< KITAMURA : ราชบุตรจากขุมนรก >
Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 มกราคม 2555
 
All Blogs
 

รีวิวสบายๆ : The Flying Swords of Dragon Gate




“The Flying Swords of Dragon Gate”

โครงเรื่องก็ยังคงเหมือนเดิม (การห่ำหั่นของจอมยุทธ์ในโรงเตี๊ยม) แต่หนังหยิบไอเดียจาก Dragon Inn เวอร์ชั่น 1992 มาต่อยอดเพิ่มเติมเข้าไป จนทำให้หนังมีสภาพกึ่งๆภาคต่อกับเวอร์ชั่น 1992อยู่นิดนึง เช่น ตัวละครอาเจ้เจ้าของโรงเตี๊ยม ปรากฏตัวในภาคนี้อีกครั้ง (ใช้นักแสดงคนใหม่เล่น) , การอ้างอิงถึงเนื้อคนที่ใช้ในการทำอาหารของโรงเตี๊ยม , กับดักเส้นลวดสุดอันตราย และพายุทะเลทรายที่ดูจะรุนแรงมากกว่าภาคเก่า ในขณะเดียวกันก็เพิ่มเนื้อหาใหม่ๆเข้าไป ด้วยการกำหนดให้ตัวละครวางแผนขโมยสมบัติในพระราชวังใต้ทะเลทราย ซึ่งเนื้อหาตรงส่วนนี้เองที่เป็นตัวขยายประเด็นการสนใจแต่ผลประโยชน์ตัวเองของเหล่าจอมยุทธ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ภาคก่อน (ทั้งภาค 1967 และ 1992) ภารกิจของตัวละครมีแค่ปกป้องลูกของขุนนางตงฉินแค่นั้น

และแน่นอนฉากการเชือดเฉือนทั้งต่อหน้าและลับหลังของเหล่าจอมยุทธ์ในโรงเตี๊ยมก็ยังคงเป็นไฮไลท์และเป็นส่วนที่ดูสนุกที่สุดของหนัง แต่สิ่งที่บั่นทอนหนังคือ เทคนิคซีจีที่ใช้ทำฉากต่อสู้ มันดูหลอกตาและไม่สามารถสร้างความรู้สึกใดๆได้เลย (ฉากแอ็กชั่นของDragon Inn ปี 1992 โดยเฉพาะฉากแอ็กชั่นบนเนินทราย ที่ดุดัน บ้าระห่ำ และฮาแบบตกเก้าอี้ ยังดูสนุกกว่ามากๆ) และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ การทำภาพเป็นสามมิติ เมื่อหนังพยายามจะโชว์ออฟเรื่องภาพ แต่หารู้ไม่ นั่นเป็นองค์ประกอบที่น่ารำคาญมากที่สุดของหนังไปโดยปริยาย

แต่หากมองข้ามเรื่องน่ารำคาญใจพวกนั้นไป ประเด็นความสัมพันธ์ของจอมยุทธ์ ท่ามกลางความแห้งแล้งของยุทธภพ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของหนัง เมื่ออดีตอาเจ้ของโรงเตี๊ยม ได้พกพาขลุ่ยอันเป็นสิ่งแทนความหมายของความรัก ท่องยุทธภพไปทั่ว เพื่อนำมาคืนแก่จอมยุทธ์ชายผู้เป็นเจ้าของขลุ่ยและเป็นชายที่เธอหลงรัก ทว่าเมื่อได้พบกันแล้ว จอมยุทธ์ชายได้กล่าวในเชิงว่า ‘เดียวดายในยุทธภพ ดีกว่าติดบ่วงในโลกา’ และมีท่าทีไม่อยากรับขลุ่ย (หรือในอีกแง่คือ ความรัก) นี้ไว้ กระทั่งเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงจนจอมยุทธ์หนุ่มได้มอบขลุ่ยฝากไว้กับจอมยุทธ์หญิงอีกคนหนึ่ง ทำให้จอมยุทธ์หญิงคนนั้น ตัดสินใจที่จะรอคืนขลุ่ยอันนี้ให้กับเจ้าของเดิม

ในภาค 1992 ขลุ่ยได้กลายเป็นตัวแทนของความรักและความสัมพันธ์ แต่ในภาคใหม่นี้ ขลุ่ยกลับถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของบ่วงรั้งคอให้มนุษย์ติดอยู่กับอะไรบางอย่าง โดยที่ใครก็ตามได้ขลุ่ยนี้ไปถืออยู่ในมือ ก็จะมีความรู้สึกเหมือนมีภาระอะไรบางอย่างที่ต้องทำ (จอมยุทธ์หญิงที่ได้รับขลุ่ยจากพระเอก ตัดสินใจทันทีว่าจะรอพระเอกมาเอาขลุ่ยคืน) สถานะของขลุ่ยในภาคนี้เอง ที่ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในภาคเก่า แล้วค้นพบว่า แท้ที่จริง ขลุ่ยเป็นตัวแทนของบ่วงรั้งคอมาโดยตลอดนั่นแหละ

เพียงแต่เราเคยมองขลุ่ยอันนั้นด้วยมุมมองของความรัก มากกว่าจะมองมันว่าเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่พันธนาการคนสองคนไว้ด้วยกัน


kitamura




 

Create Date : 11 มกราคม 2555
0 comments
Last Update : 11 มกราคม 2555 17:30:15 น.
Counter : 1678 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Kitamura
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Kitamura's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.