การเต้นรำ ศาสตร์ศิลปชีวิตคู่
เต้นรำBallroom: ปรัชญา ศาสตร์ศิลป การใช้ชีวิตคู่
“ลีลาศ” หมายถึงการเต้นเพื่อความสนุกสนานและได้พบกับบุคคลอื่นๆ ในสังคมในงานสังสรรค์ หรืองานราตรีสโมสร ลีลาศนี้ มีมานับเป็นพันๆ ปีแล้ว แต่เพิ่งมีหลักฐานแน่ชัดเมื่อประมาณ ปี ค.ศ.1400 ซึ่งได้อธิบายถึงการก้าวเดิน และดนตรีการเต้นรำแบบบอลรูม (Ballroom Dancing) เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างชาติและเผ่าพันธุ์ต่างๆ ถึงแม้ว่าชาวตะวันตกจะนิยมกันอย่างมาก แต่การเต้นรำแบบบอลรูมก็เป็นที่ยอมรับของชนทุกชาติ
ในสมัยดึกดำบรรพ์ ชาวสปาร์ต้า จะฝึกกีฬา เช่น ชกมวย, ยิงธนู, วิ่ง, ขี่ม้า ล่าสัตว์ รวมการ เต้นรำ ส่วนชาวโรมันมีการเต้นรำเพื่อแสดงความกล้าหาญ ผู้ที่มีชื่อเสียงในการเต้นตำของโรมันคือ ซีซีโร (Cicero : 106 – 43 B.C.) การเต้นรำแบบบอลรูม เริ่มตั้งแต่สมัยพระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่ 1 ซึ่งสมัยนั้นครั่งไคล้การเต้นรำที่เรียกว่า “โวลต้า” (Volta) ซึ่งมีการจับคู่แบบวอลซ์ในปัจจุบัน การเต้นแบบโวลต้านั้นฝ่ายชายจะช่วยให้ฝ่ายหญิงกระโดดขึ้นในอากาศด้วย ซึ่งพระราชินีเอง ทรงพอพระทัยมาก เช็คสเปียร์ (Shakespeare : 1564 – 1616) อยู่ในกรุงลอนดอนหลายปี ได้กล่าวไว้ในบทละครเรื่องพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ว่า มีการเต้นอีกอย่างเรียกว่า “โคแรนโท หรือ โคแรนเท” (Courante) สมัยศตวรรษที่ 17 การเต้นรำมีแบบแผนมากขึ้น จอห์น วีเวอร์ และ จอห์น เพทฟอร์ด (John Weaver & John Playford) เป็นนักเขียนชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง เพลฟอร์ด ได้เขียนเกี่ยวกับการเต้นรำแบบเก่าของอังกฤษ ซึ่งรวบรวมได้ถึง 900 แบบอย่าง
เต้นรำแบบบอลรูมในจังหวะวอลซ์ (Waltz) ได้เริ่มขึ้นประมาณ ค.ศ. 1800 เป็นจังหวะที่นิยมกันมากในสมัยนั้นในสมัยพระนางเจ้าวิคตอเรีย (The Victorian Era : 1830 – 80) การไปงานราตรีสโมสร หนุ่มสาวจะไปเป็นคู่ๆ ต้องต่างคนต่างไป และฝ่ายชายจะขอลีลาศกับหญิงคนเดิมมากกว่า 4 ครั้ง ไม่ได้ หญิงโสดก็จะต้องมีพี่เลี้ยงไปด้วย ฝ่ายหญิงจะมีบัตรเล็กๆ สีขาว จดบันทึกไว้ว่า เพลงใดมีชายขอจองลีลาศไว้บ้างในศตวรรษที่ 20 นิโกรในอเมริกา มีบทบาทมากทางด้านดนตรี และลีลาต่างๆ ในนิวออร์ลีน มีการเล่นดนตรีแบบพื้นเมืองของอาฟริกา ตอนแรกเรียกว่าจังหว(Syncopation) มีท่วงทำนองเร้าใจ และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแจ๊ส (Jazz Age) สมัยเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 1 ใหม่ๆ ดนตรีจังหวะนี้ก็เข้ามาแพร่หลายในอังกฤษ พร้อมๆ กันนั้นก็มีจังหวะพื้นเมืองอีกจังหวะหนึ่งมาจากอเมริกาใต้ คือ จังหวะแทงโก (Tango) ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากเพลงพื้นเมืองของพวกคาวบอยในอาร์เยนตินา ยุคนั้นเรียกว่า แร็กโทม์ (Rag – Time) ซึ่งการเต้นไม่มีกฏเกณฑ์อะไร ต่อมาประมาณปี ค.ศ.1929 มีครูลีลาศในอังกฤษรวมกันเป็นคณะกรรมการปรับปรุงการลีลาสแบบบอลรูมขึ้นมาเป็นมาตรฐาน 4 จังหวะ (ถ้ารวมควิกวอลซ์ด้วยจะเป็น 5 จังหวะ) ถือว่าเป็นแบบฉบับของชาวอังกฤษ คือ วอลซ์ (Waltz) ควิกสเต็ป (Quickstep) แทงโก (Tango) และ ฟอกซ์ทรอต (Fox-trot) เนื่องจากอิทธิพลของยุคแจ๊ส (Jazz Age) ก็ได้เกิดการลีลาศแบบลาตินอเมริกา ซึ่งจัดไว้เป็นมาตรฐาน 4 จังหวะ (ถ้ารวมพาโซโดเบิ้ล ก็จะเป็น 5 จังหวะ) คือ รัมบ้า (Rumba) ชา ชา ช่า (Cha – Cha – Cha) แซมบ้า (Samba) และไจว์ฟ (Jive) โดยคัดเลือกจากการลีลาศประจำชาติต่างๆ เช่น แซมบ้าจากบราซิล รัมบ้าจากคิวบา พาโซโดเบิ้ลจากสเปน และไจว์ฟจากอเมริกา ประเภทของลีลาศ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท 1.ประเภทบอลรูม (Ballroom) มีลักษณะการเต้นเต็มไปด้วยความอ่อนหวานลำตัวตั้งตรง ผึ่งผาย ไม่โยกหรือส่ายสะโพกมาก ประกอบไปด้วย 5 จังหวะ คือ 1. วอลทช์ (Waltz) 2. แทงโก้ (Tango) 3. สโลว์ฟอกซ์ทรอท (Slow Fox Trot) 4. ควิกสเตป (Quick Step) 5. ควิกวอลทซ์ (Quick Waltz) 2. ประเภทลาตินอเมริกัน (Latin American) มีลักษณะการเต้นที่มีการเคลื่อนไหว ลำตัวมาก โดยมากจะใช้สะโพก เอว เข่า และข้อเท้าเป็นสำคัญ ประกอบด้วย 5 จังหวะ คือ 1. ช่า ช่า ช่า ( Cha Cha Cha ) 2. คิวบันรุมบ้า (Cuban Rumba) 3. แซมบ้า (Samba) 4. ไจฟว์ (Jive) 5. พาโชโดเปล 3. ประเภทเบ็ดเตล็ดต่างๆ ลักษณะการเต้นเป็นจังหวะที่ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป เป็นที่นิยมเต้นกันในประเทศไทยมาก ประกอบไปด้วย 1. กัวราช่า ( Guaracha ) 2. รุมบ้า (American Rumba) 3. บีกิน (Beguine) 4. ตะลุง (ข้อมูลจาก: นายพงศ์สัน เเสนมาโนช , น.ส.ภัทราวรรณ นันต๊ะสาย)
ปรัชญาของการเต้นรำแบบบอลรูม คาดไม่ถึงว่าการเต้นรำแบบบอลรูม สามารถแสดงความเป็นปรัชญาออกมาได้ มีผู้กล่าวถึงปรัชญาAction/Reaction-กริยา/ปฏิกริยา ในคู่เต้น บอกว่าการเต้นรำแบบนี้ นอกจากการคำนึงถึงการเคลื่อนที่ไปตามจังหวะ ท่วงทำนองและทิศทางแล้ว คู่เต้นยังต้องคำนึงถึงมารยาทการนำและการตาม หมายความว่าคู่เต้นคนใดคนหนึ่ง จะเอาแต่ใจตนเองเป็นหลักในการเต้นไป ทำตัวทำท่าทางสวยสุดตามลำพัง หามิได้ ฝ่ายนำต้องคำนึงถึงฝ่ายตามที่อาจมีฝีเท้าอ่อนกว่า อาจต้องสังเกตและเลื่อนตัวไปอย่างรั้งรอให้ฝ่ายตามเคลื่อนตัวได้ทัน การสำแดงตัวแบบที่เธอหรือคุณต้องไปให้ทันทุกท่วงท่า ตามแต่ที่ฉันจะลากเธอไปทางโน้นทางนี้ ด้วยวงแขนและฝ่านิ้วมืออันรุนแรง หวังจะให้ผู้ดูเห็นว่าฉันเก่งฉันแน่ อีกทั้งหมายบอกว่าฉันเก่งกว่าคู่เต้นอีกด้วย การปฏิบัติแบบนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติคู่เต้น ครูบางสำนักขาดปรัชญาการสอนที่ดีไม่ได้สอนปรัชญาตามที่กล่าว การเต้นรำบอลรูมนำมาประยุกต์ใช้เป็นศาสตร์ในการใช้ชีวิตคู่ได้ดี การให้เกียรติ การยอมรับความแตกต่างในการดำเนินไปด้วยกันอย่างเข้าใจคู่ตรงข้าม เป็นเรื่องควรเรียนรู้ เป็นความรับผิดชอบที่ต่างฝ่ายต่างตัดสินใจเลือกเป็นคู่เอง อยากกล่าวเป็นพิเศษ การเล่นกระทู้บางห้อง มีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่เรียกได้ว่า เข้ามาเพื่อแสดงความแน่ของตน ตอบกระทู้ข่มชาวบ้าน มุ่งหวังเอาชนะคะคาน ในใจเต็มไปด้วย”ทริก”ไล่ต้อนด้วยคำถาม และคำถามจำนวนมากก็ไร้ทิศทางและเป้าหมายของกระทู้ ในใจคิดแต่คำว่า”ชนะ ชนะ” ศาสตร์และศิลปะการเต้นรำ การเต้นรำแบบบอลรูมเป็นทั้งศาสตร์และศิลป ศาสตร์ที่กล่าวถึงคือศาสตร์ของการออกกำลังกายอย่างอ่อนโยน การใช้จิตวิทยาในการเข้าสังคม การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เหมาะแก่การเลื่อนไหวและสวยงาม ศิลปการเคลื่อนตัวของคู่เต้น เป็นศิลปประติมากรรมเคลื่อนไหว(Moving sculture) อย่างมีจังหวะ ท่วงท่า ตามท่วงทำนองของตนตรี เป็นสุนทรียะของพิธีกรรม กิจกรรมสังคมสัมพันธ์ที่ดีงามอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ สำหรับผู้ที่จะมีชีวิตสมรสที่ราบรื่นก้าวหน้าไปด้วยดี การได้มีโอกาสไปเต้นรำบอลรูมกับเพื่อนเพศตรงข้าม การได้สัมผัสก่อนแต่งงานและเรียนรู้ จากการอ่านพฤติกรรมของคู่เต้น อาจได้ทราบอะไรหลายอย่างทั้งปรัชญา ศาสตร์ศิลปที่มีในตัวเขา ผมคิดว่ามันคุ้มค่า หากพวกเราจะหันกลับมาเอาใจใส่
Create Date : 17 ธันวาคม 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 17 ธันวาคม 2552 10:16:48 น. |
Counter : 1615 Pageviews. |
|
|
|