พฤศจิกายน 2553

 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
ใครจะช่วยพ่อแม่ที่ลูกมีปัญหาก่อนที่จะแจ้งจับลูกตนเองเข้าคุกเข้าตะราง
ขณะนี้ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆและครอบครัวในสังคมไทย เนื่องจากผมได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อคุณแม่ที่บุตรหลานมีปัญหาจำนวนมาก ตั้งแต่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนธรรมดา เกเร ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ถึงขั้นทำร้ายร่างกายพ่อแม่

พ่อแม่เหล่านั้นก็เล่าเรื่องความทุกร้อนใจอย่างแสนสาหัสของปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุตรหลานที่เขาเหล่านั้นสุดรัก สุดหวงและห่วงอย่างสุดหัวใจ และมีความคาดหวังในตัวบุตรหลานไว้อย่างสูงส่ง แต่วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพังทลายลงต่อหน้าต่อตา และยังมาทำร้ายตนเองซึ่งเป็นบุพการีอีก

ความทุกข์ยากดังกล่าว พ่อแม่เหล่านั้นบอกว่าเขาไม่มีความรู้เลยว่า เขาจะเข้าถึงแหล่งความช่วยเหลือได้จากที่ไหนและอย่างไร วิ่งพล่านเหมือนหมาบ้า ปรึกษาญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน และโรงเรียนก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้เลย จะเอาลูกเข้าสถาบันรักษาทางจิตก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้ เนื่องจากลูกอายุยังไม่ถึง 15 ปี วิ่งไปที่ไหนๆ ก็ไม่มีหน่วยงานของรัฐใดเป็นที่พึ่งได้เลย ต้องนอนร้องไห้ทุกวันอย่างทุกข์ทรมาน บางครั้งถึงกับอธิษฐานขอให้หลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาเลย

ผมรับได้รับฟังแล้วอยากจะร้องไห้เสียเอง รายสุดท้ายนี้ก็ต้องเอาลูกไปเข้าโรงพยาบาลเอกชนเสียวันละมากกว่า 50,000 บาท

ผมชักเริ่มสงสัยกระบวนการช่วยเหลือบิดามารคาหรือสถาบันครอบครัวในบ้านเราเมืองเราว่ามีความพร้อมและตั้งใจกันทำงานกันมากน้อยเพียงไร เนื่องจากปัจจุบันมีพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กฯ พระราชบัญญัติความรุนแรงในครอบครัวฯ และอื่น ๆ อีกหลายฉบับ แต่สิ่งที่เด็กหรือเยาวชนและครอบครัวได้รับการตอบสนองจากองค์กรต่างๆ พวกเขาบอกว่า “เหมือนองค์กรผีตายซากที่ปราศจากวิญญาณ”

เมื่อสถาบันของรัฐข้างนอกไม่พร้อมที่จะช่วยเหลือ บิดามารดาจำนวนไม่น้อยจึงเหลือทางเลือกสุดท้ายที่มีอยู่ แม้ว่าเดิมเขาจะบอกว่าองค์กรนี้ไม่ดีและเป็นอัปมงคลกับเด็กๆ ที่เข้ามาอยู่ แต่วันนี้ความรู้สึกของบิดามารดาเหล่านั้นเปลี่ยนไป เพราะเขารู้สึกว่าอย่างน้อยลูกเขาก็ยังอยู่และปลอดภัย และที่สำคัญเขาก็ปลอดภัยจากการถูกลูกทำร้าย นั่นก็คือตัดสินใจแจ้งความให้พนักงานตำรวจจับบุตรหลานของตนเอง เพื่อให้เข้ามาอยู่ในความดูแลของสถานพินิจฯ......

โอพระเจ้า ประเทศไทย ?!



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2553 19:37:14 น.
Counter : 734 Pageviews.

5 comments
  
สุดท้ายก็ต้องหันกลับมาดูที่ตัวผู้ปกครองนะคะ ถึงเวลาแล้วที่กรมพินิจฯของเราจะต้องพัฒนาโปรแกรมสำหรับบิดามารดา และผู้ปกครอง
โดย: สุปรียา จันทบุรี IP: 118.172.240.75 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2553 เวลา:7:40:51 น.
  
ถึงเวลาที่กรมพินิจฯจะมีศูนย์ในคำปรึกษา(Counseling Center)แล้วหรือยังครับ โดยเฉพาะปัญหายาเสพติดที่ระบาดอย่างมากในจังหวัดทางภาคใต้ ความจริงเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดนายอำเภอเมืองปัตตานีก็ยังมาปรึกษาเรื่องนี้เหมือนกันเพราะมีประชาชนไปขอให้นายอำเภอช่วย แกก็มาขอคำแนะนำสุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าลงเอยกันอย่างไร
โดย: chanya IP: 223.206.69.118 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:42:08 น.
  
อยากจะให้ศูนย์ฝึกฯ มีศูนย์ให้คำปรึกษา (Counseling Center)เหมือนกันค่ะ หากดูในทางตรง อาจเห็นว่าอาจมีภาระบางส่วนที่คาบเกี่ยวกับคุมประพฤติ แต่หากคิดถึงประโยชน์ของน้องๆเยาวชน ก็น่าจะเป็นผลดีกับน้องๆมากที่สุดค่ะ
โดย: ไก่พิซซ่าคุกกี้นมอ้วงชอบหมด วันที่: 28 พฤศจิกายน 2553 เวลา:20:57:27 น.
  
ในอดีตเราเคยมีศูนย์ให้คำปรึกษาฯถ้าจำไม่ผิดผู้เชี่ยวชาญอรพรรณเคยทำมาก่อน ในประเทศอเมริกาก็มีศูนย์นี้เช่นกันสามารถให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองและป้องกันเด็กและเยาวชนก่อนที่จะกระทำความผิดด้วย
โดย: ศิริพงษ์ IP: 119.31.0.160 วันที่: 2 ธันวาคม 2553 เวลา:14:53:27 น.
  
คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน ในปัจจุบันต้องมุ่งเน้นที่ครอบครัวเป็นหลัก กิจกรรมทุกอย่างต้องเสริมพลังให้ครอบครัวมีความรักต่อกันให้มากยิ่งขึ้น นี่คือภารกิจของเราชาวพินิจ
โดย: เจริญ ขอนแก่น IP: 125.26.138.252 วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:8:37:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทำงานด้านเด็ก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เกิด 17 ก.พ.2502 จังหวัดชัยนาท เป็นบุตร นายสุเทพ-นางชิ้น ไทยเขียว
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 โรเรียนวัดโพธิ์ทอง ต.บางขุด อ.สรรคบุรี แล้วมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
"ตอนเรียนมัธยม เป็นช่วงปี 2515-2517 ผมต้องขี่จักรยานไปกลับวันละ 18 ก.ม. ลำบากมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่เกเร พอผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยากทำนาเหมือนคุณพ่อคุณแม่ แต่ธรรมชาติช่วย จังหวะที่ผมเรียนจบ เกิดน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงที่นา ผมต้องลงไปช่วยคุณพ่อ คุณแม่ยกฟ้อนข้าวขึ้นที่สูง เหนื่อยมาก รู้สึกลำบาก ไม่อยากทำนาอีกแล้ว เริ่มอยากเรียนหนังสือต่อ"
ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับญาติที่กองรักษาการณ์ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลือดตามล่องกระดานกัดติดหลังเป็นแถวเลยอยู่ไม่ได้ น้าชายไปฝากอยู่กับแฟนของเพื่อนตำรวจเป็นหมอนวดแถวถนนเพชรบุรีอยู่อีก 1 สัปดาห์ ต่อมาจึงได้หาที่พักถาวรได้ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ขณะนั้นมีน้าชายชื่อ นายวิชิต เรียนทัพ อดีตนายก อบต.บางขุด พักอาศัยอยู่ก่อน
"ผมสอบเข้าศึกษาต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจ่าอากาศ ช่างฝีมือทหาร เตรียมทหาร หรือแม้แต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคค่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนต่อได้เพราะวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ กิ่งเพชร ราชเทวี เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำ ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้เปิดเรียนไปแล้วเกือบหนึ่งเทอมแล้ว จึงมีที่เรียน"
"ช่วงที่อยู่วัดเห็นพระเณรนั่งดูหนังสือ ไม่นอน ผมจึงไม่นอน ผลการเรียนจึงเริ่มดีขึ้น โดยกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน ไม่อยากใช้เงินคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้ว่าท่านลำบาก กระทั่งเรียนจบอนุปริญญา หรือปกศ.สูง เอกสังคมศึกษา ในระดับปริญญาไม่มีที่เรียนกลางคืน ต้องเรียนกลางวัน จึงไม่ได้ทำงานจนจบการศึกษาบัณฑิตหรือ กศ.บ. เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา"
"ช่วงนั้น ผมขอหลวงพ่อคุมศาลาเผาศพ และรับอาราธนาศีล บริการน้ำ-อาหาร รับจ้างจุดธูปเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี สอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทได้ขณะที่เรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรี จบปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.) อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 4 ทำงานภาคเอกชนอยู่ 4 ปี จึงเข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2529 โดยเป็นพนักงานคุมประพฤติ 3 จังหวัดชลบุรี"
ต.ค. 2541 เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 จ่าศาลจังหวัดปากพนัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบงานศาล, 16 ก.พ. 2542 เป็นจ่าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ, 18 มี.ค. 2542 ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม, 4 มิย. 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น อกพ. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 8 มิย.2544 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลตุลาการ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 15 ต.ค. 2544 ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพสถานพินิจ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 7 พ.ย. 2544 คณะกรรมการบริหารแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549, 12 มีค.2545 กรรมการและเลขานุการการเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี, 3 ต.ค.2545 รักษาราชการแทนรองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ 9 ในตำแหน่ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อ 25 เมย.2546
ย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ 1 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับมาทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีพินิจและคุ้ม ครองเด็กและเยาวชนอีกครั้งและได้ขึ้นเป็นอธิบดีในที่สุด
ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับ คือ จัดทำมาตรฐานกลางการปฏิบัติงานธุรการศาล และนำวิธีการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management/ TQM) จนศาลจังหวัดนครราชสีมาได้รับ การประกาศรับรองด้านบริการ ISO 9000
การปฏิรูปกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นคณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี จนสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน
ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณด้านการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2550 และได้รับเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น พ.ศ.2544 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 สค.2550
"ทุกอย่างที่ทําให้เรามาถึงวันนี้ ได้กรรมเป็นตัวกํากับทั้งหมด และอะไรที่เราเคยเสีย ใจแบบสุดๆ หรือว่าเศร้าใจอย่างสุดๆ ความรู้สึกนั้นมันไม่เคยเสถียรเลย มันลดลงมาหมด
วันนี้ดีใจที่ได้เป็นอธิบดี อาจจะดีใจจน ตัวลอย แต่ว่าไม่เท่าไหร่ก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเท่าทันโลก เข้าใจเรื่องกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ที่สําคัญที่สุด คือเรามีหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องทําให้ดีที่สุดในการที่จะมองไปที่ประชาชนและเด็กๆ
ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีกรรมดีที่ได้มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่า ผมก็อาจจะเคยทํากรรมอะไรไว้บางอย่างกับเด็กๆ ผมถึงต้องชดใช้อะไรมากมายถึงขนาดนี้ รู้สึกว่าต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เห็นอะไรไม่สบายใจต้องเข้าไปจัดการ ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็อยากเห็นสังคมมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้มันตกต่ำไปมาก"
สมรสกับเบญจพร ไทยเขียว ซึ่งรับราชการครู มีบุตรชาย 2 คน นายชัชชล ไทยเขียว อายุ 25 ปี จบศึกษาด้านภาษาและวัฒนธรรม และศึกษาดนตรีและทำเครื่องดนิตรีกู่ฉินไปด้วยที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบอาชีพส่วนตัวสอนคนตรีกู่ฉิน และจำหน่ายเครื่องคนตรีจีนคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจารย์พิเศษ
และนายยิ่งคุณ ไทยเขียว อายุ 23 ปี จบศึกษาคณะวิศวศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA มหาวิทยาลัยหอการค้า