|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]
|
เป็นเพนกวินตัวน้อยๆ ดุร้ายเป็นบางโอกาส มักจะถูกชาวบ้านในเน็ตเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชาย ประจำ ไม่ก็กะเทย เกย์ พอเจอตัวจริงก็ถูก อุทานใส่หน้าว่า "อ้าว?!! ทำไมเป็นผู้หญิงล่ะ?" <---ฉันมันแมนมากหรือไงยะ? แรกก็ขำๆ อ่ะนะ แต่พอมีครั้งที่ 2-3-4-5--->800 ชักเครียดว่ะ
|
|
|
|
|
|
|
ศิลปะแห่งภูมิปัญญาโดยแท้ คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยไปสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ของจางอี้โหมว
หลังจากสำรวจความคิดตัวเองมาหลายปี จางอี้โหมวก็ถึงเวลาของการเข้าสู่ภาวะที่เรียกได้ว่า เข้าใจชีวิต
อย่างแท้จริง หลังจากเป็นผู้กำกับที่นิยมชมชอบตัวละครหัวแข็งดื้อด้านมาเป็นเวลาช้านาน (
หากสังเกตจะเห็นได้ว่าตัวละครหลักทุกเรื่องของจางอี้โหมวจะเป็นผู้มีความคิดแหกขนบธรรมเนียมและปฏิเสธที่จ
ะเชื่อฟังเสมอ ) ใน Hero
นี้ผู้กำกับได้แนะนำตัวละครซึ่งมีลักษณะแปลกใหม่ให้กับผู้ชมแฟนพันธุ์แท้ได้รู้จัก
นั่นคือตัวละครผู้ซึ่งเคยมีความคิดอะไรบางอย่างฝังหัวอยู่อย่างรุนแรง แต่ในเวลาต่อมา
กลับประนีประนอมยอมเปลี่ยนแปลงความคิดเดิม เพื่อรับฟังมุมมองที่แตกต่างออกไป
แม้ว่ามุมมองนั้นจะขัดกับพื้นฐานความเชื่อเดิมๆ ของตนเองก็ตามที
วิธีการเล่าเรื่องของจางอี้โหมวใน Hero นี้หยิบยืมรูปแบบมาจากภาพยนตร์เรื่อง Rashomon ของ อาคิระ
คูโรซาว่า ผู้กำกับอันเลื่องชื่อชาวญี่ปุ่นในส่วนของโครงเรื่องเพื่อใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหา
และเดินตามแนวทางการใช้สีจากภาพยนตร์เรื่อง Ran ซึ่งเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกันนั้น
ในส่วนของรายละเอียดงานสร้าง จางอี้โหมวนำเข้านักออกแบบเสื้อผ้าชาวญี่ปุ่น เอมิ วาดะ
ซึ่งเคยร่วมงานกับ อาคิระ คูโรซาว่า มาก่อน งานกำกับศิลป์โดยรวม Hero
ได้อาศัยภูมิปัญญาแห่งศิลปะญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้
ซึ่งเป็นงานศิลป์ที่มักให้ความสำคัญกับพื้นที่ว่างหรือความว่าง (Space) มากเป็นพิเศษ
ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงออกมาในแบบนิทานเซ็น (Zen) ที่เน้นความเรียบง่ายไม่รกรุงรัง
ไม่เต็มไปด้วยเครื่องทรงเหมือนเช่นภาพยนตร์จีนย้อนยุคเรื่องก่อนๆ
แต่ในความเรียบง่ายนี้เองได้แฝงความลึกซึ้งให้ผู้ชมต้องค้นหาอยู่ตลอดเวลาถึงอลังการแห่งคมความคิดที่ซ่อน
อยู่
มองดูผิวเผินแล้วเหมือนจางอี้โหมวเลียนแบบ แต่แท้จริงเป็นความจงใจของผู้กำกับ
ความจงใจที่จะใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อให้นึกถึงประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของประเทศจีน
( ความเป็นอริกันของสองชาตินี้ในทัศนะของจางอี้โหมวปรากฏชัดจากภาพยนตร์เรื่อง Red Sorghum
ซึ่งกล่าวถึงความดิบเถื่อนของทหารญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกที่ทารุณกรรมชาวจีนอย่างโหดเหี้ยม
อาทิเช่นการถลกหนังหัวชาวบ้านในชนบท เป็นต้น )
หากแต่การสื่อถึงประเทศญี่ปุ่นในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเป็นไปในแง่บวกและมีลักษณะเป็นการคารวะเสียมากกว่า
Hero กล่าวถึงประวัติศาสตร์จีนในช่วงที่เรียกกันว่า รณยุค ( ภาษาอังกฤษเรียก Waring-Statess Period
ส่วนภาษาจีนเรียกว่า ยุคเลียดก๊ก ) การสู้รบระหว่างรัฐทั้งเจ็ดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
และไม่มีทีท่าว่าจะยุติ รัฐฉินซึ่งปกครองโดยท่านอ๋องนามว่าจิ๋นซี
เป็นรัฐที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น
เนื่องจากรัฐฉินคือผู้กำชัยชนะเสมอในสงครามระหว่างรัฐ
อีกทั้งยังมีเจตนารมณ์อันสูงส่งที่จะรวมทุกรัฐทุกแว่นแคว้นใหญ่น้อยเข้าเป็นหนึ่งเดียว
ด้วยหวังว่าจะทำให้ศึกสงครามระหว่างกันที่ยืดเยื้อมายาวนานนี้จบสิ้นลง
เพื่อเข้าสู่ยุคแห่งความสุขสงบและสันติภาพต่อไป
จิ๋นซีผู้นำรัฐฉินเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเหี้ยมโหดอำมหิต
ด้วยเพราะเคยเข่นฆ่าประชาชนในรัฐอื่นอย่างไม่ปราณี
ผู้คนในรัฐต่างๆจึงพากันโกรธแค้นและปรารถนาให้จิ๋นซีผู้นี้ถึงแก่ความตายในเร็ววัน (
เป็นภาพลักษณ์เดียวกันกับที่ผู้ชมรู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ในฐานะของจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมทารุณ ) บรรดานักฆ่า
(Assassins) จากรัฐต่างๆ มีความพยายามอย่างแรงกล้าในการสังหารฉินอ๋องผู้นี้ให้จงได้ แต่ภารกิจ
การสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ต้องพบกับความล้มเหลว
เรื่องราวใน Hero
ได้กล่าวถึงบรรดานักฆ่าเหล่านี้ในแง่มุมที่หลากหลายและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศา
สตร์จีนสืบมาจวบจนปัจจุบัน
Hero ประกอบไปด้วยหกตัวละครหลัก อันได้แก่ ไร้นาม (Nameless) , ฟ้าเวิ้ง (sky) , กระบี่หัก (Broken
Sword) ,หิมะเหิน (Flying Snow), ปานเดือน (Moon) และตัวฉินอ๋อง
ตัวละครเหล่านี้ให้ภาพที่กระจัดกระจายออกไป เพราะล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละคน
รูปแบบความสัมพันธ์ของคนทั้งหกที่ปรากฏอยู่ในมุมมองต่างๆของภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อได้กับยุคแห่งการแตกแยก
นี้ของจีนที่มีความหลากหลายทางความคิด ( บางความสัมพันธ์ก็เป็นไปในทางลบคือ
สู้รบกันเองจนภารกิจล้มเหลว
บางความสัมพันธ์ก็เป็นไปในทางบวกคือเสียสละสมานฉันท์กันจนภารกิจสำเร็จลุล่วง )
จางอี้โหมวเปิดเรื่องมากับการแนะนำตัวละคร ไร้นาม
ให้ผู้ชมได้รู้จักกันก่อนในฐานะของผู้กล้าซึ่งกำราบเหล่านักฆ่าที่ลอบสังหารฉินอ๋องได้สำเร็จ
ไร้นามมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฉินอ๋อง ณ
พระราชวังต้องห้ามหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญชิ้นนี้ นั่นคือสังหารฟ้าเวิ้ง กระบี่หัก และหิมะเหิน
นักฆ่าผู้เลื่องชื่อตามป้ายประกาศจับของทางการได้ ผู้กำกับสร้างฉากนี้ในโทน สีดำ
ในระยะยี่สิบก้าวที่ไร้นามนั่งสนทนากับฉินอ๋องถึงรายละเอียดในภารกิจอยู่นี่เอง
ได้บังเกิดเรื่องเล่าแทรกเข้ามาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของฟ้าเวิ้งที่เกิดขึ้นในบ้านหมากล้อม
ภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในบ้านหมากล้อมนี้ถือว่าสร้างออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
เป็นอันมาก เพราะได้นำเสนอรูปแบบการต่อสู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้โดยใช้กำลังยุทธ
การเล่นหมากล้อมหรือหมากรุกซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ต้องขับเคี่ยวกันด้วยปัญญา
ตลอดไปถึงการต่อสู้ภายในจิตใจตามแนวคิดทางพุทธศาสนาที่ลึกซึ้ง (ประเด็นเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม)
ภาพที่ถ่ายออกมาในฉากนี้สื่อให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วอย่างชัดเจน
เปรียบได้กับสีขาวและสีดำที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน (
แบ่งขั้วเด็ดขาดโดยไม่เหลือที่ว่างให้กับพื้นที่สีเทา
อันเป็นวิธีคิดแบบตะวันออกที่มักสร้างตำนานเทพปกรณัมป์เช่นเรื่องรามายณะ ด้วยการมี
ตัวละครที่แยกฝักฝ่ายคนดี-คนชั่วออกจากกันอย่างชัดเจน ลักษณะแบนราบของมิติตัวละครนี้
ในละครช่องเจ็ดสีก็ยังปรากฏอยู่ )
ในทางเนื้อเรื่องแล้วบทภาพยนตร์จัดให้ไร้นามเป็นฝั่งของคนดีและจัดให้ฟ้าเวิ้งเป็นฝั่งของคนชั่ว
กระดานหมากล้อมจึงเป็นเสมือนภาพจำลองสมรภูมิรบของจอมยุทธทั้งสอง กล่าวคือ พื้นกระเบื้อง
ในบ้านดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นตารางคล้ายกับตารางหมากล้อม ไร้นามและฟ้าเวิ้งเป็นเสมือน
ตัวหมากล้อมสีขาวและสีดำที่เล่นค้างอยู่บนกระดาน ซึ่งทั้งสองฝั่งได้ต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด
(ระหว่างความดีและความชั่ว) นอกจากนั้นผู้กำกับยังใช้ภาพ ขาว-ดำ แทนการต่อสู้ภายในจิตใจของทั้งสองคน
กล่าวคือเป็นการต่อสู้ระหว่างอารมณ์แห่งกิเลส ( สีดำ ) กับเหตุผลที่ถูกต้อง ( สีขาว )
โดยสรุป ฉากนี้นำเสนอรูปแบบการต่อสู้ในลักษณะต่างๆ ระหว่างขาวและดำ
ไล่ระดับไปตั้งแต่ขั้นที่หยาบที่สุด (การใช้กำลังภายนอก) จนถึงขั้นที่ละเอียดลึกซึ้งที่สุด
(การใช้กำลังภายใน)
ไร้นามเปรียบเทียบการต่อสู้กับการบรรเลงดนตรีว่ามีลักษณะที่เหมือนกัน ในระหว่างที่
ทั้งสองกำลังต่อสู้กันภายในจิตใจนั้น ผู้เฒ่าตาบอดก็บรรเลงเพลงพิณประกอบคลอไปด้วยทุกขณะ
ผู้ชมอาจตีความต่ออีกได้ว่า เสียงเพลงที่พลิ้วไหวไพเราะนั้นคือท่วงท่าการต่อสู้ภายในจิตใจที่สง่า
และงดงาม แต่เมื่อยามที่เสียงเพลงนั้นถูกรุกเร้าอารมณ์ให้ดุดันและเคร่งเครียดขึ้นจนสายพิณขาด
การต่อสู้ภายในจิตใจที่ดำเนินอยู่ก็ถึงคราวต้องขาดสะบั้นลงด้วยในเวลาเดียวกัน (
ลุแก่โทสะหรือพ่ายแพ้ต่อความโกรธในจิตใจนั่นเอง )
และกลับคืนสู่การห้ำหั่นโดยใช้กำลังความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงแทน
อธิบายให้เข้าใจง่ายเข้าก็เช่นในเวลาที่เรากำลังโกรธจัดแต่ก็ยังพยายามระงับอารมณ์โกรธนั้นไว้ภายในแต่ผู
้เดียวไม่แสดงออกให้บุคคลอื่นได้รับรู้ หากอารมณ์โกรธถูกเพิ่มระดับให้มากขึ้นจนเกินอดกลั้น (
ภาษาชาวบ้านเรียกว่าฟิวส์ขาด ) แรงแค้นอาฆาตก็พร้อมจะพุ่งพรวดออกมาอย่างรุนแรงเฉกเช่นกัน
ในระยะสิบก้าวที่ขยับใกล้เข้ามาอีกช่วงหนึ่ง
ไร้นามนั่งสนทนากับฉินอ๋องถึงรายละเอียดในการสังหารกระบี่หักและหิมะเหิน
เรื่องเล่าอันร้อนแรงฉูดฉาดในโทน สีแดง ของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้น
กระบี่หักและหิมะเหินแอบปลอมตัวไปอาศัยอยู่ในโรงเรียนประดิษฐ์อักษรแห่งหนึ่งโดยใช้ชื่อปลอมเพื่อเรียกขาน
กัน เนื่องจากกระบี่หักมีความเชี่ยวชาญในการเขียนอักษร ไร้นามจึงเดินทางไปยัง
โรงเรียนประดิษฐ์อักษรดังกล่าวเพื่อให้กระบี่หักเขียนอักษรคำว่า กระบี่ให้กับตน
จุดประสงค์ที่แท้จริงของไร้นามนั้นคือหวังที่จะเปิดขุมความลับในทักษะการใช้อาวุธของกระบี่หักนั่นเอง
กระบี่หักเขียนอักษรคำนี้โดยใช้หมึกสีแดงอันสื่อได้ถึงเลือดที่ต้องหลั่งไหลเมื่อสิ่งที่เรียกว่ากระบี่นี
้ปรากฏขึ้น ไร้นามเปรียบการใช้อาวุธกับการเขียนอักษรว่าเป็นสิ่งที่มาจากรากฐานเดียวกัน
อันสะท้อนถึงแนวคิดทางปรัชญาที่ว่า อาวุธที่ทรงอนุภาพที่สุดของมนุษย์คือปัญญา
ในเวลาเดียวกันนั้น
กองกำลังเกาทัณฑ์ของฉินอ๋องได้ยกทัพมาประจันหน้าโรงเรียนประดิษฐ์อักษรในรัฐจ้าวนี้ด้วย
ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการศึก กองกำลังเกาทัณฑ์นี้จึงเข้มแข็งพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา
ศัตรูในศึกครั้งนี้ของฉินอ๋องเป็นเหล่าบัณฑิตและอาจารย์ในโรงเรียน ซึ่งบทภาพยนตร์
ถือว่าเดินตามเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี เนื่องจากในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ๋องเต้
จักรพรรดิพระองค์นี้ดำรินโยบายในการทำลายภูมิปัญญาเก่าแก่ของชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นตำรา
อันทรงคุณค่าของขงจื๊อหรือตำราเรียนของสำนักคิดใดๆ เพื่อไม่ให้ความคิดก้าวหน้าได้บังเกิดขึ้น
กับประชาชน
ซึ่งความคิดก้าวหน้าที่แตกต่างหลากหลายนี่เองจะนำมาซึ่งการปฏิวัติอันเป็นเสมือนอุปสรรคของการปกครองในระบ
อบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราช
เนื้อหาในส่วนนี้ของภาพยนตร์ยังสะท้อนไปถึงยุคของจีนในสมัยของท่านผู้นำเหมาเจ๋อตุงอีกด้วย
ผู้นำประเทศที่มีความพยายามในการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยทำลายล้างวัฒนธรรมเดิมในยุคเก่าที่แสดงถึงความมีอยู่ข
องระบบศักดินาและระบบกษัตริย์ และกลับให้การยกย่องชนชั้นกรรมาชีพหรือชาวนา
ว่าเป็นผู้ที่มีเกียรติอย่างแท้จริงในสังคมตามแนวความคิดของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
และจากนโยบายนี้เองที่ทำร้ายระบบการศึกษาในยุคนั้นของประเทศจีนอย่างรุนแรง
การสู้ศึกครั้งนี้ของโรงเรียนประดิษฐ์อักษรซึ่งปราดเปรื่องในเชิงบุ๋นนั้นไม่อาจต่อกรหรือเทียบชั้นได้เลย
กับกองทัพที่เชี่ยวชาญในเชิงบู๊ของฉินอ๋อง นักเรียนในโรงเรียนดังกล่าวจึงล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
แต่ถึงกระนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าแห่งสำนักนี้ก็ได้แสดงให้ลูกศิษย์ให้ประจักษ์ถึงแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณ
ของตัวอักษร ( อักษรเป็นสัญลักษณ์แทนภูมิปัญญาหรือความรู้ ) ว่าแม้เกาทัณฑ์ของฉินอ๋องนั้น
จะดุดันหรือร้ายกาจเพียงใด แม้จะทำลายล้างได้แทบทุกสิ่งทั้งบ้านเมืองและโคตรก๊กต่างๆในแผ่นดิน
แต่อาวุธเหล่านั้นก็ไม่อาจกลืนภูมิปัญญาอันเป็นเสมือนจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี้ลงได้
เพราะภูมิปัญญาคือสัจธรรมความจริง (The Truth) ที่เป็นอมตะ ( Immortal )
ไม่อาจถูกทำลายหรือลบทิ้งได้ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ
อาจารย์ผู้เฒ่านั่งเขียนตัวอักษรโดยหันหน้าเข้าหาลูกเกาทัณฑ์ที่แหลมคมซึ่งโหมกระหน่ำลงมาเหมือนห่าฝน
ภาวะจิตที่แน่วนิ่งไม่สั่นคลอนนี้แสดงถึงสัจจะที่ยิ่งใหญ่ว่าภูมิปัญญาแห่งวัฒนธรรมไม่อาจถูกทำลายลงไปได้
(ผู้กำกับสื่อความคิดนี้ด้วยการให้ลูกเกาทัณฑ์ยิงไปไม่ถูกตัวอาจารย์)
นอกจากความต้องการในอักษรประดิษฐ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
ไร้นามยังนำข่าวการตายของฟ้าเวิ้งมาบอกแก่หิมะเหินเพื่อสร้างความแตกแยกให้กับกระบี่หัก
เนื่องจากหิมะเหินกับกระบี่หักเป็นคู่รักกัน ข่าวการตายของฟ้าเวิ้งซึ่งเป็นอดีตคนรักของหิมะเหิน
ทำให้ความรักของทั้งสองที่เริ่มระหองระแหงอยู่แล้วต้องถึงคราวแตกหักลงอย่างยับเยิน
ผู้กำกับใช้วิธีในการจับอารมณ์ตัวละครในฉากนี้
ด้วยการถ่ายภาพที่เอนกล้องไปมาเพื่อสื่อให้เห็นถึงความไม่มั่นคง ความเคลือบแคลงสงสัย
และความโอนเอนแห่งภาวะจิต
แรงหึงหวงและอารมณ์ประชดประชันหิมะเหินของกระบี่หัก ถูกปลดปล่อยออกมาโดยมี
ปานเดือนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กระบี่หักระบายอารมณ์ฟุ้งซ่านสันสนของตนออกมากับปานเดือน
ในรูปของสัมพันธ์สวาทชั่วข้ามคืน โดยตัวหิมะเหินเองก็ล่วงรู้ถึงการกระทำนี้อยู่เต็มอก
สีแดงฉานของผืนแพรที่รองร่างชู้รักยามสมสู่กัน ส่งกลิ่นความรัญจวนแห่งอารมณ์เพศออกมาอย่างชัดเจน
เป็นการปลดปล่อยกายให้ไหลล่วงดำดิ่งลงสู่กระแสแห่งอารมณ์ ไร้ซึ่งเหตุผลและ
ไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของผู้ใด
จากน้ำตาของความเสียใจกลายสภาพเป็นความเคียดแค้นเดือดดาล หิมะเหินฆ่ากระบี่หักตาย
ความรู้สึกผิดที่พลาดพลั้งทำไปโดยขาดสตินี้ทำให้หิมะเหินต้องตกอยู่ในภาวะสับสนฟุ้งซ่านเสมือนกำลังหลงทาง
อยู่ในเขาวงกต ความตายของกระบี่หักนำไปสู่ฉากการต่อสู้ระหว่างหิมะเหินกับปานเดือน
ผู้กำกับสร้างฉากต่อสู้นี้ได้งดงามจับใจเสมือนหนึ่งจิตรกรตวัดปลายพู่กันจีนเขียนงานศิลป์ที่พริ้วไหวแผ่ว
เบาแต่ก็แฝงไว้ซึ่งความหนักแน่นดุดัน
ฉากต่อสู้ในทัศนียภาพของหมู่แมกไม้ใบเหลืองที่กระพือพัดตามแรงพายุ
ปรากฏสีเหลืองจัดของใบไม้รวมเข้ากับชุดสีแดงของทั้งสองคน
ให้ภาพที่ร้อนแรงตามโทนที่ผู้กำกับต้องการและในฉากนี้ยังสื่อนัยยะทางความคิดได้อย่างคมคาย
ในการต่อสู้ของสตรีที่มีอารมณ์ร้อนแรงและจัดจ้านทั้งสอง หิมะเหินมีวรยุทธสูงส่งกว่า
ปานเดือนอย่างเทียบกันไม่ได้ ผู้กำกับให้ภาพหิมะเหินในฉากนี้เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ที่ทรงอำนาจ
(โดยย้อมสีชุดที่สวมอยู่ให้เป็นสีแดงเข้มและแต่งหน้าทาปากด้วยสีแดงฉูดฉาด ) ในขณะที่ให้ภาพ
ปานเดือนเป็นเสมือนดวงจันทร์ที่ซีดจาง (ชุดที่สวมเป็นสีแดงซีดและปานเดือนในฉากนี้ไม่ได้แต่งหน้า )
การถ่ายภาพในฉากนี้ใช้วิธีการถ่ายย้อนแสงหรือโดยการเอากล้องไปสู้กับแสงอาทิตย์ตรงๆ จนมองดูแสบตา
( เทคนิคนี้เคยใช้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Red Sorghum โดยให้แสงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์แทนประเทศญี่ปุ่น
และการต่อสู้จนตัวตายของประชาชนชาวจีนเป็นเสมือนปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่พยายามบดบังแสงที่ทรงอานุภาพนั
้น )
การถ่ายภาพด้วยวิธีนี้สื่อถึงข้อความคิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในเรื่องของดวงจันทร์ที่ย่อมต้องพ่ายแพ้ต่อ
แสงแห่งดวงอาทิตย์อยู่วันยังค่ำ
การจัดแบ่งสีเข้มและสีอ่อนสื่อถึงการต่อสู้ในทางกำลังกายภาพที่ปานเดือนไม่มีทางชนะ
หิมะเหินได้ซึ่งในท้ายที่สุดปานเดือนก็ต้องปราชัยจบชีวิตลง หากแต่เป็นการตายที่แสนฉลาด
เพราะว่าก่อนที่ปานเดือนจะสิ้นใจเธอได้ปล่อยอาวุธเด็ดออกมาเป็นคำพูดที่เชือดเฉือนเฉียบคมว่า
การที่หิมะเหินฆ่ากระบี่หักนั้นเป็น การกระทำที่โง่เง่า
จากที่หิมะเหินเคยเป็นต่ออยู่ในทุกกระบวนยุทธ แต่กับคำพูดเพียงหนึ่งวลีนี้กลับเสียดแทง
ได้อย่างตรงเป้าและสร้างความเจ็บปวดได้ยิ่งกว่าคมกระบี่วงจันทร์ของปานเดือนหลายเท่านัก
หัวใจของหิมะเหินพ่ายแพ้ต่อคำพูดนี้อย่างสิ้นท่า
ในขณะนี้เองที่ฉากสีเหลืองของมวลไม้ซึ่งปลิวว่อนตามแรงลม ( และตามแรงของอารมณ์ )
ได้กลายสภาพเป็นสีแดงเลือดที่แปดเปื้อนไปไม่รู้จบ
การต่อสู้ระหว่างไร้นามและหิมะเหินในวันต่อมา จบลงอย่างรวดเร็วโดยหิมะเหินเป็นผู้พ่ายแพ้
เรื่องเล่าของไร้นามเกี่ยวกับกระบี่หักและหิมะเหินได้จบลง แต่การชิงไหวชิงพริบระหว่าง
องค์ฉินอ๋องและไร้นามยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ฉินอ๋องสรุปว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นความเท็จซึ่ง
ตัวไร้นามอุปโลกป์โป้ปดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ตัวเองคิดว่าเป็นความจริง
ผู้กำกับถ่ายทอดเรื่องเล่าของฉินอ๋องออกมาด้วยโทน สีฟ้า
เรื่องราวเริ่มขึ้นในห้องสมุดที่ไร้นามกำลังสำแดงความเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ของตนต่อหน้ากระบี่หักและหิ
มะเหิน หลังจากที่ฟ้าเวิ้งได้ยอมสละชีวิตตนเพื่อภารกิจนี้ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ไร้นามทดสอบขีดความสามารถในการใช้กระบี่ของตนในระยะสิบก้าวเพื่อให้นักฆ่าที่เหลืออีกสองคนยอม
ปลงใจสละชีวิตเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วย
การใช้กระบี่ของไร้นามเป็นไปอย่างเฉียบขาดและว่องไว วัดเวลาในการทดสอบด้วยการโยนถ้วยน้ำขึ้นไปในอากาศ
แล้วทะยานไปตัดเชือกในมัดหนังสือไม้ไผ่ที่กองเรียงอยู่รอบๆห้องสมุดได้อย่างครบถ้วนก่อนที่ถ้วยน้ำจะหล่นถ
ึงพื้น การทดสอบดังกล่าวประสบความสำเร็จ
กระบี่หักและหิมะเหินไว้วางใจไร้นามจนยอมเข้าร่วมในภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วย
การทดสอบกระบี่ของไร้นามด้วยการตัดเชือกที่มัดม้วนหนังสือนี้ คล้ายกำลังกระซิบบอก
สารอะไรบางอย่างแก่นักฆ่าทั้งสองด้วย ว่าหากเหล่านักฆ่าผู้เยี่ยมยุทธทั้งสี่ไม่ร่วมกันผนึกกำลัง
เป็นหนึ่งเดียวในการสังหารฉินอ๋องแล้ว ความล้มเหลวของภารกิจย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
( เชือกที่ถูกตัดในมัดหนังสือนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความสามัคคี )
ชีวิตของประชาชนในรัฐต่างๆก็ยังต้องล้มตายลงไปอีกเหมือนกองหนังสือที่ล้มระเนระนาดอยู่ตรงหน้า
ตามหมายจับของทางการระบุต้องการตัวแค่กระบี่หักหรือหิมะเหินเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
ทั้งสองไม่อาจตกลงกันได้ว่าใครจะต้องเสียสละในการถูกสังหารต่อหน้าเหล่าทหารเพื่อให้ไร้นามได้รับโอกาสในก
ารเข้าเฝ้าฉินอ๋องอย่างใกล้ชิดในระยะสิบก้าว
ทางออกสุดท้ายจึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนยอมเข้าร่วมในภารกิจแห่งชีวิตนี้ด้วยกัน
แม้ว่ากระบี่หักและหิมะเหินจะมีความรักต่อกันอย่างมั่นคง
ความรักที่เป็นดั่งสายใยซึ่งผูกพันแนบแน่นจนไม่อาจที่จะพรากออกจากกันได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ
แต่ด้วยอานุภาพของความรักอันยิ่งใหญ่นี้เอง
หิมะเหินจึงไม่อาจยอมให้กระบี่หักต้องมาตายร่วมไปกับตนด้วยแม้ว่าทั้งสองจะเคยกำหนดหัวใจให้กับภารกิจการส
ังหารฉินอ๋องนี้มาอย่างแน่วแน่แล้วก็ตามที
ระหว่างเดินทางในเช้าที่ต้องเริ่มภารกิจ
หิมะเหินใช้อาวุธของตนแทงกระบี่หักจนได้รับบาดเจ็บเพื่อกระบี่หักจะได้ไม่ต้องเข้าร่วมในภารกิจนี้
การตัดใจแทงคนรักของหิมะเหิน ถือได้ว่าเป็นการแทงที่ ตัวหิมะเหินเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
หิมะเหินมอบบาดแผลแห่งการเสียสละนี้ให้กับกระบี่หักพร้อมๆกับมอบชีวิตของตนให้กับภารกิจนี้อย่างเต็มใจ
ไร้นามลำบากใจเป็นอย่างมากที่ต้องมาฆ่าเพื่อนด้วยกันเอง แต่ด้วยความยืนยันของหิมะเหิน
ที่ให้คำนึงถึงภารกิจเป็นหลัก ไร้นามจึงจำต้องฆ่าอีกครั้งเหมือนเช่นที่เคยทำกับฟ้าเวิ้งมาก่อน
( ฉากนี้คืออีกรูปแบบหนึ่งของการต่อสู้ภายในจิตใจของไร้นาม )
การเสียสละของหิมะเหินเป็นเรื่องที่ทรงเกียรติ ดังนั้น
ก่อนที่ไร้นามจะเดินทางไปยังพระราชวังตามแผนที่วางไว้
ไร้นามและกระบี่หักได้ทำการต่อสู้กันในจิตใจเพื่อเป็นเกียรติแก่การตายของหิมะเหิน
ภาพการต่อสู้นี้บรรจงสร้างขึ้นอย่างวิจิตรประณีต ณ ศาลากลางน้ำในทะเลสาบอันเลื่องชื่อของจีน
ซึ่งมีทิวทัศน์อันงดงามประหนึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความจงใจของธรรมชาติเช่นกัน
ผืนน้ำที่ปราศจากการพัดผ่านของสายลมเป็นเสมือนแผ่นกระจกที่เรียบนิ่ง
การต่อสู้ในจิตใจของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น
หากแต่ความเย็นเยียบในจิตใจของกระบี่หักจากการสูญเสียหญิงคนรัก
ทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเต็มที่ ละอองน้ำที่กระเซ็นไปตกลงบนใบหน้าของหิมะเหิน
ชักนำให้กระบี่หักหันหลังให้กับการต่อสู้ดังกล่าว แล้วทะยานไปซับหยดน้ำที่เป็นดั่งน้ำตาแห่ง
ความเศร้าโศกนั้นแทน (
การต่อสู้ภายในจิตใจของฉากนี้เป็นเสมือนการต่อกรกับความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่แสนยะเยือกเย็น
เป็นอารมณ์ที่เกาะกินจิตวิญญาณจนไม่เหลือกำลังใจในชีวิต
และหากอารมณ์ที่เศร้าโศกนั้นมีชัยเหนือเหตุผลแล้ว ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป )
การต่อสู้ในจิตใจนี้ต้องยุติลงเพราะกระบี่หักถอนตัวออกกลางคัน
ผู้กำกับถ่ายภาพในฉากนี้เพื่อสื่อถึงความหนาวเย็นของธาตุน้ำ โดยนำกล้องไปถ่ายใต้ผืนน้ำจริงๆ
(ปกติในภาพยนตร์เรื่องอื่นหากใช้กล้องถ่ายใต้น้ำก็จะพยายามจับภาพใต้น้ำนั้นเป็นหลัก แต่ในภาพยนตร์เรื่อง
Hero นี้กลับแหงนหน้ากล้องมาจับภาพการต่อสู้ซึ่งดำเนินอยู่บนอากาศแทน
เป็นเทคนิคที่เดินตามวิธีการถ่ายย้อนแสงในฉากสีแดงแต่ในฉากสีฟ้านี้เป็นการถ่ายโดยมองผ่านน้ำ )
วันต่อมาในระหว่างที่ไร้นามเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ณ พระราชวังต้องห้าม
ปานเดือนนำอาวุธของกระบี่หักมามอบให้ไร้นามและนำข่าวการฆ่าตัวตายของเขามาบอกด้วย
หิมะเหินและกระบี่หักไม่อาจแยกจิตวิญญาณออกจากกันและกันได้ อันเป็นเสมือนสายน้ำ
ที่ไม่ว่าจะพยายามตัดให้ขาดด้วยอาวุธใดก็ไม่อาจที่จะแยกมันออกจากกันได้สำเร็จ
ความรักของนักฆ่าทั้งสองนี้ก็เช่นกัน
บทบาทของปานเดือนในฉากนี้ทำหน้าที่สะท้อนรัศมีแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของกระบี่หักและหิมะเหินให้ผู้ชมได้
ประจักษ์ ว่ารักแท้อันบริสุทธิ์จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป
แม้ว่าชีวิตกายเนื้อของทั้งสองคนนั้นจะลาลับไปแล้วก็ตามที
ฉินอ๋องจบเรื่องเล่าของตนด้วยการยกย่องคารวะความเสียสละของนักฆ่าทั้งสาม
แต่ความจริงในภารกิจนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างสิ้นเชิง
ไร้นามได้ทำหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่ปราศจาก การปรุงแต่งหรือคาดเดาใดๆ ต่ออีกเรื่องหนึ่ง
ผู้กำกับให้ภาพในเรื่องเล่าของไร้นามครั้งนี้เป็นโทน สีขาว