"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ) จะวางแผงแล้ว~ ขอฝากงานเขียนของ "คีตภา" ไว้ด้วยนะคะ ^^

Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
28 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
(100%) === สองรักล้นใจ # 9 : สองคนของใจ ===









- 9 -



“แต่งงานกับผม”

ทวิพัทธ์ย้ำอีกครั้ง อมยิ้มกับสีหน้างุนงงเหมือนถูกหมัดเด็ดสอยเข้าอย่างจังของรุจศยา นานๆ จะได้เห็นเธอออกอาการ ‘เหวอ’ ลิ้นคับปากพูดไม่ออก ทำตาพองมองเขาอย่างกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ชายหนุ่มเขยิบเข้าไปจับมือเย็นชืดข้างหนึ่งมาเกาะกุม มิไยหญิงสาวจะสะดุ้งชักมือออกราวกับถูกของร้อนจัด มือใหญ่ก็ยังตรึงมือเล็กกว่าไว้ ไม่ยอมปล่อยให้เธอถอยกรูดไปไกลหรือลุกหนีไปดื้อๆ ปากก็สรรหาเหตุผลมาโน้มน้าวใจเธอต่อ

“ผมอาจจะใช้หนี้ทั้งหมดของแม่คุณจ๋าหมดเรียบไม่ได้ แต่ก็พอจะช่วยจัดการปัญหาหลายอย่างให้คุณจ๋าได้ คุณจ๋าจะมีบ้านอยู่ จะไม่เหลือตัวคนเดียวอีก ในฐานะผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมีครอบครัวอบอุ่นบวกกับความใกล้ชิดทางสายเลือดมากที่สุด คุณจ๋าต้องได้เป็นผู้ปกครองจั๊มพ์แน่ๆ”

รุจศยากะพริบตาปริบๆ เริ่มจะเรียกสติสตังที่กระเจิดกระเจิงไปกลับคืนมาได้หลายส่วน เธอเหมือนคนใกล้จมน้ำตาย เห็นขอนไม้ลอยมาลิบๆ ย่อมต้องเกิดความหวังเป็นธรรมดา หากยังหวั่นใจว่าอาจเจอภาพลวงตาของจระเข้เข้าก็ได้

มาตรว่าทวิพัทธ์จะมีน้ำใจต่อเธอกับน้องชายมากเพียงใด แต่การทุ่มให้ขนาดนี้ออกจะมากเกินไป นิสัยด้านร้ายของเขาที่ทั้งกะล่อน เจ้าเล่ห์ ชอบแกล้งคน...โดยเฉพาะเห็นเธอเป็นของเล่นที่ต้องยั่วให้หัวปั่นหัวหมุนยังฝังแน่นอยู่ในใจ กลไกป้องกันตัวเองสั่งให้เธอตีหน้าเคร่งเอ็ดเขาโดยอัตโนมัติ

“คุณอย่าพูดบ้าๆ การแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นกันนะ”

“ผมพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น”

“ฉันไม่เชื่อ คุณต้องอำกันอีกแน่ๆ คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าอย่างฉันน่ะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายบนโลกที่คุณจะยอมแต่งงานด้วย”

หญิงสาวหยิบยกอดีตมาเอ่ยอ้าง สุ้มเสียงกระด้างพอกับแววตาที่จับจ้องชายหนุ่มไม่ลดละ ยังจดจำวาจาดูถูกดูแคลนของเขาได้แม่นยำเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ ไม่ใช่ล่วงเลยมานานปี...ทุกถ้อยคำเปรียบดังแส้หนามแหลมฟาดตีเธอให้เจ็บอายและเสียความรู้สึกอย่างแรง

มิตรภาพที่เคยมีต่อกันถึงคราววิบัตินับแต่นั้นมา...

ทวิพัทธ์หน้าตาจืดเจื่อน ยกนิ้วมือข้างที่ว่างเกาข้างแก้มเก้อๆ เหมือนเด็กทำผิดแล้วพยายามลืมมัน แต่ผู้ใหญ่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ นำกลับมาประจานให้อับอายขายหน้าอีกครั้ง

“คุณจ๋ายังจำได้อีกเหรอ”

“มันไม่นานพอจะลืมได้หรอกนะ”

ใช่... ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกอย่างเห็นด้วยกับหญิงสาว ...มันยังไม่นานพอที่เขาจะลืมได้เช่นกัน...

============================


ย้อนเข็มนาฬิกาหรือพลิกปฏิทินกลับไปประมาณสองสามปีก่อน ทวิพัทธ์ได้รู้จักกับรุจศยาในงานแสดงภาพยนตร์โฆษณากล้องถ่ายรูปพกพารุ่นใหม่ล่าสุด แพร่ภาพออกไปแล้วก็ได้เสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้ชม ยอดขายพุ่งทะลุเป้าจนกล้องบางสีถึงกับขาดตลาดชั่วคราว

ตอนนั้นเขากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นสุดขีด โด่งดังจากการแสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์กับศิลปินคู่ยอดนิยมวงแท็ค-ทีม รับบทคู่ซี้จอมกวนผู้ทรงเสน่ห์ ขโมยซีนไปอื้อซ่า ได้ร่วมร้องเพลงและแสดงมิวสิกวิดีโอเพลงโปรโมต เรื่อยไปถึงเดินสายโชว์ตัว ถ่ายแบบลงนิตยสาร ออกรายการจอแก้ว และเป็นแขกรับเชิญให้สองสหายในยามเปิดการแสดงในสถานที่ต่างๆ เก็บเกี่ยวผลลัพธ์งามๆ จากภาพยนตร์ที่โกยทั้งเงิน รับทั้งกล่อง และก่อกระแสแรงสุดในรอบปี มีงานใหม่ๆ ติดต่อมาไม่ขาดสาย แต่เขาก็กลั่นกรองรับเฉพาะงานที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และเพิ่มชื่อเสียงให้ตัวเอง หลายคราวได้พบปะหรือร่วมงานกับรุจศยาจนสนิทสนมกันมากขึ้น ส่งผลให้ผองเพื่อนสายวิทยุและโฆษณาที่นำทีมโดยอิสรีกระเซ้าเย้าแหย่เล่นบ่อยหน

‘สอง...แกนี่ชักยังไงๆ อยู่นา เจอคุณจ๋าทีไรหูตาระริกระรี้ขึ้นมาเชียว’

‘เจ๊พูดจาทำลายความแมนของผมหมด ผมไม่ใช่ปลากระดี่ได้น้ำนะ’

‘อูย...ไม่บอกฉันก็นึกว่าแกโดนมนตร์คุณจ๋าจนกลายร่างไปแล้วซะอีก พักหลังนี้เห็นทำตัวน่ารักผิดหูผิดตา หญิงไม่ยุ่ง มุ่งแต่งาน’ อิสรีแซว ทำตาเล็กตาน้อยอย่างสนุกสนานที่ได้ไล่ต้อนเขาเข้ามุมบ้าง ‘แอบกิ๊กกั๊กกับคุณจ๋าก็สารภาพมาซะดีๆ เถอะไอ้เจ้าสอง ฉันอาจจะเมตตาเป็นกามเทพอุ้มสมให้ก็ได้ ว่าแต่พ่อคนเนื้อหอมจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเรตติ้งจะตกวูบหรือเปล่า แฟนคลับจะว่าไงบ้างเนี่ย ที่แน่ๆ ยายน้องแหวนคงเฮิร์ตสุดๆ อุตส่าห์ตามกรี๊ดพี่สองมาตั้งแต่เป็นนิสิต พอจะได้ทำงานด้วยกันเต็มตัวหน่อยยังแห้วอีก วาสนาไม่มีจริงๆ ยังไงก็เคลียร์กิ๊กเล็กกิ๊กน้อยตามรายทางของแกให้เรียบร้อยด้วยล่ะ คุณจ๋าไม่ลุกไปตบตีกับผู้หญิงคนไหนเพื่อแกหรอกนะ’

‘เลิกพูดบ้าๆ เถอะเจ๊!’ เขากระแทกเสียงห้ามอย่างหงุดหงิด กระดกเหล้าผสมโซดาเข้าปากปานน้ำเปล่า หวังให้ความเย็นดับความกระวนกระวายลึกๆ แต่กลับกลายเป็นสาดน้ำมันใส่กองเพลิงให้ร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ ‘ผมเป็นผู้ชาย ชอบมองผู้หญิงสวยอยู่แล้ว คุณจ๋าเองก็สวยดี แค่มองก็ไม่สึกหรออะไร ปากเจ๊ต่างหากที่จะทำให้คุณจ๋าเสียหาย’

‘ไอ้นี่ ปากแข็งนัก แอบปิ๊งคุณจ๋าก็บอกเหอะ’

‘ไม่!’

‘เออ ท่องคำนั้นให้ได้ตลอดแล้วกัน แต่แกหัดเจียมตัวไว้น่ะดีแล้ว เพราะดอกฟ้าอย่างคุณจ๋าคงไม่สนหมาวัดขี้กลากขึ้นอย่างแกให้เสียสายตาหรอก’

‘โฮ่...ถ้าคุณจ๋าเป็นดอกฟ้า ผมเป็นหมาวัด เจ๊คงเป็นคนสวนดูแลดอกไม้และคอยไล่หมาวัดสิ’ ทวิพัทธ์สวนคืนอย่างปากไว ไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนร่วมวงเริ่มสงบปากสงบคำ อารมณ์ครึ้มๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ผ่านลำคอหลายแก้วกระตุ้นให้เขาพ่นต่ออย่างคึกคะนอง ‘ถึงผมจะเป็นหมา ผมก็เลือกดอกไม้ดมนะ ถ้าจะมีแฟนสักคนก็อยากได้ผู้หญิงน่ารักไว้นัวเนียฉอเลาะให้ชื่นใจ ไม่ใช่ต้องคอยระวังยกขึ้นหิ้งบูชา คุณจ๋าน่ะทั้งถือตัว ทั้งโคตรเนี้ยบ วางตัวสูงลิบ ทำเล่นด้วยไม่ได้หรอก ผู้ชายคนไหนได้ไปเป็นแฟนเป็นเมียคงเกร็งแล้วก็เซ็งตายชัก อารมณ์เลิฟซีนฝ่อหมด หม้อข้าวไม่ทันเดือดไม่ทันดำคงเผ่นกระเจิงแน่บ ผมขอมองเฉยๆ แหย่เล่นขำๆ ไปวันๆ ก็มันส์พอแล้ว แต่ถ้าคุณจ๋าจะหลงเสน่ห์ผมเองก็ช่วยไม่ได้ เพราะอย่างคุณจ๋าน่ะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายบนโลกที่ผมอยากได้เป็นแฟนหรือแต่งงานด้วยล่ะ’

ครีเอทีฟสาวที่โดนลดชั้นเป็น ‘คนสวน’ หน้าซีดเผือดเลิ่กลั่ก ยกเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะเตะขา ‘หมาวัด’ แรงๆ กลอกตาบอกใบ้ให้หันไปอีกทาง ทวิพัทธ์ปฏิบัติตามและก็หวิดทำแก้วเหล้าตกแตกเมื่อพบภาพ ‘ดอกฟ้า’ ยืนอยู่ห่างแค่ก้าวเดียว

ค่ำคืนนั้นรุจศยามีนัดกับเพื่อนที่สวนอาหารแห่งเดียวกัน หญิงสาวเลือกร้านนี้จากคำแนะนำของอิสรีที่การันตีว่าของกินอร่อย บรรยากาศดี ราคาสมเหตุสมผล ตอนย่างเท้าเข้ามาพบกลุ่มคนคุ้นตากำลังสรวลเสเฮฮาเสียงดังก็ขอปลีกตัวมาทักทายสักครู่ และได้ยินเต็มสองหูว่าเธอตกเป็นหัวข้อสนทนาที่ไม่น่าฟังนักในวงเหล้า

รุจศยาจ้องมองชายหนุ่มเหมือนเพิ่งเห็นตัวตนที่แท้จริงเป็นครั้งแรก มีร่องรอยความตกใจ คาดไม่ถึง ผิดหวัง โกรธ แค้น และเจ็บปวดพาดผ่านแก้วตางามแวบเดียวก็หายไป ควบคุมตัวเองได้อย่างน่าทึ่งเหมือนเคย ปากยิ้มทักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไต่ระดับไม่ถึงดวงตาคมบาดใจทุกคนที่นั่งกระสับกระส่ายเหมือนถูกผีปอบสิงไม่กล้าสู้สายตาคน

หญิงสาวพูดคุยด้วยสั้นๆ แล้วก็ผละไป ทิ้งให้คนข้างหลังกลืนน้ำลายฝืดๆ บังเกิดความละอายยิ่งกว่าถูกด่าสาดเสียเทเสียเป็นไหนๆ ต่อจากนั้นรุจศยาก็ตีตัวออกห่างดีเจหนุ่ม แสดงความรังเกียจเด่นชัด ไม่นานก็ได้พบกับชานนท์และจับงานโฆษณาให้บริษัทของเขาพร้อมกับพัฒนาความสัมพันธ์เป็นคู่รัก ถึงแม้ทวิพัทธ์จะเพียรตีสนิทกับเธอเหมือนเดิมเท่าไหร่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ทางด้านอิสรีกับผองเพื่อนก็เข็ดหลาบ ไม่กล้านำเรื่องนั้นมาล้อเลียนอีก

จวบจนทุกวันนี้สายตาของเธอก็ยังตามหลอกหลอนส่วนลึกของเขาอยู่...

กาลเวลาสอนให้เขารู้จักนิสัยใจคออีกด้านหนึ่งของรุจศยา...ด้านที่ไม่ได้นุ่มนวลเยือกเย็นดั่งเปลือกนอก ตรงข้ามกลับเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง แข็งกร้าว ไม่ยอมผ่อนปรน...หญิงสาวไม่เคยอภัยให้ผู้ที่ทรยศต่อความคาดหวังของเธอง่ายๆ มันเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจถ่องแท้จากประสบการณ์ตรง

รวมทั้งค่อยๆ ตระหนักรู้ว่าความผิดพลาดครั้งนั้นทำให้เขาสูญเสียอะไรไป!

============================


“ผมเสียใจ...ผมขอโทษทุกๆ เรื่องเลย...คุณจ๋าจะยอมยกโทษให้ผมจริงๆ สักทีได้ไหม”

ทวิพัทธ์เอ่ยคำเหล่านี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็คร้านจะจำ ตัวเขาทำเรื่องไม่ดีกับรุจศยาหลายอย่าง ไม่ว่าจะขยันปากเสียดูหมิ่นเธอให้เจ็บอาย เฝ้าตอแยยั่วแหย่สร้างความรำคาญ กลั่นแกล้งเธอเล่นให้แค้นใจครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อตอบสนองอารมณ์รักสนุกส่วนตัว แถมยังชอบเข้าไปยุ่มย่ามในชีวิตเธอตามที่ถูกกล่าวหาจนเกิดข่าวชู้สาวให้ชานนท์หยิบไปว่าร้ายและใช้เป็นข้ออ้างสลัดเธอทิ้งดื้อๆ อีก

เขาไม่กล้าขอให้เธอลืมให้หมด แค่หวังว่าเธอจะยอมปล่อยวาง ลดอาการผูกใจเจ็บ เพื่อเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เข้าไปทดแทนได้เต็มที่ในอนาคต

รุจศยาหวั่นไหวกับนัยน์ตาคมที่มองมาอย่างเว้าวอนจนต้องลดแพขนตาลง จำยอมรับว่าไม่ได้โกรธเกลียดเขาเท่าเก่า มันเหือดหายไปเยอะเพราะสิ่งดีๆ ที่เขามอบให้เธอกับน้องชายสม่ำเสมอ...ทวิพัทธ์ก็คล้ายอิสรีที่ห่วงใยเธอ อุทิศตนเป็นเพื่อนและพี่ให้เธอพึ่งพาอาศัย ไม่เคยเอ่ยอ้างบุญคุณสักคำ...จะให้เธอจงเกลียดจงชังมิตรแท้ในยามยากได้อย่างไร

ความขุ่นมัวมากมายค่อยๆ ตกตะกอนลึกในใจ กระนั้นก็ไม่ทราบว่าจะคละคลุ้งขึ้นอีกหรือไม่ หญิงสาวจึงให้คำตอบกลางๆ ว่า

“ไม่รู้สิ”

“งั้นแต่งงานกันนะ”

ทวิพัทธ์วกกลับไปเรื่องเดิมอีกหน รุจศยาทำหน้ากระเง้ากระงอด เผลอชำเลืองค้อนใส่คนที่เร่งเร้ายิกๆ อย่างกับชวนเธอไปชมภาพยนตร์สักรอบ ทั้งที่มันเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวพันกับความสุขของชีวิตที่เหลืออยู่ สมควรคิดให้ถี่ถ้วนแท้ๆ

“คุณพูดง่ายนี่ คิดว่าฉันจะยอมแต่งงานกับผู้ชายที่หาว่าฉันเป็นหงส์ปีกหักและยอมทนให้เขาถากถางดูถูกเพราะติดหนี้บุญคุณไปจนตายหรือไง”

“ทำไมช่างจำนัก แถมมองโลกแง่ร้ายเก่งชะมัด”

ชายหนุ่มบ่นอุบ...เชื่อแล้วจริงๆ ว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ละเอียดอ่อน ช่างจินตนาการ ชอบจดชอบจำเรื่องที่ผู้ชายมักจะเลือนๆ ไปแล้ว และนำมาเป็นประเด็นเล่นงานกันได้ไม่เลิก

...เอาเถอะ...เขาผิดจริงๆ นี่นา ชดเชยให้เธอสักนิด ลงโทษตัวเองสักหน่อย ต่อไปจะได้จำแม่นๆ ว่ามีปากก็อย่าพูดพล่อยๆ อีก...

คิดตกแล้วมือหนาก็ตวัดเข้าที่ครึ่งปากครึ่งแก้มของตัวเองฉาดใหญ่จนรุจศยาตกใจ

“คุณทำอะไรน่ะ!”

“ตบปากใช้คืนคุณจ๋าไง”

ชายหนุ่มทำเช่นนั้นกับแก้มอีกข้างให้เท่าเทียมกัน นิ่วหน้าเหยเกเล็กน้อย หญิงสาวคิดว่าน่าจะเจ็บอยู่หรอก เขาออกจะตัวโตแข็งแรง เล่นฟาดซะเสียงดังแบบนั้น ฟันไม่เฉาะเนื้ออ่อนข้างในจนเลือดกบปากด้วยก็บุญโขแล้ว

ทว่ารุจศยาก็ไม่ห้ามปราม กลับยุซ้ำ

“ตบอีกสิ”

“จะให้ตบอีกกี่ทีล่ะคุณจ๋า ผมไม่ใช่พวกมาโซคิสต์ถึงจะได้มีความสุขกับการทำร้ายตัวเองนะ ไม่คิดเลยว่าคุณจ๋าจะเป็นพวกซาดิสต์ ชอบเห็นคนอื่นเจ็บปวด”

ชายหนุ่มโอดครวญติดจะปากเสียตามนิสัย พอเห็นตาเขียวปั้ดของหญิงสาวก็ชะงัก นึกอยากกัดลิ้นที่ชอบสร้างปัญหาให้ขาดไปรู้แล้วรู้รอด เสียแต่ว่ามันเป็นอวัยวะสำคัญต่อการประกอบอาชีพ ตัวเขาก็ไม่พร้อมจะเป็นคนใบ้ด้วยจึงบรรจงปั้นยิ้มแบบที่คิดว่าน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดเพื่อขอขมาคนที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันดุเขา

“ปากอย่างงี้มันน่าตบให้ฟันร่วงนัก”

“งั้นคุณจ๋าตบเองเลยดีไหม รับรองว่าผมจะไม่จูบตอบตามเทรนด์พระเอกซาตานเด็ดขาด”

ทวิพัทธ์ยื่นข้อเสนอพลางยกมือให้สัตย์ปฏิญาณแข็งขัน การระบายอารมณ์ด้วยตัวเองน่าจะช่วยสลายความแค้นและความเครียดของหญิงสาว มือเรียวคู่นั้นคงไม่แรงเยอะเท่ามือเขา ถ้ามีใครถามว่าหน้าไปโดนอะไรมายังพอยิงมุกอิงความจริงว่าโดนผู้หญิงสวยตบ นั่นย่อมเข้าท่ากว่าเป็นไอ้บ้านั่งตบหน้าตัวเองเล่นเป็นไหนๆ

รุจศยาพยายามตรึงสีหน้าเดิมไว้ หากแววตาวูบไหวกับสีเลือดจางๆ บนนวลแก้มฟ้องความรู้สึกภายใน คนมองอมยิ้มน้อยๆ พอใจที่หน้าตาเธอเริ่มมีสีสัน ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นเพราะโกรธหรืออายก็ยังดูดีกว่าหน้าแห้งๆ ไร้ชีวิตชีวาเหมือนหลายนาทีก่อนล่ะ

“บ้า คุณนี่กวนประสาทกันไม่เลิกสิน่า”

“ผมพูดจริง...ยอมให้ทำจริง”

“งั้นก็เอาสิ...จะสนองให้ คุณเป็นผู้ชายพูดแล้วต้องทำให้ได้อย่างที่พูด ไม่ใช่แค่จะไม่...จะ...จูบ ห้ามทำอะไรฉันแม้แต่ปลายก้อยด้วย”

รุจศยาตอบรับคำเชิญชวนด้วยต้องการลบรอยกระหยิ่มยิ้มย่องออกจากใบหน้าคมสัน ขยายขอบเขตการคุ้มครองเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ไม่วายพูดตะกุกตะกักบางคำอย่างน่าโมโหความอ่อนไหวแปลกๆ ของตัวเอง ยิ่งเห็นคู่สนทนาทำตาพราวอย่างขบขันปนเอ็นดู หลิ่วตาให้นิดๆ ก่อนสัพยอกกลับอย่างเจ้าชู้ ผิวแก้มเธอก็ร้อนวาบ ใจกระตุก มือไม้พานเกะกะหาที่วางไม่ถูกเลยทีเดียว

“ผมสัญญา...เรื่องแบบนั้นผมไม่เคยบังคับใคร ถ้าอยากจูบจะขอคุณจ๋าตรงๆ เลย”

“บ้า! ปากนี่...!”

รุจศยาแหวคำเดิมเหมือนคิดคำอื่นไม่เป็น สมองเธอดูตื้อๆ ภายใต้อิทธิพลนัยน์ตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นชอบกล หญิงสาวแข็งใจเงื้อมือสูง ชายหนุ่มยิ้มบางๆ นิ่งรอรับโทษทัณฑ์โดยดุษณี ขนาดเธอแกล้งเหวี่ยงมือขู่ เขาก็ไม่ขยับตัวหรือหลับตา ยังทอดมองเธอเหมือนเป็นภาพที่ชวนรื่นรมย์นักหนา ไปๆ มาๆ แรงเธอก็ตกวูบกลางอากาศ จากที่จะ ‘ตบ’ กลายเป็น ‘แปะ’ มือบนหน้าเขาเสียอย่างนั้น

ทวิพัทธ์เลิกคิ้วเข้มข้างนึงอย่างประหลาดใจ ถามเสียงนุ่มละมุนพอกับประกายตา

“ไม่ตบผมแล้วเหรอ”

“ไม่ดีกว่า หน้าคุณหนาเกิน ตบไปก็เจ็บมือฟรี แค่ที่คุณตบตัวเองไปสองทีคงพอแล้วมั้ง”

หญิงสาวว่าหน้าตาย เธอไม่ใช่คนนิยมความรุนแรง แสวงหาความสุขจากการทำร้ายผู้อื่น จะกระทำก็เมื่อต้องป้องกันตัวหรือตอบโต้ผู้ที่มาระรานอย่างสมน้ำสมเนื้อเท่านั้น ทวิพัทธ์แค่ปากเปราะให้เธอระคายเคืองในระดับที่เคยชินดีอยู่แล้ว อีกอย่างชายหนุ่มก็ยอมรับผิดและขอโทษโดยดีแล้วด้วย

เธอไม่อยากเห็นเขาเจ็บตัวอีก...

ท่าทีที่อ่อนลงของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มใจชื้น เลื่อนมือไปทาบทับมือเรียวตรึงไว้บนแก้ม สัมผัสถึงอาการต่อต้านของเธอก็บีบกระชับเบาๆ อย่างขอความไว้วางใจ รุจศยาทำท่าลังเล ใจหนึ่งอยากจะสลัดตัวหนีไปให้พ้นๆ แต่อีกใจที่อยากรู้อยากเห็นมีอำนาจเหนือกว่าจึงยอมปล่อยมือไว้ในอุ้งมือหนาอย่างครึ่งกล้าครึ่งกลัว

แว่วเสียงชวนอ้อนๆ ดังขึ้นอีกครา

“คุณจ๋า...ถ้าไม่เกลียดผมมากจนทนไม่ไหวล่ะก็...แต่งงานกับผมเถอะนะ”

“ทำไมคุณถึงจะแต่งงานกับฉัน...เวทนาเหรอ”

หญิงสาวถาม มองชายหนุ่มอย่างสำรวจตรวจตรา พอประสานสายตากันตรงๆ ก็ไม่อาจต่อสู้ได้อย่างเฉียบขาดเหมือนเคย ต้องเสมองมือที่ถูกกุมไว้มั่นหรือเนื้อตัวส่วนอื่นของเขาแทน แวบเดียวก็วนเวียนกลับไปที่ดวงหน้าแต้มยิ้มละไมราวกับถูกแรงดึงดูด และคำตอบจากปากเขาก็ทำเอาเธอห่อเหี่ยวพิลึก

“อย่าใช้คำน่าเกลียดขนาดนั้นสิ ผมอยากช่วยคุณจ๋ากับจั๊มพ์จริงๆ นะ”

“ถึงขนาดแต่งงานกับคนที่ไม่รักไม่ชอบได้เลยเหรอ”

“ผมไม่ได้เกลียดอะไรคุณจ๋านี่”

“จะบอกว่ารักหรือไง”

รุจศยาพลั้งปากย้อนแล้วก็กระอึกกระอัก ก้มหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวลงต่ำ ใจเต้นระทึกอย่างรอคอย แอบชำเลืองผ่านม่านขนตา เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มหมองลงคลับคล้ายกับมีความเสียใจบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ก่อนที่เขาจะหลุบตาครุ่นคิดและปิดหน้าต่างของหัวใจไม่ให้เธอค้นคว้าขณะบอกอย่างระมัดระวัง

“ไม่ใช่ไม่รัก...แต่ยังตอบไม่ได้”

...เขาคงสับสนความรู้สึกของตัวเอง...

รุจศยาสรุปในใจ บอกไม่ถูกว่าแอบคาดหวังอะไรไว้ถึงรู้สึกผิดหวังลึกๆ แบบนั้น

งานนี้อย่าว่าแต่ทวิพัทธ์จะคิดไม่ตกเลย ตัวเธอเองก็เช่นกัน ต่างเคยเป็นคู่ปรับกันมานาน ความสัมพันธ์เพิ่งจะพัฒนาไปในทางที่ดี จู่ๆ ชายหนุ่มก็มาชวนให้กระโดดข้ามขั้นไปไกลลิบ พอถูกตั้งกระทู้ถามบ้างว่า...

“แล้วคุณจ๋าล่ะรู้สึกยังไงกับผม”

หญิงสาวก็ลอกเลียนแบบเขาบ้าง

“ไม่รู้...ตอบไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ”

“งั้นเรามาเริ่มต้นไปพร้อมกันนะ...ตัวผม คุณจ๋า แล้วก็จั๊มพ์ เราสามคนค่อยๆ ปรับตัวอยู่ ปรับตัวรักกันไป”

ทวิพัทธ์รวบรัดตัดความตามใจตนหน้าตาเฉย รุจศยาอยากหัวเราะให้กับโชคชะตาที่ช่างเล่นตลกร้าย ในยามที่เธอตกอับสุดขีด กำลังสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไร้ราคาค่างวดในสายตาคนมากมาย แต่ยังมีคู่ปรับคนนี้ที่ต้องการเธอ เห็นคุณค่าอันน้อยนิดของเธอ ยินดีร่วมหัวจมท้ายไปกับเธอ พร้อมจะอุทิศตนต่อสู้เคียงข้างเธอกับน้องชาย จุดไฟแห่งความหวังเล็กๆ ให้เธอเห็นทางสายใหม่ข้างหน้ารางๆ

หนทางที่จะไม่มืดมน...ไม่เหน็บหนาว...และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป...

ไม่ว่าทวิพัทธ์จะเสนอตัวเพราะต้องการชดเชยความรู้สึกผิดต่อเธอ ความใจดีที่มีให้กับรุจศรัณย์ หรือด้วยนิสัยรักสนุกอยากเล่นบทพระเอกตามประสาผู้ชายก็ตามที รุจศยาซาบซึ้งกับน้ำใจที่เขาหยิบยื่นให้ แน่นอนว่าคนที่ลอยเท้งเต้งกลางมหาสมุทรแห่งความหายนะอย่างเธอย่อมปรารถนาหลักยึดเกาะ แต่น้ำหนักมหาศาลที่ถ่วงตัวเธอไว้อาจจะทำให้เขาจมดิ่งลงด้วยกัน

ยิ่งชายหนุ่มดีต่อเธอมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งไม่อยากเอาเปรียบเขามากเท่านั้น...

“ฉันไม่มีอะไรให้คุณนะ มีแต่ตัวกับปัญหาสารพัด ต้องเตรียมขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นว่าเล่น ไหนจะเรื่องของแม่ เรื่องของจั๊มพ์ จะจบลงยังไงก็ไม่รู้”

“ต้องจบลงด้วยดีสิ” ทวิพัทธ์ยืนกรานอย่างมั่นใจ “เชื่อผมสักครั้งเถอะคุณจ๋า...ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้คุณจ๋าได้เป็นผู้ปกครองจั๊มพ์ ส่วนเรื่องหนี้สินของแม่คุณจ๋าเดี๋ยวเราค่อยมาคิดกันว่าจะเอายังไง อย่าลืมว่าคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ถ้าเราสองคนร่วมมือกันต้องมีทางไปต่อแน่ๆ”

ความกระตือรือร้นบวกความขี้เล่นนิดๆ ของเขาทำให้รุจศยาเผยอยิ้มตามอย่างห้ามไม่อยู่ หากทิฐิมานะยังเหนี่ยวรั้งเธอไว้ไม่ให้ผลีผลามรับความช่วยเหลืออย่างน่าละอาย ไร้ศักดิ์ศรี กริ่งเกรงว่าจะซ้ำรอยชานนท์ที่เห็นเธอสิ้นท่าเข้าตาจน จำต้องง้อเขา นึกอยากจะพูดหรือกระทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจเหมือนเธอเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงหัวจิตหัวใจและให้เกียรติ ตัวเธอเคยเป็นห่วงหน้าตาฐานะในสังคม อยากจะพึ่งพาอำนาจเงินตราของเขาเพื่อกอบกู้สถานการณ์จนยอมลดตัวลงเป็นเบี้ยล่างให้เขากับแม่ดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นานา ถึงขนาดโดนตราหน้าว่าเป็นปลิงจ้องจะสูบเลือดสูบเนื้อพวกเขา ซึ่งเธอก็เถียงไม่ออกเสียด้วย

เธอไม่อยากลิ้มรสชาตินั้นอีกแล้ว...

“คุณรู้ไหม...ต่อให้คุณมีบุญคุณท่วมหัว ฉันก็จะไม่ยอมให้คุณโขกสับอยู่ข้างเดียว ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอดทนก้มหน้ารับกรรมเงียบๆ หรอกนะ”

“ผมรู้...อย่างคุณจ๋าน่ะเป็นพวกเชิดหน้ารับกรรม ไม่ยอมใครง่ายๆ หรอก ถ้าผมนอกใจหรือทำคุณจ๋าเจ็บเมื่อไหร่ คุณจ๋าคงจะหาทางแก้แค้น ไม่ฟ้องหย่าผมจนหมดตัวก็คงตั้งหน้าตั้งตาทำลายชีวิตผมย่อยยับหมดแน่ แต่ถ้าผมเลวขนาดนั้นจริงก็สมควรโดนแล้วล่ะ”

รุจศยายิ้มอีกครั้งกับคำพูดของเขา ใจที่พยายามแข็งขืนถูกกัดเซาะให้อ่อนยวบกว่าครึ่งค่อน

“คุณแน่ใจแล้วเหรอ”

“แน่ใจที่สุด”

“จะไม่ทิ้งฉันกับน้องแน่นะ”

“ไม่ทิ้ง...คุณจ๋าอย่าอุ้มจั๊มพ์หนีผมไปเองแล้วกัน”

รุจศยานิ่งมองชายหนุ่มอย่างชั่งใจ

…ถ้าไม่ตกลง...เธอก็ไม่ต้องทนอยู่สู้กับใคร ปล่อยทุกเรื่องให้เป็นไปตามยถากรรม เธอก็จะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองคนเดียวจริงๆ จะบินไปไกลแสนไกลแค่ไหนก็ได้ จะหกล้มคลุกคลานยังไงก็ต้องกัดฟันลุกขึ้นเอง ไม่มีครอบครัวที่คอยห่วงหาอาวรณ์หรือรอคอยการกลับมาของเธอ...เธออาจจะเหงาบ้าง แต่ก็คงไม่ถึงตาย...

...ถ้าตอบตกลง...เธอก็จะมีเขาอีกคนเพิ่มเข้ามาในชีวิต...อาจจะเก็บน้องไว้ได้ด้วย เธอจะไม่อยู่ลำพัง ไม่ต้องต่อสู้คนเดียว ไม่ต้องหกล้มอย่างโดดเดี่ยว จะมีคนคนหนึ่งที่เป็นของเธอ...ไม่สิ…สองคนที่จะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ...ไม่ใช่เหลียวหาใครก็ไม่เจออีกแล้วใช่ไหม...


อณูหนึ่งของความอ่อนแอ โหยหาที่พักพิงคุ้มภัย ปรารถนาใครสักคนมาช่วยประคับประคองชีวิตที่เหนื่อยล้า และอยากไขว่คว้าความหวังอันริบหรี่ไว้ให้ถึงที่สุด ผสมผสานกับอารมณ์เร้นลึกที่อยากประชดประชันทุกๆ คนที่เสือกไสเธอมาบนเส้นทางนี้ล้วนเป็นคลื่นผลักดันให้รุจศยาตัดสินใจอย่างบ้าบิ่น เปล่งคำพูดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปตลอดกาล

“ถ้างั้นก็...ตกลง…ฉันจะแต่งงานกับคุณ”

ทวิพัทธ์ยิ้มกว้าง นัยน์ตาทอประกายวับวาวราวกับมีดาวฤกษ์บรรจุอยู่ ความปิติยินดีอย่างเห็นได้ชัดของเขาทำให้หญิงสาวประหลาดใจ ปลาบปลื้ม ตื่นเต้น มีความหวัง สับสน และหวั่นกลัว มันคลุกเคล้าอยู่ในหัวใจเธอจนแยกแยะไม่ออก

“สอง…”

ชายหนุ่มเอ่ยชื่อเล่นตัวเองนำร่องอย่างมีเลศนัย หญิงสาวเลิกคิ้วฉงน ก่อนเบิกตากว้าง เผยอปากน้อยๆ เมื่อเขาจัดแจงแก้ไขคำพูดของเธอกึ่งสอนว่าควรพูดอย่างไรให้ถูกต้องน่าฟัง

“จ๋าจะแต่งงานกับสอง”

“เอ่อ...”

“เราตกลงเป็นคู่รักกันแล้ว กำลังจะแต่งงานกันด้วย ต้องสร้างภาพสนิทสนมหน่อยสิ ไม่ต้องถึงขั้นนับพี่นับน้องกับผมหรอก เรียก ‘สอง’ เฉยๆ ก็พอ ไหนคุณจ๋าลองเรียก ‘สอง’ เพราะๆ ให้ผมชื่นใจซิ”

รุจศยาเก็บลิ้นที่ตั้งท่าจะคัดค้าน ขบปากอย่างประหม่า รู้ว่าทวิพัทธ์ไม่ได้ร้องขออะไรที่ยากเย็นเลย เขากำลังจะร่วมหัวจมท้ายกับเธอแบบขาดทุนทุกอย่าง ไหนจะต้องถูกคนนินทาว่าร้ายเป็นเพื่อนเธอ ต้องหาทางรับมือกับคดีความของศราพรรณกับรุจศรัณย์ ต้องช่วยดูแลเด็กชายพิการอย่างเต็มตัว รวมไปถึงต้องจัดการกับปัญหาที่โถมทับเธอเป็นพะเรอเกวียนอีก

เธอฉกฉวยเอากับความเอื้อเฟื้อของเขาแท้ๆ...

หญิงสาวอยากตอบแทนเขาบ้าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดีกว่าตั้งหน้ากอบโกยโดยไม่มอบอะไรคืนเลยจึงยอมปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย น้ำเสียงแผ่วหวิว

“สอง…”

“ขอบคุณครับ”

วินาทีถัดมาหน้าตาและเนื้อตัวเธอก็ร้อนผ่าวเจียนจะลุกเป็นไฟ เพราะพ่อตัวร้ายโลภมากกว่าที่คิด เรียกร้องเพิ่มเติมอย่างอ่อนหวาน

“คุณจ๋า...ช่วยพูดประโยคก่อนหน้านี้อีกครั้งให้ผมกลายเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดได้ไหม”

“เอ่อ...”

“แต่งงานกับผมนะครับ”

“จะ...จ๋าจะแต่งงานกับสอง”

หญิงสาวกลั้นใจพูดจบก็เหวี่ยงค้อนปะหลับปะเหลือกใส่คนที่ยิ้มชอบอกชอบใจ ไม่ต้องส่องกระจกก็พอจะเดาออกว่าหน้าตายู่ยี่ของเธอคงแดงเถือกไปถึงไหนๆ ใช่ว่าเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์ถูกผู้ชายขอคบหาเป็นคนรักหรือขอแต่งงานมาก่อน ที่ผ่านมาเธอแค่ปฏิเสธอย่างสุภาพหรือยิ้มรับอย่างเต็มใจ กรณีหลังย่อมมีอารมณ์ตื่นเต้น หัวใจพองโต หน้าร้อนซู่ซ่าบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่เคยมีใครยั่วเย้าจีบเธอให้หัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรงแทบจะปะทุออกนอกอก สูบฉีดโลหิตไปคาคั่งบนพวงแก้มร้อนจัด ปากเหนียวหนึบอย่างกับโดนกาวผนึกวาจา ไม่กล้ามองเขาเต็มตา สมองคิดอ่านเชื่องช้า เสียศูนย์ความเป็นตัวเองไปอย่างที่อดีตคู่ปรับของเธอสามารถทำได้เลย

...ตาบ้านี่กวนอารมณ์เธอได้ผลทุกแบบจริงๆ สิน่า!...

รุจศยานึกค่อนขอด ก่อนอุทานในลำคออย่างตกใจ เมื่อมือแข็งแรงตวัดร่างเธอเข้าไปกกกอด ใกล้ชิดจนได้กลิ่นกายชาย สัมผัสความอบอุ่นและแข็งกระด้างของกล้ามเนื้อแน่นใต้เสื้อผ้า พอเงยหน้าขึ้นจะแหวใส่ผู้อุกอาจก็ต้องเบี่ยงหลบวูบ หลับตาปี๋ เพราะใบหน้าเขาเลื่อนเข้ามาใกล้หน้าเธอ...ใกล้มากเกินไป!

ลมหายใจอุ่นๆ รดรินนวลแก้มที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบ หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ละล่ำละลักทวงปากคอสั่น

“คุณ! ไหนว่าจะไม่...จะ...จูบไง”

“สอง” เขาเตือนเสียงนุ่ม หลุบตามองแก้มเรื่อกับริมฝีปากอิ่มเย้ายวนอย่างมีความหมาย ไม่วายพูดขู่ให้เธอจินตนาการกระเจิดกระเจิงไปไกล “อย่าเรียกผิดอีกนะ เดี๋ยวผมคิดค่าปรับไม่รู้ด้วย”

“ฮื้อ...”

“ที่ผมตกลงกับคุณจ๋าน่ะเรื่องตบจูบต่างหาก ผมบอกแล้วไงว่าถ้าอยากจูบจริงๆ จะขอเอง ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้ว จับไม้จับมือแล้ว ต่อไปก็น่าจะจูบกันสักทีนะ”

“ฉัน...”

รุจศยาอิดออดได้คำเดียวก็สะดุ้งเหมือนถูกไฟช็อตเพราะอีกฝ่ายฉวยโอกาสฝังจมูกโด่งในแก้มเนียนอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังมีหน้าตอกย้ำให้เธอจำแม่นๆ อีกว่า

“แทนตัวเองว่า ‘จ๋า’ สิ...ลืมเมื่อไหร่จะโดนแบบเมื่อกี้ ถ้ายังขยันพูดผิดบ่อยๆ ผมจับปรับหนักจริงด้วย”

“คนบ้า...บ้าจริงๆ เลย”

หญิงสาวโวยวายเสียงไม่ดังนัก เริ่มสงสัยว่าเธอพลาดไปแล้วหรือเปล่า หลงคิดว่าได้เปรียบจากการทำสัญญากับนักบุญผู้เมตตา ไปๆ มาๆ อาจเจอซาตานจำแลงเข้าก็เป็นได้ ไม่ทันไรก็เริ่มลอกคราบเผยความร้ายกาจออกมาแล้ว มือไม้แน่นเหนียวเป็นเถาวัลย์เชียว

“ว่าไง...เริ่มต้นกันสักจูบได้ไหม ไหนๆ เราก็จะแต่งงานกันแล้ว ไม่อยากรู้เหรอว่าจูบกับผมจะเป็นยังไง...คุณจ๋า...”

รุจศยาขนลุกน้อยๆ หวามไหวกับเสียงทุ้มที่กระซิบเชิญชวนเกือบชิดใบหู...ชักจะเอนเอียงตามที่หลายคนบอกว่าพระเอกโฆษณาชุด ‘คุณจ๋า’ เสียงออดอ้อนชวนเคลิบเคลิ้มสุดยอด ได้ยินใกล้ๆ อาจจะระทวยเป็นขี้ผึ้งลนไฟ เธอได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว แถมยังรู้มากกว่าคนนอกอีกอย่างว่าดวงตาทอแสงกรุ้มกริ่มคู่นั้นก็มีอานุภาพล่อลวงผู้หญิงได้เด็ดดวงไม่แพ้กัน ขนาดเธอยังต้องคอยหลบไม่ให้ถูกมนตร์สะกดจังๆ เลย

กระนั้นหญิงสาวก็ยอมรับว่าคำชวนของเขาน่าทดลองดู...คนสองคนที่เคยเขม่นขี้หน้ากัน จับพลัดจับผลูมาเป็นคู่รัก อนาคตต้องร่วมเรียงเคียงหมอนฉันสามีภรรยา ถ้าทนรับสัมผัสของอีกฝ่ายไม่ได้คงอยู่ร่วมกันลำบาก ปราศจากความสุข นาวาชีวิตคู่มีแววอับปางตั้งแต่ยังไม่แล่นออกจากท่าเลยด้วยซ้ำ

“นะครับ...”

พอชายหนุ่มคะยั้นคะยออีกรอบ หญิงสาวก็หลับหูหลับตาผงกศีรษะรับนิดนึง มือใหญ่เชยปลายคางมนขึ้นแผ่วเบา ขณะที่โน้มหน้าลงมาทดสอบปฏิกิริยาเคมีระหว่างกันยังอารมณ์ดีพอจะยิงมุกเย้าแหย่เธออีก

“ไม่ชอบตรงไหนบอกได้นะ ผมจะปรับปรุงฝีปากไม่ให้คุณจ๋าผิดหวังเลย”

“ปากเสีย...”

เสียงของรุจศยาขาดหายไปในริมฝีปากอุ่นร้อนที่นาบลงมาปิดกั้นเรียวปากเธออย่างแม่นยำ บดเคล้าคลอเคลียดั่งผึ้งหนุ่มพานพบดอกไม้บอบบาง ละเลียดชิมความหอมหวานภายนอกก่อนแทรกซอนสู่รวงเกสรชุ่มชื้นภายใน มือที่หญิงสาวยกขึ้นหมายจะประทุษร้ายคนปากมอมสักพลั่กตกลงมาขยุ้มเสื้อเขาแน่นขึ้นตามแรงดูดกลืนที่เริ่มทวีความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ

อาการต่อต้านของหญิงสาวค่อยๆ มลายหายไป ใบหน้าคมงามเคลื่อนไหวตามการชี้นำอันช่ำชอง พริ้มเปลือกตายอมจำนน ในหัวหมุนคว้างอย่างกับมีผีเสื้อนับร้อยสะบัดปีกหลากสีสันให้งุนงง เนื้อตัวสั่นสะท้านอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

เธอหลงลืมตนไปกับจุมพิตของคนที่เคยเกลียด...

============================


งานวิวาห์ของรุจศยายังถูกจัดขึ้นตามกำหนดการเดิม สถานที่แห่งเดิม แต่พระเอกของงานไม่ใช่คนเดิม

หลังจากว่าที่เจ้าบ่าวคนใหม่ตกลงกับว่าที่เจ้าสาวคนเก่าเป็นมั่นเหมาะและเตรียมการคร่าวๆ เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายก็โทรศัพท์แจ้งพี่สาวที่ทำงานอยู่ต่างประเทศทราบก่อนใคร ไม่ต้องการให้ญาติสนิทเพียงคนเดียวรับรู้เรื่องสำคัญจากปากคนอื่น และสิบห้านาฬิกาของวันถัดไปทวิพัทธ์ก็เปิดแถลงข่าวสละโสดที่บริษัทต้นสังกัดเพื่อชี้แจงและตอบทุกคำถามให้จบสิ้นในคราวเดียว มีสื่อมวลชนมาทำข่าวค่อนข้างคึกคัก เนื่องจากชายหนุ่มมีชื่อเสียงในวงกว้างพอสมควร บวกกับมิวสิกวิดีโอที่เล่นคู่กับนักร้องสาวคนสวยได้ฤกษ์แพร่ภาพตามสื่อต่างๆ โกยคะแนนชื่นชมมากมาย ไม่ว่าจะเนื้อเพลงที่กินใจไพเราะ การถ่ายทอดออกมาเป็นภาพกลมกล่อม คู่พระนางที่หล่อสวยน่ายล ส่งผลให้เพลงพุ่งทะยานติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตสำรวจความนิยมหลายแห่ง จะบอกว่าดังทั้งเพลงและคนแสดงก็คงไม่ผิดนัก

“ไหนเคยบอกว่าคนนี้แค่เพื่อนไงสอง”

นักข่าวคนหนึ่งเริ่มเกมจับผิด ทวิพัทธ์ยิ้มพราย ยกนิ้วหัวแม่มือให้คนความจำดีอย่างล้อเลียน เขาอยู่ในวงการบันเทิงมากว่าสิบปีย่อมทราบดีว่าการพูดโกหกแล้วถูกจับได้มักจะทำลายชื่อเสียงคนพูดเสมอ ยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งถูกขุดคุ้ยให้ฉาวโฉ่ สู้ก้มหน้ายอมรับผิดดีๆ ยังจะได้รับความเห็นอกเห็นใจมากกว่า

สำหรับเรื่องของเขากับรุจศยามันตลกร้ายตรงที่ทุกอย่างเป็นความจริง แต่คนนอกถูกภาพมายาลวงจนเห็นเป็นเท็จ ครั้นจะจาระไนต้นสายปลายเหตุให้ชาวบ้านชาวช่องรู้กันทั่วก็รังแต่จะก่อเรื่องยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น ในเมื่อถูกผลักมาทางนี้แล้วชายหนุ่มก็ขอเล่นไปตามน้ำ พลิกลิ้นสร้างเรื่องโกหกอย่างแยบยล ยึดหลักอิงความจริงให้มากที่สุดจะเหลือช่องโหว่น้อยที่สุด ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จที่หลายคนอยากฟัง

“ผมขอโทษครับ...ตอนนั้นเรายังไม่พร้อมเปิดเผยจริงๆ คุณจ๋าเองก็ติดเรื่องแต่งงานกับคุณชานนท์ ผมจะพูดหรือทำอะไรมากไปคงไม่ดี ทำได้แค่รอให้ทุกอย่างลงตัวก่อน พอคุณชานนท์ประกาศหมั้นกับคุณแอม เราสองคนก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป”

“ไปรักกันตอนไหนคะเนี่ย ไม่เห็นมีข่าวหลุดมาบ้างเลย”

“ใครว่าไม่มี ผมรึอุตส่าห์ระวังเต็มที่ ยังเจอคนตาดีถ่ายรูปไปเขียนข่าวแซวให้ผมแอบเครียดได้”

ทวิพัทธ์สัพยอกกลับ เรียกเสียงฮาครืนจากบรรดาสื่อมวลชน ครู่เดียวก็ป้อนคำถามใหม่ให้ชายหนุ่ม

“งั้นไปพบและรักกันได้ไงคะ เล่าให้ฟังหน่อยสิสอง”

“ผมกับคุณจ๋ารู้จักกันเกือบสามปีแล้วครับ เจอกันตอนรับงานโฆษณากล้องถ่ายรูป คุณจ๋าเป็น เอ.อี. ที่จับงานนั้น แล้วก็มีงานอื่นร่วมกันอีกหลายหน เจอกันบ่อยจนเริ่มสนิทกัน กว่าจะรู้ตัวว่าชอบกันมากกว่าเพื่อนก็เกือบสายไป โชคดีที่คุณชานนท์ไม่ได้รู้สึกกับคุณจ๋าแบบที่รู้สึกกับคุณแอม พวกเราสี่คนถึงลงเอยกันถูกคู่”

“อ้าว...ไม่ได้รักแล้วทำไมถึงขั้นแจกการ์ดแต่งงานกับคู่หมั้นของไฮโซแอมมาแล้วล่ะคะ”

“ตอนนั้นคุณจ๋ายังสับสน ไม่รู้ใจตัวเอง ผมเองก็ปากแข็งด้วย มันมีอะไรหลายอย่างที่คนเราผิดพลาดได้โดยไม่ตั้งใจนะครับ” ทวิพัทธ์แต่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่างคล่องปาก เก็บคำสัมภาษณ์ของชานนท์กับอัมราภรณ์มาเป็นวัตถุดิบปรุงรสเป็นเรื่องราวหัวใจที่ผิดที่ผิดทางและเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือด้วยการเสริมต่อว่า “ถ้ายังจำกันได้...คุณชานนท์เคยเล่าว่าหลังแจกการ์ดเสร็จก็เริ่มห่างๆ คุณจ๋า ตอนไปทำงานที่อเมริกาเจอคุณแอม ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นถึงแน่ใจว่าชอบพอคุณจ๋าแบบเพื่อน ไม่ใช่คนรักอย่างคุณแอม ตัวคุณจ๋าเองก็เข้าใจดี เผอิญว่าคุณแม่เสียกะทันหัน มีธุระให้จัดการเยอะแยะก็เลยต้องพักเรื่องนั้นไว้ก่อน ผมเองก็เสนอหน้าเข้าไปช่วยคุณจ๋าจนโดนเอาไปเขียนข่าวแซวตั้งหลายที ผมว่าผมแสดงออกชัดเจนนะ แค่ยังไม่ได้ประกาศตรงๆ เท่านั้น”

“แล้วทำไมถึงแต่งงานกันสายฟ้าแลบคะ”

“ผมไม่อยากให้คุณจ๋าอยู่คนเดียวรับภาระคนเดียว น้องชายคุณจ๋ายังเด็กมาก แถมยังบาดเจ็บต้องรักษาตัวอีกเป็นปีๆ คนรักกันก็อยากอยู่ด้วยกันตอนลำบาก จะให้ผมเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันคุณจ๋าจะเสียหายเปล่าๆ ผมรู้ว่ามันคงดูไม่ดีเพราะคุณแม่คุณจ๋าเพิ่งเสียไปไม่นาน แต่ผมอยากมีสิทธิ์ดูแลคุณจ๋ากับน้องชายได้เต็มที่ก็เลยตัดสินใจแต่งงานกันครับ”

“แค่นั้นจริงเหรอ...”

“ไม่มีอย่างอื่นแน่นะสอง”

นักข่าวใจกล้าบางคนทวนถามอย่างหาเรื่อง พุ่งเข้าสู่ประเด็นที่คนสนใจกันมากที่สุดยามได้ยินข่าวดารานักแสดงแต่งงานด่วน ทวิพัทธ์เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องเจอคำถามทำนองนี้ ออกจะนึกขำปนระอา แต่ยังสวมหน้ากากยิ้มแย้ม ตอบว่า

“ครับ...ถ้าเราเข้าใจคำว่า ‘อย่างอื่น’ ตรงกันล่ะก็...ไม่มีแน่ๆ ครับ”

“แปลว่าไม่ต้องนับเดือนใช่ไหมคะ” นักข่าวนางหนึ่งยิงคำถามตรงไปตรงมา

ผู้ถูกสัมภาษณ์หัวเราะน้อยๆ หลิ่วตาหยอกกลับไปให้บรรยากาศครึกครื้น

“ผมกับคุณจ๋าเพิ่งไปตรวจสุขภาพกับตรวจเลือดเพื่อวางแผนครอบครัวมาเอง ยังไม่รู้ผลเลย จะให้รีบร้อนไปไหนครับ แต่ถ้าใครอยากทบทวนวิชาคณิตคิดง่ายๆ ก็ตามสบาย ไม่หลักหน่วยตัวท้ายๆ ก็หลักสิบเดือนขึ้นไป ผมถือว่าเตือนแล้วนะ อย่าบ่นทีหลังว่าถูกหลอกให้นับเก้อแล้วกัน”

“โอเคค่ะ แล้วจะรอดูว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะมีสองตัวน้อยๆ ว่าแต่สองแต่งงานแซงหน้าไปแบบนี้ ไฮโซแอมกับคุณชานนท์ว่าไงบ้างคะ” นักข่าวสาวเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไปยังนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง...อดีตคนรักของรุจศยาที่ตกเป็นข่าวครึกโครมกับสาวสังคมคนดังเมื่อหลายวันก่อน เลิกจี้เรื่องท้องก่อนแต่ง ไหนๆ ชายหนุ่มก็ลั่นวาจาผูกมัดตัวเองแล้วก็ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงดีกว่า

“ไม่ว่าไงนี่ครับ...คุณแอมกับคุณชานนท์สมหวังหมั้นกันแล้ว คุณชานนท์เองก็ใจกว้างมาก ยกงานแต่งให้เราสองคนเป็นของขวัญ บอกให้จัดการตามใจชอบเลย ยังกำชับให้ตกลงกับทางโรงแรมให้เรียบร้อยแล้วอย่าลืมบอกแขกเหรื่อด้วย ผมกับคุณจ๋าต้องขอบคุณมากจริงๆ”

ทวิพัทธ์ปั้นหน้าพูดอย่างซาบซึ้ง บรรจงเอาคืนให้กับว่าที่เจ้าสาวของเขาอย่างแนบเนียน งานนี้ชานนท์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นหมาย ต่อให้จ่ายค่ามัดจำสถานที่และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไปอักโขก็ไม่มีสิทธิ์ทวงคืนสักบาท ในเมื่อชานนท์กับอัมราภรณ์ร่วมมือกันหักหลังทำร้ายรุจศยา ซ้ำยังสร้างภาพว่าเป็นคนดีนักหนา เขาก็แค่ช่วยคล้อยตามให้สมจริงยิ่งขึ้น คาดว่าข่าวนี้ถึงหูสองหนุ่มสาวเข้าคงโกรธหน้าเขียวหน้าเหลืองตามแบบฉบับคนพาลที่ถนัดรังแกคนอื่นข้างเดียว ถูกตอกกลับบ้างคงทนรับไม่ได้

เท่าที่ประเมินจากลักษณะนิสัย...สองคนนั้นเป็นพวกห่วงหัวโขนไม่เบา ลองว่าออกตัวแรงไปในแนวนั้นแล้ว น่าจะเลือกทนเก็บบัญชีแค้นไว้ในใจมากกว่าจะกลับลำกลืนน้ำลายให้ตัวเองเสียหน้าแน่

“แล้วไฮโซแอมกับคู่หมั้นจะไปร่วมงานด้วยไหมคะ”

“ยังไม่รู้ครับ...ถ้ามาได้ผมกับคุณจ๋าก็ดีใจ แต่ถ้าติดธุระจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เข้าใจว่าพวกเราตัดสินใจปุบปับ หลายคนอาจจะไม่สะดวกมาร่วมงาน นี่ผมกับคุณจ๋าเพิ่งสั่งพิมพ์การ์ดไป เกิดตกหล่นส่งไม่ถึงมือใครต้องขอโทษด้วย ถ้ารู้จักกันก็มาร่วมงานของเราได้เลย ไม่ต้องเขินนะครับ”

ทวิพัทธ์ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มมีความสุขและภาพในจอโทรทัศน์ก็ถูกตัดกลับไปหาพิธีกรสาวสวยประจำรายการข่าวคราวแวดวงบันเทิง ฝ่ายนั้นร่วมแซวสองสามประโยคก็นำไปชมข่าวอื่นต่อไป

รุจศยาที่ปฏิเสธไปร่วมงานแถลงข่าวของชายหนุ่ม รับชมผ่านจอแก้วที่ห้องพักคนไข้พิเศษของรุจศรัณย์ หน้าตาร้อนแล้วร้อนอีกกับวาจาแต่ละคำของพ่อตัวร้าย ทั้งฉุน เขิน ขำ และพอใจเร้นลึกอย่างบอกไม่ถูก หากเหลือบเห็นปฏิกิริยาของน้ำหนาวที่เลิกงานแล้วยังไม่กลับบ้าน แวะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอกับน้องชาย จากที่นั่งอยู่บนโซฟายาวดีๆ ก็เลื่อนไถลลงดิ้นไปดิ้นมา ตบเบาะถี่ๆ หัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ หญิงสาวก็ตีหน้าเคร่งข่มเพื่อนที่ออกท่าทางอย่างไม่เกรงใจกันเลย

“น้อยหน่อยคุณนายน้ำ จั๊มพ์มองอยู่นะ เป็นตัวอย่างดีๆ ให้น้องเราหน่อยสิ” รุจศยาปรามเสร็จก็หันไปหาเด็กชายที่หมดความสนใจรายการข่าวทันทีที่คนคุ้นเคยหายไปจากจอ เบนหน้ามองคนที่หัวเราะเหมือนเป็นบ้าด้วยนัยน์ตากลมแป๋ว สอนว่า “พี่น้ำทำท่าไม่น่ารักมากๆ...จั๊มพ์เด็กดีไม่ทำอย่างพี่น้ำนะครับ”

“คับ...ไม่ทำคับ”

“ว้าย ตายแล้ว หมดกัน ลืมรักษาภาพนางฟ้ากับสุดหล่อของเราได้ไง” น้ำหนาวเด้งตัวขึ้นร้องวี้ดว้าย ปราดเข้าไปช้อนใบหน้าเล็กๆ ขึ้นมาหอมสองแก้มยุ้ยแรงๆ ครึ่งประจบครึ่งมันเขี้ยว “จุ๊บๆๆ พี่น้ำขอโทษที่ทำตัวไม่น่ารักครับ เดี๋ยวจั๊มพ์คนเก่งดูการ์ตูนแทนพี่น้ำเชิญยิ้มนะครับ”

“คับ”

รุจศรัณย์ขานรับหน้าชื่นมื่น น้ำหนาวกดรีโมตทีสองที ตัวการ์ตูนน่ารักๆ ก็ออกมากระโดดโลดเต้นบนจอภาพ ตรึงสายตาเจ้าตัวเล็กให้ดูพลางเลียนแบบท่าทางไปตามประสาเด็ก ปล่อยให้พี่สาวไล่เบี้ยเอากับเพื่อนที่นั่งตบต้นขาหัวเราะต่อเหมือนอารมณ์ไม่ได้ขาดช่วงไปเลยสักนิด

“โอ๊ย พี่สองแอบร้ายได้ใจจริงจริ๊ง เอาไปเล้ยร้อยคะแนนเต็ม”

“ใช่สิ...ร้ายนัก...พูดซะเรากลายเป็นผู้หญิงงี่เง่าไร้สมองไปเลย”

หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปด น้ำหนาวเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนเบาๆ อย่างปลอบใจ

“เอาน่า ฟังดูเป็นเรื่องรักโรแมนติกดีออก อย่างน้อยคนอื่นคงไม่คิดแล้วว่าจ๋าเป็นม่ายขันหมากเพราะถูกไอ้ชานมทิ้ง น้ำนะอยากถอดจิตไปดูนังกากกับนายกร๊วกคู่นั้นได้จริงๆ ว่าจะทำหน้ายังไง แค่คิดก็มันส์แล้ว ไม่เสียแรงที่ยอมรับพี่สองเป็นเพื่อนเขย วุ้ย...น่าตกรางวัลให้ชะมัด ฮ่าๆๆ”

รุจศยากลอกตาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ตอนที่รู้ว่าเธอกับทวิพัทธ์จะแต่งงานกัน น้ำหนาวก็ตะลึงอ้าปากค้าง พอบังคับปากหุบได้ก็เริ่มระดมคำถามซักไซ้ไล่เลียงเป็นพายุบุแคม ถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าแน่ใจจริงหรือ เธอต้องยืนกรานว่าจะไม่เปลี่ยนใจ น้ำหนาวถึงยอมสงบลง กระนั้นก็ยังพูดขู่เข็ญชายหนุ่มเพื่อปกป้องเธออีกหลายประโยค รุจศยาแอบรู้สึกดีที่มีคนเข้าข้างและเป็นห่วงเป็นใย ทว่าผ่านไปไม่ทันไรแม่เจ้าประคุณก็ทำท่าอยากหาพวงมาลัยไปเป็นแม่ยกให้ชายหนุ่มเสียแล้ว

ส่วนรุจศรัณย์...

สายตาของรุจศยาตกลงบนร่างเล็กจ้อยที่กำลังยกไม้ยกมือ งึมงำพูดตามตัวการ์ตูนไปเรื่อยเจื้อย หัวใจเธอเจ็บยอกเมื่อระลึกถึงภาพแรกที่หวนกลับมาพบกันหลังจากที่เธอทำร้ายใจดวงน้อยๆ ให้บอบช้ำ...

============================


รุจศรัณย์เซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด เห็นพี่สาวเข้าก็ทำหน้าเบะ หัวตาแดงๆ พานให้รุจศยาอยากร้องไห้ตามด้วย ทวิพัทธ์ต้องอุ้มร่างเล็กขึ้นมาปลอบขวัญอย่างอ่อนโยน ตัวเด็กชายเองก็ตอบสนองด้วยดี สอดมือคล้องลำคอหนา ซบหัวลงบนบ่ากว้างอย่างรักใคร่ไว้วางใจสุดชีวิต จุดไฟริษยาลนอกเธอให้ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ก่อนเปลี่ยนเป็นความประหม่าเมื่อชายหนุ่มพาน้องมาหยุดอยู่ตรงหน้า

‘จั๊มพ์อยากอยู่กับพี่จ๋าไหมครับ’

เงียบ...

ดวงตาดำขลับคู่โตของหนูน้อยมีแววโหยหา กริ่งเกรง และไม่มั่นใจ จิกทึ้งหัวใจหญิงสาวให้เลือดไหลซิบๆ

แว่วเสียงนุ่มทุ้มกระตุ้นต่อว่า

‘เอ้า...ถ้าอยากอยู่กับพี่จ๋าก็ไปหาพี่จ๋าเร้ว กอดเอาไว้ให้แน่นๆ พี่จ๋าจะได้อยู่กับจั๊มพ์ไง’

รุจศรัณย์ทำท่าลังเล ขณะที่รุจศยาตัวแข็ง มือไม้เย็นเฉียบ กลั้นใจรอคอยปฏิกิริยาของน้อง ช่วงเวลาแค่ไม่กี่วินาทีช่างนานปานชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าร่างนั้นจะยอมผละจากอ้อมอกอุ่น โผมาหาเธออย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว

รุจศยาแทบจะถอนสะอื้นด้วยความโล่งใจ ไม่รีรอที่จะรับไว้ เกรงว่าชักช้าสักนิดน้องอาจจะดึงตัวกลับไป

น้ำหนักของน้องช่วยถ่วงหัวใจที่เบาหวิวของเธอไม่ให้ปลิดปลิว อุณหภูมิอบอุ่นจากผิวกายก็ช่วยละลายภูเขาน้ำแข็งในกายเธอ และกลิ่นหอมน้ำนมผสมแป้งเด็กก็ช่วยเติมความชุ่มชื่นใจให้เธออย่างประหลาด

‘พี่จ๋าขอโทษ...’ หญิงสาวพึมพำเสียงปร่าแปร่งด้วยแรงดันภายใน ‘พี่จ๋าจะไม่ทิ้งจั๊มพ์ไปไหนอีกแล้ว พี่จ๋าจะอยู่กับจั๊มพ์นะครับ’

‘คับ...คับ...คับ...’

เด็กชายรับคำเจือสะอื้น โถมกอดเธอแบบที่ทำกับทวิพัทธ์ไม่ผิดเพี้ยน รุจศยาตาร้อนผะผ่าว ลำคอตีบตัน สูดหายใจเข้าติดๆ ขัดๆ ใช้มือหนึ่งลูบไล้หลังไหล่เล็กๆ อย่างปลอบประโลม ยอมให้น้องซุกตัวอยู่ในวงแขนด้วยความรู้สึกผิด อยากมอบอะไรดีๆ ทดแทนคืนให้บ้าง สักพักหนึ่งทิฐิบางๆ ที่ฝังอยู่ในส่วนลึกก็ลุกขึ้นมาเป็นเจ้านายเธอ กระซิบสั่งว่าสมควรแก่เวลาที่จะส่งตัวน้องคืนไปได้แล้ว หญิงสาวปฏิบัติตามอย่างไม่เต็มใจนัก พบว่าปราศจากน้องแล้วช่างโหวงเหวงว่างเปล่าพิกล

รัศมีแห่งความสุขเริ่มจับรุจศรัณย์ให้เปล่งปลั่งขึ้นอีกครั้งตอนทวิพัทธ์ออกปากชวน

‘อยากไปเที่ยวข้างนอกบ้างไหมจั๊มพ์ ไปซื้อของ แต่งตัวหล่อๆ ถ่ายรูปกับพี่สองพี่จ๋า แล้วก็ไปหาของอร่อยๆ กินกันดีไหมครับ’

‘ดีคับ ไปคับๆ’

เด็กชายรีบตะครุบหมับ ผงกหัวเร็วๆ อย่างกระตือรือร้น สำหรับเด็กพิการท่อนล่างที่ต้องติดแหง็กในโรงพยาบาลนานนับเดือน จมอยู่กับการรักษาพยาบาล ทำกายภาพบำบัด คุยกับจิตแพทย์ และชมรายการนู้นนี้ไปเรื่อยเปื่อย การได้รับข้อเสนอให้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกถือเป็นรางวัลชิ้นใหญ่เลยทีเดียว

ทวิพัทธ์ยิ้ม แกล้งอ่อยต่ออีก

‘ถ้าจั๊มพ์เป็นเด็กดี ไม่งอแง เชื่อฟังคุณอาหมอ พี่พยาบาล พี่น้ำ ตั้งใจรักษาตัวให้หายดี พี่สองกับพี่จ๋าจะรับจั๊มพ์กลับไปอยู่บ้านด้วยกัน...เอาไหมครับ’

‘ให้จั๊มพ์อยู่ด้วยเหรอคับ’

เด็กชายชะงักมองตาแทบไม่กะพริบ มือน้อยขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายแน่น รอคอยด้วยใจระทึก

‘ครับ’

ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น แต่รุจศรัณย์ก็ยังเฝ้าถามซ้ำๆ อย่างไม่อยากเชื่ออยู่ดี

‘จั๊มพ์จะได้กลับบ้านจริงเหรอคับ’

‘จริงครับ’

คราวนี้เจ้าตัวเล็กรีบหันไปมองพี่สาวอย่างมีความหวัง รุจศยากล้ำกลืนความรู้สึกหนึ่งลงคอ พยักหน้าสนับสนุน เท่านั้นแหละ...เด็กชายก็ปล่อยโฮลั่น ผวากอดคอทวิพัทธ์ไว้พลางละล่ำละลักตอบไม่ขาดปาก

‘กลับคับ...จั๊มพ์อยากอยู่บ้านกับพี่สองพี่จ๋า...จั๊มพ์อยากกลับบ้านคับ...ฮือ...ฮือ...’

ตลอดมารุจศรัณย์รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าตนไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ก็พยายามทำตัวน่ารัก ไม่สร้างปัญหา พี่ๆ จะได้เอ็นดูและแวะมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ถึงปากและตัวจะปฏิบัติตามคำสอน ยอมเป็นเด็กดีอยู่ในโรงพยาบาลอย่างว่าง่าย แต่หัวใจย่อมปรารถนาจะได้กลับไปพำนักกับครอบครัวอยู่ดี

รุจศยาต้องเสผินหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนน้ำตาที่รื้นขึ้นมา

ทวิพัทธ์หัวเราะเบาๆ กระเซ้าคนที่เกาะติดอกเขาเป็นลูกลิงลูกค่าง

‘อ้าว ร้องไห้เลย แบบนี้จะทำตามที่พี่สองบอกได้ไหมเนี่ย แป๊บเดียวร้องไห้อีกแล้ว’

‘จั๊มพ์ไม่ร้องแล้วคับ’

เด็กชายรีบบอก ยกมือป้ายน้ำตาออกจากหน้าให้วุ่น ทวิพัทธ์ยีศีรษะทุยๆ ก่อนดึงกระดาษทิชชูจากกล่องมาช่วยซับน้ำตาและให้สั่งน้ำมูกให้เรียบร้อย จากนั้นก็หยิบปฏิทินตั้งโต๊ะมาให้เจ้าตัวเล็กดู

‘พี่สองกับพี่จ๋าจะมารับจั๊มพ์กลับบ้านวันนี้…’ ชายหนุ่มใช้ปากกาด้ามสีดำเป็นมันวาวที่พกติดตัววงรอบตัวเลขที่ถัดจากวันแต่งงาน ปิดปลอกส่วนหัวเพื่อใช้แทนไม้เคาะช่วงเวลาที่คั่นอยู่ระหว่างกลาง อธิบายแผนการให้คนที่มองตาแป๋วฟังต่อ ‘สิบกว่าวันนี้จั๊มพ์ต้องกินข้าวกินผักให้หมดจาน ตั้งใจออกกำลังกายกับพี่น้ำ อย่างอแงให้ใครมาฟ้องพี่สองนะ ถ้าจั๊มพ์เป็นเด็กดี...พี่สองกับพี่จ๋าจะพาไปเที่ยวข้างนอกด้วย ถึงวันนัดก็จะมารับกลับบ้าน ตกลงนะครับ’

‘คับๆ จั๊มพ์ไม่งอแงคับ ต้องมารับจั๊มพ์จริงนะคับ’

‘พี่สองไม่เคยผิดสัญญากับจั๊มพ์นะ’

ทวิพัทธ์บอก กดจมูกโด่งบนหน้าผากของเด็กชายหนักๆ อย่างย้ำคำมั่นสัญญา

รุจศรัณย์แทบจะเร่งวันเร่งคืนให้ผ่านไปเร็วๆ พยาบาลพิเศษยังบอกเลยว่าหนูน้อยดูมีความสุขขึ้นมาก ตั้งอกตั้งใจทำตามที่ทุกคนบอกอย่างไม่เกี่ยงงอน รอคอยที่จะได้ออกไปเที่ยวและกลับบ้านด้วยใจจดจ่อ พูดถึงเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีเบื่อ

รายการการ์ตูนจบลง...รุจศรัณย์เหลียวมองพี่สาว จิ้มนิ้วเหนียมๆ ไปที่จอโทรทัศน์ รุจศยาเข้าใจสัญญาณนั้นก็ลุกไปเปลี่ยนแผ่นการ์ตูนเรื่องใหม่ เผยอยิ้มตอบให้เจ้าตัวเล็กหน้าตาแช่มชื่นกว่าเดิม

หญิงสาวนึกดีใจที่ชายหนุ่มพาเธอมาปรับความเข้าใจกับน้องชายตั้งแต่เมื่อวานและพาเธอมาทิ้งให้รอเขาอยู่ที่นี่ในวันนี้...เพียงแค่สองวันทวิพัทธ์ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตเธออย่างมีประสิทธิผล เริ่มต้นจากชวนเธอวางแผนอนาคตคร่าวๆ และพาไปธุระจำเป็นหลายอย่าง พูดคุยกับเวดดิ้งแพลนเนอร์ของเธอเรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว เลือกแบบบัตรเชิญแขกไว้รอรายชื่อผู้ใหญ่ที่เขาจะสรรหามาให้ ติดต่อทนายความชื่อดังมารับมือกับคดีของศราพรรณและรุจศรัณย์ นัดผู้รับเหมามาปรับปรุงเรือนหอ ก่อนจะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพื่อปกป้องชื่อเสียงของเขาและเธอ

ใจจริงรุจศยาไม่อยากแต่งงานเอิกเกริก แต่ชายหนุ่มแย้งว่ายิ่งงุบงิบทำยิ่งถูกครหาว่าไม่ให้เกียรติฝ่ายหญิงหรือมีลับลมคมในซ่อนอยู่ ไหนๆ จะถูกนินทาแล้วก็ขอจัดหนักไปเลย อีกอย่างชานนท์จ่ายค่ามัดจำให้ตั้งเยอะแล้วจะทิ้งไปเฉยๆ ก็น่าเสียดาย สู้ฉวยโอกาสสร้างภาพลวงสังคม แก้เผ็ดชานนท์กับอัมราภรณ์ ประหยัดเงินค่าจัดงานเอง แถมยังได้เก็บซองจากแขกเหรื่อมาเป็นทุนรอนชีวิตคู่ดูจะเข้าท่ากว่า เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกยกฝูงนั่นแหละ

‘เราต้องร่อนการ์ดเชิญเจ้าชานชาลากับหนูแอมยอดรักของมันด้วยนะคุณจ๋า ให้พวกนั้นมาดูเรามีความสุขกันบนเงินของมัน ว่าแต่จะกล้าโผล่มาหรือเปล่าเหอะ’

หญิงสาวฟังแผนการที่ติดจะรักสนุกแล้วก็แสนหน่ายใจ แต่ลึกลงไปบังเกิดความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่สูญเสียมารดาไป เธอไม่เคยรู้สึกว่าจะมีใครเป็นหลักประกันอันมั่นคงให้เธอกับน้องชายมากเท่านี้มาก่อน

เธอหวังว่าทวิพัทธ์จะทำได้ตามที่พูดจริงๆ...

เธอหวังว่าเธอกับน้องจะได้อยู่ด้วยกัน...


========= (จบตอนที่ 9) =========






Create Date : 28 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 23:45:00 น. 15 comments
Counter : 2583 Pageviews.

 
มารอพี่สองค่อไปค่า


โดย: Nok IP: 1.47.104.110 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:7:36:14 น.  

 
รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อค่า


โดย: b IP: 1.47.171.184 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:16:04:00 น.  

 
จิ้งจอกแอ๊บแบ๊วเริ่มแผลงฤทธิ์แล้ววววว


โดย: MooNa IP: 1.46.42.1 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:18:29:05 น.  

 
ปฏิบัติการหลอกล่อสาวน้อยได้ผลไปอีกขั้น กว่าจะรู้ตัว จ๋าก็คงเสียทั้งตัวและหัวใจ


โดย: nasa IP: 116.58.232.111 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2557 เวลา:14:36:32 น.  

 
อยากอ่านตอนจบอ่ะ คุณกุ๊กกกกก


โดย: Jum IP: 27.145.17.233 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2557 เวลา:21:14:29 น.  

 
ไม่เคยอ่านมาก่อน แต่อ่านแล้วชอบมากค่ะ


โดย: natchan IP: 1.47.192.181 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2557 เวลา:21:29:46 น.  

 
เตรียมแต่งตัวรอจะไปงานแต่งงานของนายสองกับคุณจ๋า แต่ยังไม่ได้การ์ดเชิญเลยอ่ะ 😘😉


โดย: ต่างแดน IP: 94.23.252.21 วันที่: 1 ธันวาคม 2557 เวลา:4:16:26 น.  

 
ใกล้วิวาห์ ใกล้เข้าหอล่ะ รอวันวางแผงนะคะ


โดย: summer IP: 157.7.205.214 วันที่: 1 ธันวาคม 2557 เวลา:8:24:11 น.  

 
=== Nok ===
รับแซ่บการตอกบัตรจ้า ;p

=== b ===
อีกไม่นานพบกันต่อค่า ^^V

=== MooNa ===
คุณจ๋าทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งกับลีลาของพ่อคุณเลยล่ะ 555+

=== nasa ===
คุณจ๋าก็ใช่ย่อย พี่สองก็โดนเล่นกลับเหมือนกันน้า อิอิ

=== Jum ===
รออีกนิดน้า จุ๊บๆๆ ^3^

=== natchan ===
ยินดีที่ได้รู้จักและดีใจที่ชอบเรื่องนี้นะคะ ^^

=== ต่างแดน ===
พี่สองอาจลืมส่งการ์ด แต่อย่างที่พี่สองให้สัมภาษณ์รู้จักกันแล้วไปร่วมงานได้ ไม่ต้องเขินน้า~ :p

=== summer ===
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ พี่สองงี้บ่นอุบเลยว่าใกล้ทุกอย่าง ยกเว้นวรรคสุดท้าย ยัยคีตภาาาา >__<


โดย: คีตภา วันที่: 2 ธันวาคม 2557 เวลา:12:40:36 น.  

 
รออ่านเป็นเล่มมมมมม


โดย: ๋ีJum IP: 27.145.17.233 วันที่: 10 ธันวาคม 2557 เวลา:15:53:53 น.  

 
สุดยอดเลย พี่สอง ได้โอกาสแก้ตัวกับจ๋า แถมยังช่วยจ๋าเอาคืนได้สะใจ สคริปต์ก็เยี่ยม ให้สัมภาษณ์ซะเนียนไปเลย


โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 วันที่: 15 ธันวาคม 2557 เวลา:18:35:52 น.  

 
ปล่อยเขารอนานจัง พี่สองลืมกันอะเปล่า


โดย: B IP: 223.27.209.50 วันที่: 17 ธันวาคม 2557 เวลา:18:23:45 น.  

 
=== Jum ===
รอลุ้นไปด้วยกันนะคะ จุ๊บๆๆ ^3^

=== goldensun ===
จิ้งจอกแอ๊บแบ๊วพรีเซนส์ ได้คะแนนไปหลายแต้มนะเนี่ย อิอิ :p

=== B ===
ไม่ลืมค่ะ ช่วงที่ผ่านมาออกจะยุ่งๆ เดี๋ยวมาพบกันต่อเร็วๆ นี้ค่ะ ^^V


โดย: คีตภา วันที่: 28 ธันวาคม 2557 เวลา:13:38:20 น.  

 
คุณกุ๊กกกกกค้าาาาา คิดถึงพี่สองงงใจจะขาดค้า


โดย: Kwanita IP: 202.28.179.13 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา:21:12:41 น.  

 
=== Kwanita ===
อร๊ายยยยย พี่สองก็คิดถึงคนอ่านมากมายค่า >////<


โดย: คีตภา วันที่: 10 มีนาคม 2558 เวลา:21:35:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คีตภา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




*** งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบนะคะ :) ***


"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ)

รวมเล่มโดย Love สนพ. แจ่มใส วางแผงปลายเดือน มิ.ย. 58 ค่ะ ขอฝากพี่สอง คุณจ๋า และน้องจั๊มพ์ไว้ด้วยนะคะ ^_____^



Date 28/04/2015
สองรักล้นใจ บทที่ 1-11
~ ตัวอย่างทดลองอ่านจ้า ~





เว็บบอร์ดคีตภา@jamsai.com
เว็บบอร์ดคีตภา ณ แจ่มใส :)




ผลงานของคีตภา
นิยายตีพิมพ์รวมเล่ม

นิยายรูปแบบ E-Book


อีเมลของคีตภา



Unique Visitors :
Page Loads :


Friends' blogs
[Add คีตภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.