โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration)
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากความเสื่อมในส่วนกลางของจอประสาทตา ซึ่งเกิดเมื่อคนเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น นับเป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีความสูญเสียความสามารถในการมองเห็นในผู้สูงอายุ ปัจจุบันประชากรโลกมีอายุเพิ่มมากขึ้น จึงพบว่าโรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อยๆ มีการประเมินพบว่าโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ ๕๔) โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า ๕๐ ปี จึงมักเรียกว่า โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากอายุ (Age-related Macular Degeneration or AMD) แต่โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม อาจพบได้ในผู้มีอายุน้อย ซึ่งมักพบในผู้ที่มีประวัติทางครอบครัวเป็นโรคนี้
ศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมมี ๒ ชนิด ๑. โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD) พบประมาณร้อยละ ๙๐ เป็นโรคที่ทำให้มีการสูญเสียการมองเห็นอย่างช้าๆ โรคกลุ่มนี้จอประสาทตาจะบางลงบริเวณศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม (macula) ทำให้มีความสามารถในการมองเห็นลดลงและเป็นไปอย่างช้าๆ บางรายอาจมีการพัฒนาไปเป็นโรคโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD) ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีการมองเห็นลดลงอย่างมากควรไปตรวจกับจักษุแพทย์ ๒. โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) พบประมาณร้อยละ ๑๐-๑๕ โรคกลุ่มนี้การสูญเสียการมองเห็นเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุสำคัญของตาบอดในโรคนี้ ซึ่งสาเหตุการตาบอดเกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตาและผนังชั้นอาร์พีอี (RPE) ซึ่งหลอดเลือดเหล่านี้จะเปราะและแตกง่าย มีการรั่วซึมของเลือดและสารเหลวจากหลอดเลือด ทำให้เกิดแผลเป็นและจอประสาทตาบวม ผู้ป่วยเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางเบี้ยว และเกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีการมองเห็นอย่างเฉียบพลันควรพบจักษุแพทย์ทันที ซึ่งสามารถรักษาการมองเห็นได้ดีกว่าที่เป็นมานาน
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง
ปัจจัยเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม มีดังนี้ ๑. อายุ พบบ่อยในคนที่มีอายุมากกว่า ๕๐ ปี ๒. พันธุกรรม พบว่าร้อยละ ๕๐ ของผู้ป่วยจะมีประวัติที่คนในครอบครัวเป็นมาก่อน ๓. เชื้อชาติ/เพศอุบัติการณ์ของโรคสูงในคนผิวขาว และเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ๔. บุหรี่ มีหลักฐานพบว่าการสูบบุหรี่จะมีโอกาสเกิดโรคนี้เร็วกว่าผู้ไม่สูบถึง ๑๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูบบุหรี่ที่มีประวัติครอบครัวร่วมด้วย จะมีโอกาสเพิ่มถึง ๓๐ เท่า
อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ๑. ภาพบิดเบี้ยว มองเห็นเส้นตรงเป็นเส้นขาด ๒. มองภาพหรืออ่านหนังสือที่ต้องใช้งานละเอียดยากกว่าปกติ ๓. มองไม่เห็นส่วนกลางของภาพ ๔. การมองภาพต้องใช้แสงเพิ่มขึ้น มองเห็นลดลงไม่ตรงกลางเส้น การมองเห็นสีลดลง
ข้อแนะนำเพื่อลดโอกาสการเกิดโรค ๑. เข้ารับการตรวจตาและจอประสาทตา ๒. งดการสูบบุหรี่ ๓. ควบคุมน้ำหนักตัวและออกกำลังกาย ๔. กินสารต้านอนุมูลอิสระและธาตุสังกะสี ๕. ป้องกันดวงตาจากแสงแดด ๖. กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ๗. สำหรับการรักษาในกลุ่มโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายหลอดเลือดออกใหม่ ซึ่งแตกง่ายทำให้เกิดเลือดออกหรือทำให้การมองเห็นลดลง ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการรักษาที่จะให้การมองเห็นกลับมาดีดังเดิมได้ แต่พอมีการรักษาที่จะช่วยชะลอการสูญเสียของการมองเห็น
การรักษาในปัจจุบันมีอยู่หลายวิธี ๑. การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เป็นวิธีที่รักษามานานโดยใช้แสงเลเซอร์ยิงเพื่อทำลายหลอดเลือดผิดปกติ ซึ่งนอกจากจะทำลายหลอดเลือดผิดปกติ ยังทำลายหลอดเลือดปกติ และจอประสาทตาปกติด้วย ซึ่งอาจทำให้การมองเห็นลดลงอย่างมากยิ่งขึ้นได้ ๒. การรักษาด้วยวิธีโฟโต้ไดนามิก (Photodynamic Therapy or PDT) เป็นการรักษาโดยใช้ยา Verteporfin ร่วมกับเลเซอร์ที่ไม่ทำให้เกิดความร้อน โดยยาจะทำให้หลอดเลือดผิดปกติเกิดการอุดตัน พบว่าวิธีนี้ยังเป็นการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัย ๓. การรักษาด้วยการฉีด Anti VEGF เข้าไปในวุ้นลูกตา เป็นการรักษาโดยใช้นวัตกรรมใหม่ของผลิตภัณฑ์ทางชีววิทยา (Biological Product) ที่ใช้กับตาโดยเฉพาะวิธีนี้เป็นการรักษาแนวใหม่และยับยั้งสาเหตุของการเกิดโรคได้ตรงจุดมากขึ้น
การป้องกันการเกิดโรค ๑. หลีกเลี่ยงการได้รับแสงหรือรังสีอัลตราไวโอเล็ตเป็นระยะเวลานาน ๒. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ๓. กินอาหารที่มีบีตาแคโรทีน โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ปริมาณสูง เช่น แอปเปิ้ล บร็อกโคลี ข้าวโพด แตงกวา องุ่น มะม่วง ส้ม ฟักทอง ผักโขม ถั่ว พริก และไข่แดง
ขอบคุณข้อมูลจาก : //www.doctor.or.th/article/detail/15487
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ
Create Date : 25 สิงหาคม 2557 |
Last Update : 25 สิงหาคม 2557 9:45:55 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1511 Pageviews. |
|
|