สวัสดี วันนี้วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖
"เมื่อจิตนิ่งคราใด...กายก็สุขครานั้น..." (หมายถึง จิตที่ไร้การปรุงเติมแต่ง ซึ่งส่งผลให้กายผ่อนคลาย..อธิบายไม่ได้แต่สุข) ความสุข "ทางกาย" เกิดมาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่มีการค้นคว้า ทดลอง โดยอิงกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ มองเห็นด้วย ตาเนื้อ
ความสุข "ทางใจ" เกิดมาจากความรู้ทางพุทธศาสตร์ ที่คิดค้น ทดลอง ที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติเสมอภาคกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นความรู้ลึกซึ้งมาก สามารถรับรู้ได้ทาง ตาใน และเป็น ปัจจัตตัง (รู้ได้เฉพาะตน) ความสุขทั้งทางกาย และ ทางใจ ต่างแตกต่างกันด้วย "ความลึกซึ้งของความสุข..." ความสุขทางกายนั้น...เป็นความสุขเพียงชั่วครั้ง...ชั่วคราว สนองความทะยานอยากชั่วครู่ เมื่อเวลาผ่าน..สุขนั้นก็ลดลง..ลดลง เช่น เมื่อร้อนก็เปิดแอร์-เปิดพัดลม...เมื่อเวลาผ่านไป จากร้อนเป็นหนาว...
ส่วนความสุขทางใจ เป็นความสุข...ที่สุขลึกซึ้ง ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่รับรู้ได้ตลอดเวลายามใดนึกถึง หรือคิดถึง เช่นการปฏิบัติสมาธิ หรือการทำบุญ ซึ่งเป็นความสุขลึก ที่เกิดขึ้นภายในใจ ส่งผลให้กายสุขไปกับใจ...โดยสุขไม่รู้สึกตัว
ฉะนั้น วันนี้...วันพระ... อีกสักหนึ่งวัน...เธอ เธอ และเธอทั้งหลาย หาเวลา...ในเวลาที่มีอยู่ สัก ๕-๑๐ นาที แล้วแต่สะดวกนะเธอ มาอยู่กับปัจจุบัน เฝ้าดูอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องเฝ้าดูผู้อื่น เฝ้าแต่ค้นหา ความ สุขทางใจ เพื่อให้ กายแข็งแรง โดยรู้ลมหายใจเข้า-ออก คิดค้น ทดลองให้จิตนิ่งๆ ไม่ทะยานยาก หยุดการปรุงแต่งจิต (สักนิดก็ยังดี) เมื่อรู้สึกผ่อนคลาย..รู้สึกเงียบภายใน... รู้สึกสงบ...รู้สึกไม่ทะยานยาก...ความคิดช้าลง...สติก็เกิด...ปัญญาก็เกิด... การปฏิบัติงานทั้งหลาย ทั้งปวงเริ่มคล่องตัวดีขึ้น สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวมองสวยงามขึ้น..
ใจเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับกาย..เมื่อใดที่กายและใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะรู้สึกได้ถึง...ความลึกซื้งของความสุข... นี่คือ "...เมื่อจิตนี่งคราใด...กายก็สุขครานั้น..."
|