|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
The Phantom of the Opera 25ปีของปีศาจโรงละครในลอนดอน
The Phantom of the Opera 25ปีของปีศาจโรงละครในลอนดอน
ไม่ต้องพูดถึงความโด่งดังของนิยายThe Phantom of the Opera แต่งโดย Gaston Leroux นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่แต่งเรื่องนี้ไว้กว่าร้อยปี นิยายถูกนำมาทำหนังตั้งยุคหนังเงียบขาวดำ และละครเวทีมากมายหลายฉบับ และในช่วงปี80 The Phantom of the Opera ฉบับละครเพลงของ Andrew Lloyd Webber นับเป็นผลงานที่โด่งดังมากที่สุดต่อเนื่องและยาวนานมากว่า 25 ปี และยังถือว่างานละครเพลงชิ้นนี้เป็นผลงานดนตรีที่โดดเด่นในประวัติการแต่งเพลงของ ALW ละครเปิดแสดงต่อเนื่องที่ลอนดอนมาเป็นปีที่25 และยังคงเปิดแสดงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลก แปลเปิดแสดงเป็นภาษาอื่นๆ ในลอนดอนและนิวยอร์คไม่มีแนวโน้มจะปิดตัวลง ล่าสุดมีการจัดคอนเสิรท์ฉลองครบรอบ 25 ปี ที่ละครได้เปิดแสดงครั้งแรกในลอนดอน คอนเสิรท์จัดขึ้นที่ Royal Albert Hall ลอนดอน แสดงเป็นรูปแบบคอนเสิรท์ตามรอยการฉลองครบรอบ ของละครเพลง Les Miserable ที่เคยจัดไปแล้วสองหน
แนวทางของThe Phantom of the Opera หนังสือดั้งเดิมมีความโดดเด่นในการเล่าเรื่องจากปากคำของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ที่ผ่านมาแทบจะเป็นสารคดีรายงานข่าวกึ่งๆนิยายเขย่าขวัญ โดยเน้นรายละเอียดที่ตัวปีศาจโรงละครสุดแสนจะลึกลับ ท้าทายจินตนาการผู้อ่านเพราะภาพที่ปรากฎในหัวคนอ่านมาจากการบอกเล่าจากพยานทั้งสิ้น ยืนพื้นด้วยเรื่องราวของรักสามเศร้าของตัวละครเอก
ละครเพลงเวอร์ชั่นนี้เล่าเรื่องต่างออกไปจากนิยาย ละครเวอร์ชั่นนี้มีจุดยืนแข็งแรงอยู่กับความเป็น romance ความลึกลับเขย่าขวัญเจือมาบางๆมาก รักทรมานระหว่างปีศาจโรงละครกับสาวน้อยนักร้องโอเปร่า การต่อสู้ชิงรักหักสวาทหนึ่งหญิง สองชาย เป็นแกนหลักที่บทเทน้ำหนักให้เต็มๆ ถือว่าผู้สร้างเลือกจุดยืนได้ถูกทางและทำถึงใจ คนเขียนบทอาศัยช่องว่างจากนิยานยดั้งเดิมเติมรายละเอียดเหตุการณ์ที่ต่างไปจากตัวบทประพันธ์ดั้งเดิม โดยเฉพาะสไตล์การเล่าเรื่องพร้อมกับ การเพิ่มสีสันความสนุกให้เหล่าตัวประกอบที่เป็นคนเบื้องหน้าเบื้องหลังโรงโอเปร่าออกมาเฉือดเฉีอนวาทะกันสุดมันแกมเฮฮาเป็นระยะๆ และมีผลต่อเส้นของเรื่อง สีสันตรงนี้มาช่วยไม่ให้เรื่องรักสามเส้าเลยเถิดเป็นความเลี่ยนหวานน่าเบื่อ การเบรคตัวละครหลักด้วยตัวประกอบทำได้ถูกจังหวะพอเหมาะทำให้ละครมีหลากมิติดูสนุกขึ้น ทั้งฝ่ายนักแสดงนำในคณะโอเปร่า ฝ่ายการจัดการ ทีมงานเบื้องหลังทั้งหลายเป็นภาพสะท้อนที่ราวกับจำลองสังคมจริงมาไว้บนเวที ตั้งแต่ต้นเรื่องที่มีการขายโรงละครให้กับผู้อุปถัมภ์รายใหม่ เราได้เห็นพฤติกรรมตอบสนองเหตุการณ์ที่น่าสนใจจากตัวละครต่างๆ และผู้คนเหล่านี้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลทำให้ตัวละครหลักต้องตัดสินใจลงมือกับชะตากรรมของตัวเองในตอนท้ายด้วย
หากบทไม่แน่นการกำกับไม่เป๊ะ ความสนุกจากหมู่มวลของละครอาจจะเด่นกลบเรื่องในส่วนรักสามเศร้าไป หรือ ความสนุกอาจจะแห้งกว่านี้ หากผู้กำกับเกร็งว่าหมู่มวลจะเด่นกว่ารักสามเศร้า อาจจะกดความสนุกสีสันลงไป แต่นี่ถือว่าเป็นการนำเสนอทั้งสองส่วนได้ลงตัวพอเหมาะพอเจาะ
นอกจากบทที่หาจุดยืนได้มั่นคงตามแนวทางของตัวเอง ตัวดนตรีและคำร้องประพันธ์ได้โดดเด่นไพเราะติดหู เนื้อร้องเองถ่ายทอดเนื้อหาเนื้อเรื่องได้อย่างไม่มีที่ติ โดยเฉพาะเนื้อร้องที่เลือกบรรยายความรู้สึกสิ่งที่เกิดกับตัวละครและเรื่องราวได้ล้ำลึก ไม่ว่าจะเป้นเพลง The music of the night เลือกใช้คำที่อลังการงานสร้างแต่ได้ความรู้สึกโรแมนซ์และดุเดือด Wishing You Were Somehow Here Again ความโหยหาความรักจากพ่อที่จากไปนาน และยังมีเพลงอีกหลายเพลงที่ประพันธ์ได้ลงตัวสำหรับเดินเรื่องในละคร หรือตัดออกมาฟังเป็นเอกเทศได้อย่างไพเราะสมบูรณ์ในตัวมันเอง All I ask of you หวานจับใจ Masquerade เพลงฉลองปีใหม่หน้าโรงโอเปร่าที่ทั้งอลังการและมีเนื้อหายอดเยี่ยม
นักแสดงต้องมีความสามารถในการร้องแบบเกือบๆจะเป็นโอเปราติก ซึ่งเป็นการร้องที่ต้องใช้พลังมหาศาล นอกจากจะรูปงามแสดงเก่งเสียงต้องถึง แถมจะต้องแข็งแรงอีกด้วยเพราะหลายๆช่วง ทั้งวิ่งทั้งร้องก้อมี นางเอกเองโดนเหวี่ยงลงไปกองกะพื้น คลานกลิ้งไปมาแล้วต้องร้องแบบนี้อาทิตย์ละ 8 รอบ เห็นทำมาหลายแคสแล้ว
ฉากจากละครเรื่องนี้ โคมไฟแชนดาเลีย คือวัตถุพยานสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดไม่มีโคมไฟระย้าไม่ใช่ The Phantom of the Opera ฉากที่โคมไฟลอยละลิ่วขึ้นสู่กลางโรงละครพาคนดูย้อนอดีตไปสุ่ยุครุ่งเรืองของโรงละครแห่งนี้ การออกแบบให้โคมระย้าลอยขึ้น และตกลงไปสู่กลางเวที เป็นการออกแบบที่ฉลาดทำดูดีทีเดียว นอกจากนี้การเปลี่ยนฉากต่อฉากหลายๆช่วงเกิดขึ้นภายในพริบตา บางฉากใช้วิธีเลื่อนเข้าออก ยกผ้าม่านขึ้นอย่างง่ายแต่มีประสิทธิภาพมาก ฉากที่ปีศาจโรงละครพานางเอกลงไปทะเลสาปใต้โรงละครเป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยมที่น่าจดจำเรื่องนึงของละครที่เคยชมมาทั้งหมด ถึงแม้ฉากจะโดดเด่นแค่ไหนอลังการแค่ไหน ท้ายที่สุดฉากก็ยังเป็นตัวรับใช้เนื้อหาของละคร เนื่องด้วยตลอดสองชั่วโมงกว่าๆคนดูยังจดจ่อกับตัวละคร ตัวเรื่อง บทเพลงและความสามารถในการร้องการแสดงของนักแสดง ฉากที่อลังการตรงหน้าไม่ข่มให้ เนื้อเรื่อง ตัวละครและนักแสดงกลืนหายไปกับเทคนิคบนเวที
มีโอกาสดูมาเรื่องนี้สี่ครั้งในรอบยี่สิบปีนักแสดงทุกคนแสดงได้เต็มหน้าที่ทุกครั้งทั้งๆที่แต่ละคนแสดงบทเดิมๆมากว่า สามสี่ปี ไม่เกิดอาการนักแสดงช้ำแสดงเซ็งๆเหมือนที่รู้สึกกับนักแสดงเด็กรับบทซิมบ้าใน The Lion King
จะขอกล่าวถึงนักแสดงบทปีศาจโรงละคร ถือเป็นบทที่ใครเล่นแล้วเกิดส่งให้นักแสดงดังมากกว่าเดิม คนแรก Anthony Warlow เป็นนักแสดงออสเตรเลียน สมัยปี 1991 เป็นนักแสดงที่ร้องดี แสดงดี แถมหล่อกว่าตัวพระเอกเสียอีก แต่บนเวทีนักแสดงจะโดนเมคอัพทำให้เละจนไม่เหลือความหล่อก้อตาม จากบทปีศาจโรงละครที่ออสเตรเลีย Anthony Warlow ได้บันทึกเสียงลงในอัลบั้มละครเพลง Jekyll & Hyde เพลงเด่นจากเรื่องนี้ This is a moment เพลงเอกจากเรื่องนี้คนมักจะเปิดเสียงของพ่อ Anthony Warlow คนนี้บ่อยๆ รวมทั้ง The Complete Symphonic recording ละครเพลง Les Miserable เขาได้ร้องอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย
ถัดมา John Owen-Jones ได้ดูที่ลอนดอนในปี 2003 เป็นphantomที่ดูดร๊อปเรื่องความหล่อลงไปหน่อย แต่ความสามารถในการร้องแสดงสูสีกับคนแรก เป็นนักแสดงที่รับบทนี้ยาวนานต่อเนื่องคนนึง ตอนนี้เป็นนักแสดงละครแถวหน้าคนนึงของที่เวสเอนด์และบอร์ดเวย์
Ramin Karimloo เป็นนักแสดงเชื้อสายอิหร่าน เสียงดี หล่อเหลากินขาดกว่าสองคนแรก กลายเป็นนักแสดงที่ขายดีในขณะนี้ แน่นอนตอนอยู่บนเวทีเมคอัพหน้าเละและหน้ากากกลบความหล่อเหลาไปกว่าครึ่ง แต่อีกครึ่งซีกที่เหลือทำให้แม่ยกชืนใจไม่มากก้อน้อย Ramin ได้แสดงเป็นแคสแรกใน Love never dies (Phantomภาค2ด้วย) และเป็นPhantomหลักในการแสดงฉลองครบรอบ 25 ปีที่ผ่านมา
และล่าสุดที่ได้ดู Scott Davies เป็นphantom ที่เสียงใช้ได้ ทุกอย่างทำได้ลงตัว แม้จะไม่หล่อเหลาเท่าสามคนแรกก้อตาม ส่วนนักแสดงฝั่งหญิงดูจะลอยตัวหมดทุกคน
ครั้งหลังสุดที่ดูที่ลอนดอนราวกับว่ามีการปรับเปลี่ยนฉากใหม่สีสดใสกว่าเก่า รวมทั้งระบบแสงที่ชัดคมกว่าแต่ก่อน คงเป็นเพราะการนำเอาเทคโนโลยีดิจิตอลมายกเครื่องในระบบแสงเสียงของโรงที่เล่นมากว่า 25 ปี แต่ที่น่าเสียดายคือ ระบบเสียงที่ติดตั้งระบบดิจิตัลทั้งโรง เสียงจากวงดนตรีสด เสียงร้องสดจะถูกส่งออกมาจากลำโพงอีกทาง แน่นอนว่าระดับเสียงความกระหึ่มชัดคมใส(เกินจริง)ทำให้เสน่ห์ของการฟังดนตรีสดๆที่บรรเลงจากหลุมหน้าเวทีหดหายไปไม่น้อยทีเดียว
อีกประการหนึ่งที่รู้สึกได้ว่าละครเปลี่ยนไป เมื่อได้ดูภาคต่อ Love never dies สิ่งที่อาจจะเคยมี แต่ไม่เคยสังเกตจาการชมครั้งก่อนโน้นๆหรืออาจจะถูกเพิ่มมาทีหลังคือ ตัวละคร Raoul ดูจะเปลี่ยนไปจากชายหนุ่มโรแมนติกสุดขั้ว หวานแหว๋วใส่ อบอุ่น รักนางเอกมากๆขนาดยอมตายแทน มาคราวล่าสุดดูตัวละครนี้ ไหงออกแนวเอาแต่ใจตัวเองออกจะขี้โอ่ในความรวยไม่หวานอบอุ่นเหมือนแต่ก่อน จะเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับตัวละครตัวนี้ที่ไปปรากฎตัวในภาคสองหรือเปล่า ไม่แน่ใจ
ไหนจะความรู้สึกของนางหนูคริสตีนกับพ่อปีศาจ มันออกมาวาบหวามมากกว่าก่อนมาก ตั้งแต่ฉากลงไปใต้ดินได้เห็นภาษากายไม่ว่าการลูบไล้เรื่อนร่างรู้สึกร้อนฉ่า ยัยหนูเองก้อสะท้านทรวงตอบ การส่งรับอารมณ์กันระหว่างพ่อปีศาจกะนังหนูคริสติน มันออกไปทางชู้สาวหนักกว่าคราวก่อนๆ ที่เคยดู(ช่วงที่ก่อนมีภาคต่อออกมา)
รวมทั้งฉากสุดท้าย ตอนร่ำลาของครีสตีนและPhantom คริสตีนเอาแหวนมาคืนและจูบลา พ่อphantom ที่ดูคราวก่อนๆโน้นเราคิดว่าฉากนี้คือการพบกันครั้งสุดท้ายของสองคนนี้ น้ำตาผมนี้แหมะๆ เป็นฉากที่งดงามทั้งภาพ การกระทำตัวละคร สีหน้า ดนตรี อารมณ์ ลงตัว สวยงามมากมาย แต่หลังจากที่ภาคต่อออกมา รู้แล้วว่าสองคนนี้จะได้พบกันอีกในเวลาสิบกว่าปีให้หลังในภาคสอง เราเลยไม่เศร้าไปกับฉากนี้สักกะนิด ออกจะตลกที่เห็น phantom ร้องครวญคราง ผมก้อว่ามันในใจ ไอ้บ้าเดี๋ยวอีกหน่อย เอ็งก้อไปแย่งนังคริสตีนกลับมาอีก จะมาร้องไห้บ้าบอเสียหมาไปทำซากอะไร จบๆไปได้แล้ว ความรู้สึกเราเปลี่ยนไปเพราะ มีภาคต่อหรือเปล่า
ไปดูครั้งนี้แล้วประทับใจภาคแรกน้อยลง ผมรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ
Create Date : 15 มิถุนายน 2554 |
|
24 comments |
Last Update : 8 ธันวาคม 2554 17:53:14 น. |
Counter : 5039 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: popera IP: 61.90.102.107 15 มิถุนายน 2554 14:12:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: เจ้าช่อมาลี (PP_Skywalker ) 15 มิถุนายน 2554 14:14:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear 16 มิถุนายน 2554 13:56:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: bbandp 19 มิถุนายน 2554 15:29:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: Amit IP: 192.168.6.147, 202.173.220.75 7 กรกฎาคม 2554 9:31:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear 12 กรกฎาคม 2554 10:44:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 58.136.4.44 27 กรกฎาคม 2554 1:55:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear IP: 58.8.244.56 27 กรกฎาคม 2554 11:00:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 58.136.4.44 27 กรกฎาคม 2554 23:29:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear IP: 58.11.30.111 28 กรกฎาคม 2554 18:59:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 58.136.4.42 28 กรกฎาคม 2554 22:06:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear IP: 58.9.194.7 28 กรกฎาคม 2554 22:53:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 58.136.4.57 29 กรกฎาคม 2554 16:46:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: emichan IP: 58.9.204.25 29 กรกฎาคม 2554 22:22:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear IP: 110.168.183.45 30 กรกฎาคม 2554 1:52:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 58.136.4.100 30 กรกฎาคม 2554 18:16:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear IP: 58.8.161.126 1 สิงหาคม 2554 11:36:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 27.55.190.29 1 สิงหาคม 2554 15:52:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: emichan IP: 58.9.189.144 4 สิงหาคม 2554 19:35:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: นัชชา IP: 61.19.226.253 8 สิงหาคม 2554 13:28:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 58.136.4.31 9 สิงหาคม 2554 8:50:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear IP: 58.8.195.96 9 สิงหาคม 2554 18:58:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: kinglear IP: 58.8.195.96 10 สิงหาคม 2554 9:29:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: agarwaen IP: 58.136.4.103 10 สิงหาคม 2554 21:45:42 น. |
|
|
|
| |
|
|
เราว่า John Owen-Jones ดูเป็น Phantom ที่ภูมิฐานดี
แต่ Ramin เป็น Iran เต็มตัวเลยนะคะ ไม่ใช่ลูกครึ่ง
เขาย้ายมาอยู่แคนาดาตั้งแต่ตัวเล็กๆ และมาทำงานในอังกฤษค่ะ