เรื่องเล่าซึ้งๆ 2
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ลงตอน 2 ช้าไปค่ะคงไม่ทันใจเพื่อนๆหลายๆท่าน ตอนนี้เราไปอ่านเรื่องเล่าซึ้งๆตอน 2 กันต่อนะคะ ********************************************* ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซด์ก่อสร้างท่าเรือ..ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉัน ได้เข้ามาบอกว่า " มีชาวบ้านมาหาเธอ.....อยู่ข้างนอกแน่ะ" ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่า เป็นน้องชายพี่ล่ะ" น้องชายของฉันตอบยื้มๆว่า "ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้......ขืนบอกว่า เป็นน้องพี่ เพื่อนๆก็ได้หัวเราะเยาะพี่ กันพอดี" ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ "พี่ไม่สนใจว่า ใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม" จากนั้น น้องของฉัน ได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผม รูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดแล้วร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้น น้องของฉันอายุ 20 ส่วนฉัน อายุ 23 ปี วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรด ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่า บ้านสะอาดขึ้นมากหลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก ....... น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ" ฉันรีบเข้าไปหาน้อง ที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงที่กลางใจ เมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากมั๊ย" ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผม เต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผม คิดเลิกทำงานหรอกนะ และ.... น้องชายของฉัน ยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขาน้ำตาไหลอาบหน้าฉันของฉันอีกครั้ง "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ส่วนฉันอายุ 26 ปี.... หลังจากนั้นฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน....... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉัน ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป.....เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแล พ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อแม่ทางนี้เอง" สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธาน ของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันมารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอทำงาน ในตำแหน่งพนักงานธรรมดา วันหนึ่ง น้องชายของฉัน ต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขา ที่โรงพยาบาล น้องชายของฉัน ขาหัก ต้องเข้าเฝือกที่ขา....ฉันโกรธมากจึงตวาดน้องไปว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา !!!! ถ้าเป็นผู้จัดการ ก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองสิ ...... เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" คำตอบจากปาก น้องของฉัน รวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"ัน้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย.....ฉันจึงบอกน้องว่า "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อ ก็เพราะพี่....." "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ส่วนฉันอายุ 29 ปี เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกันในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ.........." และเขาก็เล่าเรื่องราว ที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ขั่วโมงเพื่อเดินไปเรียน.....และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งหิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดง เพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถ จับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ......นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ" เสียงปรบมือ ดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อ หันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉัน ออกมาอย่างลำบากยากเย็น.......... "ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉัน รู้สึกขอบคุณที่สุด คือ น้องของฉันค่ะ" ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง........ จงรักและห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา....คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับเขาคนนั้น อาจจะมีมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง......ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้แต่คนที่คุณไม่รู้จักก็ตาม .......จบบริบูรณ์.......... ปล. ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาว อายุ 86 ปี ดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหารบริษัทฮุนไดและบริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท น้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง" จบแล้วค่ะอาจจะยาวหน่อยนะคะจขบ.ไม่อยากไปต่อบล็อกหน้าจึงลงให้จบบล็อกนี้เลยนะคะ ขอบคุณเพื่อนทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจค่ะ ขอขอบคุณบีจีสวยๆจากทีมงานบล็อกแกงค์ค่ะ ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ขอขอบคุณเพลงประกอบจากยูทูบเพลง ยามจน คุณชรินทร์ นันทนาคร แล้วพบกันใหม่บล็อกหน้านะคะ สวัสดีค่ะ
Create Date : 12 กรกฎาคม 2559 |
Last Update : 20 ตุลาคม 2564 22:43:17 น. |
|
49 comments
|
Counter : 2333 Pageviews. |
|
|
โลกทั้งโลกรู้จัก เพราะทั้งสองรักกัน และมีความมุ่งมั่นที่
จะทำงานอย่างจริงจัง... อีกอย่างหายากมากนะครับที่พี่น้อง
รักกันขนาดนี้