A King's penguin story





Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
28 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
Hero สีทางอารมณ์



Hero
สีทางอารมณ์


บันทึกนี้เขียนไว้เมื่อ 24 มิ.ย. 2546 หลังดูฮีโร่

วันนี้จะมาคุยกันเรื่องหนัง เรื่องสีทางอารมณ์ในหนัง แล้วมัน
เอี่ยวกับการเขียนเรื่องแนวจิตวิทยายังไงนั้น ลองมาช่วยกัน
คิดดูนะคะว่าอ่านแล้วคิดเห็นยังไง (ขอย้ำช่วยกันคิดใน
ประเด็นนี้ไม่ใช่การเสนอให้เชื่อ เพราะว่าตูคิดของตู
อยู่คนเดียวคนอื่นอาจจะไม่คิด) คือว่าพึ่งได้ดูหนังเรื่อง
ฮีโร่มาล่ะ ล้าหลังกว่าชาวบ้านเขาชาติกว่า ซื้อหนังเรื่องนี้
มาดูเพราะหนูแปมบอกว่าพี่ดูเหอะเฮียเหลียง
สวยมากกกกก(หื่น) แต่โดยมากได้ยินจากคนอื่นๆ(ไม่ใช่
หนูแปมนะ) นอกจากนี้ว่าหนังเรื่องนี้นอกจากภาพสวยแล้ว
ไม่มีอะไรเลยเนื้อเรื่องไม่ดี ก็เลยดูมั่งเล่าเรื่องย่อก่อน

ไร้นามเดินทางมารับรางวัลจากอ๋องฉิน(จิ๋นซีฮ่องเต้)ที่ฆ่า
จอมยุทธสะท้านแผ่นดิน 3 คน(ดาบหัก หิมะเหิน ฟ้าเวิ้ง)
ที่พยายามลอบสังหารท่านอ๋องได้ แล้วก็เล่าเรื่องโกหกใน
การฆ่ายอดฝีมือทั้ง 3 ให้ท่านอ๋องฟัง แต่ท่านอ๋องไม่เชื่อ
แล้วก็เล่าเรื่องในมุมมองตัวเองให้ฟังบ้าง จากนั้นไร้นามจึง
ยอมเล่าเรื่องจริงให้ท่านอ๋องฟัง ว่าดาบหักนั้นเป็นคนบอก
เองว่าท่านอ๋องต้องดำรงอยู่เพื่อภาระอย่างหนึ่ง จึงไม่สังหาร
ท่านอ๋องทั้งที่มีโอกาสเมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้เขาถูกหิมะเหิน
ภรรยาโกรธไม่พูดด้วยมา 3 ปี แล้วทั้งท่านอ๋องและไร้นาม
ก็เกิดความชื่นชมในกันและกันรวมถึงบุคคลในเรื่องเล่าด้วย

ท่านอ๋องให้ไร้นามตัดสินใจเองว่าฆ่าท่านอ๋องหรือไม่
ไร้นามตัดสินใจไม่ฆ่า จึงต้องตาย ท่านอ๋องไม่อยากฆ่า
ไร้นามแต่ต้องรักษากฎและสถานภาพแห่งความโหดร้าย
เอาไว้จึงจำใจสั่งฆ่า แต่กลับให้ฝังศพเยี่ยงวีรบุรุษ ข้างฝ่าย
หิมะเหิน ดาบหัก อันเป็นบุคคลในเรื่องเล่า เมื่อรู้ว่าแผนการ
ไม่สำเร็จหิมะเหินโกรธดาบหักมากที่ไปกล่อมไร้นาม
ไม่ให้ฆ่าท่านอ๋อง จึงปะมือกันดาบหักยอมให้หิมะเหิน
ฆ่าเขาเพื่อพิสูจน์ความรักและการกระทำของเขา ความตาย
ของดาบหักทำให้หิมะสะเทือนใจมากและพบสัจธรรม
อีกข้อ(ในหนังไม่ได้บอกแต่คนดูจะรู้สึกเอาเอง) ว่าสิ่งใด
ก็ไม่สำคัญเท่าความสุขและหัวใจของคนรัก เรื่องง่าย
แต่กลับมองข้ามไปสนใจเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกินไป นางจึง
ฆ่าตัวตายตามดาบหักไป

ฉากนี้สะเทือนใจมาก......โอยยยยย กับอีกฉากที่ท่านอ๋อง
บอกว่า แม้ไม่เคยพูดคุยกับดาบหักแต่กลับเข้าใจความรู้สึก
แท้จริงของข้า แม้ใครจะกล่าวขานว่าข้าเป็นทรราช ข้าไม่เคย
แคร์แต่มีเพียงเขา แค่ 1 คน เข้าใจนับว่าควรค่าแก่การยกย่อง
ที่ไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิต ........ซึ้งมากกกกกกกกกก สรุปแล้ว
อ๋องฉินเป็นตัวละครที่เราชอบ ที่สุดในเรื่อง....
บุคลิกชวนให้นึกถึงโจโฉใน 3 ก๊ก มากกว่าจิ๋นซี ฮ่องเต้
ยังไงชอบกล

เราดูแล้วได้กลับรู้สึกว่าได้อะไรจากหนังเรื่องนี้
มากกว่าที่คิด ไม่เห็นมันจะห่วยอย่างที่เค้าว่ากัน
ชอบเนื้อเรื่องด้วย"ปรัชญา"มาก พอๆ กับความอาร์ต เห็นชัดที่ไม่ใช่ภาพสวยนะคะ
แต่เป็นการเล่นสีตามอารมณ์ของการเล่าเรื่องเนื่องจาก
เรื่องนี้เป็นหนังเล่าซะ 3/4 ของเรื่อง เล่าจากมุมมองของ
ตัวละคร เล่าจากการโกหก เล่าจากความเป็นจริง
ทั้งที่เนื้อเรื่องเดาได้ แต่ยังชวนติดตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
รสนิยมการเสพ ว่าชอบหนังที่ดูแล้วต้องคิดมั้ย?
หรือว่าชอบหนังที่ดูเอามันส์ ส่วนมากที่เราคาดหวัง
จากหนังจีนกำลังภายในนั่นคือ ความสวยงามของ
เสื้อผ้าและฉาก มาเป็นอันดับ 1 เนื้อเรื่องเป็นอันดับ 2
และแง่คิดที่ได้จากเรื่องคติสอนใจต่างๆ มาเป็นอันดับ 3
นอกทั้งที่เหลือเป็นความบังเอิญที่จะได้รับ รสนิยมการ
เสพหนังของแต่ละครไม่เหมือนกันเพราะความชอบ
ของแต่และนิสัยของแต่ละครไม่เหมือนกัน

กลับมาที่เรื่องฮีโร่อีกที เวลาดูหนังหากเรียนวิชา
ภาพยนตร์หรือเป็นคนช่างสังเกต จะเห็นได้ชัดว่าหนัง
เรื่องๆ นั้นแทรกสีของอารมณ์ไว้ในเรื่อง เป็นการคุมโทน
คนดู โดยที่คนดูไม่ทันรู้สึกตัวและถูกดึงดูดเข้าไปตาม
อารมณ์ของเรื่อง ฮีโร่เป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องหนึ่ง เพราะ
จงใจแสดงสีให้ได้เห็นให้ชัดเจน (ชัดยิ่งกว่าฟงอวิ๋น
และเดชคัมภีร์เทวดา) ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้ลอง
นึกภาพตามนะคะ หรือถ้ายังไม่ได้ดูลองหามาดู
หนังดีมากเสียดายที่ดันไปชนกับ Internal Affairs
เลยไม่ได้ตุ๊กตาทอง แต่ 2 เรื่องนี้พระเอกคนเดียวกัน
คือเฮียเหลียงเฉาเหว่ย (เฮียเหลียงได้ตุ๊กตาทองนัก
แสดงนำจาก Internal Affairs ด้วยล่ะ ที่จริงเราเชียร์
เฮียหลิวให้ได้มากกว่านะเสียดายจัง...กระซิก)
เริ่มเลยนะว่าด้วยสี....

1.สีแดง ฉากโกหก ในการเล่าเรื่อง ตอนที่ไร้นาม(เจทลี)
โกหกเรื่องของ ดาบหักกับหิมะเหิน การแต่งกาย
และฉากทั้งหมดเป็นสีแดง หิมะเหินแต่งหน้าสวย
และเข้มมากกว่าฉากอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงการใส่
หน้ากาก สีแดงหมายถึงเรื่องสำคัญ(คนจีน) แต่หนัง
เรื่องนี้จงใจทำให้ฝรั่งดูดังนั้นความหมายจึงแปล
เปลี่ยนเป็นอันตราย+หน้ากาก= การเคลือบแฝง

2.สีน้ำเงิน ฉากเรื่องจริงในอารมณ์ที่ขมขื่นของผู้เล่า
ฉากเดียวกันแต่เป็นการเล่าเรื่องโดยฉินอ๋อง ทั้งหมด
ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน สีน้ำเงินหมายถึงความหดหู่
อารมณ์อันหม่นหมอง มีทั้งดีและไม่ดีปนกัน รวมทั้ง
ความสัตย์จริง และความหมายอีกทางหมายกษัตริย์
ทั้งหมดแปลได้คือกษัตริย์คือผู้บอกเล่าความจริง
อันขมขื่นทว่าน่ายกย่อง

3.สีขาว ฉากเรื่องแห่งความเป็นจริงล้วนๆ มีอยู่ 2 ฉาก
คือ ตอนจบที่หิมะเหินฆ่าตัวตายตามดาบหัก กับฉากเดิม
เหมือนสีแดงและสีน้ำเงินอีกครั้งแต่เปลี่ยนฉากเป็นสีขาว
มีแซมสีน้ำตาลบ้างเพื่อความเคร่งขรึมในการเล่า สีขาว
บอกถึงเป็นจริงไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝง นั่นหมายถึงเรื่อง
จริงที่มันเป็น หิมะเหินในฉากนี้แต่งหน้าอ่อนมาก
นั่นหมายถึงไม่มีหน้ากาก ทุกสิ่งในฉากนี้คือเป็นจริง
ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปนกับอารมณ์ใดๆ ของผู้เล่า

4.สีเขียว สีเขียวมีอยู่ด้วยกัน 2 ฉากในเรื่อง คือฉากรัก
ของหิมะเหินกับดาบหัก และฉากที่ดาบหักบุกไป
ปลงพระชนม์อ๋องฉินแต่เปลี่ยนใจไม่ฆ่าด้วยเหตุผล
ที่ว่า อ๋องฉินควรอยู่

-ฉากรัก สีเขียวเป็นตัวแทนต้นไม้ นั่นหมายถึงความสดชื่น
ความสุข ความสบายใจ โดยไม่มีความฉาบฉวยมาเจือปน
เป็นความรักแบบผู้ใหญ่ไม่วาบหวิว ไม่หวานแหวว ถ้ามีใคร
มาบอกว่าคุณเปรียบเหมือนสีเขียวจงดีใจซะเหอะ
นอกเรื่องนะ(อันนี้คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจต่อไปแล้วกัน
คนที่เข้าเวบเราบ่อยๆ คงรู้ว่าเราพูดถึงใคร สัญญาไว้
แล้วต่อไปนินทาจะไม่เอ่ยชื่อจริงน่ะ ) เราเคยได้ยิน
ชายหนุ่มคนนึงไอ้กระติ๊บน้อยนี่แหละใช้เปรียบเทียบ
กับเพื่อนผู้ชายบางคนของมัน ก็ไอ้คนที่งอนแบบ
งี่เง่าเก่งๆ นั่นแหละว่าเป็นสีเขียว ฟังปุ๊บตูล่ะฮาสะบั้น
ทั้งสงสารทั้งคิดอกุศลไปในตัว(อโหสิให้พี่ด้วยน้อง)

-ฉากลอบสังหาร ดาบลอบหักสังหารอ๋องฉิน ฉากนั้น
เป็นสีเขียวไปหมด สีเขียวในที่นี้ไม่ได้แปลความหมายว่า
ความสดชื่นเหมือนเมื่อสักครู่ แต่หมายถึงความเป็นจริง
ความศรัทธา และการปลง เมื่อปลงได้แล้วจึงรู้สึกสดชื่นน่ะ
จากที่ดาบหักไปลอบสังหารทั้งที่มีโอกาสฆ่าแต่กลับ
ล้มเลิกความคิด

เพราะเข้าใจบางสิ่งว่าอ๋องฉินตัวก่อสงครามในเรื่อง
(อ๋องฉินคือจิ๋นซีฮ่องเต้น่ะ) ต้องการยกทัพตีอีก 6 แคว้น
และทั่วแผ่นดินให้สยบอยู่ใต้เท้าพระองค์ คนทั่วไป
เข้าใจว่าอ๋องฉินเป็นกษัตริย์ทรราช ทำเพื่อสนอง
ความเป็นใหญ่และความทะเยอทะยานของตัวเอง
แต่ในชั่ววินาทีนั้นดาบหักกลับรู้สึกว่า อ๋องฉิน
ไม่ได้กลัวตายทั้งที่รู้ว่าอาจจะตายได้แต่ยังทำอยู่เพราะ
ความคิดในเชิงหักล้าง ทำลายทุกสิ่งเพื่อสร้างมัน
ขึ้นมาใหม่ง่ายกว่าการซ่อมแซมจึงเกิดความรู้สึก
ชื่นชม ว่าคนๆ นี้ยอมเป็นปีศาจเพื่อสร้างความเป็น
อันหนึ่งอันเดียวความสงบสุขที่แท้จริง ดังนั้นอ๋องฉิน
จะตายไม่ได้ ดาบหักจึงล้มเลิกความคิด

5.สีดำ สีดำที่เห็นเด่นชัดที่สุด มีตอนเดียวคือ
ตอนจบของเรื่อง

ตอนที่พวกทหารเข้ามารายล้อมอ๋องฉิน ดำกันทั้งตัว
แล้วประสานเสียงพูด(สร้างความรู้สึกให้เหมือนเป็น
เสียงของจิตใจฉินอ๋องมากกว่า คนจริงๆ มาพูด สีดำ
จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ด้วยประการฉะนี้ )ว่า
"ท่านอ๋องอย่าใจอ่อน โปรดสั่งประหาร กฎหมายต้อง
เป็นกฎหมาย ฆ่ามัน"
ท่านอ๋องสั่งฆ่าไร้นามด้วยประโยคๆ
เดียวคือ กฎหมายต้องเป็นคนกฎหมาย ไม่ใช่เพราะ
ประโยคอื่นเลย เพื่อดำรงภาพแห่งความโหดร้าย ไว้ข่ม
ผู้คนโดยตัดความสงสารในใจตัวเองออกไป นี่เรียกว่า
ความเสียสละอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งคำว่าทรราช
โดยเจตนา สีดำหมายถึงความได้หลายความหมาย
ในฉากนี้คือ ความหม่นหมอง ความตาย
ปีศาจ(ทหาร)ที่รุมเร้าจิตใจ ความศักดิ์สิทธิ์
รวมๆ กันคืออารมณ์ของสีดำ

เรื่องนี้ใช้สีหลักใหญ่ๆ ทั้งเรื่องแค่ 5 สีเท่านั้นเอง เวลาดู
หนังสักเรื่องให้ลองสังเกตสีที่ใช้ กับอารมณ์ของตัวละคร
ในฉากนั้นๆ จะเข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร จะมีเชิง
ความคิดวิเคราะห์การชักจูงหรือครอบงำคนดูให้
ดำเนินไปตามเนื้อเรื่อง สีเป็นผลทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
ที่เป็นสากลสามารถข่มอารมณ์คนได้ทุกชาติทุกภาษา
หากสื่อสารออกมาได้ชัดเจนเท่าหนังเรื่อง แล้วที่น่าเสียดาย
ที่สุดคือฮ่องกงตัดสินใจเลือก Internal Affairs ไปประกวด
ออสก้าร์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่ง Internal Affairs
เป็นหนังดี...แต่ไม่ใช่ของแปลกสำหรับฝรั่ง หากเปลี่ยนเป็น
ฮีโร่ไปแทน เชื่อว่าฮีโร่ต้องคว้ารางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศ
ยอดเยี่ยมประจำปีนั้นมาครองได้แน่ๆ





Create Date : 28 สิงหาคม 2550
Last Update : 28 สิงหาคม 2550 6:53:39 น. 7 comments
Counter : 9152 Pageviews.

 
Hero : ผู้ชนะ

“ ศิลปะแห่งภูมิปัญญาโดยแท้ “ คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยไปสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ของจางอี้โหมว
หลังจากสำรวจความคิดตัวเองมาหลายปี จางอี้โหมวก็ถึงเวลาของการเข้าสู่ภาวะที่เรียกได้ว่า “เข้าใจชีวิต ”
อย่างแท้จริง หลังจากเป็นผู้กำกับที่นิยมชมชอบตัวละครหัวแข็งดื้อด้านมาเป็นเวลาช้านาน (
หากสังเกตจะเห็นได้ว่าตัวละครหลักทุกเรื่องของจางอี้โหมวจะเป็นผู้มีความคิดแหกขนบธรรมเนียมและปฏิเสธที่จ
ะเชื่อฟังเสมอ ) ใน Hero
นี้ผู้กำกับได้แนะนำตัวละครซึ่งมีลักษณะแปลกใหม่ให้กับผู้ชมแฟนพันธุ์แท้ได้รู้จัก
นั่นคือตัวละครผู้ซึ่งเคยมีความคิดอะไรบางอย่างฝังหัวอยู่อย่างรุนแรง แต่ในเวลาต่อมา
กลับประนีประนอมยอมเปลี่ยนแปลงความคิดเดิม เพื่อรับฟังมุมมองที่แตกต่างออกไป
แม้ว่ามุมมองนั้นจะขัดกับพื้นฐานความเชื่อเดิมๆ ของตนเองก็ตามที

วิธีการเล่าเรื่องของจางอี้โหมวใน Hero นี้หยิบยืมรูปแบบมาจากภาพยนตร์เรื่อง Rashomon ของ อาคิระ
คูโรซาว่า ผู้กำกับอันเลื่องชื่อชาวญี่ปุ่นในส่วนของโครงเรื่องเพื่อใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหา
และเดินตามแนวทางการใช้สีจากภาพยนตร์เรื่อง Ran ซึ่งเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกันนั้น
ในส่วนของรายละเอียดงานสร้าง จางอี้โหมวนำเข้านักออกแบบเสื้อผ้าชาวญี่ปุ่น เอมิ วาดะ
ซึ่งเคยร่วมงานกับ อาคิระ คูโรซาว่า มาก่อน งานกำกับศิลป์โดยรวม Hero
ได้อาศัยภูมิปัญญาแห่งศิลปะญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้
ซึ่งเป็นงานศิลป์ที่มักให้ความสำคัญกับพื้นที่ว่างหรือความว่าง (Space) มากเป็นพิเศษ
ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงออกมาในแบบนิทานเซ็น (Zen) ที่เน้นความเรียบง่ายไม่รกรุงรัง
ไม่เต็มไปด้วยเครื่องทรงเหมือนเช่นภาพยนตร์จีนย้อนยุคเรื่องก่อนๆ
แต่ในความเรียบง่ายนี้เองได้แฝงความลึกซึ้งให้ผู้ชมต้องค้นหาอยู่ตลอดเวลาถึงอลังการแห่งคมความคิดที่ซ่อน
อยู่
มองดูผิวเผินแล้วเหมือนจางอี้โหมวเลียนแบบ แต่แท้จริงเป็นความจงใจของผู้กำกับ
ความจงใจที่จะใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อให้นึกถึงประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของประเทศจีน
( ความเป็นอริกันของสองชาตินี้ในทัศนะของจางอี้โหมวปรากฏชัดจากภาพยนตร์เรื่อง Red Sorghum
ซึ่งกล่าวถึงความดิบเถื่อนของทหารญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกที่ทารุณกรรมชาวจีนอย่างโหดเหี้ยม
อาทิเช่นการถลกหนังหัวชาวบ้านในชนบท เป็นต้น )
หากแต่การสื่อถึงประเทศญี่ปุ่นในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเป็นไปในแง่บวกและมีลักษณะเป็นการคารวะเสียมากกว่า

Hero กล่าวถึงประวัติศาสตร์จีนในช่วงที่เรียกกันว่า “รณยุค” ( ภาษาอังกฤษเรียก Waring-States’s Period
ส่วนภาษาจีนเรียกว่า ยุคเลียดก๊ก ) การสู้รบระหว่างรัฐทั้งเจ็ดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
และไม่มีทีท่าว่าจะยุติ รัฐฉินซึ่งปกครองโดยท่านอ๋องนามว่าจิ๋นซี
เป็นรัฐที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น
เนื่องจากรัฐฉินคือผู้กำชัยชนะเสมอในสงครามระหว่างรัฐ
อีกทั้งยังมีเจตนารมณ์อันสูงส่งที่จะรวมทุกรัฐทุกแว่นแคว้นใหญ่น้อยเข้าเป็นหนึ่งเดียว
ด้วยหวังว่าจะทำให้ศึกสงครามระหว่างกันที่ยืดเยื้อมายาวนานนี้จบสิ้นลง
เพื่อเข้าสู่ยุคแห่งความสุขสงบและสันติภาพต่อไป

จิ๋นซีผู้นำรัฐฉินเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเหี้ยมโหดอำมหิต
ด้วยเพราะเคยเข่นฆ่าประชาชนในรัฐอื่นอย่างไม่ปราณี
ผู้คนในรัฐต่างๆจึงพากันโกรธแค้นและปรารถนาให้จิ๋นซีผู้นี้ถึงแก่ความตายในเร็ววัน (
เป็นภาพลักษณ์เดียวกันกับที่ผู้ชมรู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ในฐานะของจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมทารุณ ) บรรดานักฆ่า
(Assassins) จากรัฐต่างๆ มีความพยายามอย่างแรงกล้าในการสังหารฉินอ๋องผู้นี้ให้จงได้ แต่ภารกิจ
การสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ต้องพบกับความล้มเหลว
เรื่องราวใน Hero
ได้กล่าวถึงบรรดานักฆ่าเหล่านี้ในแง่มุมที่หลากหลายและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศา
สตร์จีนสืบมาจวบจนปัจจุบัน
Hero ประกอบไปด้วยหกตัวละครหลัก อันได้แก่ ไร้นาม (Nameless) , ฟ้าเวิ้ง (sky) , กระบี่หัก (Broken
Sword) ,หิมะเหิน (Flying Snow), ปานเดือน (Moon) และตัวฉินอ๋อง
ตัวละครเหล่านี้ให้ภาพที่กระจัดกระจายออกไป เพราะล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละคน
รูปแบบความสัมพันธ์ของคนทั้งหกที่ปรากฏอยู่ในมุมมองต่างๆของภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อได้กับยุคแห่งการแตกแยก
นี้ของจีนที่มีความหลากหลายทางความคิด ( บางความสัมพันธ์ก็เป็นไปในทางลบคือ
สู้รบกันเองจนภารกิจล้มเหลว
บางความสัมพันธ์ก็เป็นไปในทางบวกคือเสียสละสมานฉันท์กันจนภารกิจสำเร็จลุล่วง )
จางอี้โหมวเปิดเรื่องมากับการแนะนำตัวละคร ไร้นาม
ให้ผู้ชมได้รู้จักกันก่อนในฐานะของผู้กล้าซึ่งกำราบเหล่านักฆ่าที่ลอบสังหารฉินอ๋องได้สำเร็จ
ไร้นามมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฉินอ๋อง ณ
พระราชวังต้องห้ามหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญชิ้นนี้ นั่นคือสังหารฟ้าเวิ้ง กระบี่หัก และหิมะเหิน
นักฆ่าผู้เลื่องชื่อตามป้ายประกาศจับของทางการได้ ผู้กำกับสร้างฉากนี้ในโทน สีดำ
ในระยะยี่สิบก้าวที่ไร้นามนั่งสนทนากับฉินอ๋องถึงรายละเอียดในภารกิจอยู่นี่เอง
ได้บังเกิดเรื่องเล่าแทรกเข้ามาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของฟ้าเวิ้งที่เกิดขึ้นในบ้านหมากล้อม

ภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในบ้านหมากล้อมนี้ถือว่าสร้างออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
เป็นอันมาก เพราะได้นำเสนอรูปแบบการต่อสู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้โดยใช้กำลังยุทธ
การเล่นหมากล้อมหรือหมากรุกซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ต้องขับเคี่ยวกันด้วยปัญญา
ตลอดไปถึงการต่อสู้ภายในจิตใจตามแนวคิดทางพุทธศาสนาที่ลึกซึ้ง (ประเด็นเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม)
ภาพที่ถ่ายออกมาในฉากนี้สื่อให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วอย่างชัดเจน
เปรียบได้กับสีขาวและสีดำที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน (
แบ่งขั้วเด็ดขาดโดยไม่เหลือที่ว่างให้กับพื้นที่สีเทา
อันเป็นวิธีคิดแบบตะวันออกที่มักสร้างตำนานเทพปกรณัมป์เช่นเรื่องรามายณะ ด้วยการมี
ตัวละครที่แยกฝักฝ่ายคนดี-คนชั่วออกจากกันอย่างชัดเจน ลักษณะแบนราบของมิติตัวละครนี้
ในละครช่องเจ็ดสีก็ยังปรากฏอยู่ )
ในทางเนื้อเรื่องแล้วบทภาพยนตร์จัดให้ไร้นามเป็นฝั่งของคนดีและจัดให้ฟ้าเวิ้งเป็นฝั่งของคนชั่ว
กระดานหมากล้อมจึงเป็นเสมือนภาพจำลองสมรภูมิรบของจอมยุทธทั้งสอง กล่าวคือ พื้นกระเบื้อง
ในบ้านดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นตารางคล้ายกับตารางหมากล้อม ไร้นามและฟ้าเวิ้งเป็นเสมือน
ตัวหมากล้อมสีขาวและสีดำที่เล่นค้างอยู่บนกระดาน ซึ่งทั้งสองฝั่งได้ต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด
(ระหว่างความดีและความชั่ว) นอกจากนั้นผู้กำกับยังใช้ภาพ “ขาว-ดำ” แทนการต่อสู้ภายในจิตใจของทั้งสองคน
กล่าวคือเป็นการต่อสู้ระหว่างอารมณ์แห่งกิเลส ( สีดำ ) กับเหตุผลที่ถูกต้อง ( สีขาว )
โดยสรุป ฉากนี้นำเสนอรูปแบบการต่อสู้ในลักษณะต่างๆ ระหว่างขาวและดำ
ไล่ระดับไปตั้งแต่ขั้นที่หยาบที่สุด (การใช้กำลังภายนอก) จนถึงขั้นที่ละเอียดลึกซึ้งที่สุด
(การใช้กำลังภายใน)
ไร้นามเปรียบเทียบการต่อสู้กับการบรรเลงดนตรีว่ามีลักษณะที่เหมือนกัน ในระหว่างที่
ทั้งสองกำลังต่อสู้กันภายในจิตใจนั้น ผู้เฒ่าตาบอดก็บรรเลงเพลงพิณประกอบคลอไปด้วยทุกขณะ
ผู้ชมอาจตีความต่ออีกได้ว่า เสียงเพลงที่พลิ้วไหวไพเราะนั้นคือท่วงท่าการต่อสู้ภายในจิตใจที่สง่า
และงดงาม แต่เมื่อยามที่เสียงเพลงนั้นถูกรุกเร้าอารมณ์ให้ดุดันและเคร่งเครียดขึ้นจนสายพิณขาด
การต่อสู้ภายในจิตใจที่ดำเนินอยู่ก็ถึงคราวต้องขาดสะบั้นลงด้วยในเวลาเดียวกัน (
ลุแก่โทสะหรือพ่ายแพ้ต่อความโกรธในจิตใจนั่นเอง )
และกลับคืนสู่การห้ำหั่นโดยใช้กำลังความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงแทน
อธิบายให้เข้าใจง่ายเข้าก็เช่นในเวลาที่เรากำลังโกรธจัดแต่ก็ยังพยายามระงับอารมณ์โกรธนั้นไว้ภายในแต่ผู
้เดียวไม่แสดงออกให้บุคคลอื่นได้รับรู้ หากอารมณ์โกรธถูกเพิ่มระดับให้มากขึ้นจนเกินอดกลั้น (
ภาษาชาวบ้านเรียกว่าฟิวส์ขาด ) แรงแค้นอาฆาตก็พร้อมจะพุ่งพรวดออกมาอย่างรุนแรงเฉกเช่นกัน

ในระยะสิบก้าวที่ขยับใกล้เข้ามาอีกช่วงหนึ่ง
ไร้นามนั่งสนทนากับฉินอ๋องถึงรายละเอียดในการสังหารกระบี่หักและหิมะเหิน
เรื่องเล่าอันร้อนแรงฉูดฉาดในโทน สีแดง ของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้น
กระบี่หักและหิมะเหินแอบปลอมตัวไปอาศัยอยู่ในโรงเรียนประดิษฐ์อักษรแห่งหนึ่งโดยใช้ชื่อปลอมเพื่อเรียกขาน
กัน เนื่องจากกระบี่หักมีความเชี่ยวชาญในการเขียนอักษร ไร้นามจึงเดินทางไปยัง
โรงเรียนประดิษฐ์อักษรดังกล่าวเพื่อให้กระบี่หักเขียนอักษรคำว่า “กระบี่”ให้กับตน
จุดประสงค์ที่แท้จริงของไร้นามนั้นคือหวังที่จะเปิดขุมความลับในทักษะการใช้อาวุธของกระบี่หักนั่นเอง
กระบี่หักเขียนอักษรคำนี้โดยใช้หมึกสีแดงอันสื่อได้ถึงเลือดที่ต้องหลั่งไหลเมื่อสิ่งที่เรียกว่ากระบี่นี
้ปรากฏขึ้น ไร้นามเปรียบการใช้อาวุธกับการเขียนอักษรว่าเป็นสิ่งที่มาจากรากฐานเดียวกัน
อันสะท้อนถึงแนวคิดทางปรัชญาที่ว่า “อาวุธที่ทรงอนุภาพที่สุดของมนุษย์คือปัญญา”

ในเวลาเดียวกันนั้น
กองกำลังเกาทัณฑ์ของฉินอ๋องได้ยกทัพมาประจันหน้าโรงเรียนประดิษฐ์อักษรในรัฐจ้าวนี้ด้วย
ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการศึก กองกำลังเกาทัณฑ์นี้จึงเข้มแข็งพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา

ศัตรูในศึกครั้งนี้ของฉินอ๋องเป็นเหล่าบัณฑิตและอาจารย์ในโรงเรียน ซึ่งบทภาพยนตร์
ถือว่าเดินตามเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี เนื่องจากในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ๋องเต้
จักรพรรดิพระองค์นี้ดำรินโยบายในการทำลายภูมิปัญญาเก่าแก่ของชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นตำรา
อันทรงคุณค่าของขงจื๊อหรือตำราเรียนของสำนักคิดใดๆ เพื่อไม่ให้ความคิดก้าวหน้าได้บังเกิดขึ้น
กับประชาชน
ซึ่งความคิดก้าวหน้าที่แตกต่างหลากหลายนี่เองจะนำมาซึ่งการปฏิวัติอันเป็นเสมือนอุปสรรคของการปกครองในระบ
อบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราช
เนื้อหาในส่วนนี้ของภาพยนตร์ยังสะท้อนไปถึงยุคของจีนในสมัยของท่านผู้นำเหมาเจ๋อตุงอีกด้วย
ผู้นำประเทศที่มีความพยายามในการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยทำลายล้างวัฒนธรรมเดิมในยุคเก่าที่แสดงถึงความมีอยู่ข
องระบบศักดินาและระบบกษัตริย์ และกลับให้การยกย่องชนชั้นกรรมาชีพหรือชาวนา
ว่าเป็นผู้ที่มีเกียรติอย่างแท้จริงในสังคมตามแนวความคิดของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
และจากนโยบายนี้เองที่ทำร้ายระบบการศึกษาในยุคนั้นของประเทศจีนอย่างรุนแรง
การสู้ศึกครั้งนี้ของโรงเรียนประดิษฐ์อักษรซึ่งปราดเปรื่องในเชิงบุ๋นนั้นไม่อาจต่อกรหรือเทียบชั้นได้เลย
กับกองทัพที่เชี่ยวชาญในเชิงบู๊ของฉินอ๋อง นักเรียนในโรงเรียนดังกล่าวจึงล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
แต่ถึงกระนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าแห่งสำนักนี้ก็ได้แสดงให้ลูกศิษย์ให้ประจักษ์ถึงแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณ
ของตัวอักษร ( อักษรเป็นสัญลักษณ์แทนภูมิปัญญาหรือความรู้ ) ว่าแม้เกาทัณฑ์ของฉินอ๋องนั้น
จะดุดันหรือร้ายกาจเพียงใด แม้จะทำลายล้างได้แทบทุกสิ่งทั้งบ้านเมืองและโคตรก๊กต่างๆในแผ่นดิน
แต่อาวุธเหล่านั้นก็ไม่อาจกลืนภูมิปัญญาอันเป็นเสมือนจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี้ลงได้
เพราะภูมิปัญญาคือสัจธรรมความจริง (The Truth) ที่เป็นอมตะ ( Immortal )
ไม่อาจถูกทำลายหรือลบทิ้งได้ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ
อาจารย์ผู้เฒ่านั่งเขียนตัวอักษรโดยหันหน้าเข้าหาลูกเกาทัณฑ์ที่แหลมคมซึ่งโหมกระหน่ำลงมาเหมือนห่าฝน
ภาวะจิตที่แน่วนิ่งไม่สั่นคลอนนี้แสดงถึงสัจจะที่ยิ่งใหญ่ว่าภูมิปัญญาแห่งวัฒนธรรมไม่อาจถูกทำลายลงไปได้
(ผู้กำกับสื่อความคิดนี้ด้วยการให้ลูกเกาทัณฑ์ยิงไปไม่ถูกตัวอาจารย์)
นอกจากความต้องการในอักษรประดิษฐ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
ไร้นามยังนำข่าวการตายของฟ้าเวิ้งมาบอกแก่หิมะเหินเพื่อสร้างความแตกแยกให้กับกระบี่หัก
เนื่องจากหิมะเหินกับกระบี่หักเป็นคู่รักกัน ข่าวการตายของฟ้าเวิ้งซึ่งเป็นอดีตคนรักของหิมะเหิน
ทำให้ความรักของทั้งสองที่เริ่มระหองระแหงอยู่แล้วต้องถึงคราวแตกหักลงอย่างยับเยิน

ผู้กำกับใช้วิธีในการจับอารมณ์ตัวละครในฉากนี้
ด้วยการถ่ายภาพที่เอนกล้องไปมาเพื่อสื่อให้เห็นถึงความไม่มั่นคง ความเคลือบแคลงสงสัย
และความโอนเอนแห่งภาวะจิต
แรงหึงหวงและอารมณ์ประชดประชันหิมะเหินของกระบี่หัก ถูกปลดปล่อยออกมาโดยมี
ปานเดือนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กระบี่หักระบายอารมณ์ฟุ้งซ่านสันสนของตนออกมากับปานเดือน
ในรูปของสัมพันธ์สวาทชั่วข้ามคืน โดยตัวหิมะเหินเองก็ล่วงรู้ถึงการกระทำนี้อยู่เต็มอก
สีแดงฉานของผืนแพรที่รองร่างชู้รักยามสมสู่กัน ส่งกลิ่นความรัญจวนแห่งอารมณ์เพศออกมาอย่างชัดเจน
เป็นการปลดปล่อยกายให้ไหลล่วงดำดิ่งลงสู่กระแสแห่งอารมณ์ ไร้ซึ่งเหตุผลและ
ไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของผู้ใด
จากน้ำตาของความเสียใจกลายสภาพเป็นความเคียดแค้นเดือดดาล หิมะเหินฆ่ากระบี่หักตาย
ความรู้สึกผิดที่พลาดพลั้งทำไปโดยขาดสตินี้ทำให้หิมะเหินต้องตกอยู่ในภาวะสับสนฟุ้งซ่านเสมือนกำลังหลงทาง
อยู่ในเขาวงกต ความตายของกระบี่หักนำไปสู่ฉากการต่อสู้ระหว่างหิมะเหินกับปานเดือน
ผู้กำกับสร้างฉากต่อสู้นี้ได้งดงามจับใจเสมือนหนึ่งจิตรกรตวัดปลายพู่กันจีนเขียนงานศิลป์ที่พริ้วไหวแผ่ว
เบาแต่ก็แฝงไว้ซึ่งความหนักแน่นดุดัน
ฉากต่อสู้ในทัศนียภาพของหมู่แมกไม้ใบเหลืองที่กระพือพัดตามแรงพายุ
ปรากฏสีเหลืองจัดของใบไม้รวมเข้ากับชุดสีแดงของทั้งสองคน
ให้ภาพที่ร้อนแรงตามโทนที่ผู้กำกับต้องการและในฉากนี้ยังสื่อนัยยะทางความคิดได้อย่างคมคาย
ในการต่อสู้ของสตรีที่มีอารมณ์ร้อนแรงและจัดจ้านทั้งสอง หิมะเหินมีวรยุทธสูงส่งกว่า
ปานเดือนอย่างเทียบกันไม่ได้ ผู้กำกับให้ภาพหิมะเหินในฉากนี้เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ที่ทรงอำนาจ
(โดยย้อมสีชุดที่สวมอยู่ให้เป็นสีแดงเข้มและแต่งหน้าทาปากด้วยสีแดงฉูดฉาด ) ในขณะที่ให้ภาพ
ปานเดือนเป็นเสมือนดวงจันทร์ที่ซีดจาง (ชุดที่สวมเป็นสีแดงซีดและปานเดือนในฉากนี้ไม่ได้แต่งหน้า )

การถ่ายภาพในฉากนี้ใช้วิธีการถ่ายย้อนแสงหรือโดยการเอากล้องไปสู้กับแสงอาทิตย์ตรงๆ จนมองดูแสบตา
( เทคนิคนี้เคยใช้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Red Sorghum โดยให้แสงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์แทนประเทศญี่ปุ่น
และการต่อสู้จนตัวตายของประชาชนชาวจีนเป็นเสมือนปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่พยายามบดบังแสงที่ทรงอานุภาพนั
้น )
การถ่ายภาพด้วยวิธีนี้สื่อถึงข้อความคิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในเรื่องของดวงจันทร์ที่ย่อมต้องพ่ายแพ้ต่อ
แสงแห่งดวงอาทิตย์อยู่วันยังค่ำ
การจัดแบ่งสีเข้มและสีอ่อนสื่อถึงการต่อสู้ในทางกำลังกายภาพที่ปานเดือนไม่มีทางชนะ
หิมะเหินได้ซึ่งในท้ายที่สุดปานเดือนก็ต้องปราชัยจบชีวิตลง หากแต่เป็นการตายที่แสนฉลาด
เพราะว่าก่อนที่ปานเดือนจะสิ้นใจเธอได้ปล่อยอาวุธเด็ดออกมาเป็นคำพูดที่เชือดเฉือนเฉียบคมว่า
การที่หิมะเหินฆ่ากระบี่หักนั้นเป็น “การกระทำที่โง่เง่า”
จากที่หิมะเหินเคยเป็นต่ออยู่ในทุกกระบวนยุทธ แต่กับคำพูดเพียงหนึ่งวลีนี้กลับเสียดแทง
ได้อย่างตรงเป้าและสร้างความเจ็บปวดได้ยิ่งกว่าคมกระบี่วงจันทร์ของปานเดือนหลายเท่านัก
หัวใจของหิมะเหินพ่ายแพ้ต่อคำพูดนี้อย่างสิ้นท่า
ในขณะนี้เองที่ฉากสีเหลืองของมวลไม้ซึ่งปลิวว่อนตามแรงลม ( และตามแรงของอารมณ์ )
ได้กลายสภาพเป็นสีแดงเลือดที่แปดเปื้อนไปไม่รู้จบ


การต่อสู้ระหว่างไร้นามและหิมะเหินในวันต่อมา จบลงอย่างรวดเร็วโดยหิมะเหินเป็นผู้พ่ายแพ้
เรื่องเล่าของไร้นามเกี่ยวกับกระบี่หักและหิมะเหินได้จบลง แต่การชิงไหวชิงพริบระหว่าง
องค์ฉินอ๋องและไร้นามยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ฉินอ๋องสรุปว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นความเท็จซึ่ง
ตัวไร้นามอุปโลกป์โป้ปดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ตัวเองคิดว่าเป็นความจริง
ผู้กำกับถ่ายทอดเรื่องเล่าของฉินอ๋องออกมาด้วยโทน สีฟ้า

เรื่องราวเริ่มขึ้นในห้องสมุดที่ไร้นามกำลังสำแดงความเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ของตนต่อหน้ากระบี่หักและหิ
มะเหิน หลังจากที่ฟ้าเวิ้งได้ยอมสละชีวิตตนเพื่อภารกิจนี้ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ไร้นามทดสอบขีดความสามารถในการใช้กระบี่ของตนในระยะสิบก้าวเพื่อให้นักฆ่าที่เหลืออีกสองคนยอม
ปลงใจสละชีวิตเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วย
การใช้กระบี่ของไร้นามเป็นไปอย่างเฉียบขาดและว่องไว วัดเวลาในการทดสอบด้วยการโยนถ้วยน้ำขึ้นไปในอากาศ
แล้วทะยานไปตัดเชือกในมัดหนังสือไม้ไผ่ที่กองเรียงอยู่รอบๆห้องสมุดได้อย่างครบถ้วนก่อนที่ถ้วยน้ำจะหล่นถ
ึงพื้น การทดสอบดังกล่าวประสบความสำเร็จ
กระบี่หักและหิมะเหินไว้วางใจไร้นามจนยอมเข้าร่วมในภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วย
การทดสอบกระบี่ของไร้นามด้วยการตัดเชือกที่มัดม้วนหนังสือนี้ คล้ายกำลังกระซิบบอก
สารอะไรบางอย่างแก่นักฆ่าทั้งสองด้วย ว่าหากเหล่านักฆ่าผู้เยี่ยมยุทธทั้งสี่ไม่ร่วมกันผนึกกำลัง
เป็นหนึ่งเดียวในการสังหารฉินอ๋องแล้ว ความล้มเหลวของภารกิจย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
( เชือกที่ถูกตัดในมัดหนังสือนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความสามัคคี )
ชีวิตของประชาชนในรัฐต่างๆก็ยังต้องล้มตายลงไปอีกเหมือนกองหนังสือที่ล้มระเนระนาดอยู่ตรงหน้า
ตามหมายจับของทางการระบุต้องการตัวแค่กระบี่หักหรือหิมะเหินเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
ทั้งสองไม่อาจตกลงกันได้ว่าใครจะต้องเสียสละในการถูกสังหารต่อหน้าเหล่าทหารเพื่อให้ไร้นามได้รับโอกาสในก
ารเข้าเฝ้าฉินอ๋องอย่างใกล้ชิดในระยะสิบก้าว
ทางออกสุดท้ายจึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนยอมเข้าร่วมในภารกิจแห่งชีวิตนี้ด้วยกัน
แม้ว่ากระบี่หักและหิมะเหินจะมีความรักต่อกันอย่างมั่นคง
ความรักที่เป็นดั่งสายใยซึ่งผูกพันแนบแน่นจนไม่อาจที่จะพรากออกจากกันได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ
แต่ด้วยอานุภาพของความรักอันยิ่งใหญ่นี้เอง
หิมะเหินจึงไม่อาจยอมให้กระบี่หักต้องมาตายร่วมไปกับตนด้วยแม้ว่าทั้งสองจะเคยกำหนดหัวใจให้กับภารกิจการส
ังหารฉินอ๋องนี้มาอย่างแน่วแน่แล้วก็ตามที
ระหว่างเดินทางในเช้าที่ต้องเริ่มภารกิจ
หิมะเหินใช้อาวุธของตนแทงกระบี่หักจนได้รับบาดเจ็บเพื่อกระบี่หักจะได้ไม่ต้องเข้าร่วมในภารกิจนี้
การตัดใจแทงคนรักของหิมะเหิน ถือได้ว่าเป็นการแทงที่ ตัวหิมะเหินเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
หิมะเหินมอบบาดแผลแห่งการเสียสละนี้ให้กับกระบี่หักพร้อมๆกับมอบชีวิตของตนให้กับภารกิจนี้อย่างเต็มใจ

ไร้นามลำบากใจเป็นอย่างมากที่ต้องมาฆ่าเพื่อนด้วยกันเอง แต่ด้วยความยืนยันของหิมะเหิน
ที่ให้คำนึงถึงภารกิจเป็นหลัก ไร้นามจึงจำต้องฆ่าอีกครั้งเหมือนเช่นที่เคยทำกับฟ้าเวิ้งมาก่อน
( ฉากนี้คืออีกรูปแบบหนึ่งของการต่อสู้ภายในจิตใจของไร้นาม )
การเสียสละของหิมะเหินเป็นเรื่องที่ทรงเกียรติ ดังนั้น
ก่อนที่ไร้นามจะเดินทางไปยังพระราชวังตามแผนที่วางไว้
ไร้นามและกระบี่หักได้ทำการต่อสู้กันในจิตใจเพื่อเป็นเกียรติแก่การตายของหิมะเหิน
ภาพการต่อสู้นี้บรรจงสร้างขึ้นอย่างวิจิตรประณีต ณ ศาลากลางน้ำในทะเลสาบอันเลื่องชื่อของจีน
ซึ่งมีทิวทัศน์อันงดงามประหนึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความจงใจของธรรมชาติเช่นกัน

ผืนน้ำที่ปราศจากการพัดผ่านของสายลมเป็นเสมือนแผ่นกระจกที่เรียบนิ่ง
การต่อสู้ในจิตใจของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น
หากแต่ความเย็นเยียบในจิตใจของกระบี่หักจากการสูญเสียหญิงคนรัก
ทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเต็มที่ ละอองน้ำที่กระเซ็นไปตกลงบนใบหน้าของหิมะเหิน
ชักนำให้กระบี่หักหันหลังให้กับการต่อสู้ดังกล่าว แล้วทะยานไปซับหยดน้ำที่เป็นดั่งน้ำตาแห่ง
ความเศร้าโศกนั้นแทน (
การต่อสู้ภายในจิตใจของฉากนี้เป็นเสมือนการต่อกรกับความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่แสนยะเยือกเย็น
เป็นอารมณ์ที่เกาะกินจิตวิญญาณจนไม่เหลือกำลังใจในชีวิต
และหากอารมณ์ที่เศร้าโศกนั้นมีชัยเหนือเหตุผลแล้ว ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป )
การต่อสู้ในจิตใจนี้ต้องยุติลงเพราะกระบี่หักถอนตัวออกกลางคัน

ผู้กำกับถ่ายภาพในฉากนี้เพื่อสื่อถึงความหนาวเย็นของธาตุน้ำ โดยนำกล้องไปถ่ายใต้ผืนน้ำจริงๆ
(ปกติในภาพยนตร์เรื่องอื่นหากใช้กล้องถ่ายใต้น้ำก็จะพยายามจับภาพใต้น้ำนั้นเป็นหลัก แต่ในภาพยนตร์เรื่อง
Hero นี้กลับแหงนหน้ากล้องมาจับภาพการต่อสู้ซึ่งดำเนินอยู่บนอากาศแทน
เป็นเทคนิคที่เดินตามวิธีการถ่ายย้อนแสงในฉากสีแดงแต่ในฉากสีฟ้านี้เป็นการถ่ายโดยมองผ่านน้ำ )
วันต่อมาในระหว่างที่ไร้นามเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ณ พระราชวังต้องห้าม
ปานเดือนนำอาวุธของกระบี่หักมามอบให้ไร้นามและนำข่าวการฆ่าตัวตายของเขามาบอกด้วย
หิมะเหินและกระบี่หักไม่อาจแยกจิตวิญญาณออกจากกันและกันได้ อันเป็นเสมือนสายน้ำ
ที่ไม่ว่าจะพยายามตัดให้ขาดด้วยอาวุธใดก็ไม่อาจที่จะแยกมันออกจากกันได้สำเร็จ
ความรักของนักฆ่าทั้งสองนี้ก็เช่นกัน
บทบาทของปานเดือนในฉากนี้ทำหน้าที่สะท้อนรัศมีแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของกระบี่หักและหิมะเหินให้ผู้ชมได้
ประจักษ์ ว่ารักแท้อันบริสุทธิ์จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป
แม้ว่าชีวิตกายเนื้อของทั้งสองคนนั้นจะลาลับไปแล้วก็ตามที
ฉินอ๋องจบเรื่องเล่าของตนด้วยการยกย่องคารวะความเสียสละของนักฆ่าทั้งสาม
แต่ความจริงในภารกิจนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างสิ้นเชิง
ไร้นามได้ทำหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่ปราศจาก การปรุงแต่งหรือคาดเดาใดๆ ต่ออีกเรื่องหนึ่ง
ผู้กำกับให้ภาพในเรื่องเล่าของไร้นามครั้งนี้เป็นโทน สีขาว



โดย: beerled IP: 203.154.187.177 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:10:37:44 น.  

 
ส่วนที่ 2 (ต่อ)
เรื่องราวเริ่มขึ้นในห้องสมุด ไร้นามกำลังแสดงความเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ของตนให้กระบี่หัก
หิมะเหินและปานเดือนได้ดูชม การทดสอบทำโดยการโยนพู่กันนับร้อยๆอันขึ้นในอากาศ
โดยไร้นามต้องใช้กระบี่เพื่อเสาะหาพู่กันที่แตกต่างซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งอันนั้นให้ได้ก่อนที่พู่กันทั้งห
มดจะหล่นลงบนพื้นห้อง
ไร้นามสามารถทำการทดสอบนี้ได้สำเร็จ
เขาแสดงให้เห็นว่านอกจากการใช้กระบี่ของตนจะมีความว่องไวเป็นเลิศแล้วยังมีความแม่นยำอันไร้ที่ติอีกด้วย
การทดสอบที่เพิ่งผ่านไปนี้ยังแฝงไว้ซึ่งข้อความเพื่อจะบอกอะไรบางอย่างว่า
การเสาะหาพู่กันที่แตกต่างจากอันอื่นๆ ให้พบเพื่อทำลายเสียนั้น
คือการค้นหาผู้ที่มีความคิดเห็นแตกแยกในภารกิจนี้ว่าจะต้องถูกขจัดให้สิ้นไปเช่นกัน
คนผู้นั้นก็คือกระบี่หัก
กระบี่หักมีความเห็นที่แตกต่างกับหิมะเหินหญิงคนรักอย่างไม่อาจหลอมรวมความคิดเข้าด้วยกันได้
หิมะเหินยืนยันให้ภารกิจการสังหารฉินอ๋องนี้ต้องดำเนินต่อ แต่กระบี่หักกลับมองว่า
ฉินอ๋องผู้นี้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่หิมะเหินไม่เข้าใจ แม้กระบี่หักและหิมะเหิน
จะมีความรักต่อกันอย่างแท้จริง
แต่สำหรับเรื่องนี้แล้วทั้งสองถือว่าเป็นปฏิปักษ์ทางความคิดกันเลยทีเดียว

หิมะเหินต่อสู้กับกระบี่หักจนกระบี่หักได้รับบาดเจ็บ ส่วนไร้นามเองก็ต่อสู้กับปานเดือน
(หญิงสาวผู้เป็นเสมือนบริวารของกระบี่หักซึ่งภักดีต่อนายไม่เปลี่ยนแปลง)
กำลังยุทธของปานเดือนไม่อาจทัดเทียมกับไร้นามได้ จนในที่สุดการประฝีมือที่ไม่คู่ควรนั้นก็ยุติลง
ลึกลงไปในจิตใจของหิมะเหินแล้วมีความห่วงหาอาทรกระบี่หักอยู่ไม่น้อย แต่เพื่อภารกิจ
อันเป็นการล้างแค้นแทนครอบครัว อารมณ์ส่วนตัวดังกล่าวก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นอุปสรรคได้
ไร้นามใช้วิธีการสังหารหลอกเพื่อตบตาเหล่าทหารของฉินอ๋องในกรณีของฟ้าเวิ้งได้สำเร็จก่อนหน้านั้น
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน การสังหารหลอกครั้งที่สองโดยมีหิมะเหินเป็นเป้าหมายได้ดำเนินไปและจบลงด้วยดี
จนทหารที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นยอมเชื่อจนสนิทใจให้ไร้นามได้เข้าเฝ้าฉินอ๋องในระยะสิบก้าว
ในระหว่างการเดินทางของไร้นามเพื่อไปปฏิบัติภารกิจสุดท้าย
กระบี่หักยอมฝืนกายที่บาดเจ็บมาหาไร้นามด้วยความดูแลของปานเดือนเพื่อจะยุติภารกิจนี้ให้จงได้
อีกหนึ่งเรื่องเล่าผ่านมุมมองของกระบี่หัก ถูกถ่ายทอดออกมาในโทน สีเขียว

ก่อนนั้น กระบี่หักและหิมะเหินอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านป่าชนบท ฝึกปรือฝีมือการใช้กระบี่
และการเขียนอักษรไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตของทั้งคู่เป็นไปอย่างสมถะ
งดงามและเรียบง่ายตามแบบอย่างของธรรมชาติ
ทั้งสองปฏิญาณต่อกันว่าเมื่อสำเร็จภารกิจการสังหารฉินอ๋องแล้วจะมาใช้ชีวิตอันสงบสุข ที่นี้ด้วยกัน
ภาพชีวิตของทั้งสองที่นี่ ดำเนินไปตามแนวทางปรัชญาแห่งลัทธิเต๋าหรือเล่าจื๊อ
(
แนวคิดที่เน้นการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองหรือทางรัฐศาสตร์เ
หมือนเช่นแนวคิดของสำนักขงจื๊อ ) นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับแนวคิดแห่งนิกายเซ็นของญี่ปุ่น (
การยกย่องจิตเดิมแท้ที่ไม่ปรุงแต่งว่ามีคุณค่าประหนึ่งนิพพาน )
กระบี่หักและหิมะเหินขยับเข้าใกล้ธรรมชาติและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาตินั้นอย่างสุขสงบ
ความรักอันบริสุทธิ์ของทั้งสองงอกงามและเติบโตขึ้นเสมือนความอุดมของสิ่งแวดล้อมที่รายรอบ
ระหว่างนั้น กระบี่หักได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณของตัวอักษร
เมื่อเขาบรรลุแล้วซึ่งความหมายที่แท้จริงของกระบี่ จิตใจที่เคยหมกมุ่นอยู่กับภารกิจการสังหารได้ค่อยๆ
ผ่อนคลายลง จนสงบและไม่คิดที่จะฆ่าฉินอ๋องอีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้นด้วยความรักอันล้นเหลือที่มีต่อหิมะเหิน กระบี่หัก
ได้บุกเข้าวังไปพร้อมกับหิมะเหินด้วยในภารกิจสังหารฉินอ๋อง
เพราะจิตใจของหิมะเหินนั้นยังคงแน่วแน่ต่อภารกิจนี้ไม่แปรเปลี่ยน


ทั้งสองบุกเข้าวังอย่างองอาจไม่หวั่นเกรงต่อทัพทหารนับพันที่ปกป้ององค์ฉินอ๋องอยู่
ในขณะที่หิมะเหินจัดการอยู่กับเหล่าทหารองครักษ์
กระบี่หักได้เข้าไปประจันหน้าต่อสู้กับฉินอ๋องภายในท้องพระโรง
ภาพภายในท้องพระโรง ปรากฏผืนผ้าขนาดยาวสีเขียวประดับอยู่เป็นจำนวนมาก
เสมือนผืนป่าจำลองที่ยกมาไว้ภายในพระราชวัง ความลึกลับและดงดิบของป่าจำลองนั้นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมใน
การหลบซ่อนตัวของนักฆ่าเช่นกระบี่หัก (ในภาพยนตร์เรื่อง Rashomon ของอาคิระ คูโรซาว่า
เหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในป่าอันสะท้อนให้เห็นถึงความดงดิบและลึกลับซับซ้อนภายใน
จิตใจมนุษย์ )

สายลมที่พัดกรรโชกแรงกระชากให้ผืนผ้านั้นพลิ้วไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา
สะท้อนถึงภาวะจิตของกระบี่หักในขณะนี้ที่ต้องต่อสู้ภายในจิตใจ
ว่าจะสังหารฉินอ๋องเพื่อให้หิมะเหินหญิงคนรักบรรลุความปรารถนา
หรือจะปล่อยตัวฉินอ๋องไปตามเสียงเรียกร้องของความรู้สึกในเบื้องลึก
การประดาบดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น แต่ในท้ายที่สุดเมื่อฉินอ๋องพยายามตัดผืนผ้าที่
แขวนห้อยอยู่นั้นให้ขาดลงเพื่อเบิกมุมมองที่ทึบทึมให้กระจ่างขึ้น
ภาวะจิตที่เคยสับสนของกระบี่หักก็ได้เริ่มผ่อนคลายและสงบลงอีกครั้ง
ผืนผ้าที่ร่วงกรูลงสู่พื้นท้องพระโรงแสดงถึงภาวะการปลดปล่อยความคิดที่เคยยึดมั่นถือมั่นให้วางลงสู่ความน
ิ่งสงบ และขณะนี้เองที่กระบี่ในใจของกระบี่หัก ( อันเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธแค้น )
ได้หักสะบั้นลงแล้วอย่างแท้จริง
วิธีการเล่าเรื่องโดยอาศัยภาพการปล่อยผ้าให้ร่วงลงพื้นนี้ จางอี้โหมวเคยใช้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Ju
Dou ( เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ) แต่เป็นการใช้คนละเหตุผลกับเรื่อง
Hero นี้ นั่นคือในฉากที่กงลี่กำลังสมสู่อยู่กับชู้รักซึ่งเป็นคนงานของสามี ในโรงย้อมผ้า
ทั้งคู่ประกอบกามกิจกันจนไปดึงเอาปลายผ้าที่ม้วนแขวนไว้บนขื่อให้หลุดลงมา
ผ้าสีแดงจัดที่ถูกม้วนไว้อย่างแน่นหนาคลายตัวออกอย่างรวดเร็วและไหลลงตามแรงดึงดูดของธรรมชาติเสมือน
การปลดปล่อยอารมณ์เพศที่ทำไปตามสัญชาตญาณดิบ ไร้ซึ่งข้อคำนึงถึงศีลธรรมหรือความถูกต้องใดๆ

กระบี่หักทะยานเข้าไปประชิดตัวและลงกระบี่ไปที่คอของฉินอ๋อง ปรากฏแผลเป็นรอยถาก เพียงเล็กน้อย
การที่กระบี่หักมีโอกาสทองอันจะบรรลุภารกิจที่มุ่งหวังมานานนี้หากแต่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป
สร้างความรู้สึกงุนงงให้แก่หิมะเหินและตัวฉินอ๋องเองเป็นอย่างมาก ภาพการต่อสู้
ในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงของฉินอ๋องตลอดเวลาแต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจให้กระจ่างขึ้นได้ถึงเจต
จำนงอันแท้จริงของกระบี่หัก
หิมะเหินโกรธกระบี่หักมาก และทั้งคู่ก็ไม่ยอมพูดจากันอีก
เรื่องเล่าในมุมมองของกระบี่หักจบลงพร้อมกับข้อสรุปที่ว่าฉินอ๋องจะต้องไม่ถูกฆ่า
ด้วยเหตุผลของอักษรหนึ่งคำที่กระบี่หักมอบให้ไร้นาม นั่นคือคำว่า “ใต้หล้า” ( Our Land )
กระบี่หักเขียนคำนี้ลงบนพื้นทราย อันเป็นวิธีเขียนที่ให้ความหมายคำว่า “ใต้หล้า” ได้อย่างชาญฉลาด
(ในฉากสีแดงกระบี่หักได้เขียนคำว่า กระบี่ ลงบนพื้นกระบะทรายเช่นกัน
อันแสดงถึงแผ่นดินจีนในยุคที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและนองเลือด )
กระบี่หักควบม้าจากไร้นามไปแล้ว
แต่ปานเดือนยังคงย้ำเตือนให้ไร้นามเห็นถึงคุณค่าของคำพูดที่กระบี่หักได้กล่าวไว้
นางยืนยันว่าเจ้านายตนเป็นคนดีมีคุณธรรมและมีเหตุมีผล ปานเดือนในฉากนี้
ทำหน้าที่สะท้อนความสำคัญของคำว่า “ใต้หล้า”
ให้ไร้นามได้ตระหนักอีกครั้งผ่านมุมมองของหญิงรับใช้ที่อยู่กับกระบี่หักมานานและเข้าใจถึงเจตจำนงอันยิ่ง
ใหญ่นั้นเป็นอย่างดี
ไร้นามไม่เห็นด้วยกับความคิดของกระบี่หักและความสำคัญของถ้อยคำนี้
ดังนั้นภารกิจการสังหารฉินอ๋องจึงยังคงต้องดำเนินต่อไปตามแผน แต่ถึงกระนั้นคำว่า “ใต้หล้า”
นี้ก็ยังคงรบกวนจิตใจของไร้นามอยู่ตลอดเวลา
ฉินอ๋องได้ฟังเรื่องเล่าของไร้นามถึงเจตจำนงของกระบี่หักที่ไม่ต้องการให้พระองค์ถูกสังหาร
ด้วยเหตุผลว่าในยุคแห่งสงครามระหว่างก๊กอันยืดเยื้อนี้ มีเพียงฉินอ๋องเท่านั้นที่จะยุติการสูญเสีย
และการนองเลือดของประชาชนได้ โดยการรวมแผ่นดินทุกก๊กเข้าไว้ด้วยกันภายใต้การปกครองของ
ฉินอ๋องผู้ซึ่งจะมอบสันติภาพให้แก่ใต้หล้าหรือแผ่นดินนี้ต่อไป
ฉินอ๋องเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นอย่างเฉียบพลันที่มีคนในแผ่นดินนี้แม้เพียงหนึ่ง ได้เข้าใจ
ในปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างแท้จริง
การสนทนาของไร้นามและฉินอ๋องงวดเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ฉินอ๋องตระหนักดีว่าไร้นามคือนักฆ่า
ที่ร้ายกาจและน่ากลัวที่สุด และยังเข้าใกล้ประชิดตัวยิ่งกว่าข้าราชบริพารของพระองค์เสียอีก
การสนทนาที่แลกหมัดกันด้วยปัญญาและไหวพริบครั้งนี้ ปรากฏรูปปั้นเป็นทิวแถวทหารยืนถือตะเกียงไฟ
ประหนึ่งเส้นแนวที่กั้นกลางระหว่างไร้นามและฉินอ๋อง ฉากนี้สื่อถึงสัญลักษณ์ของสงครามในอีกรูปแบบหนึ่ง
ตะเกียงไฟที่กำลังลุกโชติช่วง เป็นดังความโกรธแค้นที่เผาไหม้ร้อนระอุอยู่ในใจของไร้นาม
ตะเกียงไฟที่เป็นดังปราการกั้นทางจิตวิญญาณให้ศัตรูทั้งสองไม่อาจบรรจบลงรอยกันได้

ไร้นามผ่านด่านการตรวจอาวุธของเหล่าขันทีและได้รับอนุญาตให้เข้ามาในท้องพระโรงได้เนื่องจากไม่มีอาวุธใดๆ
ติดตัวมาด้วย ผู้กำกับสร้างภาพในฉากนี้ด้วยการให้ขันทีตรวจร่างกายของ
ไร้นามอย่างละเอียดทุกซอกมุม แม้กระทั่งการนวดคลี่ไปตามมวยผมเพื่อเสาะหาอาวุธลับที่อาจซ่อนอยู่
แต่เมื่ออาวุธของไร้นามคือสติปัญญาอันเฉียบคมซึ่งถูกซ่อนไว้ในมันสมอง
การตรวจสอบด้วยมือเปล่าจึงไม่อาจที่จะล่วงรู้ถึงอาวุธแห่งปัญญานั้นได้
แต่เมื่อผ่านการสนทนาอันยาวนานอันเป็นเสมือนการตรวจสอบอีกครั้งโดยฉินอ๋อง แววของ
คมปัญญาอันเป็นอาวุธที่มีพิษสงร้ายกาจของไร้นามก็ได้สว่างวาบขึ้นอย่างชัดเจน
ฉินอ๋องวัดใจไร้นามด้วยการโยนกระบี่ของตนไปให้ มองดูผิวเผินเหมือนพระองค์จะยอมแพ้ ในชะตาชีวิต
แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น
ฉินอ๋องผู้ปราดเปรื่องจับกระแสอารมณ์โกรธของไร้นามผ่านทางตะเกียงไฟที่ชี้พุ่งมาทางพระองค์
ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดไม่แพ้กันของฉินอ๋อง พระองค์ใช้อักษรคำว่า กระบี่
ที่เขียนด้วยหมึกแดงบนผืนผ้าที่แขวนอยู่เบื้องหลัง เป็นอาวุธสุดท้ายในการต่อกรกับนักฆ่าในครั้งนี้
ในยามที่ไร้อาวุธและไม่สามารถต่อสู้ด้วยกำลังกายภายนอกได้ การสู้ด้วยกำลังภายใน หรือปัญญา
คือสิ่งที่จำเป็นและฉินอ๋องก็สามารถใช้อักษรคำว่า “กระบี่” นี้เป็นอาวุธอย่างได้ผล

ฉินอ๋องอธิบายนิยามที่แท้จริงของคำว่า “กระบี่” ให้ไร้นามฟัง
ว่าผู้เชี่ยวชาญการใช้กระบี่มีระดับความสำเร็จอยู่สามขั้น กล่าวคือ ผู้เชี่ยวชาญใน ขั้นแรก
ต้องเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในมือตนเป็นกระบี่ แม้แต่คมหญ้าก็สามารถหยิบมาใช้ฟาดฟันศัตรูได้อย่างราบคาบ
ขั้นที่สอง คืออาวุธนั้นต้องหายไปจากมือแต่ไปปรากฏอยู่ในใจแทน
เพียงแค่ใช้มือเปล่าต่อสู้ก็มีอานุภาพที่ร้ายกาจได้ไม่แพ้กัน ขั้นสุดท้าย คือ
การหายไปของกระบี่ทั้งจากมือและหัวใจไปสู่ความรู้สึกที่ว่างเปล่าและสงบ ปราศจากการเข่นฆ่าอีกต่อไป
ฉินอ๋องมอบบทเรียนอันล้ำเลิศนี้ให้ไร้นาม จนเขาบรรลุความสำเร็จในการใช้กระบี่ขั้นสูงสุด
แววตาซึ่งเคยมุ่งร้ายของไร้นามอันเป็นเสมือนคมกระบี่ที่พุ่งแทงผู้ถูกมอง
บัดนี้กลับเหลือเพียงแววตาที่เยือกเย็นสุขุม
ไร้นามได้หันปลายกระบี่ในใจเข้าหาตัวเพื่อประหารความโกรธที่มีอยู่นั้นจนแตกดับ สิ้นสูญ
ผู้กำกับใช้กล้องมุมเงยเมื่อไร้นามมองฉินอ๋องผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่า
และใช้กล้องมุมก้มสำหรับฉินอ๋องในการมองไร้นามผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า
อันแสดงถึงจุดยืนที่ต่างระดับกันของผู้ที่ อยู่ใต้ปกครองและตัวผู้ปกครอง
จุดยืนที่ต่างกันนี้ย่อมสร้างมุมมองที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา
มีหลายเหตุผลที่ประชาชนผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองไม่เข้าใจการกระทำของผู้นำในรัฐ
และมีอีกหลายเหตุผลเช่นกันที่ผู้นำในรัฐไม่เข้าใจความต้องการของประชาชน
ความแตกต่างทางมุมมองในภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะยุติลงด้วยภาษาภาพยนตร์ที่แสนฉลาด
หลังจบการอธิบายถึงนิยามของกระบี่ ไร้นามทะยานข้ามตะเกียงไฟที่กั้นกลาง ขึ้นไปยืนอยู่ ณ
จุดเดียวกันกับฉินอ๋อง เพื่อมอบความรู้สึกจากการถูกสังหารให้พระองค์ได้รับทราบ
อันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ประชาชนผู้ล้มตายจากสงครามของฉินอ๋องเคยได้รับ
มุมกล้องที่กวาดตามการเคลื่อนไหวของไร้นาม
เปรียบเสมือนการก้าวข้ามปราการแห่งความโกรธที่กั้นคนทั้งสองอยู่
เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างกันเมื่อแต่ละคนต้องมายืนอยู่ ณ จุดเดียวกัน (
เหมือนภาษิตที่ว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา )
แรงของด้ามกระบี่ที่กระแทกเข้ากับร่างของฉินอ๋อง สร้างภาวะสุดยอดที่วูบขึ้นอย่างเฉียบพลันให้แก่พระองค์
เสมือนฉินอ๋องได้ร่วมอยู่ในอารมณ์ของความตายนั้นจริงๆ
อันเป็นความรู้สึกของประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อจากสงครามซึ่งพระองค์ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
ภาวะแห่งอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นนี้ ถือเป็นบทเรียนล้ำค่าที่ไร้นามได้มอบให้
ไร้นามถอนตัวออกจากภารกิจกลางคัน การสังหารฉินอ๋องต้องพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง
ผู้กำกับตัดภาพสลับไปมาระหว่างโทนสีขาว (ฉากหุบเขาหินปูนสีขาวที่มีกระบี่หักและหิมะเหิน) กับโทนสีดำ (
ฉากในพระราชวังที่มีไร้นามและฉินอ๋อง ) คล้ายกำลังแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวละครแต่ละคน
ที่ต้องขับเคี่ยวกันระหว่างอารมณ์แห่งกิเลสกับเหตุผลที่ถูกต้อง ( เสมือนฉาก ขาว-ดำ
ที่แสดงถึงการต่อสู้ภายใจจิตใจตอนเริ่มเรื่อง )
หิมะเหินเสียใจเป็นอันมากและโทษว่าเป็นความผิดของกระบี่หักที่พูดกล่อมจนไร้นามยอมล้มเลิกภารกิจ
การต่อสู้ที่เกิดจากปราการแห่งความไม่เข้าใจระหว่างหิมะเหินและกระบี่หัก (เหมือนเส้นแบ่งของแนวตะเกียงไฟ
) ได้เริ่มขึ้น ณ หุบเขาที่แห้งแล้งและขาวโพลนจนหิมะเหินพลั้งมือฆ่ากระบี่หักตาย

กระบี่หักเอาชนะใจตนด้วยการไม่หวั่นเกรงต่อความตายและประสบความสำเร็จในการแสดงให้หิมะเหินเห็นว่าตนมีควา
มรักต่อนางอย่างแท้จริง ส่วนหิมะเหินก็พ่ายแพ้ต่ออารมณ์โกรธชั่ววูบของตน
จนทำสิ่งที่แสนโง่เง่าลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ความเศร้าโศกเกินบรรยายของหิมะเหินเกาะกินหัวใจอย่างสุดขั้วและแล้วนางก็ฆ่าตัวตายตามกระบี่หักไปอย่างน่า
เวทนา
ฉินอ๋องได้ประจักษ์แล้วซึ่งเหตุผลของบาดแผลที่กระบี่หักมอบให้ตอนบุกเข้าวัง
คำตอบนี้ปรากฏอยู่ในความรู้สึกจากการถูกสังหารหลอกที่เป็นเสมือนการสั่งสอนของไร้นาม
ไร้นามเองก็แจ้งแก่ใจแล้วซึ่งเจตนารมณ์ของกระบี่หักที่ให้คำนึงถึงประโยชน์ของใต้หล้า (Public
Interest) ว่ามีความสำคัญเหนือกว่าสิ่งใดและต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว (Private Interest)
การต่อสู้ภายในจิตใจของฉินอ๋องได้เริ่มขึ้นเมื่อต้องพิพากษาโทษแก่ไร้นาม
การต่อสู้ภายในจิตใจของไร้นามต่อความตายที่กำลังจะมาถึงก็ได้เริ่มขึ้นเช่นกัน
แม้ความรู้สึกส่วนพระองค์ของฉินอ๋องจะไม่ต้องการฆ่าไร้นามก็ตามที (Private Interest)
แต่เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงแน่นอนของกฎหมาย (Public Interest)
การตัดใจประหารชีวิตไร้นามจึงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดตามแนวคิดอันว่าด้วยใต้หล้า
ขณะเดียวกันไร้นามก็ถึงแล้วซึ่งภาวะที่ความขลาดกลัวถูกประหารไปหมดสิ้น
ไม่ว่าอาวุธใดของฉินอ๋องก็ไม่สามารถทำร้ายจิตวิญญาณที่กล้าหาญและยิ่งใหญ่ของเขาลงได้
เกาทัณฑ์นับหมื่นดอกพุ่งทะยานขึ้นฟ้าเพื่อปลิดชีพไร้นามในฐานะของนักฆ่าที่ลอบปลง พระชนม์
แต่แม้ว่าอาวุธเหล่านั้นจะรุนแรงร้ายกาจทะลวงร่างให้ยับเยินสักปานใด
ก็หาได้กระทบต้องตัวจิตวิญญาณอันเป็นอมตะนั้นให้ต้องระคายเคืองไปด้วยไม่ (
ความคิดนี้สื่อผ่านภาพพื้นที่ว่างบนผนังซึ่งปราศจากลูกเกาทัณฑ์ )
ไร้นามสิ้นชีพไปเยี่ยงวีรบุรุษจากวีรกรรมที่ไม่มีใครจดจำ เสมือนเหล่าเสรีชนคนไร้ชื่อ
อีกมากมายที่แม้จะพลีชีพทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับแผ่นดิน แต่ในฐานะของประชาชนคนตัวเล็กแล้วก็ย่อม
ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะดึงดูดใจให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง
ฉินอ๋องผู้ซึ่งเคยเข่นฆ่าประชาชนไม่ปรานีประหนึ่งนักฆ่าผู้โหดเหี้ยม
ต่อมากลับเป็นที่จดจำของชนรุ่นหลังในฐานะของวีรบุรุษผู้รวมอาณาจักรต่าง ๆ
ในจีนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้กำแพงเดียวกัน กำแพงหินที่เป็นดั่งอนุสรณ์สถานอันยาวเหยียด
ที่ย้ำเตือนให้ลูกหลานในชาติเห็นถึงความเป็นมา ทางประวัติศาสตร์อันแสนยาวนาน
ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงด้วยภาพกำแพงเมืองจีน
อันเป็นเสมือนเชือกเส้นใหญ่ที่มัดรวมประชาชนในชาติเข้าไว้ด้วยกันจนเป็นปึกแผ่น
กำแพงหินอันยิ่งใหญ่นี้ยังฝากบทเรียนสุดท้ายให้แก่ผู้ชมได้ตระหนักถึงความสำคัญของพลังสามัคคี

Hero นำเสนอประเด็นอันว่าด้วยความแตกแยก โดยสื่อผ่านการแบ่งโทนสีออกเป็นห้าสี ในช่วงเวลาต่าง
ๆ ( สีดำ,สีแดง,สีน้ำเงิน,สีขาวและสีเขียว) แล้วร้อยเรียงความหลากหลายของโทนสีเหล่านั้น
มัดรวมเข้าไว้ด้วยกันภายในกรอบเวลาฉายเก้าสิบแปดนาที ถือเป็นรูปแบบการนำเสนอที่
สร้างสรรค์และรับใช้ความคิดที่ต้องการจะสื่อได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากความแตกแยกระหว่างรัฐในแผ่นดินจีนและความแตกต่างทางความคิดของสมาชิกในกลุ่มต่างๆ แล้ว
ประเด็นที่ถือว่าแยบคายและลึกซึ้งยิ่งกว่านั่นคือความแตกแยกที่ปรากฏอยู่ในจิตใจ Hero
อาศัยข้อได้เปรียบทางภูมิปัญญาแห่งสังคมตะวันออกในการนำเสนอหลักปรัชญาแห่ง
พุทธศาสนาเพื่อต่อกรกับความแตกแยกที่ก่อเกิดเป็นสงครามขึ้นภายในจิตใจ
งานชิ้นก่อนนี้ของจางอี้โหมวคือ The Road home และ Not one less ซึ่งหากยังจำกันได้
ก็จะเห็นถึงเจตนารมณ์ของผู้กำกับในภาพยนตร์สองเรื่องก่อนนั้น ที่พยายามเน้นถึงความสำคัญของการศึกษา ใน
Hero นี้ก็เช่นกัน ( โดยเฉพาะฉากสีแดงในโรงเรียนประดิษฐ์อักษรและฉากห้องสมุด )
จางอี้โหมวยกย่องความเฉลียวฉลาดและปัญญาในระดับที่ลึกซึ้ง ( ที่ย่อมต้องมาจากการศึกษา )
ว่าเป็นเสมือนอาวุธในการต่อสู้ที่นำมาซึ่งชัยชนะได้เสมอ
ในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ชาติมหาอำนาจตะวันตก
ใช้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและกำลังทหารที่เข้มแข็งเพื่ออวดแสนยานุภาพอยู่ในโลกขณะนี้
ชาติตะวันออกที่มีกำลังกายภาพเหล่านั้นอยู่เพียงน้อยนิดคงไม่อาจเทียบชั้นไปต่อกรด้วยได้
การคิดหาเครื่องมือเพื่อป้องกันตัวให้อยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
คงจะมีแต่ภูมิปัญญาซึ่งสั่งสมมานานนับพันปีเท่านั้น
ที่ชาติตะวันออกเราสามารถใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับมหาอำนาจตะวันตกได้อย่างคู่ควรและเท่าเทียม
ในฐานะที่ Hero เป็นภาพยนตร์จากทุนสร้างของรัฐบาลจีน
สาระที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงถูกผลักดันให้สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย Hero
ได้ถ่ายทอดความคิดทางการเมืองนี้ออกไปสู่การรับรู้ในระดับสากล
ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่เหมือนกำลังประกาศศักดาให้มหาอำนาจได้รับรู้ถึงเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่แห่งชนชาต
ิตน
จางอี้โหมวประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะมันได้ทำหน้าที่
นำพาความคิดอันยิ่งใหญ่มาสู่ผู้ชม เป็นข้อความที่เต็มไปด้วยสาระซึ่งแตกตัวออกได้หลากหลายระดับ
ตั้งแต่เรื่องราวทางการเมืองระดับชาติ ( การเรียกร้องความสมานฉันท์ของเพื่อนร่วมเชื้อชาติ ซึ่งได้แก่
จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวัน ) เรื่องราวของความรักความผูกพันและการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง
ถึงความสงบสันติในระดับจิตวิญญาณของมนุษย์
ผู้กำกับได้ผสมผสานความเป็นแอ็คชั่นเข้ากับดราม่าได้อย่างกลมกลืน
และนำเสนอเรื่องราวการต่อสู้ที่เรียกได้ว่ามีอยู่ครบในทุกๆ ประเด็นของข้อความคิดนี้
คือทั้งสงครามระหว่างประเทศ การต่อสู้ภายในประเทศ
การต่อสู้ในกลุ่มบุคคลที่ต้องร่วมภารกิจกันและการต่อสู้ภายในจิตใจของมนุษย์
นอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นยิ่งใหญ่แล้ว นักแสดงผู้รับบทต่างๆ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่
การกำกับภาพกำกับศิลป์งดงามไร้ที่ติ ในส่วนของดนตรีประกอบก็ไพเราะและลงตัว
อันทำให้งานชิ้นนี้ของจางอี้โหมวเป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบและได้ชื่อว่าเป็น
“งานศิลปะที่ทรงภูมิปัญญาอย่างแท้จริง”



โดย: beerled IP: 203.154.187.177 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:10:38:47 น.  

 
ชอบเรื่องนี้มากๆ ค่ะ ดูแล้วคิดเหมือนเจ้าของบล็อกเลย ชอบเรื่องการใช้สีด้วย

เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ชอบสุดๆ


โดย: เด็กทะเล (ลิปิการ์ ) วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:15:06:24 น.  

 
คุณ beerled ทีหลังทิ้งลิ๊งค์ไว้ให้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเข้าไปอ่าน มาโพสเสียยาวตาลายเยย (เว้นบรรทัดด้วยก็ดีนะ)<--ขอมากจริงเค้าอุตส่าห์มาลงให้อ่าน


โดย: คิงเพนกวิน วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:19:50:52 น.  

 
ชอบ Hero เหมือนกัน


โดย: ส้มแกง วันที่: 29 สิงหาคม 2550 เวลา:6:02:18 น.  

 
ขอบคุณเจ้าของบล็อกและคุณbeerled ที่มาช่วยแจงรายละเอียดนัยยะของ hero เพราะชอบเรื่องนี้มากๆ และกำลังหาผู้ที่มาช่วยอธิบายนัยยะอย่างที่คุณ beerled ได้อธิบาย และทำให้ยิ่งชอบ hero มากขึ้นรวมทั้งชอบ จางอี้โหมวขึ้นด้วย สุดยอดของผู้กำกับที่ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกได้ดีมากๆ ขอร่วมเป็นสาวก heroด้วยคน


โดย: vrhere IP: 124.120.6.144 วันที่: 1 กันยายน 2550 เวลา:13:49:22 น.  

 
ปี 2017กลับมาดูอีกครั้ง หนังจากที่เคยดูตอนฉายในโรงหนัง เข้าฉายปี2003 ตอนนั้นยังเด็ก คิดว่าหนังเรื่องนี้ห่วยที่สุดตั่งเเต่ดูหนังมา เเต่เมื่อโตขึ้นได้ยิน อาจาร์ยท่านหนึ่งพูดถึงหนังเรื่องนี้ไว้ดีมาก จนต้องกลับมาดูอีก จึงพบว่าหนังทำได้ดีจริงๆ คนจีนเก่งกว่าที่เราคิดไว้มากเลย


โดย: Nueng notingness IP: 49.48.18.2 วันที่: 10 พฤษภาคม 2560 เวลา:13:43:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คิงเพนกวิน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




เป็นเพนกวินตัวน้อยๆ ดุร้ายเป็นบางโอกาส
มักจะถูกชาวบ้านในเน็ตเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชาย
ประจำ ไม่ก็กะเทย เกย์ พอเจอตัวจริงก็ถูก
อุทานใส่หน้าว่า "อ้าว?!! ทำไมเป็นผู้หญิงล่ะ?"
<---ฉันมันแมนมากหรือไงยะ? แรกก็ขำๆ อ่ะนะ
แต่พอมีครั้งที่ 2-3-4-5--->800 ชักเครียดว่ะ



A King's penguin story
Friends' blogs
[Add คิงเพนกวิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.