10 อาการเตือนของโรคหัวใจ
10 อาการเตือนของโรคหัวใจ ได้แก่ 1. ใจสั่นหัวใจเต้นแรง สาเหตุเกิดจาก -มีการเปลี่ยนแปลงของจังหวะการเต้นของหัวใจเช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ(ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคหรือความผิดปกตินอกระบบหัวใจเช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ,ภาวะนํ้าตาลในเลือดตํ่า,โรคฟีโอโครโมไซโตมา,ไข้,ยาบางชนิด,ชากาแฟ รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล -อัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นซึ่งอาจจะเป็นผลจากภาวะดังกล่าวข้างต้นรวมทั้งภาวะเครียดหรือวิตกกังวล -หรืออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความแรงของการบีบตัวของหัวใจเช่น จากโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติครั่ว วิธีปฏิบัติตนก็คือ หาสาเหตุที่แก้ไขได้ก่อนดังกล่าวข้างต้น เช่น งดการดื่มชากาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ ในกรณีที่เป็นความผิดปกติของหัวใจ วิธีการรักษามีหลายแบบขึ้นอยู่กับชนิดของความผิดปกติที่พบ บางชนิดใช้ยารักษาอย่างเดียว บางชนิดต้องทำ การสวนหัวใจแล้วทำ การจี้ทำ ลายด้วยพลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ เป็นต้น 2. เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ถ้าผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยขึ้นมาทันทีโดยไม่สัมพันธ์กับการออกแรงจะมีสาเหตุจากความผิดปกติ เช่น เส้นเลือดแดงที่ปอดอุดตัน,ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด,อาการเครียดวิตกกังวล แต่ถ้ามีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรงจะนึกถึงความผิดปกติดังต่อไปนี้ -โรคทางปอดเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคถุงลมปอดโป่งพอง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการเหนื่อยง่ายตลอด ในรายที่เป็นมากจะสังเกตเห็นบริเวณริมฝีปากเขียวคลํ้า สาเหตุเกิดจากการสูบบุหรี่เป็น ประจำ ,ประวัติเคยเป็นวัณโรคปอด เป็นต้น -โรคหอบหืด มักพบในเด็กหรือเป็นตั้งแต่วัยเด็กมากกว่า โดยผู้ที่เป็นโรคนี้อาจจะมีอาการอื่นของโรคภูมิแพ้ร่วมด้วย เช่น คันบริเวณตา จมูก จามบ่อย มีนํ้ามูกใสตอนอากาศเย็น ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการเป็นพักๆเวลามีสิ่งกระตุ้นให้หลอดลมตีบ เช่น เป็นไข้หวัด แพ้ ถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ,กล้ามเนื้อหัวใจ,เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ,ลิ้นหัวใจ ก็จะทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรงละอองเกสรดอกไม้ ส่วนเวลาที่ไม่มีอาการจะเหมือนคนปกติ -ความผิดปกติเกี่ยวกับกระดูกทรวงอก โดยเฉพาะ กระดูกสันหลังโก่งคดรุนแรง ทำให้มีผลต่อการทำงานของปอด เกิดภาวะเหนื่อยง่ายเรื้อรัง -โรคหัวใจทุกชนิด เนื่องจากหัวใจเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ซึ่งในขณะออกกำลัง อวัยวะต่างๆจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนที่ฟอกที่ปอดมากขึ้นโดยผ่านทางระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งมีหัวใจเป็นตัวปั๊มเลือด ดังนั้นถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ,กล้ามเนื้อหัวใจ,เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ,ลิ้นหัวใจ ก็จะทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง -ถ้ามีภาวะหัวใจข้างซ้ายล้มเหลวร่วมด้วยก็จะมีอาการเหนื่อยนอนศีรษะสูง/เหนื่อยง่ายตอนกลางคืน -ถ้ามีภาวะหัวใจข้างขวาล้มเหลวร่วมด้วยก็จะมีขาบวม เส้นเลือดที่คอโป่งพองเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง -ภาวะโลหิตจาง ผู้ที่มีภาวะนี้มักจะดูซีดขาวกว่าปกติ อาจจะมีสาเหตุชัดเจนเช่น มีถ่ายเป็นเลือดเป็นประจำ จากริดสีดวง อาเจียนนเป็น เลือดจากเลือดออกในทางเดินอาหาร หรืออาจจะเป็นผลจากความผิดปกติของไขกระดูกรวมทั้งโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว -โรคประสาทวิตกกังวล พวกนี้มักจะมีอาการนอนไม่หลับ อ่อนเพลียตลอดทั้งวัน เบื่ออาหารบางครั้งมีอาการใจสั่น หายใจไม่อิ่ม กลืนนํ้าลายรู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ วิธีดูแลตนเองก็คือ หลีกเลี่ยงความเครียดความวิตกกังวล หมั่นออกกำ ลังกายอย่างสมํ่าเสมอเพื่อทำให้ปอดและหัวใจแข็งแรง ถ้าสงสัยว่าตนเองเป็นโรคปอดหรือโรคหัวใจรวมทั้งภาวะโลหิตจาง ควรรีบปรึกษาแพทย์ 3. เจ็บแน่นหน้าอกตรงกลาง อาการแน่นหน้าอกบริเวณตรงกลาง ลักษณะหนักๆเหมือนถูกกดทับ มีร้าวไปแขนซ้ายหรือร้าวขึ้นคอ อาการมักเป็นมากเวลาออกแรงหรือทำงาน เป็นลักษณะของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ถ้าไม่มีประวัติโรคหัวใจมาก่อน ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว แต่ถ้าทราบว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่แล้วให้อมยาขยายเส้นเลือดหัวใจใต้ลิ้นอาการจะดีขึ้นถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกลักษณะจิ๊ดๆ แปล๊บๆ แหลมๆ แทงๆ หรือแสบร้อน สามารถบอกได้ว่าไม่ใช่ลักษณะของโรคหัวใจ ซึ่งมักจะเกิดจาก การออกแรงทำ งานหรือเล่นกีฬาพวกนี้มักจะกดเจ็บร่วมด้วยหรือเวลาบิดเอี้ยวตัวจะเจ็บมากขึ้น หรือเกิดจากภาวะหลอดอาหารอักเสบจากกรดในกระเพาะอาหารดันย้อนขึ้นมาพวกนี้มักจะมีอาการแสบร้อน อาจจะมีเรอร่วมด้วยและอาจจะมีอาการทางโรคกระเพาะอาหาร เช่น เป็นมากตอนกลางคืนหรือสัมพันธ์กับการทานอาหาร วิธีดูแลตนเอง คือ หลีกเลี่ยงการออกกำ ลังกายหรือการเล่นกีฬาที่หักโหมเกินไป การทำงานออกแรงที่ใช้แรงมากเกินตัว หรือถ้ามีอาการที่สงสัยว่าเป็นจากระบบทางเดินอาหารดังกล่าวข้างต้นก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด หลีกเลี่ยงการดื่มชากาแฟ รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
.ถ้ามีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีอาการแน่นหน้าอกบริเวณตรงกลาง ลักษณะหนักๆเหมือนถูกกดทับ มีร้าวไปแขนซ้ายหรือร้าวขึ้นคออาการมักเป็นมากเวลาออกแรงหรือทำงาน เป็นลักษณะของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 4. หน้ามืดเป็นลมไม่ทราบสาเหตุ กรณีนี้อาจเกิดจากโรคหรือภาวะหลายอย่างที่ทำให้สมองขาดเลือดหรือสารอาหาร ดังต่อไปนี้ -โรคหัวใจ ภาวะหัวใจเต้นเร็วหรือช้ามากผิดปกติ ลิ้นหัวใจตีบบางชนิด เช่น สิ้นหัวใจเอออร์ติคตีบ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจำนวนมาก ภาวะนํ้าบีบรัดในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ -เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ โดยเฉพาะบริเวณก้านสมอง -ภาวะขาดนํ้า/เลือดรุนแรงจนเกิดภาวะช็อค -ภาวะอื่นๆ เช่น โรคประสาทวิตกกังวล ภาวะนํ้าตาลในเลือดตํ่า วิธีปฏิบัติตนกรณีมีอาการหน้ามืดเป็นลม คือช่วยเหลือพยุงผู้ป่วยไม่ให้ล้มลงจนเกิดกระแทกถูกส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย และจัดให้ผู้ป่วยนอนราบในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก คลายเสื้อผ้าให้หลวม และให้ศีรษะตะแคงเพื่อไม่ให้ลิ้นตกไปอุดหลอดลมและป้องกันการสำ ลัก การใช้ผ้าเย็นเช็ดบริเวณใบหน้าและคอจะช่วยกระตุ้นการรู้สึกตัวได้ถ้าจำเป็นอยู่ในสถานที่คับแคบไม่สามารถนอนราบได้ ให้อยู่ในท่านั่งศีรษะตํ่าอยู่ระหว่างเข่าสองข้างเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองให้มากที่สุด ในกรณีที่เกิดจากอากาศร้อนอบอ้าวหรืออ่อนเพลีย อาการมักจะดีขึ้นภายใน 15 นาทีถ้ามีประวัติเป็นเบาหวานและได้รับยาอยู่ให้รีบหาลูกอม หรือนํ้าหวาน หรือนํ้าตาลทานทันทีเพราะมักเกิดจากภาวะนํ้าตาลในเลือดตํ่าสุดท้ายถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะหมดสติไม่รู้สึกตัว มีอาการหายใจผิดปกติเขียว หรือชีพจรเบามาก ต้องรีบนำ ส่งร.พ.โดยเร็วที่สุด 5. นอนศีรษะสูง/เหนื่อยตอนกลางคืน อาการเหนื่อยเวลานอนราบต้องนอนศีรษะสูง และอาการเหนื่อยตอนกลางคืน เป็นผลจากภาวะหัวใจข้างซ้ายล้มเหลวซึ่งอธิบายได้จากเวลานอนราบจะทำ ให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจและปอดมากขึ้น และทำให้แรงดันของเส้นเลือดในปอดเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจข้างซ้ายล้มเหลวซึ่งมีแรงดันเลือดในปอดสูงผิดปกติอยู่แล้ว ก็จะมีแรงดันเลือดในปอดสูงเพิ่มขึ้นอีกเป็นผลให้มีรั่วซึมของเลือดออกนอกเส้นเลือดฝอยเข้าไปยังถุงลมในปอด เป็นสาเหตุให้มีอาการหอบเหนื่อยขึ้นแต่อย่างไรก็ตามอาการเหนื่อยตอนกลางคืน จะต้องแยกจาก 2 ภาวะที่ทำ ให้มีอาการแบบเดียวกันได้ เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีการสร้างเสมหะจากหลอดลมออกมามากและตลอดเวลาทำให้ขณะที่นอนหลับมีการสะสมของเสมหะภายในหลอดลมทำ ให้หลอดลมอุดตันจนเป็นให้ผู้ที่เป็นตื่นขึ้นจากขาดอากาศหายใจ และหลังจากไอเอาเสมหะออกแล้ว อาการดังกล่าวก็จะหายไป โรคหอบหืดชนิดที่เป็นตอนกลางคืน(Nocturnal Asthma) ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักจะมีอาการรุนแรงตอนประมาณเวลาตี1-ตี2 ทำ ให้ต้องตื่นขึ้นในเวลาดังกล่าวเพราะขาดอากาศหายใจ หลังจากได้รับยาขยายหลอดลมอาการจะดีขึ้นอาการเหนื่อยที่สัมพันธ์กับท่าของร่างกาย เช่น นั่งยืนแล้วเหนื่อยนอนแล้วดีขึ้น เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหน้าท้อง (ทำให้เวลานั่งยืนจะเป็นผลให้อวัยวะภายในช่องท้องยื่นออกทำให้กระบังลมถูกยืดตัวผิดปกติจนมีผลต่อการทำงานของปอด) รักษาโดยใช้เครื่องพยุงพันหน้าท้อง ดังนั้นถ้ามีอาการดังกล่าวข้างต้น วิธีที่ดีที่สุดคือรีบปรึกษาแพทย์ทันที อย่ารอให้เป็นมากเพราะถ้าเป็นจากโรคหัวใจอาจทำ ให้เสียชีวิตได้ 6. ริมฝีปากและมือเท้าเขียว ภาวะนี้เป็นผลจากปริมาณออกซิเจนที่จับอยู่กับเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดลดลง (ในกรณีที่มีมือเท้าเขียวอย่างเดียวโดยริมฝีปากไม่เขียวมักเป็นผลจากเลือดไปเลี้ยงบริเวณส่วนปลายไม่เพียงพอ ในทางการแพทย์ เราเรียกว่า peripheral cyanosis เช่น เกิดในที่อากาศเย็นมาก ภาวะช็อค ความผิดปกติของเส้นเลือดทำ ให้รูเส้นเลือดตีบเล็กลง)โรคหรือภาวะที่ทำ ให้ริมฝีปากและมือเท้าเขียว ได้แก่ ความผิดปกติของการทำงานของปอด เช่น โรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคปอดอักเสบติดเชื้อที่เป็นมาก โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดบางชนิด พวกนี้สังเกตจะเห็นว่ามีนิ้วปุ้มร่วมด้วย ที่พบบ่อยในผู้ใหญ่คือ โรค Tetralogy of Fallot วิธีดูแลตนเอง ถ้ามีริมฝีปากและมือเท้าเขียวตั้งแต่เด็ก ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาทันที เพราะมักเป็นจากโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งต้องผ่าตัดแก้ไขหัวใจที่ผิดปกติ ถ้ามีมือเท้าเขียวอย่างเดียว ให้แช่นํ้าอุ่นและสวมถุงมือถุงเท้าไว้ให้อบอุ่น อาการจะดีขึ้นถ้ามีริมฝีปากและมือเท้าเขียวในผู้ใหญ่ ให้รีบนำส่งร.พ.โดยเร็ว เพื่อให้ออกซิเจน และให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุริมฝีปากและมือเท้าเขียว 7. บวมทั้งตัวโดยเฉพาะขา อาการบวมสามารถแยกกลุ่มสาเหตุได้เป็น 2 กลุ่มคือ บวมกดบุ๋ม มักเกิดจาก 3 สาเหตุหลักคือ โรคหัวใจล้มเหลว,โรคไต(โรคเนฟโฟรติค,โรคไตวาย),โรคตับแข็ง บวมกดไม่บุ๋ม มักเกิดจากทางเดินนํ้าเหลืองอุดตัน เช่น โรคเท้าช้างกรณีที่บวมเกิดจากหัวใจล้มเหลว มักเกิดร่วมกับภาวะ เส้นเลือดที่คอโป่งพอง มีนํ้าในช่องท้องและ/หรือหอบเหนื่อยด้วย แต่บางครั้งการตรวจดูลักษณะดังกล่าวต้องใช้ความชำนาญโดยแพทย์ ซึ่งแม้แต่แพทย์เองถ้าไม่มีความชำนาญแล้วก็อาจวินิจฉัยผิดได้บ่อยๆวิธีดูแลตนเอง ในขั้นแรกจำ เป็นต้องตรวจหาสาเหตุโดยแพทย์ก่อน ส่วนการปฏิบัติตนทั่วไป ในกรณีที่เกิดจากโรคหัวใจ,โรคไต,โรคตับ ดังกล่าวข้างต้นคือ ให้จำกัดอาหารที่มีรสเค็ม จำกัดการดื่มนํ้าไม่เกินวันละ 800-1000 ซีซี หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินนานๆเพราะจะยิ่งทำ ให้บวมมากขึ้น เวลานอนราบให้นอนหนุนเท้าสูงจะช่วยยุบบวมบริเวณเท้าได้ดีขึ้น 8. เส้นเลือดที่คอโป่งพอง ภาวะเส้นเลือดที่คอโป่งพอง เป็นลักษณะเฉพาะของโรคหัวใจข้างขวาล้มเหลว แต่อย่างไรก็ตามอาจพบได้ในโรคเส้นเลือดแดงที่คอโป่งพอง หรือแม้แต่อาจจะพบได้ในคนปกติในผู้สูงอายุ ในกรณีที่สงสัยว่าเป็นจากภาวะหัวใจข้างขวาล้มเหลว มักจะมีอาการขาบวม ท้องโตร่วมด้วยหรืออาจพบร่วมกับภาวะหัวใจข้างซ้ายล้มเหลว ซึ่งจะทำ ให้มีอาการเหนื่อยง่าย นอนศีรษะสูง มีอาการหอบเหนื่อยตอนกลางคืน วิธีดูแลตนเองคือ หากมีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ หลีกเลี่ยงการกดหรือคลำบริเวณที่เป็นเพราะอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ถ้าสาเหตุเกิดจากเส้นเลือดแดงที่คอโป่งพองภาวะเส้นเลือดที่คอโป่งพอง เป็นลักษณะเฉพาะของโรคหัวใจข้างขวาล้มเหลว 9. ท้องโตตับโตไม่ทราบสาเหตุ สาเหตุของท้องโต ในทางการแพทย์มักพบว่าเกิดจากการมีนํ้าในช่องท้อง หรือที่เรียกกันว่า ท้องมาน ซึ่งนํ้าที่เกิดขึ้นนี้แท้จริงแล้วก็มาจากการซึมออกของนํ้าภายในเส้นเลือดฝอยในช่องท้องนั่นเอง ภาวะนํ้าในช่องท้อง ที่พบได้บ่อย เกิดจาก โรคตับแข็ง ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคไตเนฟโฟรติค ส่วนสาเหตุอื่นที่พบได้ เช่น มะเร็งในช่องท้อง เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เป็นต้น ดังนั้นภาวะท้องโตจากนํ้าในช่องท้องร่วมกับตับโต จำเป็นต้องระวังไว้เสมอว่าอาจเป็นจากโรคหัวใจล้มเหลว ซึ่งในกรณีเช่นนั้น เรามักจะพบอาการขาบวม และ/หรือเหนื่อยหอบ ร่วมด้วย ซึ่งควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อหาสาเหตุของโรคหัวใจล้มเหลว(ความเป็นจริงคือว่า หัว่ใจล้มเหลวเป็นภาวะที่เกิดขึ้น ยังไม่ใช่โรค ดังนั้นจึงต้องหาโรคที่เป็นสาเหตุด้วยเสมอ) ถ้าทราบว่าเลือดออกจากปอดข้างไหน ให้นอนตะแคงเอาปอดข้างนั้นลงเพื่อไม่ให้เลือดไหลเข้าไปในปอดข้างปกติ 10. ไอเป็นเลือดไม่ทราบสาเหตุ อาการไอเป็นเลือด ในความรู้สึกของคนทั่วไปจะค่อนข้างน่ากลัว หรือตกใจ เหมือนกับเวลาเราอ่านหนังสือนิยายหรือดูละคร ถ้าตัวละครในเรื่องถึงขั้นกระอักเลือด แสดงว่าอาการหนักปางตายเลยทีเดียว ในทางการแพทย์อาการดังกล่าว ก็เป็นสิ่งที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจทำ ให้ผู้ที่มีอาการดังกล่าวเสียชีวิต ถ้ามีเลือดออกมากจนอุดหลอดลม หรืออาจจะช็อคจากการเสียเลือดมากๆได้ส่วนสาเหตุที่พบบ่อย มักเป็นจาก วัณโรคปอด ส่วนปอดอักเสบติดเชื้อมักไม่ค่อยมีไอเป็นเลือด ยกเว้นในเชื้อบางชนิดที่อาจมีการทำ ลายทำ ให้ผนังเส้นเลือดฝอยแตกได้ง่าย สาเหตุอื่นๆรวมทั้งมะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ ฝีในปอด เป็นต้น สาเหตุอีกสาเหตุหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไป คือ โรคหัวใจ ในโรคหัวใจบางชนิด โดยเฉพาะโรคลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ จะทำให้มีแรงดันเลือดในปอดสูงขึ้นซึ่งถ้าเป็นมากก็จะทำ ให้เส้นเลือดฝอยในปอดแตกและมีอาการไอเป็นเลือดได้ และโรคลิ้นหัวใจตีบชนิดนี้เป็นโรคที่พบบ่อยมากทางภาคอีสาน ในทางการแพทย์เราจัดให้อยู่ในกลุ่มโรคหัวใจรูห์มาติค ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วมีการทำลายลิ้นหัวใจ วิธีปฏิบัติตนเมื่อมีอาการไอเป็นเลือดโดยเฉพาะถ้ามีเลือดออกมาก คือให้ผู้ป่วยนอนพัก ถ้าทราบว่าเลือดออกจากปอดข้างไหน ให้นอนตะแคงเอาปอดข้างนั้นลงเพื่อไม่ให้เลือดไหลเข้าไปในปอดข้างปกติ(ในกรณีนี้ผู้ป่วยจะพอบอกได้ว่ามีความรู้สึกว่าเลือดออกมาจากปอดข้างไหน) ในกรณีที่เลือดออกมากๆจำ เป็นต้องรีบนำ ส่งร.พ.ทันที เพราะอาจขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิตได้ ขอขอบคุณ : //www.thaiheartclinic.com/data5.asp ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับ
Create Date : 22 กรกฎาคม 2555 |
|
15 comments |
Last Update : 22 กรกฎาคม 2555 8:57:08 น. |
Counter : 122597 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ