Get a scroller sign at http://www.glitteryourway.com
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 

เลียบเขมรยล"อัลลองเวง"เมืองชายแดน





วงเวียนนกพิราบอนุสารีย์แห่งอัลลองเวง


บนผืนดินอันแห้งแล้งตามแถบชายแดนของจังหวัดศรีสะเกษ ฉันนั่งจุมปุ๊กอยู่ด้านหลังสุดของรถตู้ ที่ฉวัดเฉวียงไปตามเส้นทางอันเลี้ยวลดคดเคี้ยว เป็นเวลานานนับชั่วโมง เพียงเพื่อมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดหมาย นั่นคือ จุดผ่านแดนถาวร ที่ "ด่านช่องสะงำ" อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ "ช่องจวม" อำเภออัลลองเวง จังหวัดอุดรมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา

รถพาฉันขับผ่านหมู่บ้านชื่อแปลก ที่ดูก็รู้มิใช่ภาษาไทย เช่น บ้านแซไปร์ บ้านละลม แล้วจากนั้นก็นำเข้าสู่เส้นทางที่ตัดผ่านเทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นพรมแดนธรรมชาติ กางกั้นกัมพุชประเทศและสยามประเทศออกจากกัน

แม้ว่าปีหนึ่งๆจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ที่คุ้นชินกับการท่องเที่ยวเลียบเลาะไปตามจังหวัดต่างๆ ที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไปจับจ่ายซื้อของกินของใช้ราคาเยา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะมีสักกี่คน ที่จะคิดเข้าไปท่องเที่ยวในเขตจังหวัดริมชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นอย่างเป็นจริงเป็นจังบ้าง

ถึงจะเป็นเพียงแค่เขตชายแดน แต่ก็คือผืนดินของชาติพันธุ์อื่น ลึกเข้าไปย่อมมีสิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นอยู่มากมาย และเพราะฉันคิดเช่นนั้น นอกจากต้องการจะข้ามแดนไปเที่ยวชมตลาดชายแดนในฝั่งกัมพูชาแล้ว ฉันยังต้องการเข้าไปสัมผัสให้ลึกกว่านั้น



ตลาดสดในอัลลองเวงสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้จักเมืองนี้มากขึ้น


จึงทำเรื่องขอผ่านแดนเข้าไปยัง อำเภอ"อัลลองเวง"ที่ตั้งอยู่บนดินแดนแห่งกัมพุชประเทศ การเดินทางเข้าไปเมืองอัลลองเวงนั้น เอกสารที่ใช้มีหนังสือเดินทางบวกกับค่าวีซ่ากัมพูชาอีก 30 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากฝั่งกัมพูชาไม่อนุญาตให้นำรถจากฝั่งไทยเข้าไป ฉันจึงต้องเปลี่ยนมานั่งรถตู้รับส่งของฝั่งกัมพูชาแทน เพียงเท่านี้ฉันก็เริงร่าอยู่ในแผ่นดินกัมพูชาได้อย่างสบาย

ทันทีที่สัมผัสผืนแผ่นดินอันเป็นอู่อารยะที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก สิ่งแรกที่ฉันต้องตั้งคำถามแก่ตัวเองคือ ใยอากาศที่นี่จึงร้อนแล้งยิ่งนัก ขนาดนั่งอยู่ในรถแท้ๆเพียงแค่มองผ่านกระจกออกไป ก็เห็นชัดว่าช่างเป็นแผ่นดินที่ร้อนระยิบพริบพรายจริงๆ คนที่นี่เขาจะร้อนหรือไม่ฉันไม่แน่ใจ แต่สังเกตว่าแทบทุกบ้านจะมีกันสาดลักษณะคล้ายคลึงกับมูลี่ขึงอยู่ที่ระเบียบกันทั้งนั้น

การมาเที่ยวต่างแดน ถ้าเราอยากเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในถิ่นนั้นๆ ที่นึงซึ่งจะช่วยให้เราได้พบเจอและเรียนรู้ผู้คนได้ ก็คือ "ตลาดสด" ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตลาดสดของเมืองอัลลองเวง เป็นจุดแรกที่ฉันแวะชม

อันว่าหน้าตาของตลาดสดนั้นก็ไม่ได้ผิดแผก ต่างจากตลาดสดบ้านเราสักเท่าไหร่ มีผัก ปลา ส้มสุกลูกไม้ เต็มไปหมด ที่ต่างกันก็คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ที่อย่างไรเสียฉันก็มั่นใจว่าตลาดบ้านเราถูกสุขอนามัยและน่าเดินกว่าเป็นอักโข

ถัดจากตลาดมาไม่ไกลนักยังมี "วงเวียนนกพิราบ"ที่แสดงถึงอิสรภาพของชาวอัลลองเวง ตั้งอยู่วงเวียนนี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งอยู่กลางถนนใจกลางอัลลองเวงทีเดียว




ทะเลสาบอัลลองเวงแหล่งน้ำแหล่งชีวิตของผู้คน


ดังคำกล่าวที่ว่า"กองทัพเดินด้วยท้อง"ฉันและเพื่อนพ้องก็เช่นกัน จะให้ก้มหน้าก้มตาเที่ยวอย่างเดียวคงไม่ได้ จึงหาที่แวะพักให้อิ่มท้องก่อนตะลุยอัลลองเวงต่อ ซึ่งร้านอาหารที่เราเลือกก็อยู่จากตลาดไปไม่ไกลนัก ชื่อว่าร้าน "168"ร้านเขาชื่อนี้จริงๆ เจ้าของร้านเป็นชาวกัมพูชา แต่ทว่ากลับสามารถพูดภาษาไทยได้ แม้ไม่แข็งแรงนัก แต่ก็สะดวกกับการสิ่งอาหารของเราเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อมีโอกาสสอบถามถึงรู้ว่าเขาเคยเข้ามาทำงานในบ้านเราหลายปี ก่อนจะเก็บเงินก้อนได้แล้วมาเปิดร้านอาหารที่บ้านเกิด อัธยาศัยไมตรีที่แย้มยิ้มตลอดเวลาของพี่เจ้าของร้าน (ที่ฉันลืมชื่อเสียสนิท) ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พบเห็นได้จากชาวอัลลองเวง

จุดเด่นของร้านอาหารที่เรามานั่งกินข้าวเที่ยงกันนั้น นอกจากเจ้าของร้านจะพูดภาษาไทยได้แล้ว รสชาติอาหารก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ผิดหวัง อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าเราเป็นคนไทยจึงปรุงรสแบบไทยๆ หรือ อีกนัยหนึ่งอาหารเขมรกับไทย รสคงใกล้เคียงกัน จนฉันไม่รู้สึกถึงความแตกต่างก็อาจเป็นได้

อีกหนึ่งจุดเด่นที่ฉันมองเห็นจากร้านอาหาร ก็คือบึงน้ำกว้างใหญ่ที่อยู่ติดกับร้านอาหาร พี่เจ้าของร้านพยายามบอกอย่างกระท่อนกระแท่นว่าบึงนี้แหละ คือที่มาของชื่อเมืองอัลลองเวง เพราะอัลลองเวง ถ้าจะแปลเป็นไทย "อัลลอง" ก็คือ ห้วงน้ำ ที่มีความกว้างใหญ่กว่าหนองน้ำ คงคล้ายๆทะเลสาบเล็กๆล่ะมั้ง ส่วนคำว่า "เวง" แปลว่า ยาว เป็นทะเลสาบที่อยู่คู่ชาวเมืองมานาน

ก่อนออกจากร้านเขายังยัดแผนที่ท่องเที่ยว "บ้านนายพลตา ม็อก" และ "ช่องตา ม็อก" ให้ฉันพร้อมทั้งกำชับเป็นมั่นอย่างแข็งขันว่า "ระวังอย่าออกนอกเส้น" เพราะนั้นหมายถึง ชีวิต! แกพูดทิ้งปริศนาให้นางเอกอย่างฉันคอยค้นหาคำตอบเอาเอง



นั่งทอดอารมณ์ชมความงามที่เขาช่องตา ม็อก


ด้วยความอยากรู้ฉันและเพื่อนๆไม่รอช้า สั่งพลขับให้เร่งรุดหน้าพาไปยังบ้านนายพลตา ม็อก ทันที ฉันวาดฝันไว้ว่าบ้านระดับนายพลแม่ทัพแห่งเขมรแดง อย่างไรเสียก็ต้องใหญ่โตอู้ฟู่ แต่ทันทีที่รถจอดสนิทฉันกลับคิดว่า "ผิดที่แน่ๆ" ก็บ้านนายพลตา ม็อก ที่ฉันเห็นอยู่เบื้องหน้านั้น เป็นเพียงบ้านไม้ยกถุนสูงเก่าๆตั้งอยู่กลางทุ่งนาและติดกับทะเลสาบอัลลองเวงเท่านั้น

แม้จะผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ใช่ดังใจคิด แต่เมื่อถึงที่แล้วจะไม่สำรวจก็ใช่ที่ล่ะ คงเป็นโชคดีของฉันอย่างที่ในคณะครั้งนี้มีมัคคุเทศน์ร่วมเดินทางมาด้วย นอกจากเดินดูนั่นนี่แล้วฉันยังได้รับความรู้มาประเทืองปัญญาอีกเพียบ จากที่รู้จักนายพลท่านนี้เพียงผิวเผิน

ก็ได้รู้เพิ่มเติมว่า อัลลองเวง เดิมนั้นเคยมีความสำคัญในฐานะเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเขมรแดง นายพลตา ม็อก เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการรบมาก ที่เขาเลือกสร้างบ้านบริเวณนี้ เพราะยากต่อการซุ่มโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ด้วยมีชัยภูมิที่ได้เปรียบมีน้ำล้อมรอบ(ก็ทะเลสาบอัลลองเวงนั้นล่ะ) อ้อ...ที่นี่เขามีห้องใต้ดินไว้สำหรับหลบระเบิดด้วย เป็นห้องกว้างๆภายในมีห้องน้ำในตัว แต่จากที่เยี่ยมๆมองๆดูฉันว่าเดี๋ยวนี้ไม่น่าจะใช้การได้แล้ว

นายพลตา ม็อก หรือนายพลขาเดียวแห่งเขมรแดงนั้น เพิ่งเสียชีวิตไม่นานนี้ ทำให้การพิพากษาหาตัวผู้กระทำผิดฐานสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า1.7ล้านคน สมัยเขมรแดงเรืองอำนาจ อาจต้องเป็นหมัน เพราะนายพลตา ม็อก คือผู้นำเขมรแดงคนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่ เมื่อเขาตายก็ไม่รู้จะไปหาตัวการที่ไหน ผู้นำเขมรแดงคนอื่นๆก็ด่วนชิงลาโลกไปหมด

เดินวนดูจนรอบบ้านก็สะดุดใจกับแผนที่ และภาพปราสาทขอมโบราณที่อยู่ชั้นบนของบ้าน ไม่รู้ว่าเขามีไว้เพื่ออะไร ถามใครก็ไม่มีใครรู้จึงสันนิษฐานเอาเองว่า แผนที่น่าจะเอาไว้ใช้เวลาวางแผนส่วนภาพปราสาทขอมโบราณคงมีไว้ประดับกันฝาโล่งเฉยๆมั้ง



แผนที่และภาพปราสาทขอมโบราณในบ้านนายพลตา ม็อก


จากบ้านนายพลตา ม็อก ขับรถออกมาอีกไม่ไกลเท่าไหร่นัก ก็จะเจอ "เขาช่องตา ม็อก" เพราะการมาที่นี่นั้นเอง ทำให้ฉันตระหนักถึงคนเตือนของพี่เจ้าของร้านอาหารที่ว่า "อย่าออกนอกเส้นทาง" ก็จะอะไรเสียอีกเล่า ตามถนนดินแดงที่เป็นหนทางเดียวเข้าไปสู่ เขาช่องตาม็อก นั้น นอกจากโคลงซ้ายที ขวาที เพราะถนนเป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว

เมื่อสายตาอันว่องไวเหลือบแลมองไปข้างทาง ที่เป็นป่ามีต้นไม้สูงตั้งตระหง่านนั้น กลางลำต้นของต้นไม้มีแผ่นเหล็กสีแดงที่มีรูป"หัวกะโหลกไขว้"อยู่แทบจะทุกต้น เท่านั้นก็พอจะนึกออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเผลอออกนอกเส้นทางมีหวังอาจเจอกับระเบิดที่ยังเก็บกู้ไม่หมดก็เป็นได้

แสดงว่าที่แถบนี้คงจะเคยเป็นแนวสู้รบมาก่อน อย่างไม่ต้องสงสัยงานนี้เล่นเอาฉันเสียววาบไปตลอดทาง เมื่อมาถึงเขาช่องตาม็อก ฉันก็ลืมเจ้าหัวกะโหลกไขว้เสียสนิท เมื่อได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์ ที่นี่จะเปรียบไปก็คงคล้ายกับผาหล่มสักที่ภูกระดึง

ทิวทัศน์ก็งดงามเพราะตั้งอยู่ในมุมสูง สามารถมองเห็นเมืองอัลลองเวงได้ทั่ว ที่ได้ชื่อว่าเขาช่องตาม็อกเพราะเคยเป็นจุดสังเกตการณ์และเป็นจุดสู้รบของเขมรแดงภายใต้การนำของนายพลตา ม็อก มาก่อน เลยตั้งไว้เป็นเกียรติ จะว่าไปนายพลคนนี้แม้โลกจะรู้จักเขาในนามอาชญากรผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หากชาวอัลลองเวงส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่าเขาเป็นคนดีและเชื่อว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์กันอยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สถานที่ต่างๆในเมืองนี้จะเกี่ยวข้องกับเขา




ตลาดชายแดนฝั่งช่องจวมกัมพูชาที่คนไทยนิยมข้ามฝั่งไปจับจ่ายซื้อของ


ชมวิวยืนรับลมที่เขาช่องตาม็อกอย่างเพลินๆ ก็ได้สัญญาณจากพวกพ้องว่าได้เวลาอันสมควรกลับเข้าฝั่งไทยได้แล้ว ฉันกวาดตามองอัลลองเวงจากมุมสูงอีกครั้งเป็นการบอกลา ก่อนจะกลับขึ้นไปนั่งรถเพื่อกลับแผ่นดินไทย พลัน! สติก็กลับหวนระลึกได้ว่า

"อ้าว...ขากลับต้องผ่านเจ้ากะโหลกไขว้อีกนี่นา"

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ระยะทางจาก อ.เมืองศรีสะเกษถึงช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ ประมาณ 105 กิโลเมตร เอกสารที่ใช้ในการผ่านแดนเข้าไปเมืองอัลลองเวงมีหนังสือเดินทางกับค่าวีซ่ากัมพูชา 30 เหรียญสหรัฐ ยังไม่อนุญาตให้นำรถข้ามแดนไปวิ่งในกัมพูชา ต้องใช้เหมารถแท็กซี่หรือรถตู้ของกัมพูชาเท่านั้น



ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2550
5 comments
Last Update : 22 พฤษภาคม 2550 4:48:46 น.
Counter : 2907 Pageviews.

 

น่าสนใจมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อมูล
มีโอกาสจะตามร่องรอยไปนะคะ

 

โดย: Kontonnum 22 พฤษภาคม 2550 9:24:10 น.  

 

ช่องตาม็อก น่าไปนั่งจังเลยนะ
เคยไปเขมรตอนเวลาประมาณนี้แหละค่ะ แล้วก็ร้อนนนนตับแตกเหมือนกันเลย

 

โดย: juriojung 22 พฤษภาคม 2550 12:32:27 น.  

 

เห็นคำว่าเขมรไม่ได้ แว้บมาอ่านด้วยคนครับ

 

โดย: Derek 22 พฤษภาคม 2550 16:04:27 น.  

 

ดูบรรยากาศเหมือนสงบจังนะคะ

 

โดย: bignui (thamakorn ) 22 พฤษภาคม 2550 17:46:59 น.  

 


เราอยากไปมากเลยจ๊ะเขมร เป็นเมืองในฝันอีกเมืองที่อยากไปจ๊ะ
รองจากอียิปต์ น่ะ เราอยากไปนครวัดมาก ๆๆๆๆๆ
อ่านเจอคำว่าเขมร จนต้องเปิดมาอ่านข้อมูลคะ
ข้อมูลน่าสนใจมาก เลยคะ จำเป็นในการไปเที่ยวมาก ๆๆๆๆๆ

 

โดย: Kana Jan 23 พฤษภาคม 2550 19:02:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


โอเล่ คุง
Location :
Omaha , Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความเหนือชั้นคือ การอ่านหนังสือและการเดินทาง...
Friends' blogs
[Add โอเล่ คุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.