Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
11 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
ความรู้เพื่อสุขภาพ

เทคนิค 5 เคล็ด ลับ ขจัดเครียดเพื่อป้องกัน โรค
ช่วงนี้ใครมีปัญหาให้ขบคิดจนเกิดอาการเครียดๆ ไม่ต้องกังกล เพราะเรานำ บทความ เกร็ดความรู้ สุขภาพ เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดมาฝากกันค่ะ เอาเป็นว่าไปอ่าน บทความ เกร็ดความรู้ สุขภาพ เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดเพื่อป้องกัน โรค กันนะคะ
ฝึกหายใจ: นั่งลงและเอนหลังกับพนักเก้าอี้ในท่าสบาย สูดหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ วิธีนี้จะสามารถขจัดความเครียดออกไปได้
นวดฝ่าเท้า : ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนฝ่าเท้า แล้วนวดคลึงเบาๆ เพื่อคลายเส้นที่ปวดตึง โดยไล่จากส้นเท้าไปจนถึงปุ่มโคนหัวแม่เท้า แล้วจึงค่อยนวดวนออกไปด้านนอกฝ่าเท้า
น้ำช่วยได้ : แค่น้ำเปล่าเย็นๆ หรือน้ำส้มคั้นสดๆ จากตู้เย็นเพียงหนึ่งแก้ว ก็สามารถทำให้รู้สึกผ่อนคลายในยามเครียดได้อย่างประหลาด
กลิ่นหอมขจัดเครียด:น้ำมันหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่นที่เรารู้จักคุ้นหูกันดีในนามของ Aromatherapy สามารถช่วยคลายเครียดได้ เพียงเทน้ำมันหอมลงบนฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆ บริเวณขมับ ก็จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง
ขจัดความเมื่อยขบให้ลำตัว :เมื่อ ความเครียดรุมเร้าจะปวดไหล่ หลังและคอ ลองเปลี่ยนอิริยาบทง่ายๆ โดยขยับตัวออกมานั่งตรงส่วนปลายของเก้าอี้ วางเท้าลงที่พื้นในท่าสบาย
จาก นั้นวางมือขวาที่ต้นขาซ้าย แล้วเอื้อมมือซ้ายไปจับที่พนักเก้าอี้เหนือไหล่ขวา บิดตัวไปทางซ้ายช้าๆ จนสุด พร้อมเป่าลมออกจากแก้ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหมุนตัวกลับไปในท่าตรง แล้วค่อยๆ ปล่อยลมออกทางปาก จนกลับมาอยู่ในท่าตรง สลับทำแบบเดียวกันด้านขวาและทำหลายๆ รอบ

อาบน้ำให้หมดจด ห่างไกลโรคภัย
เชื้อโรคที่ติดต่อกันทางสัมผัส ถือเป็นภัยเงียบที่คุกคามพวกเราโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นโรคตาแดง, โรคท้องร่วง หรือแม้แต่โรคยอดฮิตติดกันง่ายอย่าง "ไข้หวัด" ทางที่ดีถ้าอยากห่างไกลจากโรคภัย ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้สะอาดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
"นพ.กฤษดา ศิรามพุช"แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ส่งสัญญาณเตือนว่า เชื้อโรครอบ ๆ ตัวเราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และล่องลอยมากับอนุภาคอื่น ๆ ในอากาศรอบตัวเรา เข้าสู่ร่างกายทางโพรงปาก, โพรงจมูก และเกาะเกี่ยวตามร่างกายเราได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ ถือเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคที่น่ากลัวที่สุด แค่มีบาดแผลเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง แล้วไปใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกับคนที่เป็นหวัด ก็อาจติดเชื้อหวัดได้ชนิดไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ดี แม้เราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงเชื้อโรคได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คุณหมอยืนยันว่าสามารถป้องกันได้ โดยหลีกเลี่ยงการสะสมของแบคทีเรียที่จะก่อให้เกิดเชื้อโรคต่าง ๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ การดูแลร่างกายให้สะอาดหมดจด ด้วยการอาบน้ำอย่างถูกวิธี
หลักข้อแรก คือ ควรเริ่มอาบน้ำจากบริเวณปลายมือ หรือปลายเท้า เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกาย ก่อนจะราดน้ำอาบทั้งตัว
หลักข้อที่สอง ได้แก่การเช็กอุณหภูมิของน้ำให้พอดีกับอุณหภูมิในร่างกาย เช่น ถ้าเพิ่งออกกำลังกายมาใหม่ ๆ อย่าเพิ่งแช่น้ำเย็นจัดในทันที ธรรมชาติของร่างกายจะค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิลงสู่ระดับที่เหมาะสม
หลักข้อที่สาม ควรอาบน้ำให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น ถ้าเป็นคนผิวแห้ง มีผื่นคันขึ้นง่าย ไม่ควรอาบน้ำอุ่น หรือร้อนจัด เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง
และสุดท้ายคือการเลือกใช้สบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าเป็นนักกีฬา หรือทำงานหนัก มีเหงื่อหมักหมมมาทั้งวัน การใช้สบู่ลดการสะสมของแบคทีเรีย จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ รวมทั้งลดการเกิดกลิ่นในบริเวณอับเหงื่อ
คุณหมอยังแนะนำ เทคนิคการตรวจหาสัญญาณอันตรายของผิวด้วยตนเองแบบง่าย ๆ ว่าควรสังเกตรอยปื้นและผื่นแดง รวมถึงแผลอักเสบบนผิว ถ้าเริ่มมีลักษณะแดง, แสบคัน, เจ็บ หรือเป็นหนองเรื้อรัง แสดงว่ากำลังติดเชื้อบางชนิด อีกวิธีคือ สังเกตรอยจุดด่างดำบนผิว ถ้าทำท่าว่าจะขยายตัวเร็วผิดปกติ หรือมีรอยขรุขระผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์ ก่อนสายเกินแก้!!

“4 อย่า” เมื่อคุณจะนอน•
อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย
• อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์ เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือ เครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง
• อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ
• อย่าที่ 4 (สำหรับ สาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า
นอนชดเชยไม่ส่งผลดี
ความเชื่อว่า สามารถนอนเต็มที่ 1 คืนเพื่อชดเชยการอดนอนในคืนก่อนหน้า ไม่เป็นความจริง
คณะนักวิจัยสหรัฐ นำโดย ดร.แดเนียล โคเฮน จากโรงพยาบาลบริกแกม กล่าวว่า การนอนไม่พอหลายคืนจะทำให้ประสิทธิภาพร่างกายแย่ลงในช่วงที่ตื่นอยู่ โดยเฉลี่ยคนเราควรนอนคืนละ 8 ชั่วโมง หากไม่ได้นอนหลังจากตื่นมาแล้ว 24 ชั่วโมง ถือว่านอนไม่พอฉับพลัน แต่หากนอนเพียงคืนละ 4-7 ชั่วโมง ติดต่อกันหลายคืนถือว่านอนไม่พอเรื้อรัง
ข้อสรุปนี้ได้จากการทดลอง ให้อาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง 9 คนอยู่ในโรงพยาบาล 38 วัน กำหนดให้มีวงจรนอนหลับผิดไปจากปกติ ทั้งอดนอนฉับพลัน อดนอนเรื้อรัง และเปลี่ยนช่วงเวลานอน จากนั้นทดสอบความตื่นตัวและความระมัดระวังทุก ๆ 4 ชั่วโมงพบว่า อาสาสมัครที่อดนอนเรื้อรัง ประสิทธิภาพของร่างกายแย่ลงในแต่ละชั่วโมงที่ตื่นอยู่ และเมื่อให้นอนตามปกติ 3 วันก็ไม่สามารถชดเชยผลที่เกิดจากการอดนอนเรื้อรัง และผลการศึกษายังไม่ทราบแน่ชัดว่า ต้องนอนชดเชยกี่วันหรือกี่สัปดาห์จึงจะเพียงพอ
"คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่านอนไม่พอเรื้อรัง หลายคนคิดว่าการได้นอนชดเชยหนึ่งคืนก็พอ เพราะรู้สึกดีขึ้น แต่หลังจากนั้นก็นอนไม่พอต่อไป ซึ่งจะทำให้หลับใน ขาดความระมัดระวัง เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ" นักวิจัยเตือน

ใบหน้า หน้าต่างสุขภาพ
คุณอาจคิดว่าผิวซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หรือนัยน์ตาแดงก่ำที่ปรากฏในวันรุ่งขึ้น อันเนื่องจากการนอนดึกหรือดื่มเหล้าอย่างหนัก เป็นแค่ตัวบ่งชี้ว่าคุณกำลังไม่สบาย อันที่จริงภาวะความผิดปกติต่าง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าล้วนสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของคุณในเวลานั้น ๆ ได้
หลากหลายวิธีการรักษาโรคไล่ตั้งแต่ธรรมชาติบำบัด ซึ่งเป็นการรักษาโรคโดยใช้หลักโภชนาการ การออกกำลังกาย สมุนไพร ไปจนถึงการแพทย์แผนจีน การอ่านโรคจากม่านตา หรือการรักษาตามหลักอายุรเวช จะใช้สัญญาณบนใบหน้าในการวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ "การวินิจฉัยใบหน้าเป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่ชี้ชัดต้นตอของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว" แจน เดอ รีส์ นักธรรมชาติบำบัดกล่าว ลองใช้เทคนิคที่แนะนำต่อไปนี้ดูสิ
ผิวเป็นผื่นแดง
"ถ้าผิวเกิดการระคายเคือง คัน เป็นผื่นแดง แตกเป็นขุยคล้ายโรคผิวหนังอักเสบ แสดงว่าร่างกายขับสารพิษที่ละลายน้ำได้ออกมา" ดร.โมซาราฟ อาลี นักบำบัดด้านอายุรเวชและการแพทย์ผสมผสานกล่าว "โดยเฉพาะสีผิวรอบจมูกที่เปลี่ยนไป หมายถึงคุณมียีสต์ในร่างกาย หรืออาจเกิดจากการดื่มเหล้าจัดเกินไป"
ทางแก้
เพลา ๆ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ดร.อาลีแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มียีสต์ (พบในเบียร์ ขนมปัง และซีอิ๊ว) และอาหารที่มีน้ำตาล ลดอาหารจำพวกไขมันอิ่มตัว ผลไม้รสเปรี้ยว และกาแฟ ควรทำดีท็อกซ์สัปดาห์ละครั้ง โดยการดื่มน้ำ ทานซุปผักและผลไม้เท่านั้น
สิวจุดด่างดำ
"สิวจุดด่างดำที่ปรากฏขึ้นบริเวณใดบริเวณหนึ่งบนใบหน้า บ่งบอกถึงความผิดปกติในร่างกาย" แจน เดอ รีส์ บอก "สิวที่คางเชื่อมโยงกับปัญหาระดู สิวที่หน้าผากชี้ให้เห็นถึงปัญหาของระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องผูก สิวที่แก้มชี้ว่าไตทำงานหนักเกินไป"
ทางแก้
ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายขจัดสารพิษออกไป และระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น นอนพักผ่อนมาก ๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลของร่างกาย
คิ้วบาง
คิ้วของคุณบางลงเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ถอน แจน เดอ รีส์ กล่าวว่า "คิ้วที่บางลงชี้ว่าคุณทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป นี่อาจเป็นสาเหตุให้คิ้วหลุดร่วงไปในที่สุด และยังชี้ด้วยว่าระบบภูมิต้านทานของคุณอ่อนแอ"
ทางแก้
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล งดบุหรี่ เนื่องจากทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงอย่างรุนแรง ทานผักผลไม้ที่มีสีสันหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีคุณค่า เช่น วิตามินซีพบในกีวี เบต้าแคโรทีนพบในแครอทงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ด้วยการรับประทานแบคทีเรียแลกโตบาซิลลัสและอะซิโดฟิลัส ซึ่งพบในรูปของอาหารเสริมและไบโอโยเกิร์ต (bioyogurt) ซึ่งเป็นโยเกิร์ตชนิดที่มีแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่
ตาแดงก่ำ
"เกิดจากเส้นเลือดอุดตัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากเลือดไหลเวียนไม่ดี" แซม ไรท์ นักธรรมชาติบำบัด (naturopath) และผู้เชี่ยวชาญการอ่านโรคจากม่านตา (iridologist) กล่าว
ทางแก้
ทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดจากสมุนไพรฮอร์สเชสนัท (horsechestnut) จะช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด (ให้ผลดีโดยเฉพาะโรคเส้นเลือดขอด) แซมแนะให้ทานชาฮอว์ธอร์น (hawthorn tea-hawthorn เป็นไม้พุ่มเล็ก ๆ มีหนาม) เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของหัวใจ
มีถุงใต้ตา
"ถุงป่องห้อยย้อยอยู่ที่ขอบตาล่าง ชี้ว่ามีของเหลวคั่งค้างบริเวณเนื้อเยื่อใต้ตา เนื่องจากไตและต่อมอะดรีนัลทำงานหนักเกินไป" แซม ไรท์ กล่าว
ทางแก้
อย่าบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป เพื่อให้โลหิตไหลเวียนไปที่ไตได้ดีขึ้น แซม ไรท์แนะนำให้ใช้แปรงขัดผิวก่อนอาบน้ำและดื่มน้ำมาก ๆ "ชาไฮเดรนเยียช่วยลดกรดส่วนเกินและขับนิ่วในไต"
ตาคล้ำ
รอยคล้ำใต้ตาชี้ว่าตับทำงานไม่ปกติ "นักธรรมชาติบำบัดเรียกวงคล้ำใต้ตาว่า อาการเลือดไม่เดิน สาเหตุอาจเกิดจากการรับประทานผลไม้ น้ำตาล และเนื้อสัตว์มากเกินไป" แจน เดอ รีส์สรุป
ทางแก้
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขนมหวานเช่น พุดดิ้งที่มีไขมันสูง คือข่าวร้ายของคนที่ตับทำงานหนัก อาหารเสริมจำพวกมิลค์ธีสเทิ่ล (milk thistle) และชาแดนดิไลอัน (dandelion tea) และอาหารเสริมจำพวกอาร์ติโชกช่วยล้างพิษตับ "ทานอาหารที่มีรสขมเช่น ผักวอเตอร์เครส ชิโครี (chicory) และโรสแมรี ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ" มาร์ก แอตคินสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของ Health Plus กล่าว
สิวที่เปลือกตา
"สิวที่ด้านในเปลือกตาแสดงว่ามีโปรตีนส่วนเกิน" แจน เดอ รีส์ กล่าว โปรตีนส่วนเกินจะไปขับแคลเซียมออกจากกระดูก ทำให้ขาดแคลเซียม จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน
ทางแก้
"ง่าย ๆ แค่ลดอาหารจำพวกเนื้อแดง" ดร.มาริลีน เกลนวิลล์ ผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus กล่าว ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงอาหารที่มีโปรตีนน้อย (เช่น ปลา นมไขมันต่ำ ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ เมล็ดพืชและถั่วเหลือง) ทานคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานและผักผลไม้มาก ๆ
ลิ้นอักเสบ
"อาการดังกล่าวชี้ว่าจิตใจหรือร่างกายเกิดความเครียด" รูธ เดลแมน ผู้ก่อตั้งสถาบันสุขภาพ "ชี่" (Chi Health Centres) บอก "หากลิ้นของคุณมีขนงอกยาวเกิน สีของขนลิ้นมีสีเทา ลิ้นแดงเนื่องจากระคายเคือง นั่นชี้ว่ามีกรดเกินในกระเพาะ" ดร.โมซาราฟ อาลีกล่าว
ทางแก้
"การฝังเข็มช่วยเปิดจุดบนเมอริเดียน (meridians) ที่ถูกปิดกั้น ซึ่งเป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว" เดลแมนกล่าว "ทานชะเอมเทศในรูปของแคปซูล, ยาเม็ด และแท่งรากชะเอมเทศ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคและโลหิตไหลเวียนดี ซึ่งประสิทธิภาพในการทำงานลดลงเมื่อเกิดอาการเครียด" ทานเห็ดชิดาเกะในรูปของอาหารเสริมและนำมาผัดเป็นอาหาร ทานผักใบเขียว ถั่วจำพวก pulses ที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำเช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และเมล็ดธัญพืช เพื่อทำให้ความเป็นกรดน้อยลง "ทานอาหารช้า ๆ หลีกเลี่ยงผลไม้รสเปรี้ยว ของทอดและอาหารที่มีรสเผ็ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง" ดร.อาลีกล่าว
ปลายจมูกแดง
"ถ้าปลายจมูกแดงก่ำไม่ได้เกิดจากเป็นหวัดน้ำมูกไหล นั่นชี้ว่าคุณอาจเป็นโรคความดันโลหิตสูง และเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังโรคหัวใจ" แจน เดอ รีส์บอก "จมูกช่วยเซฟชีวิตคุณได้ เพราะสะท้อนให้เห็นปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน"
ทางแก้
งดเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ขนมหวานที่มีไขมันสูง หลีกเลี่ยงของขบเคี้ยวรสเค็ม เลิกบุหรี่ระงับความเครียดด้วยการเล่นโยคะ พิลาเทส หรือนั่งสมาธิ รวมถึงออกกำลังกายเบา ๆ ทุกวัน เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น อย่าลืม ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม

อาหารเสริม กินมั่ว ถึงมะเร็ง !
อาหารเสริม ทาน อาหารเสริม โดยไม่จำเป็นอาจเป็น มะเร็ง
แพทย์ออกมาเตือนกินอาหารเสริมโดยไม่จำเป็น อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายถึงขั้นเป็นมะเร็ง เผยวิตามินบางชนิดทำงานเป็นทีม ไม่สามารถแยกกินอย่างใดอย่างหนึ่งได้
น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เปิดเผยว่า คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องอาหารเสริม ว่า มีความจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่ ส่วนใหญ่มีราคาแพง หากร่างกายไม่อยู่ในสภาวะที่ต้องการวิตามินเข้าเสริมทดแทน การซื้อรับประทานอาจไม่มีประโยชน์ ทั้งอาจเกิดโทษต่อร่างกายได้ ซึ่งผู้ต้องการอาหารเสริม คือ คนป่วยที่ไม่สามารถรับอาหารตามปกติ หรือคนแก่ที่ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้มาก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอาหารเสริมชนิดใดหรือยี่ห้อใด สามารถทดแทนสารอาหารที่ได้รับจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อได้ อาทิเช่น วิตามินเอ ที่มีสารเบต้าแคโรทีนมีสรรพคุณต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งในมะเขือเทศ มีวิตามินเอมากถึง 600 ชนิด
น.พ.กฤษดา กล่าวต่อว่า บางคนเข้าใจผิดว่า เมื่อรับประทานแคลเซียมเสริมไปแล้ว ร่างกายจะได้แคลเซียมไปเสริมกระดูก แต่การที่แคลเซียมจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีแมกนีเซียมเพื่อช่วยดูดซึม ดังนั้น หากรับประทานแคลเซียมเสริมที่ไม่ดี ราคาถูกมาก ๆ การดูดซึมก็จะไม่ดี และอาจไปจับตัวเป็นหินปูน ทำให้เกิดกระดูกงอก กระดูกย้อย หรือเป็นนิ่วได้
ดังนั้น ก่อนซื้ออาหารเสริมจะต้องศึกษาให้ละเอียด โดยดูที่ฉลากว่าเป็นแบบธรรมชาติหรือแบบสังเคราะห์ ซึ่งหากได้จากธรรมชาติหรือมีความใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด จะมีการดูดซึมได้ดี ตรงข้ามกับแบบสังเคราะห์ ที่มีบางชนิดอาจจะส่งผลตรงข้ามแบบหน้ามือเป็นหลังมือ อาทิเช่น วิตามินอี หากมาจากธรรมชาติจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ถ้าเป็นวิตามินอี สังเคราะห์ ก็จะส่งผลตรงข้าม คือ ทำให้เกิดโรคหัวใจ หรือวิตามินสังเคราะห์บางชนิด เมื่อรับประทานเข้าไปแทนที่จะช่วยให้มีสุขภาพดีกลับทำให้แก่เร็ว หรือทำให้เป็นโรคมากขึ้น อาทิเช่น มะเร็งได้
"เราไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม แต่ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนก็เพียงพอ อาหารเสริมที่ ขายอยู่ตามท้องตลาด หากมีเครื่องหมาย อย.ก็รับประทานได้ ไม่อันตราย หากคนนั้นไม่รับประทานอาหารสด ก็จะไม่ช่วยอะไร เพราะวิตามินเหล่านี้ทำงานเป็นทีม อาทิเช่น โคคิวเทน ต้องรับประทานร่วมกับไขมัน ถ้ารับประทานอย่างเดียว ไม่กินไขมัน การดูดซึมก็จะไม่ดี และจะถูกย่อยขับออกมาเป็นปัสสาวะที่แพงมาก" น.พ.กฤษดากล่าว
น.พ.กฤษดา กล่าวยังแนะนำวิธีเลือกรับประทานอาหารเสริมว่า มี 4 วิธี คือ
1. เลือกอาหารเสริมแบบที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด โดยดูที่ฉลากว่า เป็นแบบธรรมชาติหรือไม่ เพราะจะดูดซึมได้ดีกว่า
2. ดูปริมาณสารในแต่ละเม็ดว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะบางชนิด มีวิตามินครบ ทั้ง a-z รวมใน 1 เม็ด แต่อาจจะมีปริมาณวิตามินอย่างละ 1 มิลลิกรัม หรือ 1 ไมโครกรัมเท่านั้น ที่เหลือเป็นแป้ง
3. เลือกรับประทานวิตามินที่จับคู่ถูกกัน อาทิเช่น วิตามิน เอ อี ดี และเค ต้องรับประทานคู่กับไขมัน เพราะละลายได้ดีในไขมัน ส่วนแคลเซียมรับประทานคู่กับแมกนีเซียม ส่วนน้ำมันตับปลาต้องมีอีพีเอ หรือดีเอชเอ และ
4. ต้องไม่เป็นอาหารเสริมที่มีราคาถูกเกินไป

สูตรแห่งชีวิตประจำวัน
สูตรเพื่อสุขภาพ
1.ดื่มน้ำให้มาก
2.กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชาย และเมื่อถึงอาหารเย็นให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า และกลางๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว ทำตัวเป็นยาจก ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
3.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
4.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากๆ
5.หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
6.เล่นเกมสนุกๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
7.อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
8.นั่งเงียบๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
9.นอนวันละ 7 ชั่วโมง
10.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก ไม่ต้องเครียดกับมัน วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
11.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
สูตรเพื่อชีวิต
1.อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
2.อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
3.อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
4.อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
5.อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
6.จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
7.ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
8.ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
9.ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
10.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
11.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
12.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
13.จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
14.คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

'นอนกรน-นอนไม่หลับ'
ปัญหา การนอนกรนและอาการนอนไม่หลับ เป็นอีกปัจจัยที่หลายคนได้รับผลกระทบ และมีแนวโน้มคนไข้ที่เข้ามารักษามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อีกหลายคนยังมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่อาจส่งผลให้ร่างกายของผู้ป่วยมีโรคร้ายแรงตามมาได้
อาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย นพ.โยธิน วิเชษฐวิชัย จิตแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าถึงสาเหตุของปัญหาว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยด้วยโรคนอนไม่หลับมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานและคนชรา เนื่องจากภาวะสังคมที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ซึ่งพบว่าเกิดจาก 1.โรคทางกาย ส่งผลกระทบให้เกิดความเจ็บปวดจนนอนไม่หลับ เช่น อาการปวดหัวเป็นไข้ไอทั้งคืน ฯลฯ 2.โรคจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้าวิตกกังวล 3. เสพสารเสพติด เช่น กาแฟ บุหรี่ เหล้า และหากร้ายแรงจะเป็นพวกยาบ้า โคเคน ยาอี ยาไอซ์ การดื่มเหล้า บางคนอาจเถียงว่ากินช่วงแรก ๆ แล้วหลับ แต่พอใช้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้ระบบการนอนผิดปกติ
“คนไข้ส่วนใหญ่เป็นโรคทางจิตใจมากเพราะสภาพสังคมบังคับให้ต้องสอบแข่งขันตั้งแต่ชั้นอนุบาล ขณะที่ค่านิยมของคนทำงานมักยึดติดในตำแหน่งสูง ๆ รายได้ดี ๆ ขับรถดี ๆ ต้องมีบ้านสวย ๆ สาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคจิตเวช ซึ่งอาจไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดแต่เป็นประเด็นหนึ่ง ขณะเดียวกันพื้นฐานการเลี้ยงดูหรือพันธุกรรมที่อ่อนแออยู่แล้วก็เป็นตัวกำหนด เพราะพอเจออะไรกระทบเข้าก็เกิดโรคขึ้นมาได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน”
คนในเมืองมีปัญหามากกว่าคนชนบท ซึ่งการนอนไม่หลับแบ่งอาการออกเป็น 1. หลับยาก คือ เข้านอนแล้ว 2-3 ชม. กว่าจะหลับ สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการนอน เช่น เคยนอนตี 3 แล้วต้องมานอนเที่ยงคืน ทำให้ปรับตัวไม่ทันหรืออาจมาจากการใช้สารเสพติด 2. คุณภาพการนอนไม่ดี คือ หลับแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา ฝันร้าย นอนกัดฟัน รู้สึกว่าหลับแต่ใจไม่หลับ 3. ชั่วโมงการนอนสั้น ปริมาณการนอน น้อย พวกนี้จะรักษาต่อเมื่อ ก่อปัญหาให้คนไข้ แต่ในบางคนนอน 3-4 ชม. ตื่นมาสดชื่น ทำงานได้ ไม่เกิดโรคความดัน เบาหวาน เครียด ก็ไม่จำเป็นต้องรักษา
มีข้อมูลพบว่า คนที่มีความผิดปกติในด้านการนอนไม่หลับ ต้องนอนไม่หลับอย่างน้อย 4 ครั้ง ใน 1 อาทิตย์ และเป็นเวลา 4 อาทิตย์ติดต่อกัน ถ้ามีปัญหาตรงนี้ควรจะมาหาหมอ แต่ถ้าไม่มีปัญหา เดือนละครั้ง สองครั้ง ก็ไม่เป็นไร ส่วน วัยที่นอนไม่หลับคือ วัยทำงานกับวัยชรา ซึ่งวัยทำงานมีการแข่งขันสูง ทำให้ก่อนนอนต้องมีการเตรียมตัวว่าพรุ่งนี้จะต้องทำอะไร ขณะที่วัยชราไม่มีอะไรทำ รู้สึกเคว้งคว้างทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า อาการของการนอนไม่หลับของสองช่วงอายุพบว่าต่างกัน ในวัยทำงานจะหลับยาก แต่วัยชราคุณภาพการนอนจะไม่ดี เพราะโครงสร้างร่างกายมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอาการนอนสั้น เช่น คนทั่วไปนอนวันละ 8 ชม. แต่พออายุมากขึ้น บางคนนอนแค่ 6 ชม. สาเหตุเป็น ได้หลายอย่าง แต่ ปัจจัยหลักคือ คนชราไม่ได้ใช้พลังงาน
“อนาคตกลุ่มคนที่นอนไม่หลับจากการใช้สารเสพติดจะมีมากขึ้นเพราะคนเดี๋ยวนี้ชอบสะดวก เครียดแล้วไม่รู้จะทำอะไรก็กินยาพวกนี้ เมื่อใช้ไปเรื่อย ๆ ร่างกายจะปรับตัวต้านยาทำให้ไม่มีความสุขในช่วงหลัง ๆ พอหยุดยาแล้วอารมณ์วิตกหนัก ไม่อยากทำอะไร บางคนการนอนไม่หลับก็สามารถทำให้ตัดสินใจฆ่าตัวตายได้ ขณะเดียวกันการนอนไม่หลับจะเร่งให้คนไข้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เอสแอลอี ความดันโลหิตผิดปกติ เบาหวาน”
แนวทางแก้ไขอาการนอนไม่หลับคือ เข้านอนตื่นนอนตรงเวลา ปรับสิ่งแวดล้อมในห้องนอนให้รู้สึกผ่อนคลาย ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงใช้สารเสพติดที่มีฤทธิ์กระตุ้นก่อนนอน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เหล้า บุหรี่ ขณะเดียวกันควรทาน นม โยเกิร์ต ไข่ ก่อนนอน เพื่อให้หลับสบายขึ้น
นอกจากนี้ไม่ควรใช้เตียงทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกจากการมีเซ็กซ์ เพราะจะทำให้เกิดการเรียนรู้จนทำให้เมื่อถึงเวลานอนไม่ยอมนอน ก่อนนอนควรมีกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ สวดมนต์ อาบน้ำอุ่น หรือจุดกำยานหอมก่อนนอน และควรให้ผิวหนังโดนแดดอ่อน ๆ เช้า-เย็น และไม่ควรแอบงีบหลับตอน กลางวัน ซึ่ง ในรายที่อนุโลม ให้หลับได้ช่วงเวลา 14.00- 15.00 น.
ด้านอาการนอนกรน นพ.วรพงษ์ เวชวิชานิยม ศัลยแพทย์ โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าว่า สามารถแบ่งเป็น กรน อย่างเดียวกับหยุดหายใจเวลากรน โรคเหล่านี้มีอัตราเพิ่มมากขึ้นเพราะมีคนอ้วนมากขึ้น ประกอบกับความเพลียและภาวะตึงเครียดในการใช้ชีวิต ซึ่งในคนที่มีน้ำหนักเกิน ทำให้โครงสร้างของโพรงจมูกและหลอดลมผิดปกติ เช่น จมูกตีบแคบ, เป็นโรคภูมิแพ้, ริด สีดวงจมูก, ไซนัสโพรงจมูกหรืออะไรก็ตามที่ทำให้โพรงจมูกตีบแคบจนทำให้หายใจ ไม่สะดวก ซึ่ง หากทางเดินหายใจตีบแคบมากเกินไปจะเกิดการหยุดหายใจ
กลไกของสาเหตุที่ว่าน้ำหนักมากหรือจมูกมีปัญหาต่าง ๆ คือ หายใจไม่ได้เพราะว่ามันตีบแคบ จึงต้องพยายามสูบลมเข้า เหมือนการสูบลมเข้ามันก็จะเกิดแรงดูดคล้ายกับการดูดกาแฟ หากหลอดกาแฟที่ดีต้องแข็ง ถ้าหลอดกาแฟที่อ่อน พอออกแรงมันก็จะบี้ลม ฉะนั้นเมื่อสูดหายใจแรง ๆ ก็จะเกิดแรงดูด ทำให้ช่องคอส่วนไหนที่อ่อนนิ่มถูกแรงดูดทำให้แคบมากขึ้น ส่วนตรงไหนที่สามารถสะบัดได้ เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน ก็จะเกิดการสะบัดทำให้เกิดเสียง
ขณะเดียวกันในคนที่นอนหงาย เพดานอ่อนหรือลิ้นไก่ก็จะหล่นไปกระจุกบริเวณลำคอ ซึ่งถ้าคนไหนช่องคอแคบอยู่แล้วพอหล่นลงไปก็จะไปปิดสนิททำให้เกิดการสะบัดของลมที่ปะทะกับอวัยวะต่าง ๆ จนเกิดเสียงขึ้น หลายคนที่หายใจไม่เข้าจะกรนเสียงดังอย่างไม่เป็นจังหวะ เดี๋ยวเงียบ เดี๋ยวเบา การเงียบคือหยุดหายใจ พอเริ่มกรนใหม่จะเบาลงแล้วก็เริ่มดังขึ้น
สามารถแบ่งระดับของการกรนออกได้เป็น 1. นอนหงายแล้วกรน นอนตะแคงแล้วจึงหาย 2. ไม่ว่านอนหงายหรือนอนตะแคงก็ยังกรน อยู่ 3. นั่งหลับแล้วยังกรน เป็นอาการหนักสุดเพราะท่านั่งทางเดินลมหายใจจะเปิดออก แต่ถ้ายังกรนอยู่แสดงว่าทางเดินหายใจแคบมาก ส่วนใหญ่จะเกิดกับคนอ้วน สามารถนำไปสู่โรคหัวใจ เช่น หัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตาย ความดันโลหิตสูง ความดันของเลือดในปอดสูง สมองขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอาจ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เนื่องจากขาดออกซิเจนซ้ำแล้วซ้ำอีก การกรนธรรมดาถือเป็นปัญหาสังคมเพราะจะทำให้เกิดปัญหาการหย่าร้าง และพบว่าผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอายุที่มากขึ้นก็มีส่วนให้เกิดการกรนได้
แนวทางแก้ไข ควรลดน้ำหนัก นอนตะแคงหากไม่ได้ผลให้หาสาเหตุ เช่น โพรงจมูกแคบหรือช่องคอตีบจึงไปแก้ที่ส่วนนั้น หรือใช้เครื่องอัดอากาศที่จะช่วยให้ลมเข้าไปในช่องทางกายใจได้โดยตรง ส่วนหมอนหรือ สเปรย์ ยากิน ใช้ไม่ได้ผล
“ฝากถึงประชาชนที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่ หากมีอาการกรนดังมากจนคนข้าง ๆ เริ่มบ่น หรือกรนดังกระโชกโฮกฮากไม่เป็นจังหวะ อ้วนหรือมีอาการอ่อนเพลียตอน กลางวัน แม้จะนอนมามากแล้วก็ยังอ่อนล้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา”
อาการนอนกรน-นอนไม่หลับ หลายคนอาจมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้กลายเป็นสิ่งใกล้ตัวกว่าที่คิด ซึ่งจะพอกพูนให้ท่านเกิดโรคร้ายตามมาได้.

เคล็ดลับสุขภาพ
รู้ทันต้อกระจก....ดวงตาคู่สวยไม่มืดมน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวสะเทือนวงการแพทย์เรื่องการผ่าตัดตาผู้ป่วยต้อกระจกและเกิดติดเชื้อจนตาบอด ทำให้หลายคนขาดความเชื่อมั่นในการรักษาของแพทย์รวมทั้งอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคต้อกระจกกันยกใหญ่ วันนี้ “เคล็ดลับสุขภาพดี” พลาดไม่ได้พาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับโรคนี้กันอย่างใกล้ชิด
พญ.ยุพิน ลีละชัยกุล จักษุแพทย์ ศูนย์จักษุกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้เบื้องต้นว่า “ต้อกระจก” (Cataract) คือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่น แสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง หรือบางครั้งการขุ่นนั้น จะก่อให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไปโฟกัสผิดที่ทำให้จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจึงตามัวลงโดยไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใด ๆ ยิ่งเลนส์แก้วตาขุ่นขึ้น การมองเห็นก็จะยิ่งลดน้อยลงเรื่อย ๆ เป็นสาเหตุที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุตามัวลง แต่ต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อและไม่ลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง ส่วนการใช้สายตาและสภาวะของอาหารการกินนั้นไม่เป็นสาเหตุของต้อกระจก และไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น โดยต้อกระจกมักเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ กว่าสายตาของผู้ป่วยจะขุ่นมัวจนรู้สึกได้ อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรือหลายปี
อาการของต้อกระจก คือ ตามัวลงช้า ๆ เหมือนมีฝ้าหรือหมอกบังแต่ไม่มีอาการปวดตา เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า สู้แสงไม่ได้ เห็นดวงไฟแตกกระจายโดยเฉพาะในเวลากลางคืน บางรายอาการระยะแรกของต้อกระจกคือ จะมีสายตาสั้นมากขึ้น ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย ๆ ในที่สุดเมื่อต้อกระจกขุ่นมาก สายตาจะมัวโดยที่แว่นตาช่วยให้ชัดไม่ได้อีกต่อไป ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาในระยะเวลาอันสมควรจนต้อกระจกสุกมาก รูม่านตาที่ปกติเห็นเป็นสีดำจะกลายเป็นสีเหลืองหรือขาวขุ่น เกิดอาการแทรกซ้อนตามมาโดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาอย่างรุนแรงและตาแดงมาก เนื่องจากโรคลุกลามกลายเป็นโรคต้อหินเฉียบพลันและม่านตาอักเสบ จนกระทั่งตาบอดได้ในที่สุด
ปัจจุบันมีวิทยาการในการรักษาโรคต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ ที่เรียกว่าวิธี “สลายต้อกระจก” พร้อมทั้งใส่เลนส์แก้วตาเทียม เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้สายตาของผู้ป่วยดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องรอให้ต้อสุกก่อน ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องทนทรมานกับสายตาที่มัวลงเพื่อรอให้ต้อสุกที่อาจจะนานเป็นปี แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความสะอาด และระวังไม่ให้มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกต่อดวงตา หากผู้ป่วยเริ่มรู้สึกมีอาการอึดอัดกับการที่สายตามัวลงจนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันหรือการทำงานสามารถมาปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาได้
ต้อกระจกไม่ใช่โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ที่เราพบว่าญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวหลายคนเป็นต้อกระจกก็เพราะว่าการขุ่นของเลนส์แก้วตาในโรคต้อกระจกนั้นเกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาตาม วัย คล้าย ๆ กับที่ผู้สูงอายุทุกคนจะมีผมหงอกขาวนั่นเอง
เมื่อเราหลีกเลี่ยงการเป็นต้อกระจกไม่พ้น แต่ด้วยวิทยาการอันทันสมัยของยุคปัจจุบันทำให้ต้อกระจกไม่น่าเป็นห่วง เพราะสามารถผ่าตัดรักษาให้กลับมามองโลกสดใสได้อีกครั้งและควรป้องกันต้อกระจกด้วยการสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่ออกแดดเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตเอและบี โดยการเลือกแว่นที่มีขนาดใหญ่ปิดขอบตาได้จะดีมาก และควรงดหรือลดการสูบบุหรี่ลงเพื่อสุขภาพตาที่ดี
เมื่อทราบทั้งวิธีรักษาและวิธีป้องกันต้อกระจกแบบนี้แล้วหวังว่าคุณผู้อ่านคงคลายความกังวลลงได้บ้าง และอย่าลืมเลือกรับประทานผักผลไม้ให้เพียงพอต่อวันด้วย เพราะผักผลไม้มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งการที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายน้อยอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกได้ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรควบคุมน้ำตาลให้ดีและหมั่นไปพบจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสุขภาพดวงตาให้มีสุขภาพดีอยู่คู่กับเราไปนาน ๆ



Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2553 10:10:38 น. 2 comments
Counter : 722 Pageviews.

 
Love all, trust a few, do wrong to none.

William Shakespeare


มีประโยชน์ ขอไป post ต่อค่ะ


โดย: Elbereth วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:18:46 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:50:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KhunNoo@rm
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Load Counter
Google
New Comments
Friends' blogs
[Add KhunNoo@rm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.