|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
40 สัปดาห์ จากครรภ์แม่สู่อ้อมแขนพ่อ--สัปดาห์ที่ 11
วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553. วันมาฆบูชา
ผมตื่นแต่เช้าตรู่เพราะมีนัดพาภรรยาไปตรวจครรภ์กับคุณหมอ แต่กว่าจะได้ออกจากบ้านก็ปาเข้าไป 11 โมงเช้า ไปถึงโรงพยาบาล เที่ยงพอดี ผมกะว่าจะไปวางบัตรเพื่อต่อคิว แล้วจะไปโอบองแปง กินเบเกิล ขนมปังสุดโปรดของภรรยาผม แต่นางพยาบาลบอกผมว่าวันนี้ไม่มีคิว ให้ภรรยาผมเก็บปัสสาวะและนั่งรอ
ระหว่างนั่งรอ ผมนั่งคิดย้อนหลังไป 5 สัปดาห์ที่แล้ว คืนวันอังคารที่ 19 มกราคม 2553 ขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือก่อนนอนตามปกติ ภรรยาผมอาบน้ำเสร็จแล้วเดินมานั่งบนเตียง เธอเรียกผมให้เข้าไปนั่งข้างๆเธอ บอกผมว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ผมถามเธอว่าเรื่องอะไร เธอบอกผมว่าเธอสงสัยว่าเธอจะตั้งครรภ์ ผมได้ยินดังนั้นหัวใจผมเต้นเร็วขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้น ผมพยายามตั้งสติแล้วถามเธอว่าได้ซื้ออุปกรณ์มาตรวจแล้วหรือ เธอตอบผมว่าได้ซื้อมาตรวจแล้ว และผลเป็นบวกคือขึ้นสองเส้น แต่สีไม่ชัดเลยยังไม่แน่ใจ เธอบอกผมว่าอย่าเพิ่งบอกใคร แล้วจะตรวจใหม่อีกครั้งวันพฤหัส ผมรับคำและได้แต่เก็บความตื่นเต้นดีใจเอาไว้คนเดียว
เช้าวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2553 ภรรยาผมตื่นลงมากินข้าวเช้ากับผมตามปกติ เธอบอกผมว่าเธอได้ตรวจดูอีกครั้งและสีชัดเจนมากขึ้นจึงค่อนข้างแน่ใจว่าท้อง ผมจึงเริ่มที่จะโทรปรึกษาใครหลายๆ คน จึงได้ข้อสรุปว่าเย็นวันนั้นจะไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลใกล้ๆบ้าน ส่วนจะฝากครรภ์ที่ไหนค่อยตัดสินใจอีกที เย็นวันนั้น เราไปถึงที่โรงพยาบาล และแจ้งกับนางพยาบาลว่าจะมาตรวจการตั้งครรภ์ นางพยาบาลจึงให้ภรรยาผมไปเก็บปัสสาวะ และรอฟังผลประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นจึงเข้าไปพบกับคุณหมอ คุณหมอแจ้งให้เราทราบว่าได้มีการตั้งครรภ์ (ทำให้ผมมั่นใจว่าตั้งครรภ์จริงๆ) คุณหมอได้สอบถามภรรยาผมถึงวันแรกของช่วงที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้าย คุณหมอจึงแจ้งให้เราทราบว่า ลูกในครรภ์อายุประมาณ 5 สัปดาห์ และจะกำหนดคลอดวันที่ 24 กันยายน 2553 (เกิดวันเดียวกับผมเลยครับ) คุณหมอยังอธิบายเพิ่มเติมว่าตามหลักการแพทย์การตั้งครรภ์จะใช้เวลา 40 สัปดาห์ และจะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเป็นการตั้งครรภ์วันแรก คุณหมอได้จ่ายยาให้ทานกรดโฟลิคทุกวันเพื่อช่วยในเรื่องการสร้างเซลล์ของทารกในครรภ์ แล้วจึงลาคุณหมอกลับบ้าน
พอผมกลับถึงบ้านผมจัดการโทรปรึกษาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายว่าควรทำอย่างไรและฝากครรภ์ที่ไหน พอดีแฟนของพี่ชายลูกคุณป้าเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้แนะนำคุณหมอผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่ง เธอบอกว่ามีนางพยาบาลฝากครรภ์กับคุณหมอท่านนี้เป็นจำนวนมาก ประจวบกับภรรยาผมอยากได้โรงพยาบาลที่มีล่ามภาษาเกาหลี และ คุณหมอผู้หญิง เราจึงตัดสินใจเลือกฝากครรภ์กับคุณหมอท่านนี้ วันรุ่งขึ้นผมได้โทรนัดกับทางโรงพยาบาลว่าจะเข้าไปพบคุณหมอในวันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2553
พอถึงวันเสาร์เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 10 โมงเช้า แต่เวลานั้นก็มีคิวยาวแล้ว เราจึงไปกินข้าวที่ศูนย์อาหารของโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยกลับมาพบคุณหมอ คุณหมอก็ได้คำนวณอายุครรภ์และวันกำหนดคลอดให้กับเราอีกครั้ง (ซึ่งก็ตรงกับคราวที่แล้ว) และให้ภรรยาผมไปตรวจเลือดเพื่อดูภูมิคุ้มกันต่างๆ ขณะที่เราก็มีคำถามถามคุณหมอเกี่ยวกับการที่มีเลือดออกในช่องคลอดเล็กน้อย ซึ่งคุณหมอตอบว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร น่าจะเป็นการที่เด็กเข้าไปฝังตัวในมดลูกทำให้ไปกระทบถูกเส้นเลือดไม่ต้องกังวลอะไร และนัดให้มาพบใหม่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2553 เพื่ออุลตร้าซาวด์ วันรุ่งขึ้นคุณหมอได้โทรมาหาผมเพื่อบอกผลตรวจเลือด ซึ่งปกดิดีทุกอย่าง ไม่มีพาหะธาลัสซีเมีย เพียงแต่ไม่มีภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน ซึ่งต้องระวังให้อยู่ห่างจากคนที่เป็นหวัด ไอ และ มีผื่นแดง
ตลอดสัปดาห์ต่อมา ภรรยาผมอารมณ์ไม่ดีทั้งสัปดาห์ สาเหตุสำคัญเกิดจากผมไปรับเธอที่โรงเรียนสอนภาษาไทยสาย เนื่องจากงานที่แสนจะยุ่งและรถที่แสนจะติดของสุขุมวิท แต่ผมค่อนข้างเห็นใจภรรยา เธอเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้เดือนกว่าๆ ยังไม่สามารถปรับตัวกับสภาพเมืองไทยได้หลายๆอย่าง ยังคิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารเกาหลี ความเหงาไม่มีเพื่อน และยังต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเนื่องจากการตั้งครรภ์อีก คืนวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2553 ภรรยาผมมาคุยกับผมว่า เธอยังคงมีเลือดออกทางช่องคลอดอยู่นิดหน่อยแต่เกือบทุกวัน ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรมั้ย ควรจะโทรปรึกษาคุณหมอมั้ย แต่เนื่องจากตลอดทั้งวันเสาร์ ผมยุ่งอยู่ทั้งวัน เลยไม่ได้โทรหาคุณหมอ แต่ตอนเย็นกลับมาบ้านผมก็ลองหาหน้งสืออ่านเกี่ยวกับการมีเลือดออกในช่องคลอดดู ซึ่งในหนังสือก็เขียนประมาณว่าไม่ได้มีอันตรายมากนัก แต่ก็ต้องระวังถ้าเลือดออกมาก คืนวันเสาร์ผมกับภรรยาก็คุยกันเรื่องปัญหาเดิมๆ ทั่วไปเรื่องการมาสายของผม การไม่มีเพื่อน อยากย้ายที่อยู่เข้าไปอยู่ในเมือง ทำให้มีการถกเถียงกันเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็ถามผมว่าได้โทรไปหาคุณหมอหรือยัง ผมตอบว่ายังไม่ได้โทร ภรรยาผมจึงเริ่มร้องไห้และพูดว่า ถ้าลูกในท้องเป็นอะไรไปก็ไม่สนใจใช่มั้ย ผมพยายามอธิบายว่า ผมได้อ่านในหน้งสือแล้วไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก แต่ภรรยาผมไม่ได้ฟังแล้ว เธอเริ่มร้องไห้มากขึ้นและเริ่มบ่นว่าอยากกลับบ้าน อยู่เมืองไทย ไม่มีความสุข ซึ่งทำให้ผมเศร้าใจ และน้ำตาก็เริ่มไหลออกมา ผมนั่งเสียใจอยู่ทั้งคืน นอนไม่หลับ นั่งคิดว่า เราพาเขายอมจากบ้านจากช่องมา แต่ทำให้เค้าเสียใจขนาดนี้ แย่จริงๆ เช้าตรู่ วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2553 ผมรีบโทรหาคุณหมอ นางพยาบาลรับสายและแจ้งว่าคุณหมอจะโทรกลับ ผมรอประมาณ 5 นาที คุณหมอก็โทรกลับมา ผมปรึกษาคุณหมอเรื่องมีเลือดออกจากช่องคลอด คุณหมอจึงแนะนำว่าให้มาพบคุณหมอที่โรงพยาบาล เพื่อลองทำอัลตร้าซาวด์ดู ผมจึงไปปลุกภรรยาเพื่อให้เธอเตรียมตัวเดินทางไปโรงพยาบาล เธอยังอารมณ์บูดอยู่ครับเวลานี้ เราไปถึงโรงพยาบาลเวลาประมาณ 11 โมง นางพยาบาลก็พาเราไปห้องอัลตร้าซาวด์ คุณหมอประจำห้องอัลตร้าซาวด์ได้ทำการอัลตร้าซาวด์ให้กับภรรยาผม ลูกน้อยของเรามีอายุได้ 6 สัปดาห์ กับ 3 วัน ตัวยาว 6 มิลลิเมตร หัวใจเป็นจุดเต้นประมาณ 130 ครั้งต่อนาที ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับลูกน้อยของผม หลังจากนั้นพยาบาลจึงให้รอผลอัลตร้าซาวด์เพื่อที่จะพบกับคุณหมอของเราในอีกประมาณ 1 ชั่วโมง เราจึงไปกินข้าวกันก่อน หลังจากอัลตร้าซาวด์แล้วสบายใจขึ้น หรือ ว่าได้กินเบเกิลขนมปังสุดโปรดที่โอบองแปง ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ภรรยาผมอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมเห็นแล้วค่อนข้างสบายใจ คุณหมอหลังจากดูผลอัลตร้าซาวด์แล้ว บอกกับเราว่าทุกอย่างปกติดี หัวใจเต้นปกติ (ปกติ อยู่ที่ 120-180) แต่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ อาจเป็นเพราะเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจน้อยไปหน่อย ซึ่งดูแล้วมีผนังมดลูกบางส่วนบางเกินไป พอเด็กเข้าไปฝังตัวทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นแตกง่าย จึงทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอด คุณหมอแนะนำให้ทานยากันแท้ง ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนธรรมชาติ คุณหมอบอกว่าแล้วแต่ อยากทานก็ได้หรือไม่อยากทานก็ได้ แต่ถ้าเป็นลูกคุณหมอ คุณหมอจะทาน เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นครับ ทานตามคุณหมอว่า
หลังจากนั้นตลอด 4 สัปดาห์ต่อมา บรรยากาศต่างๆ ระหว่างผมกับภรรยาดีขึ้น ๆ ทุกวัน หลังจากเราแก้ปัญหาเรื่องการไปเรียนภาษาไทยที่สุขุมวิทของภรรยาผมได้ ภรรยาผมมีเพื่อนเกาหลีเพิ่มขึ้น และยังโชคดีที่ภรรยาผมไม่มีอาการแพ้ท้อง นอกจากการกินฮอร์โมนที่ทำให้ท้องไส้ไม่ค่อยสบายนัก กับ การที่ยังกินอาหารไทยไม่ถูกปาก เรายังไม่เจอกับปัญหาใหญ่อะไรอื่นๆ เราเรียกลูกในท้องว่า "คัง" (ออกเสียง ค เบาๆ เป็นภาษาเกาหลีแปลว่า แข็งแรง หรือ แข็งแกร่ง) ซึ่งเป็นธรรมเนียมของคนเกาหลีที่จะตั้งชื่อให้เด็กในท้อง คนเกาหลีจะเริ่มนับอายุของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของคนเกาหลีจึงมากกว่าคนไทย 1 ปี
หลังจากนั่งรอประมาณ 10 นาที เราก็ได้ยินนางพยาบาลเรียกชื่อภรรยาผมซึ่งมักจะออกเสียงผิดกันทุกคน เราจึงเข้าไปพบคุณหมอ คุณหมอดูผลปัสสาวะแล้วก็เรียกให้ ภรรยาผมขึ้นไปนอนบนเตียง จากนั้นคุณหมอเรียกผม "หนูมาลองคลำท้องดู" "ผมกำลังจะเป็นพ่อคนคุณหมอยังเรียกผมหนูอีกหรอ"ผมคิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา "ใช้สันนิ้วลองคลำดูตรงแถวนี้" คุณหมอแนะนำวิธีการคลำ ผมก็ลองใช้สันนิ้วคลำดู "เป็นไงรู้สึกมั้ย" คุณหมอถามผม "ไม่รู้สึกครับ" ผมตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ "ไม่เป็นไร" คุณหมอตอบผม คุณหมอบอกเราว่าทุกอย่างปกติดี ลูกผมตอนนี้ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร อีกสัก 6 สัปดาห์จะเริ่มมีหู ช่วงนั้นให้เริ่มเปิดเพลงให้ฟังเพื่อการพัฒนาที่เร็วขึ้น คุณหมอให้กรดโฟลิคมาทานเพิ่ม และเนื่องจากภรรยาผมไม่แพ้ท้องคุณหมอจึงเริ่มให้ทานแคลเซียมและธาตุเหล็กเพิ่มทันที คุณหมอนัดให้มาพบอีกครั้งวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2553 เพื่อเจาะเลือดและอัลตร้าซาวด์อีกครั้ง หลังจากนั้นเราจึงลาคุณหมอกลับบ้าน
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 2 มีนาคม 2553 21:15:40 น. |
Counter : 673 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|