัฒนาการความชั่วที่ดีมาก นี่ไม่ได้ด่านะ แต่หน้าน้องแม่งมีอะไรว่ะคือถ้าได้เจอหน้า ได้คุยกัน เราก็คงระแวงเหมือนกันแหละว่า เฮ้ยไอ้นี่แม่งคิดไม่ซ่ือกับกูหรือเปล่าวะ? แต่ขอชื่นชมนะ ขอให้น้องเล่นชั่วได้ดีอย่างนี้ตลอดไป (ฮา)
......
“อาย”
นี่เป็นเรื่องที่ฉันตั้งใจมาดูมากที่สุด ไม่ใช่เพราะพี่บอยหรือน้องตาล แต่เพราะมันเป็นหนังของ “บัณฑิต ทองดี” ด้วยความที่ฉันยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าแกจะทำหนังรักที่มีพระเอกนางเอกหน้าตากุ๊กกิ๊ก กรุบกริบ มาเล่นคู่กันในบรรยากาศริมชายทะเลสุดโรแมนติกได้อย่างไร แต่เมื่อได้ดูเข้าจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าหนังพี่แม่ง “ดิบ” ดีจริงๆ
“ดิบ” ที่ว่า หมายถึงมันเป็นเรื่องรักของคนดิบๆ อย่าง พี่ทุเรียน (แค่ชื่อก็เหม็นแล้ว) พระเอกของเรา ซึ่งก็เหมาะแล้วที่แกจะคิดเอาว่าตัวเองเป็นปลาตีน และนางเอกเป็นดอกฟ้า เพราะด้วยจากการกระทำและคำพูดของแกหลายๆ อย่าง มันช่างดิบเถื่อนและจริงใจสิ้นดี
เนื้อเรื่องที่ว่าด้วยแฟนเก่าที่กลับมาเจอกันอีกครั้งที่เกาะส่วนตัวเปล่าเปลี่ยว พายุฝนและคลื่นลมทำให้เอาเรือกลับเข้าฝั่งไม่ได้ ก็น่าจะเพียงพอให้เราเดาเนื้อเรื่องต่อจากนี้ได้เองโดยไม่ต้องดูหนังแล้วว่ามันจะเป็นไปอย่างไรต่อ แต่ที่น่าติดตามมากกว่าก็คือเคมีระหว่างพระนางทั้งสองที่ทำปฏิกิริยากันได้ดีเหลือเกิน และต้องชอบการแสดงของ “ตาล”ที่ทำให้เธอเป็นส่วนที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้เพราะมันเป็นธรรมชาติดีเหลือเกิน ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากเล็กๆน่ารักของเธอมันไม่มีตรงไหนที่ประดิษฐ์เลย (ให้ตายเถอะ) จะเศร้าเธอก็เศร้าจะเมาเธอก็เมาชิบหาย ผิดกับพี่บอยที่แข็ง (หมายถึงการแสดง) ไปหน่อยแต่ให้อภัยได้ค่ะ เพราะว่าหล่อ (ฮา)
และถ้าทางว่าพี่บัณฑิตคงกำลังอินอยู่กับแนวเพลงเร้กเก้สกา (ตอนที่ออกจากโรงก็เห็นแกใส่หมวกแบบ บ็อบ มาร์เลย์ 555) เพราะเสียงเมาๆของคุณจ็อบ บรรจบถูกเลือกมาใช้บรรเลงเป็นเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ ซึ่งแม่งเข้ากันดีกับความดิบของหนังอันเป็นทุนเดิม ก็เลยพอถูๆ ไถๆกันไปได้
แต่ที่ฉันขัดใจอยู่นิดเดียวก็ตรงที่บทสนทนาในเรื่องมันดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติยังไงไม่ทราบ เหมือนกับว่าคนทำ (ที่ไม่ใช่วัยรุ่น) กำลังเกร็งกับการทำหนังรักให้วัยรุ่นดูก็เลยจงใจสรรคำพูดที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นยัดลงไปในหนังเต็มไปหมด เช่นรั่ว, โอนะ (จำได้แค่นี้ 555) ซึ่งฉันว่ามันเยอะเกินไปจนน่าอึดอัดและไม่ได้ช่วยให้มันดูวัยรุ่นขึ้นเลย
แต่ยังไงก็ยังอยากเห็นพี่บัณฑิตทำหนังรักอีกนะคะพี่ หนูเอาใจช่วย ^^
......
“หวาน”
จะผิดมั้ย ถ้าจะบอกว่าไม่ชอบเรื่องนี้มากที่สุด…
ฉันว่าไอเดียของเรื่องนี้น่าสนใจมาก ที่ว่าด้วยคนสองคนที่ต้องใช้ชีวิตคู่ร่วมกันคนหนึ่งมีชีวิตที่ต้องก้าวไปข้างหน้า แต่อีกคนหนึ่งกลับ “ล็อก”และปล่อยให้ความทรงจำของตัวเองเดินถอยหลัง
แต่พล็อทเรื่องที่น่าสนใจ ผู้กำกับชื่อดัง และนักแสดงมีชื่อเสียง ไม่ได้ช่วยให้หนังเรื่องนี้ดีหรือสนุกขึ้นมาเลย
หนังไม่สามารถทำให้เราเชื่อ และเข้าใจได้ถึงกรณีที่ว่า ฉากที่คุณหมอ (ซึ่งรับบทโดยป๋าเต็ด) อธิบายให้ “เชน” (ชาคริต) ฟังถึงโรคเกี่ยวกับความทรงจำของ “หวาน” (นุ๊ก) นั้นมันดูง่ายเกินไปและก็ไม่ได้มีอะไรที่หนักแน่น มายืนยันอ้างอิงให้คนดูเชื่อ และที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่ามันจะง่ายแต่ฉันก็ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าไอ้สิ่งที่คุณหมอป๋าเต็ดพูดมาเนี่ยมันหมายความว่าอะไร?
เมื่อฉันไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของการกระทำที่ว่า“ให้ตามหาว่าความทรงจำของแฟนคุณอยู่ที่ไหน แล้วก็พาเค้าไปที่นั่น” ก็เลยดูหนังต่อไปแบบแถตัวเองว่าเข้าใจ ดูไปแบบตามน้ำให้หนังมันพาเราไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เป็นการเดินทางที่ทุลักทุเลพอสมควร ด้วยการแสดงที่ไม่ลงตัวระหว่างกัน ของชาคริต นุ๊ก และสายป่าน (ส่วนแชมป์นี่ไม่ต้องพูดถึงนะ ได้ออกมาก็บุญแล้ว 555)บวกกับการแต่งหน้าเหมือนคนขาดสารอาหารของนุ๊ก ก็ยิ่งชวนให้สะเทือนใจ แถมหนังยังบรรจงใส่รายละเอียดเข้าไปเยอะแยะมากมายแต่กลับไม่สามารถคลี่คลายทุกอย่างได้ เมื่อหนังจบก็ยิ่งทำให้ฉันมีเครื่องหมายคำถามผุดเต็มหัวสมองไปหมด
ถ้าใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดและทำ “หวาน” น่าจะเป็นหนังยาวที่มีประเด็นน่าสนใจ ดีกว่าที่มันเป็นจะเป็นหนังสั้นเบาๆ เหมือนลมพัดผ่านไปเรื่องนึง
........
“ฝัน”
และแล้วก็ถึงเวลาที่เรารอคอย…
ทั้งรอคอยที่จะดูตัวหนัง และรอคอยที่จะเขียนถึง
เพราะว่ามันคืองานชิ้นต่อไปของผู้กำกับ “รักแห่งสยาม” เลยทำให้ “ฝัน” กลายเป็นเรื่องที่หลายคนคาดหวัง และรอจะไปดูมากที่สุด
แล้วก็เป็นไปตามคาด “ฝัน” กลายเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการตบตีทางความคิดของคนดูได้มากที่สุด
สำหรับฉัน สามารถพูดได้เต็มปากว่า “ชอบ”เรื่องนี้มากที่สุดในบรรดาทั้งหมดสี่เรื่อง ไม่ได้ชอบเพราะความเป็นคุณมะเดี่ยว ไม่ได้ชอบเพราะน้องๆ วงออกัส(ที่ไม่ได้ชอบเป็นการส่วนตัว แต่น้องๆ ก็น่ารัก หน้าใสกันดีจัง)แต่ชอบเพราะว่าหนังมัน “สนุก” และ“กล้า” ที่จะทำอะไรแตกต่าง
“ฝัน” เล่าเรื่องของ ต้นข้าว เด็กหญิงที่เพิ่งนมแตกพานมาหมาดๆผู้คลั่งใคล้และเป็นแฟนคลับของวงออกัส เธอชอบที่จะไปเจอกับพี่ๆ ในวงในความฝัน และเรื่องก็ชักไปกันใหญ่ เมื่อเธอได้เข้าไปอยู่ในความฝันนั้นจริงๆ
ด้วยประเด็นชัดเจน ที่ว่าด้วยเรื่องของแฟนคลับของนักร้อง อาจทำให้หนังกลายเป็นเรื่องหนักแต่คุณมะเดี่ยวก็เลือกที่จะวางหนังเอาไว้ในตำแหน่งที่เบาที่สุดเพื่อที่จะสื่อสารกับ “เป้าหมาย” ที่เขาต้องการจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังได้ง่ายที่สุด
หนังมันก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น
การจับเอาพี่ๆ วงออกัสกลายเป็นตัวการ์ตูนสารพัดสัตว์ น่าจะเรียกเสียงกรี๊ดจากวัยรุ่นสาวๆ ได้ดี (ฉันยังชอบเลย 555) การเข้าไปผจญภัยในโลกแห่งจินตนาการ แม้ว่ามันจะดูเด็ก เลอะเทอะ และไร้สาระ แต่ว่ามันก็แอบแฝงความถ่อยอยู่นิดๆจึงทำให้มันไม่ใช่หนังที่จะชวนเด็กเข้าไปดูการ์ตูนและก็ไม่เหมาะกับผู้ใหญ่ที่ใฝ่ดูหนังในขนบ
มันเป็นหนังระบายความอยากของคุณมะเดี่ยวดีๆ นี่เอง
จริงๆ คุณมะเดี่ยวแกก็ทำหนังตามใจตัวเองมาตลอดอยู่แล้วนะ เพียงแต่เรื่องที่ผ่านๆ มามันมี “อะไร” ที่น่าสนใจและบดบังความเป็นตัวของแกเองเอาไว้ได้ประมาณหนึ่ง
แต่กับ “ฝัน” นี่เหมือนเป็นการทดลองทำในสิ่งที่เขาอยากทำ และพอดีว่ามีหนังสั้นผ่านมาให้เขาใช้เป็นที่ทางในการระบายความฝันและก็ไม่ผิดที่เขาจะอัดทั้ง อนิเมชั่น และหนังเพลงแบบดิสนีย์เข้าไปในหนัง เพราะว่าเขาวางตำแหน่งหนังเอาไว้ในที่ที่เบาที่สุด และแน่นอน ก็มันคือ“ฝัน” หนิ
และถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ไปคล้ายกับ โฟกัสและตับของเธอสบายดีอยู่ไหม? ใน “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น”ก็คงเหมารวมทั้งหมดไม่ได้ค่ะจริงอยู่ว่ามันพูดเครื่องอาการคลั่งใคล้ดาราเหมือนกันแต่ว่ามันนำเสนอกันคนละรูปแบบค่ะหนังเมื่อต้นปีเลือกมองมุมของความรักที่แปรเปลี่ยนเป็นความพยายามส่วนเรื่องนี้จับเอาเรื่องของความฝันกับความเป็นจริงเข้ามาเล่า
โดยจับเอาฟอร์มการเล่าเรื่องแบบเหนือจริง มีสีสันของจินตนาการ และบทเพลงสนุกสนาน และไม่ลืมที่จะเสียดสี กระแทกแดกดันให้คนที่ถูกกล่าวถึงเจ็บๆ คันๆ นิดหน่อย
ซึ่งถ้าเราอดทนดูถึงตอนจบ และพบเหตุผลการ “ฝัน” ของเด็กหญิงต้นข้าว ก็จะพบว่าน้ำตาลหวานๆ ที่เราเพิ่งได้กินกันไปนั้น แท้จริงแล้วมันห่อเคลือบช็อกโกแล็คขมปี๋เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนแต่หนังก็ไม่ได้พาเราเข้าไปแตะความเป็น “ดราม่า” เลยซักนิดมันยังคงเสนอน้ำตาลให้เรากินต่อไปเรื่อยๆ เล่าเรื่องให้สนุกเรียกเสียงหัวเราะต่อไปเรื่อยๆ ส่วนถ้าใครจะเอาไปคิดต่อก็ค่อยว่ากันตอนกลับบ้านไปแล้วก็แล้วกัน
ดังนั้น ฉันจึงถือว่านี่เป็นความ “กล้า” ที่ถูกที่ถูกเวลา เพราะตัวตน และความมีชื่อเสียงของคุณมะเดี่ยว อาจจะทำให้เขาไม่เจ็บตัวมากนักกับเสียงวิจารณ์ก่นด่า และ “ฝัน” มันก็เป็นแค่หนังสั้นทดลองชิ้นหนึ่งของเขาคนนี้
และที่สำคัญ ไม่ว่าใครจะชื่นชม หรือด่าจนป้าสะดุ้ง แต่ฉันก็รู้นะ ว่าเราหลายๆ คนก็รอจะดู “14” กันอยู่ทั้งนั้นแหละ
หรือว่าไม่จริง…
(ตรงนี้ย่อยให้)
+ ดูหนังแล้วมีความสุข แต่จะหงุดหงิดการไทด์-อิน ของสปอนเซอร์ทั้งหลายนี่แหละ โดยเฉพาะมาม่า แต่ไม่รู้ทำไมพอกลับมาบ้านแล้วอยากกินมาม่าขึ้นมาซะงั้น 555
+ เด็กที่เล่นเป็น “ต้นข้าว” นี่แสดงดีชิบหาย เธอเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงจริงๆ
+ ส่วนที่ใครว่าน้องเค้าแต่งตัวเกินเด็กไปนั้น ฉันว่าน่าจะเป็นความตั้งใจของหนังมากกว่า แต่พูดจริงๆเด็กสมัยนี้ก็แต่งตัวเกินวัยกันทั้งนั้นแหละ
+ ลืมไป อีกส่วนที่ชอบมาก ก็ "พี่เบิร์ด" นี่แหละ 555 กัดได้มันดีค่ะ
+ ขอให้มีความสุข และใจกว้างๆ กับหนังเรื่องนี้ค่ะ
ด้วยรักและมาม่ารสหมูสับ นิดนก*
Create Date : 25 ธันวาคม 2551 |
|
20 comments |
Last Update : 25 ธันวาคม 2551 17:15:21 น. |
Counter : 2306 Pageviews. |
|
|
|
- ผู้กับกับทั้ง 4
-น้องตาล
-ความเซอร์ไพร์ (คือ คิดว่าน่าจะมีอะไรสักอย่างในหนังที่ทำให้เราแปลกใจ ประมาณ เอ่ะ...ไม่น่าจะเจอแบบนี้ในหนังเรื่องนี้นี่หว่า^^)
คิดว่าพอจบจากเรื่องนี้ไปแล้ว หนังแนวนี้ก็คงอิ่มตัวแล้ว เพราะความแปลกใหม่มันเริ่มจางหายไปหมดแล้ว ก็ต้องดูกันต่อไปว่าหนังรักๆวัยรุ่นเรื่องหน้า จะเป็นแนวไหนดี
เดินยิ้มกริ่มออกจากโรงฉายในรอบสื่อมวลชน (ด้วยอานิสงส์บัตรฟรีจากการไปฝึกงาน 555)<<< ประโยคนี้ฟังแล้วนึกถึงตัวเองเลย 55+