"แต่โบราณลาภยศเหมือนเมฆลอย เพียงหมื่นร้อยประโยชน์สร้างนามสืบสาน สันโดษเดินเพลินขับกล่อมท่องสายธาร สู่เทือกเขาสูงตระหง่านวางอัตตา" (ดัดแปลงจาก ฯพณฯ จาง จิ่ว หวน,เอกอัครราชทูตสาธารณะประชาชนจีน ประจำประเทศไทย)
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
สนุกคิด

"สนุกคิด หรือตรงข้าม คิดแล้วเครียด ปวดหัว"...เป็นประเด็นสำคัญที่จะนำคนไทยส่วนใหญ่ออกจากความล่าช้าทางการพัฒนาทุกๆทาง

คำว่าปวดหัว เพื่อนชาวลาวจะพูดว่า เจ็บหัว คิดแล้วเจ็บหัว

คนเอเซียเกิดมาสบาย ไม่มีภัยธรรมชาติรุนแรง อาหารอุดมสมบูรณ์ อากาศไม่หนาวหรือร้อนอย่างรุนแรง เพียงแต่ฤดูร้อนทำให้คนขี้เกียจ ไม่อยากทำงาน ก็เท่านั้นเอง จึงมีชีวิตแบบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนอะไร ทำให้อ่อนแอทางการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจ ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เชิงการแข่งขัน

ความคิดเชิงการแข่งขัน การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ การคิดค้นเครื่องมือทำมาหากิน อาวุธที่พัฒนาจากประทัด ดินปืน กลายเป็นปืนใหญ่ที่ทหารเรือฝรั่งตะวันตกนำใส่เรือกำปั่น อานุภาพเรือรบอย่างนี้ไม่กี่ลำเรือ ก็สามารถเอาชนะทหารบกที่มีเต็มแผ่นดิน แม้แต่จีนแผ่นดินใหญ่ยังยอมแพ้ฝรั่ง ไม่ต้องเป็นประเทศเล็กแบบไทยนี่หรอก

นอกจากนวัตกรรมทางเครื่องมือเชิงกายภาพหรือเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่เป็นกลยุทธ์ของฝรั่ง เครื่องมือกลยุทธ์ทางสังคมศาสตร์นั้นฝรั่งก็นำมาใช้ เพื่อหลอกล่อเอาชนะชนชาติเอเซีย เช่นการใช้ฝิ่นมอมเมาให้คนเสพติด เป็นเปลี้ยเป็นง่อยทางความคิด แล้วก็ยึดประเทศเป็นเมืองขึ้นภายหลัง

คนเอเซียต้องไม่ทะเลาะกัน คนเอเซียต้องไม่กลัวที่จะสนุกใช้ความคิด คนเอเซียต้องไม่เจ็บหัว เวลาคิด

เริ่มจาก ไม่คิดแบบใส่อารมณ์ร่วม คือให้แยก"ความคิด ออกจาก "อารมณ์"
ทำได้หรือไม่? คนไทยก็มีจุดอ่อนตรงนี้ คิดอะไรแล้วมักมีอารมณ์เครียด แก้ตรงนี้ให้ได้แล้วเราจะไม่เสียเปรียบฝรั่ง

เริ่มจาก คิดเรื่องส่วนรวมให้มากขึ้น คิดเรื่องสาธารณะให้มากขึ้น รักษาสิ่งแวดล้อมและโลกให้ลดจากภาวะโลกร้อนให้มากขึ้น คิดอย่างไม่เจ็บหัวสิ!

เริ่มจากคิดอะไร ให้เป็นระบบ เป็นองค์รวม เป็นเชิงโครงสร้างให้มากขึ้น ไม่คิดอะไรที่มันเป็นการแยกส่วน และที่สำคัญคนไทยมักคิดอะไรที่เห็นแก่ตัวมากไป มันเป็นการแก้ทางเดียว จริงๆแล้วเราต้องแก้ปัญหาแบบ๒ทิศทางครับ หรือมากกว่า๒ทิศทาง เป็นการแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วม

เริ่มจาก คิดว่าการมีชีวิตที่อิงอาศัยธรรมชาติล้วนๆเช่นการทำไร่ไถนา ทำสวนบนพื้นดิน เป็นการเสี่ยงที่จะได้ผลผลิตที่แน่นอนในแต่ละฤดูกาล ฝนตก น้ำท่วม ฟ้าแล้ง แผ่นดินแห้ง หันมาพึ่งความคิดและสมองของกลุ่ม องค์กร ชมรม บริษัทให้มากขึ้น ผลิตภัณฑ์จากสมองคือนวัตกรรม ที่พึ่งพาธรรมชาติให้น้อยลง อย่างนี้เรียกว่า"ฉลาด"

เริ่มจากช่วยกันคิด ช่วยกันจัดตั้งกลุ่ม องค์กร ชมรม สมาคม ระดมความคิด
ผมมี"ตัวแบบ(Thinking Model)แบบ แสงเลเซอร์" แสงเลเซอร์เป็นแสงความถี่เดียว มีพลังแรงในการส่องแสงไปได้ไกลมาก ทำมาจากแสงทั่วไปที่มีแถบสีหลายความถี่(Spectrums)ที่กระจัดกระจาย คนเราก็เหมือนกัน หากรู้จักระดมความคิดเข้าด้วยกัน ไม่ขัดแย้งกัน ไม่ชิงดีชิงเด่นกัน ยอมรับฟังกันและกัน ในที่สุดความคิดที่ไม่ลงตัวของเรา ของเพื่อนเราก็จะถูกคัดทิ้งไป

ที่ประชุมเชิงประชาธิปไตย(อย่าเอาอย่างเลว ของนักการเมืองแบบเผด็จการแฝง) จะสามารถทำให้ได้แสงเลเซอร์ทางความคิด มาเป็นประโยชน์เพื่อการไม่เสียเปรียบต่างชาติ

"การสะท้อนความคิดด้วยคน๒คนขึ้นไปคือคลื่นพลังแสงเลเซอร์อันยิ่งใหญ่"

เริ่มต้นที่คนอายุน้อย เยาวชนอันเป็นกำลังสำคัญของชาติ และแผ่นดินนี้ประเทศชาตินี้ก็เป็นมรดกของพวกท่านทุกคนอยู่แล้ว

พวกท่านจะต้องดำรงชีพและตายอยู่บนผืนแผ่นดินนี้อยู่แล้ว มิใช่หรือ?...






Create Date : 20 เมษายน 2551
Last Update : 20 เมษายน 2551 15:23:42 น. 12 comments
Counter : 418 Pageviews.

 
ถ้ารู้จักระดมสมองช่วยกันคิดเป็นระบบ
คงดีกว่านี้เยอะเนาะ
แต่ราคาสมองไม่เท่ากันมั๊ง
ระดมความคิดเลยไม่ค่อยจะมีร่วมด้วยช่วยกัน





โดย: gripenator วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:15:43:58 น.  

 
ขอบคุณๆgripenatorครับ ที่เข้ามามีส่วนร่วม
และขอแนะนำให้อ่านบล็อกคุณmoonfleet เขาเก็บบทความดีๆเกี่ยวกับ การพัฒนาความคิดและการศึกษา ของนายทักษิณ ไว้ด้วย


โดย: ขามเรียง วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:15:56:39 น.  

 


โดย: shame_of_sins วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:15:57:25 น.  

 
สวัสดีค่า


โดย: yosita_yoyo วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:16:11:19 น.  

 
ไม่คิดค่าที่นอนพัก ฟรีๆๆๆตลอดรายการ แถมคูปองอาหารเช้าทุกวันครับคุณไม่อายบาป เอ๊ยอายบาป
และยินดีต้อนรับสาวน้อยโย-โย่หุ่นดี ครับ

อารมณ์ขันและการ์ตูนเป็นสุนทรียภาพขั้นกลางระหว่างสุนทรียแห่งความรัก เมตตาต่อกัน และสุนทรียภาพแห่งการค้นพบความจริง สติปัญญา สุนทรียภาพขั้นสูงสุดคือการรังสรรค์ความดีและความงาม ดนตรี ทัศนศิลป์ กาพย์กลอนกวี วรรณกรรมทั้งปวง

ชนใดไม่มีสมองและความรักและเมตตา ย่อมไม่มีสุนทรียะอารมณ์ขันใดๆปรากฏ ย่อมไม่มีสันติในใจ ย่อมมีแต่ความเครียด โกรธแค้น อาฆาต เข่นฆ่า ชิงดีชิงเด่นกันให้รู้เห็น

บล็อก"ขามเรียง"ดีใจที่ได้รู้จักเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีคุณค่าของประเทศ
ยินดีต้อนรับทุกคนครับ


โดย: ขามเรียง วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:16:31:40 น.  

 
แหม พี่เอก ตั้งกระทู้เมื่อวานมิน่าหละถึงรู้ว่าวันเกิดผม อิอิ

เข้ามาเยี่ยมครับพี่... อยากได้ Idea เกี่ยวกับการสร้างองค์กรรัฐบาลใหม่ ถ้าเราไม่ยึดกับ อังกฤษ และ ไม่ยึดแบบอเมริกา เราจะมีรูปแบบอื่นๆ อีกหรือเปล่าครับ


โดย: wbj วันที่: 21 เมษายน 2551 เวลา:17:49:42 น.  

 
วันเกิดจุง ผมรู้มาตั้งแต่ต้นเดือนแน่ะ
รูปแบบองค์กรภาครัฐ ที่จุงถามผม เป็นSmart Questionครับ เรา(หมายถึงชนชั้นปกครอง ข้าราชการ ชนชั้นนำ นักวิชาการ นักเลือกตั้ง นักการเมือง นักคิด ปราชญ์ และปัญญาชนเดินดิน) พยายามกันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๕

คำถามนี้ทำให้ผมต้องตั้งหลักคิดอย่างจริงจัง และขอขอบคุณที่จุงเป็นผู้เริ่มต้นคิด

ผมจะลองอธิบายองค์กรภาครัฐแบบไทยนี้ดูนะครับ (ในฐานะที่เคยเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการภาครัฐ และขณะนี้ยังทำงานให้รัฐในภาคอุดมศึกษา(ในกำกับของรัฐ)

โจทย์ของจุง คือไม่ยึดติดกับของอังกฤษและอเมริกัน ซึ่งที่ผ่านมาเรายึดของอังกฤษเป็นหลัก และมีผู้พยายามนำแบบของอเมริกันมาใช้โดยที่เรายังมีชนชั้นกษัตราธิปไตยติดอยู่บนกระหม่อมประชาชนไทย(แบบเต็มใจ)

ภายใต้การเมืองระบบประชาธิปไตย เศรษฐกิจระบบตลาดแข่งขันเสรีทุนนิยม และการศึกษาระบบโรงเรียน
ที่ประเทศตะวันตกเป็นแม่แบบ

เราต้องทำเข้าใจเสียก่อนว่า การเมืองแบบนี้เป็นการเมืองที่ประชาชนทุกระดับ จากล่าง กลางและข้างบน ต้องมีความสำนึกรับผิดชอบกับส่วนรวมหรือสาธารณะอย่างมาก รวมถึงต้องมีจิตวิญญาณที่เคารพสิทธิการมีส่วนร่วมของคนอื่นๆ ในสมบัติสาธารณะ ในโอกาสเข้าถึง
คำนึงถึงความเท่าเทียม เคารพกฏกติกา กฏหมายสังคม มีความเกรงใจไม่พยายามล่วงเกินสิทธิของผู้อื่น

แต่คนในบ้านเมืองเรา ไม่เป็นอย่างนั้น ในการจราจรบนท้องถนน เราจะเห็นผู้ขับขี่ยวดยานแทบทุกสถานะ ต่างละเมิดกฏกติกา เส้นแบ่งและสัญญาณไฟ รวมทั้งละเมิดป้ายจราจรที่ติดกำกับไว้ริมถนน ละเมิดกันง่าย ไม่คำนึงถึงคิวผู้อื่น ไม่หยุดรให้ผู้คนข้ามถนน

วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมแบบตลาดหาบเร่แผงลอยโดยแท้ เป็นวัฒนธรรมขนมชั้นอีกด้วย อ่อนปวกเปียกตั้งแต่ชั้นบนสุดลงมาถึงชั้นล่าง

นอกจากนี้ประชาชนในชาติที่จะใช้ระบบประชาธิปไตยนี้ได้ดี รากฐานความเข้มแข็งที่พยุงการเมือง๒ด้าน คือรากฐานเศรษฐกิจและรากฐานการศึกษาของชาติ ระบบสามเส้านี้เป็นอารยธรรมของชนชาติที่การเมืองและชนชั้นปกครองต้องตั้งอยู่บนฐานความยุติธรรม ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่ติดยึดอำนาจ ไม่กอบโกยเข้าตัว

ต้องเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนในด้าน ยุติธรรม คุณธรรม จริยธรรม เสียสละตน ไม่เอาแต่พรรคพวกตน แล้วมีสติปัญญา มีวิสัยทัศน์ดี มีแผนกลยุทธ์ มีความสามารถเชิงการบริหารจัดการ นำประชาชน ไปสู่ความมีกินมีใช้ มีความรู้ความคิดที่พึ่งพาตนเองได้ แบบพอเพียง

สังคมขนมชั้นแบบเปียกแฉะทุกชั้น(นี่ผมก็ว่าถึงตัวเองด้วย) ต้องพัฒนาปรับปรุงทรัพยากรบุคคลของชาติเสียใหม่ ต้องทำความเข้าใจและยอมรับปรับตัว สร้างสัญญาร่วมปฏิบัติใหม่ อย่างเท่าเทียมเคียงบ่าเคียงใหล่กัน

ช่องว่างทางโอกาส ความใกล้เคียงกันแบบลดหลั่นทางการศึกษาและการครองชีพ ทรัพย์สมบัติ ที่ดิน ต้องไม่เหลื่อมกันเป็นช่องว่างมากมาย นี่เป็นการแสดงความยุติธรรมของชนชั้นผู้นำ

ความยุติธรรมเป็นเสาหลัก ให้สังคมเกิดกำลังใจ มีกำลังใจ ร่วมมือร่วมใจทำความดีงาม ถ้าความยุติธรรมไม่เกิดกับผู้นำ แสดงให้เห็นต่อสาธารณะ เราจะไม่มีพลังสร้างสังคม ชุมชน ให้เข้มแข็ง ไปได้พร้อมกับนานาประเทศ

เรามีศานาพุทธเชิงวิทยาศาสตร์ การพึ่งพาตนเอง(อัตตาหิ อัตโนนาโถ)แต่เรากลับอ่อนแอ เหล่าพุทธบริษัทพากันนำลัทธิไสยศาสตร์ ศาสตร์แห่งความหลับไหลไร้ปัญญา

ไม่คิดพึ่งตนเอง คิดพึ่งพากราบกรานขอๆๆและขอ ขอจากพระรูปปั้น เทพเทวดา นางไม้(ท่อนซุง)

พระพุทธเจ้าทรงปฏิรูปออกมาจากศาสนาพราหมณ์ที่คนต้องพึ่งพาเทพเจ้า และมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ขาดความเป็นมนุษย์ที่ควรเท่าเทียมกันทางโอกาส มาเป็นศาสนาพุทธ ที่ใช้ปัญญา มีเมตตากรุณาต่อกัน

มีองค์กรชุมชนสังฆะ ขนาดเล็ก แต่กระจายไปทั่ว มีพุทธบริษัทสี่ครบ ดูแลกันและกัน มีกฎกติกาพระธรรมวินัย

แต่คนไทยก็ละเลยไม่นำพาสิ่งดีที่มีอยู่ในสังคม
ศาสนาพุทธเป็นต้นแบบสังคมประชาธิปไตยและเศรษฐกิจแบบพอเพียง พึ่งตนเองอยู่แล้ว เพราะอะไรคนไทยจึงไม่ใช้สติปัญญาและมีวินัยพร้อมความเข้มแข็งเล่า? เราแยกความอ่อนโยนไม่ออกจากความเข้มแข็งหรือ?

บูรณาการระบบและโครงสร้างองค์กร คน กระบวนการ เข้าด้วยกัน หากนำหลักการเชิงพุทธมาใช้อย่างเข้มแข็ง ฝึกปฏิบัติตั้งแต่เป็นเยาวชน

ในขณะเดียวกัน เราต้องไม่ละเลยแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ ศิลปะวิทยาการแบบตะวันตกไปด้วย

เพราะเราไม่มีการพัฒนา เราจึงไม่มีนวัตกรรม แล้วมันจึงมีการคอร์รัปชั่น การฉ้อราษฎร์บังหลวงไปทุกหย่อมหญ้าข้าราชการ เพราะเราจนลงๆ ขายสินค้าธรรมชาติที่ขาดมูลค่าเพิ่ม ราคาถูก ซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ราคาแพง ซื้อแพงขายถูกอยู่ตลอดชั่วนาตาปี ประเทศจนลงๆ งบประมาณน้อย ข้าราชการจึงมีรายได้ต่ำกว่าพ่อค้า กสิกรและกรรมกรยิ่งแล้วใหญ่ และเราก็อ่อนปวกเปียกแบบขนมชั้น ในทางจริยธรรม ศาสนธรรม จึงเป็นทวีคูณของการฉ้อฉลกันทั้งประเทศ

จะไม่ให้เกิดคอร์รัปชั่นได้อย่างไร? เมื่อเงินพ่อค้ามันมาล่อใจอยู่ตรงหน้า

ความอยุติธรรมและคอร์รัปชั่นมันคือสนิมมันคือมะเร็งของระบบองค์กรทุกประเภท การออกแบบองค์กรให้เลิศประเสริฐศรีอย่างไร? หากมีเชื้อมะเร็ง ก็ต้องมีองค์กรยุติธรรมที่เข้มแข็งจริง ไม่ถูกแทรกแซงทางอำนาจ ไม่ถูกซื้อ เป็นกำแพงคอยปกป้ององค์กรหลัก คอยปกป้องผู้มีอำนาจสูงสุดมิให้ลุอำนาจ หลงอำนาจ

พรรคการเมืองที่มีผู้บริหารเข้มแข็งคอยทัดทานหัวหน้าพรรค เรายังไม่มีพรรคที่ดีแบบนั้น เราต่างรอพรรคการเมืองที่ดีเกิดมาสัก๓-๔พรรค ที่จะเป็นความหวัง

คนไทยทุกคนต้องมีความสนใจการเมือง มีปัญญาความคิด มีความสามารถเชิงเศรษฐกิจครอบครัว พึ่งพาตนเองได้ กลับมาหาพุทธวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่ากลับไปหาศาสนาลัทธิพิธีกรรมที่พึ่งพาเทพยดาฟ้าดิน ฝนตกน้ำท่วม ฝนแล้งแผ่นดินแห้ง

เราต้องสร้างองค์กรทางการเมืองสาขาพรรคย่อยในต่างชุมชนให้มาก ซี่งขณะนี้เรียกว่าเกือบไม่มี องค์กรเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ องค์กรบริหารการศึกษาในชุมชน

หากองค์กรย่อยๆเหล่านี้มีทั่วแผ่นดินไทย มันจะเป็นชิ้นส่วนโครงสร้างย่อยเสริมให้องค์กรรัฐบาลแข็งแรงเอง แบบโครงสร้างหลังคาเหล็ก(TRUSS)ในอาดารโรงงาน

สรุปว่าอย่ามองจำเพาะองค์กรใหญ่ระดับรัฐเท่านั้น องค์กรระดับท้องถิ่นชุมชนเป็นเรื่องต้องจัดการให้เข้มแข็ง ไปพร้อมๆกันด้วยครับ







โดย: ขามเรียง วันที่: 21 เมษายน 2551 เวลา:23:13:11 น.  

 
จุงครับ โครงสร้างองค์กรสังคมมันมีภาวะพลวัต(Dynamics) ไม่นิ่ง กึ่งชีวิต

ผมชอบคิดอะไรในรูปแบบกราฟฝิก(Diagram Model) อยากชวนให้เขียนเส้นไดอะแกรม ๒แกน แกนตั้งและแกนนอน

แกนนอน เป็นแกนองค์กร ดีกรีซ้ายจากองค์กรชุมชนไปขวาสุดที่องค์กรรัฐบาล ตรงช่วงกลางเป็นองค์กรระดับภาคหรือระดับจังหวัด

ส่วนแกนตั้งเป็นแกนมนุษย์ ดีกรีล่างเริ่มที่มนุษย์ชุมชน ตรงกลางเส้นตั้งเป็นมนุษย์ภาค(หรือระดับจังหวัด)ไปดีกรีบนสุด สุดที่มนุษย์เมืองหลวง

เมื่อเราทำการประสานเส้นแกนทั้งสองเข้าด้วยกัน จะสามารถมองเป็นเก้าช่อง ขององค์กรและมนุษย์๙ลักษณะ

มนุษย์การเมืองจะไต่พลวัตประสบการณ์จากองค์กรชุมชนเมื่ออายุวัยหนุ่มสาว ไปสู่องค์กรจังหวัดหรือระดับภาคขึ้นไปสู่องค์กรระดับรัฐเมื่อวัยวุฒิสูงขึ้น

อนึ่งแนวความคิดแบบผู้นำเดี่ยวนั้นเริ่มล้าสมัย โอกาสการลุอำนาจ หลงอำนาจมาเป็นส่วนตัว และความซับซ้อนของปัญหาสังคม มีมากเกิน จึงหันมามองว่า ผู้นำแบบแผงหรือกลุ่ม ไม่มีภาวะพระเอกมากเกินไปในเชิงการตัดสินใจเพื่อการบริหาร จะดีกว่าในยุคใหม่ต่อจากนี้ไป


โดย: ขามเรียง วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:0:04:06 น.  

 
เรามาต่อเรื่องนี้กันอีกนะจุง...

ปัญหาขององค์กรภาครัฐกับบริบทวัฒนธรรมขนมชั้นแบบไทยเรา ที่ไม่สามารถรับรูปแบบของอังกฤษและอเมริกันได้นั้น จุงจึงอยากได้Idea รูปแบบอื่น

หากถามว่ามีหรือไม่? ตอบว่ามีอีกมากมายหลายรูปแบบครับ อันที่จริงผมทราบมาว่า นักร่าง รธน.จากสายเยอรมันนี ก็ได้นำหลักการทีดี มาผสมผสานอยู่หลายส่วน

นักร่างรธน.ของเราได้พยายามทำทุกครั้งที่มีโอกาส แต่มันมีประเด็นสำคัญ ที่สังคมของเรายินดีจะสวมใส่เสื้อเหลืองกันอยู่ ตรงนี้อุดมการณ์ต่อต้านการเมือง(สุรชาติ บำรุงสุข,บทความประจำมติชนสุดสัปดาห์๑๘-๒๔เม.ย.๕๑,น.๓๖) จึงทำให้กองทัพที่ผูกพันอยู่กับชนชั้นนำดั้งเดิม ถูกนำมาเป็นเครื่องมือเข้าแทรกแซง ล้มล้างรธน.และองค์กรรองรับ เมื่อองค์กรเกิดปัญหาในตัวมันเอง จะจากระบบกลไกองค์กร หรือจากคนในองค์กรเองก็ตามที

หากเราอดทนไม่ใช้กำลังกองทัพเข้าแทรกแซง เราจะสามารถพัฒนาองค์กรรัฐบาล และระบบองค์กรราชการที่เป็นกลไกหรือเครื่องมือของรัฐบาลให้ดีขึ้นได้เป็นลำดับ

จะดีกว่าการเคลื่อนกองทัพเข้ามา ซึ่งนานาชาติโดยเฉพาะเจ้าตำรับอย่างรัฐบาลอเมริกัน ลูกพี่ใหญ่ของระบบเขาไม่ชอบ

นอกจากระบบองค์การราชการที่มาเป็นกลไกรองรับภายหลังการเลือกตั้งแล้ว องค์กรสนับสนุนก่อนการเลือกตั้งที่สำคัญคือ ๑.พรรคการเมืองกลุ่มผลประโยชน์หลัก ๒.องค์กรอิสระที่บริหารจัดการเลือกตั้ง ต้องเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม

จึงจะได้มาซึ่งผู้คน ตัวแสดงในองค์กรภาครัฐบาลที่ดีและเก่ง มาประกอบการแสดงบนเวทีการบริหารประเทศ

ลำพังจะออกแบบองค์กรรัฐบาลให้ได้ดีวิเศษปานใด ด้วยรูปแบบเลิศปานใดก็ตามที หากองค์กรก่อนหน้าและองค์กรรองรับภายหลังไม่เข้มแข็งแล้ว เมื่อได้ตัวแสดงไม่เก่ง และดีพอเข้ามา ก็อย่าหวังว่าจะยั่งยืน

เพราะมันมีลัทธิอุดมการณ์ต่อต้านการเมือง คอยขย้ำอยู่แล้ว

"ความสมบูรณ์ของการต่อต้านการเมืองก็คือการมีผู้นำที่ไม่ยุ่งกับการเมือง และปฏิเสธการแบ่งฝ่าย ซึ่งความต้องการเช่นนี้ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าผู้นำแบบทหาร"(Brian Loveman,The Polities of Antipolitics-1968;อ้างอิง สุรชาติ บำรุงสุข,บทความเดียวกัน)



โดย: ขามเรียง วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:14:23:42 น.  

 
ขอแนะนำองค์กรพรรคการเมือง เป็นรูปแบบของกลุ่มยุโรป ที่น่าจะเหมาะสมกับอนาคตครับ
www.sdfp.org

แผ่นดินเป็นของเยาวชนคนรุ่นต่อไปด้วย ควรได้ศึกษาวิธีการ นำองค์กรการเมืองที่ดีมาทำให้เกิดองค์กรรัฐบาลที่ดีและมีประสิทธิภาพต่อไป


โดย: ขามเรียง วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:15:22:58 น.  

 
ผมกำลังนำเสนอ ปฏิจจสมุปบาทองค์การประชาธิปไตยไทย : วงกลมองค์การประชาธิปไตย. ความคิดที่เป็นระบบซึ่งมีองค์การต่างๆที่เกี่ยวข้อง เป็นตัวแสดง เริ่มตั้งแต่สภาร่างรัฐธรรมนูญ-สภานิติบัญญัติ-องค์กรภาคประชาชนทุกภาคส่วน-องค์กรสื่อมวลชน-องค์กรคณะกรรมการเตรียมการเลือกตั้ง-พรรคการเมือง-องค์การราชการ-และคณะปฏิวัติ/ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฯลฯ ?

กระบวนการก่อนการเลือกตั้ง-เลือกตั้ง-และกระบวนการบริหารในรัฐสภานิติบัญญัติ-คณะรัฐมนตรี-คณะตุลาการ-องค์การปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ-กระบวนการหลังการบริหารล้มเหลว-คณะปฏิวัติ/ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน


โดย: ขามเรียง วันที่: 8 พฤษภาคม 2551 เวลา:13:39:18 น.  

 
องค์การหรือตัวแสดงหลัก๓องค์การ ที่ทำให้องค์การรัฐบาลล้มเหลว มาจากองค์การพรรคการเมืองที่อ่อนแอหรือเป็นพรรคเฉพาะกิจสำหรับรองรับหัวหน้าพรรคและลิ่วล้อที่แสวงหาอำนาจส่วนตัว แสวงหาโอกาสและผลประโยชน์ทุกชนิด ซึ่งมีตัวแสดงในระบบราชการที่ล้าสมัย อ่อนแอมาเป็นเครื่องมือรับใช้และขอกินตามน้ำ กับองค์การภาคเศรษฐกิจเอกชนที่แสวงหากำไรสูงสุดทางการเงินเข้ามาเป็นตัวเสนอผลประโยชน์สูงสุดให้ผู้เกี่ยวข้อง อย่างแนบเนียนหรือพยายามช่วยกันทำให้สนิทมิดชิด ปิดช่องโหว่ สาธารณะชนในหลายครั้งได้กลิ่นความฉ้อฉล แต่ก็ไม่อาจขัดขวางไม่มีหลักฐานนำสู่การจับผิด เพื่อลงโทษได้
องค์การหลัก๓ตัวแสดงนี้ คือการคอร์รัปชั่นเชิงระบบเชิงนโยบาย

ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขายสิทธิเพราะยากจน

แต่พรรคเล็กพรรคกลางที่ขายพรรคตัวเอง แล้วเข้าไปร่วมกับพรรคใหญ่ อย่างนี้จะเรียกว่าอะไรดี?


โดย: ขามเรียง วันที่: 8 พฤษภาคม 2551 เวลา:14:19:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขามเรียง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ขามเรียง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.