|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ค่ายเส้นทางสู่หมอศิริราช ครั้งที่ 8 วันที่ 2
29 ต.ค. 49 มาถึงที่ศิริราชตอนเจ็ดโมงกว่าๆ ก็เข้ามารอที่หอประชุม วันนี้กิจกรรมในตอนเช้าคือจะได้เข้าชมห้องผ่าตัด ดูหอผู้ป่วยแล้วก็ทำ Case Study ซึ่งวันนี้เค้าจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่ม a กับ b โดยจะให้กลุ่ม a ไปดูห้องผ่าตัดก่อน แล้วกลุ่ม b อยู่ในห้องประชุม ทำ Case study รอไปก่อน
ก่อนจะได้เริ่มกิจกรรม พี่ๆมีเซอร์ไพรส์ให้กับคนที่มาเช้า (ความจริงมาทันเวลาหรือสายหน่อยก็ได้ดูนะเนี่ย) เป็นรายการ fear factor เป็นรายการแข่งๆกันนี่แหละค่ะ ตัวแสดงก็พี่ๆในคณะแพทย์นี่แหละ ดูแล้วก็ฮาๆดี แล้วก่อนจะเริ่มกิจกรรม พี่ๆเค้าเปิดซีดีเรื่องการผ่าตัดไส้ติ่งให้ดู ตั้งแต่ทายาอะไรสักอย่างนี่แหละที่ท้อง แล้วก็ลงมีด กรีดผ่าไปเป็นชั้นๆ หลายชั้นกว่าจะถึงอวัยวะภายใน แล้วก็ดึงเอาลำไส้ใหญ่ออกมา หาไส้ติ่งแล้วตัดออก จากนั้นก็ยัดลำไส้กลับเข้าไป เย็บปิดแผลทีละชั้นทีละชั้น จนมาถึงผิวหนัง ดูแล้วก็แอบน่ากลัวแฮะ เพิ่งได้เคยเห็นการผ่าตัดตั้งแต่แรกจนจบแบบนี้ครั้งแรก แต่เราคิดว่าแค่ลงมีดก็ผ่าไปก็ถึงอวัยวะแล้ว เพิ่งจะได้รู้ว่ามันผ่ากันหลายชั้นจริงๆ ยิ่งคนอ้วนนะ ไขมันเยอะ ยิ่งผ่าหลายชั้นเข้าไปใหญ่ เพราะชั้นไขมันหนาหว่าคนผอม
พอดูซีดีผ่าตัดจบ จากที่เมื่อวานชักเริ่มอยากเป็นหมอ ตอนนี้ชักเปลี่ยนใจไม่อยากเป็นหมออีกแล้ว ผ่าตัดมันน่ากลัวอ่ะ นี่ขนาดผ่าตัดไส้ติ่ง ง่ายที่สุดแล้วนะเนี่ย แล้วถ้าผ่าตัดหัวใจ สมอง(ต้องเปิดกะโหลก) จะน่ากลัวขนาดไหน ตอนได้ออกมาจากห้องประชุม คุยกับพี่กลุ่มเรา ซึ่งอยู่ปีหนึ่ง บางคนเค้าก็ดูกลัวๆเหมือนกันนะ แต่พี่ๆถอนตัวไม่ทันแล้วค่ะ ก็เข้ามาเรียนแล้วนี่นา เว้นแต่จะออกไปเอนท์ใหม่ ซึ่งคงไม่มีใครทำมั้ง
หลังจากดูซีดีผ่าตัดจบแล้ว ก็ได้เวลาแยกย้าย กลุ่ม b ออกไปกินของว่าง แล้วกลับมาทำ Case study ส่วนกลุ่ม a ออกไปดูห้องผ่าตัดก่อนแล้วค่อยกลับมากินของว่าง Case study ที่พี่ให้ทำก็คือ ผู้ป่วยเป็นชายไทย เกิดอาการ wink wink เธอจะรักกันจริงรึเปล่า หว่าว หว่าว หว่าว แพทย์บอกว่าผู้ป่วยเป็น โรคหัวใจกำเริบ Lov eก็เลย Love Love Love ประมาณนี้แหละค่ะ เอาเพลงมาต่อๆเป็นเรื่องราว ตอนใบสมัครเข้าค่ายนี้ก็ใช้อันนี้แหละ แต่ในค่ายนี่มีภาคต่ออีก สรุปคือ Case Study ติ๊งต๊อง คลายเครียดค่ะ แล้วก็ให้แต่ละกลุ่มออกไปพรีเซนต์ว่าจะรักษาคนไข้รายนี้อย่างไร
แต่ละกลุ่มก็ออกไปร้องเพลงกันซะส่วนใหญ่ มีแสดงประกอบบ้าง ส่วนใหญ่นั้นจะแสดงเป็นเกย์ค่ะ ประมาณอกหัก แล้วมารักกับหมอผู้ชาย เหอๆ ซึ่งกลุ่มเรา มีผู้ชายอยู่ 2 คน ก็โดนซะ ให้ไปแสดงประกอบ ส่วนพวกทีเหลือ (ผู้หญิงทั้งนั้น)ก็ร้องเพลง และเนื่องจากในกลุ่มไม่ค่อยมีคนยอมร้องเพลงกัน เราก็เลยต้องไปร้อง เพราะเพลงที่ใช้เราดันร้องได้ ก็เลยโดนไป ไม่รับประกันความผิดคีย์นะคะ เพราะเราเป็นคนที่ร้องเพลงได้ห่วยแตกมาก ตอนร้องเพลง เราก็ไม่ยอมร้องคนเดียวหรอกค่ะ ลากเพื่อนๆออกไปช่วยกันร้องด้วย แต่เราเป็นคนนำ พอร้องไปสักพัก พี่เค้ามาหยิบกุญแจยื่นมาให้เรา แล้วก็พูดว่า อ่ะน้อง พี่ให้ จะได้มีคีย์ กรี๊ดอย่างแรง พี่ใจร้ายอ่ะ ล้อเรา เล่นเอาเสียเซลฟ์เลย แต่ราคงร้องห่วยแตกจริงๆน่ะแหละ และกลุ่มเราก็แสดงผ่านไปด้วยดี แม้การร้องเพลงมันจะห่วยก็ตาม
พอแสดงจบก็ได้เวลาขึ้นไปดูห้องผ่าตัดแล้วค่ะ ตอนเข้าไปก็ต้องใส่ชุดสีเขียวๆที่ต้องใส่เวลาเข้าห้องผ่าตัด สวมหมวก เปลี่ยนรองเท้า แล้วก็เข้าไปในห้องผ่าตัดของจริงแต่ไม่ได้ดูการผ่าตัดสดๆหรอกนะคะ ใครเค้าจะให้ดูกัน ก็ได้คุยกับพี่ๆศัลยแพทย์ ได้เห็นเครื่องมือผ่าตัดต่างๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ เพราะไม่ได้มีโอกาสเข้ามาได้ง่ายๆ
ดูห้องผ่าตัดเสร็จก็ไปดูหอผู้ป่วย ที่นี่จะมีพี่นักศึกษาแพทย์ปีห้าที่อยู่วอร์ดนั้นๆมาอธิบายให้ฟัง เราได้ไปที่แผนกสูติ-นรีเวช กิจกรรมนี้พี่เค้าจะให้เราได้ลองเป็นหมอด้วยตัวเอง โดยให้ทำเป็นกลุ่ม จะได้ซักถามประวัติคนไข้ เพื่อจะวิเคราะห์โรคค่ะ คนไข้ที่เราได้สอบถามเป็นโรคจิต เรียกว่าโรคไบโพลาร์อะไรสักอย่างนี่แหละ คือยังคุยกับเรารู้เรื่อง แต่อาการของโรคนี้คือจะเปลี่ยนอารมณ์ไปง่ายๆ ประมาณนั้น ตอนถามนี่เราก็คิดว่าเค้าเอาคนไข้จริงๆมาให้เราถามเลยเหรอ เชื่อเลยแหละค่ะว่าเป็นคนไข้จริงๆ จนตอนสุดท้ายถึงเฉลยว่าเป็นพี่นักศึกษาแพทย์มาแสดง เล่นเอาโดนหลอกอีกแล้ว แสดงเหมือนจริงมาก
จบจากกิจกรรมนี้ก็พักกินข้ากลางวันค่ะ แล้วต่อกิจกรรมตอนบ่ายคือ Walk Rally ให้เดินไปรู้จักสถานที่ต่างๆในโรงพยาบาลศิริราช เดินไปเป็นกลุ่ม มีสิบฐานค่ะ ก็ได้ขึ้นไปอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 ที่ในหลวงมาพักรักษาตัว ได้ดูอีกด้านนะคะ ด้านที่ในหลวงพักรักษานั้นเค้าปิดไว้ ไปดูไม่ได้ เห็นแค่ประตู ได้ดูแต่ด้านที่เป็นห้องวีไอพี ห้องริมสุด เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาสองด้าน วิวสวยมาก
แล้วก็ได้ไปดูห้องที่รักษาด้วยการฉายรังสี ได้ดูศูนย์รักษาโรคหัวใจที่แพงๆอ่ะค่ะ เรียกว่าอะไรจำไม่ได้ แต่ค่าห้องคืนนึงนี่เกือบหมื่น แต่ห้องหรูมาก อย่างกับโรงแรมห้าดาวแน่ะ ได้ไปห้องที่อธิการบดีประชุมค่ะ ซึ่งเค้ามักไม่ค่อยเปิดให้ชม แต่พวกเราได้มีโอกาสดู แล้วก็ไปที่โรงยิมของหอพักแพทย์ เป็นหอกีฬา ให้เล่นแชร์บอลแข่งกัน แต่เป็นแชร์บอลภาคมั่วนะคะ แล้วก็ได้ดูสาธิตการตรวจมะเร็งเต้านม ได้ลองทำด้วย แต่กับหุ่นนะคะ แล้วก็มีสาธิตการปั๊มหัวใจ ช่วยชีวิต ได้ลองทำกับหุ่นเหมือนกัน มีการนวดแผนไทย แต่ฐานนี้เราไม่ได้ไปดูค่ะ ไปไม่ทัน อดเลย แล้วก็มีไปไหว้อนุสาวรีย์พระบรมราชชนก สมเด็จย่า
จบจากกิจกรรม Walk Rally แล้วก็เข้าหอประชุม เพื่อสรุปกิจกรรม มีภาพหลุดๆ ฮาๆ ระหว่างค่ายให้ดูด้วย แล้วก็มีการเฉลยพี่ๆนักศึกษาแพทย์ที่ปลอมตัวมาเป็นนักเรียน เข้าค่ายร่วมกลุ่มกับพวกเราด้วย กลุ่มเราไม่มีใครปลอมตัวมา มีไม่กี่กลุ่มที่โดน พี่ปีห้ายังมีปลอมตัวมาเลย เราก็สงสัยอยู่แล้ว อยู่ ม.ปลาย ทำไมหน้าแก่จังวะ แล้วก็ทำแบบประเมิน แลกอีเมล์กันกับเพื่อนๆ พี่ๆในกลุ่ม และพิธีสุดท้ายคือการบายศรีจากพี่กลุ่ม พี่ๆมาผูกสายศิลป์ที่ข้อมือให้ แล้วก็แจกของที่ระลึก คือกระเป๋าดินสอของศิริราช แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนกลับก็แวะซื้อโปสการ์ดจากฝีมือการวาดของนักศึกษาแพทย์ศิริราช วาดงามมากเราซื้อไป 8 อันแน่ะ มี 8 ลายพอดี
ความรู้สึกหลังจากเข้าค่ายนี้ รู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าค่ายนี้ แถมยังได้เข้าแบบเซอร์ไพรส์อีกต่างหาก เป็นค่ายที่สนุกและมีความรู้มาก เราได้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่ไม่มีโอกาสจะได้เห็นที่อื่น ได้รู้จักเพื่อนๆพี่ๆที่น่ารักทุกคน ถึงแม้จะได้อยู่ด้วยกันแค่ 2 วัน แต่ก็เป็น 2 วันที่มีความสุขมาก ปีหน้า ถ้ามีโอกาสเราจะมาสมัครเข้าค่ายนี้อีกแน่นอน แล้วเจอกันนะ ค่ายเส้นทางสู่หมอศิริราช ครั้งที่ 9
ทัศนคติต่ออาชีพแพทย์หลังจากการเข้าค่ายนี้ ตั้งแต่เด็กแล้วที่เราอยากจะเป็นหมอ ส่วนเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเป็นหมอนั้นก็คงตอบไม่ได้ เพราะเราเองก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าอยากเป็นหมอ จนพอเราโตขึ้น ได้เห็นสังคมภายนอกมากขึ้น ความอยากเป็นหมอของเราเริ่มหายไป เพราะเราเริ่มรู้ว่าเป็นหมอต้องเจอกับอะไรบ้าง ต้องเรียนอะไรบ้าง เราเองก็ไม่ใช่คนกลัวเลือด แต่ถ้าเวลาเจอแผลจากอุบัติเหตุหรืออะไรก็ตามแต่ที่มันน่ากลัวแล้ว เราจะไม่ชอบ ไม่อยากมอง รวมถึงการผ่าตัดด้วยที่เราเคยมีโอกาสได้เห็น จึงทำให้เราไม่อยากเป็นหมอ
ตอน ม.3 เป็นช่วงเวลาที่เราไม่อยากเป็นหมอมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าใครจะมาถามว่าอยากจะเข้าคณะอะไร เราจะตอบทันทีเลยว่าไม่เรียนหมอ ตอนนั้นเราอยากเรียนวิศวะมาก แล้วก็ชอบฟิสิกส์
และความคิดของเราก็เริ่มเปลี่ยนตอนขึ้น ม.4 เพราะเราเริ่มจะไม่ชอบฟิสิกส์แล้ว หันมาชอบชีวะแทน และชีวะก็เป็นวิชาที่เราทำได้ค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง ส่วนฟิสิกส์ก็เป็นวิชาที่เราทำได้ค่อนข้างไม่ได้ เราจึงเริ่มเอนเอียงจากการเป็นวิศวะและเริ่มสนใจหมอนิดๆ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราอยากเข้าค่ายหมอที่แต่ละสถาบันจัด เราจึงสมัครไปเกือบทุกค่ายหมอเลย เพื่อเราจะได้รู้เกี่ยวกับอาชีพหมอมากขึ้น และจะได้รู้ว่าเรานั้นจะเป็นหมอได้มั้ย หาข้อมูลไว้สำหรับการเข้ามหาวิทยาลัยของเรา จนได้มาเข้าค่ายหมอศิริราช ส่วนค่ายที่อื่นนั้นไม่ติดสักค่าย
พอได้มาเข้าค่ายหมอศิริรราชแล้ว เรารู้สึกว่าเรื่องศพ เรื่องเลือดที่ต้องเจอนั้นความจริงมันก็ไม่น่ากลัวอะไร เราทำไปบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินเอง ข้อนี้รู้สึกหลังได้จับอาจารย์ใหญ่ด้วยมือเปล่า ส่วนเรื่องการผ่าตัดนั้น ถึงแม้มันจะดูน่ากลัวแต่เรามาคิดดูแล้วว่า พอเราชินกับมันแล้ว มันก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป และถ้าเราไม่ชอบการผ่าตัดจริงๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเรียนเฉพาะทางในด้านผ่าตัดก็ได้นี่นา เราไปเลือกเรียนในด้านอื่นก็ได้
การมาค่ายนี้ทำให้เราหมดความกลัวในเรื่องเลือด เรื่องแผล เรื่องศพไปแล้ว คือถ้าจะเลือกเรียนหมอ เราก็ไม่กลัวในข้อนี้แล้ว แต่เหตุผลที่เรายังไม่อยากเป็นหมอเต็ม 100 % ก็คือเรื่องชีวิตการทำงานของหมอ
ในค่ายนี้มีพี่ๆที่จบหมอไปแล้วมาให้ความรู้และข้อคิดในเรื่องชีวิตหมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะใช้ตัดสินจนเลือกเรียนหมอ เป็นหมอนั้นเรียนหนักและเรียนยาก ข้อนี้เราไม่กลัวเพราะถ้าขยันแล้วเราเชื่อว่าเราทำได้แน่นอน จบหมอแล้วต้องใช้ทุน 3 ปี (ซึ่งรุ่นเราอาจจะเป็น 6 ปี) ข้อนี้เป็นข้อที่ต้องคิดหนัก ว่าเราจะอยู่ได้มั้ย ต้องไปใช้ทุนที่ไหนก็ไม่รู้ในประเทศไทย อำเภอไหน จังหวัดไหนก็ไม่รู้ จะทุรกันดารแค่ไหนก็ไม่รู้ และข้อสำคัญ คือชีวิตการทำงานของหมอ เราชอบหรือเปล่า อาชีพที่ต้องบริการคน ต้องเสียสละ ต้องอดทน เวลาส่วนตัวก็น้อยนิด ถึงแม้จะเป็นอาชีพที่มั่นคงก็ตาม
และข้อสุดท้ายสำคัญที่สุดสำหรับเรา เรียนหมอจบ 6 ปี อายุ 24 ถ้าต้องใช้ทุน 6 ปี ใช้ทุนเสร็จก็ 30 แล้วต้องไปเรียนต่อเฉพาะทางอีกกี่ปีก็ไม่รู้ กว่าจะเรียนจบแก่ขึ้นคานกันพอดี (รู้สึกเหตุผลข้อสุดท้ายนี่มันทะแม่งๆนะ)
หลังจากค่ายนี้จบ เรามีแนวโน้มที่จะเป็นหมอมากกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เรายังไม่รู้ว่าเราชอบอาชีพหมอจริงๆมั้ย อยากเป็นหมอจริงรึเปล่า และเมื่อเป็นหมอแล้ว เราพร้อมที่จะใช้ชีวิตแบบหมอได้มั้ย ก็ยังมีเวลาอีก 2 ปีที่จะตัดสินใจค่ะ ระหว่างนี้ก็ตั้งใจเรียนและเก็บข้อมูลไปก่อนละกัน
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2549 |
|
4 comments |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2549 21:43:31 น. |
Counter : 1381 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: PutterZ (ToppuT ) 14 พฤศจิกายน 2549 22:10:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: DrNOTE IP: 202.149.25.241 14 มกราคม 2551 20:27:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: 淫インモラル IP: 72.46.128.139 20 มกราคม 2557 16:34:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: Saipan IP: 49.230.117.217 18 ตุลาคม 2557 16:33:41 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่รักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ หนังสือเป็นเหมือนปัจจัยที่ห้าในชีวิต ขาดไม่ได้ ไม่งั้นจะเกิดอาการลงแดง เซ็ง เบื่อโลก (เว่อร์ไปมั้ยเนี่ย) โดยเฉพาะนิยาย เป็นหนังสือที่ชอบอ่านมากที่สุด อ่านได้ทุกแนว
แต่จะชอบมากเป็นพิเศษ คือนิยายรักโรแมนติก หวานๆแนวผู้ใหญ่ ประมาณชุดความรู้สึกดีฯ ของแจ่มใส หรือนิยายของนักเขียนที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยชอบอ่านแนวรักวัยรุ่นสักเท่าไหร่ (ทั้งที่ตัวเองก็ยังวัยรุ่นอยู่)
และจะยิ่งชอบ กรี๊ด บ้ามากขึ้น ถ้านิยายเรื่องนั้นมีพระเอกน่ารัก แสนดี อ่านแล้วหลงรัก
หรือแนวรักเศร้าๆ ไม่สมหวัง อ่านแล้วซาบซึ้ง กินใจ และทำให้เราร้องไห้ตามได้
อีกแนวนึงที่ชื่นชอบเหมือนกัน คือแนวแฟนตาซี จะมีโรแมนติกเข้ามาด้วย ก็จะยิ่งชอบมาก
|
|
|
|
|
|
|