"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ) จะวางแผงแล้ว~ ขอฝากงานเขียนของ "คีตภา" ไว้ด้วยนะคะ ^^

Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
17 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 

(100%) === สองรักล้นใจ # 3 : นางฟ้าตกสวรรค์ ===









- 3 -



ถ้ารุจศยามีพรวิเศษสามารถบันดาลพรให้เป็นความจริงได้หนึ่งอย่าง สิ่งที่เธอจะขอคือ...อยากให้เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน ลืมตาตื่นแล้วจะได้อันตรธานไป เหลือเพียงร่องรอยเล็กๆ ในความทรงจำ ไม่สร้างความเจ็บปวดให้แต่อย่างใด

หากมันก็เป็นไปไม่ได้...

นับจากวันที่ศราพรรณเสียชีวิต หญิงสาวไม่อาจข่มตาหลับสนิทสักคืน ก่อนเข้านอนความคิดทั้งหมดจะจมจ่อมอยู่ที่เรื่องแม่ งานศพ และปัญหามากมายที่รออยู่ พอลืมตารับรุ่งอรุณ สิ่งที่พุ่งเข้ามายึดพื้นที่ในหัวสมองก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ วนเวียนไปมาไม่รู้จบรู้สิ้น

รุจศยายอมรับว่ากลัวสิ่งที่จะได้พบเจอในแต่ละวัน มองไม่เห็นทางหลบพ้น ชีวิตที่เหมือนตกอยู่ในห้วงฝันร้ายยังคงดำเนินต่อไปในโลกแห่งความเป็นจริง

ทวิพัทธ์เสร็จงานตอนสายก็ตรงมาหาหญิงสาวตามนัด รุจศยาฝากงานให้แม่บ้านกับคนทำงานบ้านที่มาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในงานศพช่วยดูแลจัดการแล้วก็ขึ้นรถเพื่อไปรับการ์ดฌาปนกิจและของชำร่วยที่สั่งทำไว้ ตอนที่ชายหนุ่มบ่ายพวงมาลัยออกนอกเส้นทาง หญิงสาวก็ไม่ได้ถามอะไร คิดเอาเองว่าเขาคงพาไปหาซื้อของอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ต่อ ตัวเธอไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ก็ได้แต่ตามเขาไปต้อยๆ มารู้ตัวว่าคาดการณ์ผิดก็ตอนเห็นจุดหมายปลายทางเป็นโรงพยาบาลที่เคยมาเมื่อหลายวันก่อน

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”

“มาเยี่ยมจั๊มพ์” ชายหนุ่มตอบพลางถอยรถเข้าจอดในช่องว่างข้างต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่น ตามองกระจกส่องหลัง ปากก็แจกแจงต่อ “เมื่อเช้าผมโทรมาถามอาการ เห็นว่าจั๊มพ์ดีขึ้นมากพอจะพูดคุยได้แล้ว แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับจั๊มพ์ก็ต้องพาผู้ปกครองอย่างคุณจ๋ามาด้วยถึงจะเนียนพอเข้าเยี่ยมในห้องไอซียูได้”

“ฉันไม่อยากเห็นเด็กคนนั้น”

รุจศยาปฏิเสธห้วนๆ นั่งคอแข็งลำตัวตั้งตรงเหมือนท่อนไม้ ดวงตาแข็งกร้าวมองตรงไปข้างหน้า มีระลอกคลื่นความหวั่นไหวฉาบอยู่บางๆ

“ถือว่าผมขอร้องแล้วกัน...นะครับ”

ชายหนุ่มวิงวอนทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแววตา หญิงสาวเบนหน้าไปทางกระจกด้านข้าง กัดเรียวปากอย่างชั่งใจ...ใจซีกหนึ่งยังคงตั้งแง่รังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ แต่อีกซีกก็อยากเห็นว่าเด็กชายมีสภาพยังไง...ความรู้สึกที่เธอมีต่อรุจศรัณย์ช่างน่าสับสนสิ้นดี

ในที่สุดหญิงสาวก็ผงกศีรษะรับแกนๆ...ไหนๆ เขาก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือเธอมาเยอะแล้ว ยอมตามใจบ้างจะเป็นไร

ช่วงที่สองหนุ่มสาวเข้าไปเยี่ยมดูอาการ รุจศรัณย์เพิ่งตื่นมาแบบมึนๆ งงๆ ได้พักหนึ่งก็ทำตาปรือจะผล็อยหลับต่อ พอเหลือบเห็นร่างที่ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงก็พยายามยกเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นมองว่าเป็นใคร

ทวิพัทธ์ชะงัก หายใจสะดุด จ้องดวงตาดำขลับที่ฉายแววพิศวงอย่างถอนสายตาไม่ออกคลับคล้ายกับโดนแรงดึงดูดให้จมดิ่งลงไปในลูกตาคู่นั้น ความรู้สึกบางอย่างเอ่อท้นใจเงียบๆ ริมฝีปากหยักลึกคลี่ยิ้มนุ่มนวล นัยน์ตาคมกริบทอแสงอ่อนโยน ท่าทีที่เขาแสดงออกกับเด็กชายเต็มไปด้วยความละมุนละไมจนรุจศยาสัมผัสได้

“ใครคับ”

เสียงเล็กถามอ่อยๆ อย่างสงสัย ทวิพัทธ์สอดนิ้วเข้าจับมือที่มีขนาดกระจิริดกว่าหลายเท่าไว้หลวมๆ ขณะให้คำตอบด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกับสีหน้า

“พี่สองครับ...พี่สองเป็นเพื่อนของพี่จ๋า จั๊มพ์รู้หรือเปล่าว่าพี่จ๋าเป็นใคร”

“รู้คับ...”

คำตอบรับของเจ้าตัวน้อยทำให้หญิงสาวกะพริบตาปริบอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยอกแสยงใจกับประโยคที่ติดตามมา

“แม่บอกพี่จ๋าเป็นพี่จั๊มพ์ ตอนนี้ไปทำงาน กลับมาจะพามาหาจั๊มพ์...ใช่พี่จ๋าของจั๊มพ์ไหมคับ”

“ใช่ครับ”

ชายหนุ่มเปิดปากแทนหญิงสาวที่ปิดปากสนิทติดจะกัดกรามนิดๆ นัยน์ตาเริ่มเรืองแสงขุ่นมัวขึ้นอีก

...ฮึ! เด็กมันยังรู้ตัวว่ามีพี่ แต่พี่อย่างเธอสิไม่เคยรู้ตัวว่ามีน้อง!...

รุจศรัณย์มองพี่สาวอย่างรอคอย ทว่ารุจศยามีอคติจากความโกรธเคืองปนผิดหวังในตัวมารดาและชิงชังพ่อเลี้ยงจนพานต่อต้านน้องชายคนใหม่ เนื้อแท้หญิงสาวไม่ใช่คนใจร้ายใจดำขนาดจะอาละวาดกราดเกรี้ยวใส่เด็ก ดังนั้นเมื่อแสดงความเกลียดเต็มที่ไม่ได้ จะให้รักใคร่ชอบพอก็ทำใจไม่ลง สิ่งที่เธอเลือกปฏิบัติคือวางตัวนิ่งดูดาย ตีหน้าเคร่ง ยืนเฉยเป็นรูปปั้นในพิพิธภัณฑ์ ไม่ยอมแตะต้องหรือปริปากพูดด้วยสักคำ ทำเอาเด็กชายหน้าม่อยอย่างผิดหวังเล็กๆ ที่พี่จ๋าดูจะเป็นคนดุต่างจากแม่บอก

ทวิพัทธ์ปรายตามองหญิงสาวอย่างตำหนิ แต่เธอไม่ยอมรับไว้ เมินหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีดวงตาคมกล้ากับดวงตาหงอยๆ คู่นั้นเสีย

รุจศรัณย์อ้าปากหาวหวอด เปลือกตาค่อยๆ หรี่ลงด้วยฤทธิ์ยากับความอ่อนเพลียที่เรียกร้องขอการพักผ่อน หากยังไม่ลืมสิ่งที่ติดใจสงสัย ถามใครก็ไม่ได้เรื่องเลย

“พ่อ แม่ ป้าเรืองอยู่ไหน...จั๊มพ์อยากหาพ่อ แม่ ป้าเรืองคับ”

สองหนุ่มสาวเงียบกริบ ไม่มีคำตอบให้เช่นเดียวกับคุณหมอ นางพยาบาล และนักกายภาพบำบัดที่เข้ามาก่อนหน้านั้น

ทวิพัทธ์บีบมือเล็กเบาๆ และเลื่อนมืออีกข้างไปลูบเรือนผมอ่อนนุ่มอย่างปลอบประโลม เจ้าตัวน้อยยังเป็นผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าดูอาการอยู่ในห้องไอซียู การรับรู้เรื่องโหดร้ายอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและร่างกายให้ย่ำแย่ลง ชายหนุ่มจึงตอบเลี่ยงๆ ไปว่า

“จั๊มพ์ยังเจ็บหนักต้องนอนเยอะๆ รักษาตัวให้หายก่อนแล้วค่อยคุยกันนะครับ”

“ให้พ่อ แม่ ป้าเรือง มาหาจั๊มพ์...เอาผ้านุ่มมาด้วยนะคับ”

คำขอร้องเจื้อยแจ้วดึงคิ้วเข้มข้างหนึ่งให้เลิกสูงขึ้นอย่างฉงน

“ผ้านุ่ม...มันเป็นยังไงครับ”

“ก็ผ้านุ่มๆ ของจั๊มพ์คนเดียว...ป้าเรืองให้จั๊มพ์คับ”

รุจศรัณย์บอกทื่อๆ ตามประสาเด็กที่ยังอธิบายรูปพรรณสัณฐานไม่ค่อยเป็น แต่ก็ช่วยให้ทวิพัทธ์เข้าใจได้เลาๆ เคยรู้มาว่าเด็กหลายคนมีความผูกพันกับสิ่งของบางอย่าง อาทิ ผ้าขนหนู ผ้าห่ม หมอนข้าง หรือตุ๊กตา ประมาณว่า ‘ติดกลิ่น’ ถ้าไม่ได้ดอมดม ไม่ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงมักจะกระวนกระวายนอนไม่ค่อยหลับ

“อ่อ...เดี๋ยวพี่สองจะลองถามหาให้นะครับ”

“อย่าลืมนะคับ...”

เด็กชายกำชับเสียงงัวเงีย ปิดตาลงอย่างไม่อาจฝืนต่อสู้กับคลื่นความง่วงเหงาหาวนอน จำยอมปล่อยตัวเองลงสู่ห้วงนิทรารมย์อันลึกล้ำ

ทวิพัทธ์ถอนหายใจเบา ปลายนิ้วแข็งแรงลากต่ำลงมาไล้เรียวคิ้วดกได้รูปสวยและเปลือกตาที่ประดับด้วยแพขนตาหนายาวของหนูน้อยไปมาอย่างเชื่องช้า รอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มมุมปากเขาอีกครั้ง แววตาคมทอแสงเอื้อเอ็นดูคละเคล้ากับสงสาร

รุจศยากะพริบตาถี่ๆ สะกดกลั้นความอ่อนไหวไว้ภายใน ลอบมองกิริยาของชายหนุ่มเงียบๆ และอ้อยอิ่งอยู่บริเวณที่เขากำลังสัมผัส…ดวงหน้าหลับใหลอย่างไร้เดียงสามีพลังมากพอจะกะเทาะเปลือกแข็งที่ห่อหุ้มตัวเธอให้เป็นรอยปริร้าว ยิ่งพยายามถือทิฐิไม่ยอมรับสิ่งที่ประกาศว่าไม่พึงปรารถนามาตั้งแต่ต้นผสมกับอยากตอบโต้ผู้ที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจไว้มากเท่าไหร่ หัวใจเธอก็ยิ่งบีบรัดแน่น หลั่งเลือดไหลซึมออกมาตามรอยแยกเล็กๆ มากเท่านั้น

เธอไม่อยากรู้สึกขัดแย้งในตัวเองแบบนี้เลย...

============================


ยามบ่ายคล้อยยันค่ำกลายเป็นช่วงเวลาที่รุจศยาไม่อยากเผชิญมากที่สุด

เรื่องของศราพรรณกับรัชพงศ์แพร่สะพัดไปดั่งไฟลามทุ่ง ตกเป็นหัวข้อสนทนาอันโอชะในหมู่คนรู้จัก ทั้งเรื่องฐานะครอบครัวที่เปลือกนอกดูดี เนื้อในกลวงโบ๋ เรื่อยไปถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ปิดบังการอยู่กินฉันสามีภรรยาและซุกซ่อนลูกเล็กๆ เอาไว้ บ้างว่าพวกเขามีจุดประสงค์แอบแฝงเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ และสถานภาพทางสังคม ขืนเปิดเผยฐานะที่แท้จริง ลูกสาวคงจับผู้ชายรวยๆ ได้ลำบาก บ้างก็ว่าพวกเขายกลูกให้เรืองรองเลี้ยงเพื่อหลอกเอาเงิน ที่ร้ายกาจที่สุดคือรุจศยาถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับแม่สร้างภาพ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หลอกลวงคนอื่นอย่างแยบยล เพราะแม่กับลูกสาวสนิทสนมกันปานนั้นมีหรือจะไม่รู้จริง สรุปว่าโกหกเก่งทั้งแม่ทั้งลูก

หลายวันมานี้หญิงสาวอับอายจนไม่อยากสู้หน้าผู้คน แต่ผู้คนกลับแห่แหนมาแสดงความอาลัยต่อผู้เสียชีวิตกึ่งมาดูน้ำหน้าเธออย่างคับคั่ง คนที่มอบความเห็นอกเห็นใจจากใจจริงก็มี หากคนที่จ้องจะซ้ำเติมกันมีเยอะกว่า บางรายอยากรู้อยากเห็นมากก็อาศัยความใจกล้าหรือวัยที่สูงกว่าเดินเข้ามาสอบถามตรงๆ หยิบยกสิ่งที่คนอื่นพูดกันลับหลังมาเกริ่นนำ ตบท้ายด้วยโจทย์ว่าจริงหรือไม่ ทำไม และเพราะอะไร พอได้คำตอบก็มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ปักใจว่าเธอยังสร้างเรื่องโกหกตบตาคนไม่สร่างซา

สีหน้าแววตาและรอยยิ้มต่างลักษณะจากหลายคนที่คิดว่าตนรู้จริงทำเอารุจศยาหน้าชาดิก เธอไม่เคยทำอะไรให้พวกเขาเดือดร้อน แต่ถูกวิจารณ์อย่างกับเป็นคนสาธารณะเพียงเพราะแม่ของเธอเก็บงำชีวิตอีกด้านไว้ไม่ให้ใครรู้เห็น เธอต้องทนแบกรับความอัปยศแทนแม่กับพ่อเลี้ยงไปควบคู่กัน

หญิงสาวต้อนรับแขกเหรื่อเหมือนหุ่นยนต์ไร้ชีวิตจิตใจเข้าไปทุกที กว่าการสวดพระอภิธรรมในแต่ละคืนจะจบสิ้น เส้นประสาทของเธอก็ถูกขึงตึงเปรี๊ยะเจียนจะขาดผึงอยู่รอมร่อ

เมื่อส่งแขกผู้ใหญ่เสร็จ รุจศยาตั้งใจจะหาที่นั่งพักหายใจหายคอสักหน่อย เธอเล็งชุดม้าหินข้างศาลาสวดไว้ บริเวณนั้นมีความเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง แสงจากหลอดไฟนีออนที่อยู่ห่างกันเป็นระยะๆ ช่วยให้ไม่มืดเปลี่ยว เดินเข้าไปอีกนิดก็จะถึงเขตหลังศาลาที่ใช้เป็นสถานที่จัดการอาหาร เครื่องดื่ม และภาชนะสำหรับผู้มาร่วมงาน

“หนูจ๋า”

เสียงเรียกที่ดังจากด้านหลังทำให้หญิงสาวชะงักฝีเท้า สูดหายใจลึกก่อนเหลียวกลับไปประจันหน้ากับผู้ชายวัยห้าสิบต้นๆ ในชุดสูทภูมิฐาน มีความสูงพอๆ กับเธอ แต่ลำตัวขยายออกมากกว่าเยอะ เขาเดินอาดๆ พาพุงพลุ้ยมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเล็กตี่แสดงความพึงพอใจชัดแจ้งตรงข้ามกับคนถูกมองที่แอบขยะแขยงจนขนลุกเกรียว

“ได้คำตอบของคำถามที่ลุงให้เก็บเอาไปคิดเป็นการบ้านแล้วหรือยัง”

“ที่นี่งานศพ ไม่ใช่สถานที่พูดเรื่องแบบนั้น ช่วยให้เกียรติกันด้วยค่ะ”

หญิงสาวปรามเสียงเรียบ แต่อีกฝ่ายก็รุกไล่ไม่เลิก

“ถ้าเป็นที่อื่นก็พูดได้งั้นสิ ลุงเห็นตัวจริงหนูจ๋าตั้งแต่วันสวดวันแรกแล้วชอบใจจริงๆ ถ้าหนูจ๋ายอมตกลง ลุงจะบอกทนายให้หยุดส่งเรื่องฟ้องศาล”

รุจศยาหน้าขาวซีดสลับแดงด้วยความโกรธและอดสู ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้กับตัวเอง...เธอกำลังถูกต่อรองแลกเปลี่ยนเหมือนสิ่งของที่มีราคาค่างวด...ไม่ใช่ชีวิตที่มีค่าด้วยเกียรติของความเป็นคน!

ถ้าเรื่องที่ศราพรรณแอบมีสามีใหม่และลูกชายเล็กๆ สามารถผลักเธอลงสู่ก้นเหวลึก ต้นสายปลายเหตุที่ชักนำให้เรื่องดำเนินมาในทิศทางนี้ก็ไม่ต่างจากก้อนหินใหญ่หล่นตามมากระแทกซ้ำให้กระอักเลือด กดทับเธอไว้ไม่ให้ปีนป่ายขึ้นไปเห็นแสงเดือนแสงตะวัน

ชนวนปัญหาแรกสุดที่แม่กีดกันเธอออกไป ไม่ยอมให้มีส่วนร่วมรับรู้...

ปัญหาเรื่องหนี้สินจำนวนมหาศาล!

ศราพรรณใช้เงินหนักมาตั้งแต่สิ้นนายทหารหนุ่มใหญ่ผู้เป็นสามี ไหนจะต้องส่งเสียบุตรีที่เรียนอยู่เมืองนอก พ่อแม่สามีก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวแพงลิบลิ่ว เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นก่อนสิ้นอายุขัยจนสมบัติเก่าร่อยหรอ แถมยังต้องช่วยพยุงบริษัทที่ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ ให้อยู่รอดในยุคที่พิษเศรษฐกิจตกต่ำแพร่ระบาด แต่นั่นยังไม่ทำให้สาวใหญ่เดือดร้อนได้เทียบเท่ากับการถูกคนใกล้ชิดหักหลัง เมื่อเธอหลงคารมเห็นใจน้องสาวนอกคอกที่ถูกตัดออกจากตระกูลของสามี ลองให้โอกาสคนที่ซมซานมาขอขมาได้กลับเนื้อกลับตัวใหม่เผื่อผู้ล่วงลับไปจะสงบสุข รับเป็นผู้ค้ำประกันให้น้องสามีกับแฟนใหม่ชาวต่างชาติเข้าทำงานในสถาบันการเงินชั้นนำ พวกเขากลับร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่ยักยอกเงินไปอักโขและโบยบินหนีไปเสวยสุขสร้างชีวิตใหม่ในต่างแดน ไม่แยแสว่าพี่สะใภ้จะถูกบังคับให้เป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญา

ศราพรรณดำรงตำแหน่งประธานบริหารบริษัทเอเจนซี่โฆษณาย่อมเป็นห่วงฐานะหน้าตาทางสังคมจึงเลือกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ จัดการกู้ยืมเงินจากหลายแหล่งมาใช้หนี้ก้อนโตและค่อยๆ ทยอยผ่อนดอกเบี้ยหรือเงินต้นส่งคืนเรื่อยมา

ครั้นศราพรรณเสียชีวิตลง เจ้าหนี้หลายคนก็ทยอยมาแสดงตัวกับรุจศยาในงานศพเพราะหนี้สินบางอย่างไม่ได้จบลงพร้อมกับผู้ตาย ยังสามารถบังคับให้ทายาทชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดีไม่ดี...อาจจะไม่เหลือแม้แต่บ้านไว้ให้เธออยู่อาศัย!

นางฟ้าตกสวรรค์!

นี่ล่ะ...สถานะที่แท้จริงของเธอในตอนนี้ ถูกสอยจากวิมานลงสู่ขุมนรก ต้องแบกรับเรื่องน่าอายสารพัด รวมทั้งต้องทนกับสายตากะลิ้มกะเหลี่ยของสมภพ...เจ้าหนี้รายใหญ่ที่มีแววเป็นตัวปัญหาหนักสุด

“รีบๆ ตัดสินใจดีกว่าหนูจ๋า เลยกำหนดที่ต้องใช้เงินต้นคืนตามสัญญามาหลายเดือนแล้ว แต่แม่ของหนูขอผลัดไปจนกว่าจะได้เงินสินสอดของหนูก่อน ลุงว่าคงจะไม่มีหวัง คุณนวลอรดูจะไม่ปลื้มกับว่าที่สะใภ้อย่างหนูแล้วนี่ มางานสวดคืนแรกแล้วก็ไม่มาอีกเลย ทั้งคมทั้งเขี้ยวออกขนาดนั้นจะยอมให้ลูกชายคนเดียวแต่งงานกับหนูจ๋าจริงเหรอ”

“หยุดพูดบ้าๆ นะ!”

“ถ้าชานนท์ไม่ได้แต่งงานกับหนูจ๋าจริงก็หันมารับข้อเสนอของลุงดีกว่า หนูจ๋าจะอยู่บ้านนั้นนานเท่าไหร่ก็ได้ แถมลุงยังมีเงินรายเดือนให้ใช้อีกนะ”

รุจศยาเกิดอาการหูอื้อตาลาย หายใจแรงถี่เร็ว กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งเกลียวด้วยความโกรธจัด เพิ่งเข้าใจวลีที่ว่า ‘โกรธจนพูดไม่ออก’ อย่างถ่องแท้ในนาทีนี้...ไม่ใช่แค่โกรธคนพูดจาทุเรศ ยังพาลแค้นเคืองโชคชะตาวาสนาของตัวเองด้วย

เธอตกต่ำได้ขนาดนี้เชียวเหรอ...

จาก ‘คุณหนู’ ผู้สูงส่ง เพียงแค่ไม่กี่วันเธอกำลังถูกต้อนให้เป็น ‘อีหนู’ แทนเสียแล้ว มิหนำซ้ำราคาค่าตัวก็ไม่มากพอจะปลดหนี้ เป็นได้แค่เงินขัดดอกหรือค่าเช่าบ้านของตัวเองอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น

ก่อนที่อารมณ์พลุ่งพล่านของเธอจะแตะจุดระเบิด ทวิพัทธ์ก็สาวเท้ายาวๆ เข้ามาช่วยปกป้องเธอจากสถานการณ์น่ารังเกียจ

“คุณสมภพ...ช่วยระวังคำพูดหน่อย อย่างน้อยก็ถือว่าให้เกียรติคนตาย งานศพเป็นงานแสดงความเสียใจไว้อาลัย ไม่ใช่งานทวงหนี้นะครับ”

“แกเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย”

“ผมเป็นเพื่อนคุณจ๋า เห็นเธอเจอคนพูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักกาลเทศะก็อดจะสอดไม่ได้น่ะ”

“นี่มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับหนูจ๋า”

“ผมมีเพื่อนฝูงเป็นคอลัมน์นิสต์หลายคนนะลุง พวกนักข่าวซุบซิบสายสังคมก็มี เห็นบ่นๆ ว่าหาเรื่องเขียนขายไม่ได้อยู่ ลุงอยากช่วยให้พวกเขามีช่องทางทำมาหากินบ้างไหมล่ะ...นักธุรกิจใหญ่หน้ามืดแผ่แม่เบี้ยขนาดเท่ากระด้งหวังเคลมสาวรุ่นหลานในงานศพ…ก็ฟังดูน่าค้นหาดีนะ รับรองว่าผมจะไม่เอ่ยชื่อจริงของลุงออกไปให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก แค่อาจจะเผลอหลุดปากกับภรรยาของลุงคนเดียวเท่านั้นเอง”

ชายหนุ่มตอบโต้นิ่มๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มยียวน คู่กรณีวัยกลางคนตาลุกวาบ ไม่ได้โง่เสียจนไม่เข้าใจนัยที่ถูกด่ากระทบว่าเป็นพวกเฒ่าหัวงู ตัวเขาไม่กลัวข่าวซุบซิบพวกนั้น มั่นใจว่ากำราบภรรยาได้ แต่การก้อร่อก้อติกกับผู้หญิงอายุน้อยกว่าหลายรอบก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเปิดการแสดงให้ผู้อื่นรู้เห็น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากตกเป็นฝ่ายขายหน้าและถูกมองอย่างสังเวช เมื่อมีบุคคลที่สามโผล่มาขัดจังหวะจึงต้องหยุดล่าเหยื่อไปอย่างเสียดาย

“หนูจ๋า ลุงคงต้องกลับแล้ว เอาไว้คุยกันใหม่ทีหลังนะ ถ้าหนูจะตอบตกลงก็โทรหาลุงได้ทุกเวลาเลย”

ก่อนไปไม่วายถลึงตาดุใส่ทวิพัทธ์ซึ่งฉีกยิ้มรับซื่อๆ แบบที่ชอบกระทำในยามต้องการกวนประสาทใครสักคน…การได้รับปฏิกิริยาตอบโต้สวนทางจากที่คาดหวังมักจะทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหัวเสียเองเสมอ วัดจากหน้าตาบึ้งๆ แล้วสมภพก็คงเป็นอีกคนที่เข้าข่ายนั้น

============================


พอถูกทิ้งไว้ข้างหลังสองต่อสอง ทวิพัทธ์ก็ทอดสายตามองหญิงสาวอย่างเห็นใจ พอจะเข้าใจว่าทำไมตาแก่ตัณหากลับถึงอยากได้เธอจนตัวสั่น

รุจศยาอยู่ในชุดไว้ทุกข์แบบเรียบๆ ใบหน้านวลมีร่องรอยความหมองคล้ำอิดโรยฉาบทับ ลอนผมขนาดกำลังงามถูกรวบเป็นมวยต่ำ บางปอยหลุดลุ่ยออกมาม้วนตัวคลอเคลียลำคอระหง เชิญชวนให้คนมือซนอยากเสนอตัวช่วยจัดผมให้นัก แม้จะไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งโฉมอย่างประณีตเหมือนเคย เนื้อแท้ตามธรรมชาติของหญิงสาวยังน่ามอง จัดเป็นคนสวยคมคนหนึ่ง อาจจะไม่ได้เลิศเลอเกินสตรีอื่นในยุคที่มีดหมอเนรมิตความงามได้ตามใบสั่ง แต่เธอมีแต้มต่อพิเศษตรงบุคลิกลักษณะโดดเด่นดุจนางพญา ท้าทายให้ผู้ชายหลายคนอยากเอาชนะเพราะการพิชิตเธอได้ย่อมน่าภาคภูมิใจเหมือนได้สมบัติชิ้นงามมาส่งเสริมบารมี

หญิงสาวไม่พูดไม่จา เดินไปทิ้งร่างบนม้านั่ง วางข้อศอกทั้งสองข้างตั้งบนโต๊ะ หงายฝ่ามือขึ้นรองรับใบหน้าที่ซบลงซุกซ่อน ทวิพัทธ์สังเกตจากอาการสงบเงียบ ไม่มีเสียงลมหายใจติดขัด หัวไหล่แบบบางไม่สะท้อนขึ้นลง หญิงสาวคงไม่ได้ร้องไห้ หากพยายามสะกดอารมณ์ปั่นป่วนภายในและเก็บงำสีหน้าแววตาไว้ไม่ให้ใครเห็นมากกว่า...คิดแล้วก็น่าสงสารเธอเหลือเกิน

รุจศยาเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพิ่งผ่านความสูญเสียใหญ่หลวง เจอมรสุมกระหน่ำซ้ำเติมไม่หยุดหย่อนจะฝืนทนรับได้สักเท่าไหร่ เป็นบางคนอาจจะทรุดฮวบไปนานแล้ว ที่เธอยังยืนหยัดได้ถึงนาทีนี้ก็เพราะธาตุทระนงในตัวเองสูงแท้ๆ

ชายหนุ่มปล่อยหญิงสาวให้ระงับสติอารมณ์ตามลำพัง ไม่นานก็กลับมาพร้อมถาดบรรจุอาหารว่างและเครื่องดื่ม

เสียงภาชนะกระทบพื้นโต๊ะดังกุกกักดึงรุจศยาออกจากภวังค์อันมืดมน ช้อนดวงตาแห้งแล้งมองคนที่ถือวิสาสะทิ้งตัวลงครอบครองม้านั่งอีกด้าน

“เห็นเจ๊อ้อยบ่นว่าคุณจ๋าไม่ยอมกินอะไรเลย ทรมานตัวเองแบบนี้ไม่ดีนะ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก”

“ฉันไม่หิว”

หญิงสาวปฏิเสธอย่างหมายความตามนั้นจริงๆ ลำคอเธอตีบตันและขมปร่า ทานอะไรไม่ค่อยรู้รส หมดความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง

ทวิพัทธ์โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจระคนไม่เห็นด้วย ลำเลียงจานขนมปังเนื้อนุ่มที่ถูกหั่นเป็นทรงลูกเต๋า ถ้วยใส่สังขยาสีเขียวสวยน่ารับประทาน และแก้วนมสดอุ่นๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอพลางคะยั้นคะยอให้ลิ้มลอง

“ตะกี้ผมออกไปซื้อของกินเล่นมาเลี้ยงเพื่อนๆ ที่มาช่วยงานก็เลยซื้อมาฝากคุณจ๋าด้วย เจ้านี้ทำอร่อยนะ เจ๊อ้อยได้ไปชุดนึงยังติดใจเลย คุณจ๋าลองชิมสักนิดสิ”

รุจศยาส่ายหน้าแทนคำตอบเดิม ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย แวบเดียวก็ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ แกล้งพูดจายั่วแหย่หวังให้เธอวางเรื่องเศร้าหมอง ผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียด และกลับเป็นคนเดิมที่มีนัยน์ตาดำเป็นมันวาว ประจุไฟชีวิตเต็มเปี่ยม สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างทัดเทียม...แม้จะแค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็ยังดี

“เอ...หรือว่านี่เป็นแผนการของคุณจ๋า ตั้งใจทำให้ตัวเองดูโทรมๆ ไว้ เผื่อไอ้แก่ตัณหากลับจะเปลี่ยนใจไม่มายุ่งกับคุณจ๋าอีกใช่ไหมล่ะ”

“บ้า!”

หญิงสาวแหวกลับโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆ อย่างพึงพอใจ ไม่วายหยอดแถมอีกหนึ่งมุก

“ยังด่าได้เร็วแบบนี้ค่อยสมกับเป็นคุณจ๋าที่ผมรู้จักหน่อย เอ้า...ผมมีโปรโมชั่นพิเศษ ยอมให้คุณจ๋าด่าฟรีอีกห้าคำแล้วต้องกินอะไรสักนิดล่ะ”

“ทุเรศ! งี่เง่า! เพี้ยน! ประสาท! บ้าบอคอแตกที่สุด!!”

รุจศยาจัดให้ตามคำขอหนึ่งชุด ไม่ได้ประณามชายหนุ่มคนเดียว ยังเหมารวมถึงคนที่ทำให้เธอรู้สึกแย่ด้วย...น่าแปลกที่สบถออกไปแล้ว ความหนักอึ้งที่กดทับทรวงอกเธอก็คล้ายจะเบาลงนิดหน่อย

ทวิพัทธ์ยิ้มบางๆ เลื่อนแก้วกระเบื้องเคลือบแบบมีหูจับเข้าไปใกล้หญิงสาว ใช้สายตาทวงสิ่งแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องพูดโต้งๆ ว่า ‘ด่าครบแล้วจงกินซะ’

รุจศยานิ่วหน้าครู่หนึ่งก็ถอนใจ ยอมรับแก้วเนื้อหนาไปประคองไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้าง อุณหภูมิที่ได้สัมผัสช่วยให้เธออุ่นขึ้นในยามที่เมฆฝนเริ่มตั้งเค้าปกคลุมผืนฟ้ายามรัตติกาล ส่งสายลมเย็นบาดผิวหนังให้สั่นสะท้าน พอยกขอบแก้วขึ้นแตะปาก รับน้ำนมขาวนวลเข้าลำคอ ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านภายในร่างกายขับไล่ความหนาวเย็นให้หดหายไปหลายส่วน

ดวงตาคมสีนิลแฝงแววอ้างว้างสบประสานกับดวงตาคมสีสนิมเหล็กที่ทอแสงห่วงใย...หลายวันที่ผ่านมาทวิพัทธ์ช่วยเหลือเธอมากเหลือเกิน ร่างสูงก้าวนำพาไปทุกแห่ง เสียงทุ้มคอยให้คำแนะนำต่างๆ และสองมือของเขาก็ช่วยแบ่งเบาภาระของเธอเท่าที่จะทำได้โดยไม่น่าเกลียดมาก ไม่ต้องการให้เธอถูกพูดถึงในแง่ไม่ดีหนักกว่าเดิม เวลาที่เธอกำลังจะถูกต้อนจนมุม ถ้าเขาไม่โผล่มาเองก็จะส่งผองเพื่อนเข้ามาแทรกแซงราวกับเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอด

ความเอื้ออาทรของเขาสื่อผ่านการกระทำเงียบๆ เป็นน้ำใจดีๆ ที่แทรกซึมผ่านเข้าไปในหัวใจแตกระแหงของเธอได้มากกว่าน้ำลายของใครหลายคนที่เป็นพวกปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ

เร็วเท่าความคิด...เธอเอ่ยคำหนึ่งที่ติดค้างเขาออกไป

“ขอบคุณนะ”

“หืม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ทำเสียงฉงนในลำคอ

“ถ้าไม่มีคุณ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอะไรบ้าง ขอบคุณที่ช่วยฉันทุกอย่าง”

รุจศยารู้สึกว่าต้องพูดคำนี้ ไม่ใช่แค่ตามมารยาท ถึงเธอจะตั้งแง่ไม่ชอบเขา หากทุกสิ่งที่ได้รับมาไม่มีคำใดตอบแทนได้เทียบเท่ากับคำสั้นๆ ที่มีความหมายกินใจว่า ‘ขอบคุณ’

ชายหนุ่มชะงักมองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ วินาทีถัดมาก็ยกนิ้วหัวแม่มือปัดปลายจมูกโด่งแก้เก้อและพยักหน้ารับน้อยๆ โดยไม่มีคำพูด แต่ประกายแพรวพราวที่เพิ่มพูนขึ้นในดวงตาคมกับมุมปากที่โค้งขึ้นเป็นรอยอมยิ้มในหน้าส่งผลให้ผิวแก้มเธอร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นแปลกๆ ชักเก้อเขินจนต้องหลุบแพขนตายาวงอนมองภาชนะในมือพลางเคี้ยวปากเบาๆ เพื่อไม่ให้อมยิ้มตอบออกไปชัดๆ

บางทีอาจเป็นเพราะเธอไม่เคยชินกับการพูดคุยดีๆ กับเขากระมัง พอทำสักทีเลยขัดๆ เขินๆ พิลึก...

ความคิดของรุจศยาล่องลอยกลับไปก่อนหน้านี้ประมาณสองสามปี...ตอนที่เธอยังยิ้มกับทวิพัทธ์ได้อย่างเป็นมิตร เกือบจะสนิทสนมกันด้วยซ้ำ ทว่าวันหนึ่งทุกอย่างกลับพลิกผันไปในทางตรงข้ามจากการกระทำอันไม่ยั้งคิดของเขา จริงอยู่ที่ชายหนุ่มยังทำตัวเป็นกันเองเหมือนเดิม แต่เธอไม่อยากคบหาเขาอีกแล้วจึงวางตัวเป็นคู่อริเสมอมา

กระนั้นรุจศยาต้องจำยอมรับการมีคู่ปรับอยู่ตรงนี้...อยู่เคียงข้างเธอในวันเวลาที่แสนสาหัสก็ช่วยให้เธอไม่โดดเดี่ยวมากอย่างที่ควรจะเป็น…

============================


วันฌาปนกิจศพมีแขกเหรื่อมากมายมาร่วมไว้อาลัย พอวางดอกไม้จันทน์เสร็จก็เริ่มทยอยเดินทางกลับ เปิดทางให้ญาติสนิทมิตรสหายที่ใกล้ชิดกับผู้ล่วงลับรวมตัวกันขึ้นไปบอกลาเป็นกลุ่มสุดท้าย และเมื่อเสียงสัญญาณเตือนเวลาเผาจริงดังขึ้นก็เปรียบเสมือนคมมีดกรีดคว้านเข้าควักหัวใจของรุจศยา น้ำตาที่เคยหลั่งให้ผู้อื่นเห็นในวันที่รับรู้ความสูญเสียและตอนเห็นมารดาถูกจับมัดตราสังข์นำเข้าโลงศพ จากนั้นก็เก็บซ่อนไว้ได้ดีมาตลอด บัดนี้พลันเอ่อคลอเต็มขอบตางามอีกครั้ง

หญิงสาวยืนกรานให้สัปเหร่อเปิดโลงศพเพื่ออำลาแม่ ถึงแม้ว่าภาพสุดท้ายจะไม่งดงามเหมือนที่เคยสัมผัส เธอก็ยังอยากมอง...มองดูร่างของแม่ก่อนที่จะไม่สามารถทำได้อีกตลอดกาล ทันทีที่เจ้าหน้าที่ลำเลียงโลงไม้เข้าไปข้างใน กายนี้จะมอดไหม้ไม่เหลืออะไร...ตัวตนที่เธอเคยมองเห็น เคยพูดจาหยอกเย้า เคยกอดรัดคลอเคลียอย่างรักใคร่จะสูญสลายไปจากโลกและชีวิตของเธอชั่วนิรันดร์

เหลือเพียงความทรงจำที่คงอยู่ในหัวใจ...

รุจศยาหลับตาทำให้น้ำตาเม็ดโตร่วงอาบสองแก้ม เรียวปากอิ่มเม้มแน่น ตัดใจพยักหน้าอนุญาตให้คนของทางวัดนำโลงศพเข้าเตาเผา เจ็บร้าวเจียนใจจะขาดรอนๆ

วิภาดากับมัทนาโยนดอกไม้จันทน์เข้าไปในช่องด้านหน้าเมรุแล้วก็ร้องไห้เหมือนเด็กๆ พวกเธอสามคนคบกันมาตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่น เรียนด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ไปไหนไปกันตลอด ความผูกพันเหนือกว่าคำว่าเพื่อน เข้าขั้นเป็นพี่น้องกันเลยด้วยซ้ำ ขาดคนหนึ่งไปก็เหมือนอวัยวะสำคัญสูญหาย

อิสรีกับเพื่อนๆ ยืนเตร่อยู่แถวนั้นอย่างเป็นห่วง เห็นสองสาวใหญ่ทำท่าโงนเงนจะล้มก็ปราดเข้าประคองไปนั่งพักที่โซฟาของเจ้าภาพ ร้องขอยาดมมาช่วยบรรเทาอาการเป็นการใหญ่

ทวิพัทธ์ก้าวไปหารุจศยาที่ยังยืนมองเปลวไฟลามเลียสลับกับดอกไม้จันทน์ในมือผ่านม่านน้ำตาพร่ามัว บอกอย่างอ่อนโยน

“ลาคุณแม่นะคุณจ๋า”

หญิงสาวสะอื้นฮึกฮัก น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสาย มือสั่นเทาโยนดอกไม้จันทน์เข้าหาพระเพลิงที่โหมแรงขึ้น

จบแล้ว...

เธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ...ทุกอย่างดำเนินมาจนสุดทาง...เธอจะต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยปราศจากร่างผู้ที่คอยโอบอุ้มและเป็นที่พึ่งพิงทางใจ

ในอกเธอสั่นไหวรุนแรงก่อนจะระเบิดพร่าง ร่างกายกลวงโหวงเบาหวิว พื้นที่รองรับเท้าไหวโคลงเคลง ความเสียใจอย่างสุดแสนผสมกับความอ่อนเพลียจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาไม่ต่างจากสายลมแรงพัดสติสัมปชัญญะของเธอให้ดับวูบ...เป็นลมล้มพับไปทั้งน้ำตานองหน้า

“คุณจ๋า!”

ทวิพัทธ์อุทานอย่างตกใจและคว้าร่างที่อ่อนปวกเปียกไว้ทันท่วงที รีบช้อนอุ้มพาไปหาวิภาดากับมัทนาที่พร้อมใจกันลุกพรวดให้ร่างบางได้นอนเหยียดยาวบนเบาะนุ่ม ทั้งคู่ช่วยเช็ดน้ำตาและลูบเนื้อตัวหลานสาวอย่างสงสาร ขณะที่อิสรีกับเพื่อนใช้กระดาษโบกพัดกันมือเป็นระวิง

รุจศยาฟื้นแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่พักใหญ่…

วันรุ่งขึ้นทวิพัทธ์กับอิสรีก็แวะมารับหญิงสาวไปเก็บอัฐิ ช่วยตระเตรียมดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และสตางค์เศษเหรียญเงินเหรียญทองมาสมทบกับผ้าขาวห่ออัฐิ โกศ และลุ้งใส่อังคารที่ชายหนุ่มเคยพาเธอไปหาซื้อเมื่อสามสี่วันก่อน พบว่าพวกวิภาดากับมัทนามารอเข้าร่วมประกอบพุทธศาสนพิธีตามความเชื่ออยู่ที่วัดแล้ว

“ฝากแม่กับพ่อรัชไว้กับพระนะหลานจ๋า”

สาวใหญ่บอกให้ฝากอัฐิไว้ในช่องกำแพงบรรจุอัฐิรอบพระอุโบสถ รุจศยายังทำใจรับพ่อเลี้ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ตั้งท่ากีดกันแข็งขันเหมือนเดิม บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นจุดสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ว่าเหลือเพียงเท่านี้ หรืออาจจะรู้ดีว่าต่อต้านพวกเธอไปก็ไร้ประโยชน์

สองคุณน้าอนุญาตให้หลานสาวลาพักจนกว่าจะสบายใจแล้วค่อยกลับไปทำงานใหม่ ส่วนงานที่คั่งค้างอยู่ของหญิงสาวก็มอบหมายให้คนอื่นดูแลแทนตามความเหมาะสม หากรุจศยาก็หมกมุ่นอยู่กับตัวเองได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะทวิพัทธ์ที่ดูจะมีเวลาว่างเหลือเฟือมักโทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ บางครั้งก็ตอแยเธอให้ไปหารุจศรัณย์หรือไปจัดการเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเด็กชายอยู่เรื่อย ช่วงงานศพชายหนุ่มมีน้ำใจต่อเธอมาก จบงานแล้วจะไร้ไมตรีตอบก็ดูกระไร อีกทั้งธุระบางเรื่องจัดอยู่ในข่ายที่เธอจำเป็นต้องไปเองด้วย จะให้ละเลยหมดทุกอย่างย่อมเป็นไม่ได้...

============================


ตอนนี้รุจศรัณย์อาการดีขึ้นมากพอจะย้ายไปอยู่ห้องพิเศษเดี่ยวแล้ว ทุกครั้งที่เห็นใครเข้ามาต้องถามถึงบิดามารดาและผู้เป็นป้า ทวิพัทธ์เห็นว่าสมควรต้องบอกความจริงเสียที ต่อให้ยื้อเวลาออกไปยังไงเจ้าตัวเล็กก็ต้องรู้เข้าสักวัน ดังนั้นยอมแต้มยาแสบสันใส่แผลใจไปดีกว่าปล่อยทิ้งให้เป็นแผลเรื้อรัง แต่หญิงสาวที่ควรรับหน้าที่นั้นกลับเพิกเฉย ไม่มีวี่แววว่าจะยอมพูดหรือทำดีกับน้องเลย ไปๆ มาๆ ตัวเขาต้องเป็นฝ่ายออกหน้าเจรจาเรื่องน่าลำบากใจแทน

พอได้ยินว่าพ่อแม่และป้าจากไปอยู่ที่ไกลแสนไกล ดวงตาคู่โตบนใบหน้าเท่างบน้ำอ้อยก็กะพริบปริบๆ อย่างงุนงง

“พ่อ แม่ ป้าเรืองไปอยู่บนสวรรค์เหรอคับ”

“ครับ”

“ไปนานไหมคับ เมื่อไหร่จะมาหาจั๊มพ์”

“นาน...นานมาก...กลับมาหาจั๊มพ์ไม่ได้อีกแล้ว”

เท่านั้นแหละ...รุจศรัณย์ก็ทำหน้าเบะ แม้จะยังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจคำว่าตายจาก แต่การบอกว่าเหล่าคนที่รักจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาก็มีค่าเท่ากัน หัวใจดวงน้อยรับรู้ความเจ็บปวดและหวาดกลัวต่อการไม่มีบุคคลที่รักคอยประคับประคองถนอมเลี้ยงเหมือนวันวาน ถึงกับปล่อยโฮลั่น ดิ้นรนจะไปหาพวกเขา ทวิพัทธ์ต้องกอดร่างกระจ้อยร่อยไว้อย่างปลอบโยนและปกป้องไม่ให้เด็กชายทำร้ายตนเองให้เจ็บหนักขึ้น

“ฮือๆ...”

รุจศยาหลับตาพลางกัดริมฝีปากแน่นอย่างพยายามข่มกลั้นอารมณ์ แทบทนฟังเสียงเล็กๆ ที่ร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจไม่ได้ มันส่งแรงสั่นสะเทือนหัวใจเธอไม่น้อย

ทวิพัทธ์โอ๋รุจศรัณย์จนเสียงสะอื้นซาลงถึงหันมาทางหญิงสาวที่นิ่งเฉย ถือวิสาสะจับมือเรียวไปแตะตัวน้อง รุจศยาสะดุ้งเหมือนถูกเข็มตำ ทำท่าจะชักมือหนี แต่เห็นแววตาคมกริบจับจ้องมาในลักษณะครึ่งปรามครึ่งขอร้องและเห็นดวงตาฉ่ำน้ำของน้องมองมาอย่างกริ่งเกรงปนโหยหา...หญิงสาวก็ชักลังเลใจ...น้ำตากับเสียงสะอื้นของรุจศรัณย์มีอานุภาพปานกรดกัดกร่อนทิฐิของเธอให้เว้าแหว่ง

พอชายหนุ่มแตะร่างน้อยคล้ายบอกให้ไปหาพี่สาว รุจศรัณย์ก็โผไปตามสัญชาตญาณเด็ก รุจศยาตัวแข็งทื่อ แต่ก็ยอมรับน้องชายไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ อย่างไม่คุ้นชิน ได้ยินเสียงทุ้มกำกับอยู่ใกล้ๆ

“คุณจ๋าระวังแขนที่เข้าเฝือกของจั๊มพ์หน่อยนะ”

“อะ...อื้อ”

เธอรับคำเงอะๆ งะๆ เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น กลัวจะทำน้องเจ็บ ทั้งที่เธอเองก็เจ็บลึกอย่างบอกไม่ถูก...ร่างนุ่มนิ่มของน้องช่างเหมือนเตารีดร้อนๆ นาบผิวหนังเธอให้พุพอง มือเล็กที่ขยุ้มเสื้อเธอก็เปรียบประดุจกรงเล็บแหลมคมแทงทะลุเข้าไปจิกทึ้งเนื้ออ่อนในใจให้เป็นแผลเหวอะหวะ

“พี่จ๋า...ฮือ...ฮือ...”

เจ็บ...จนอยากจะสะอื้นไห้ไปกับน้องด้วย

เธออาจจะไม่รักน้องชายต่างบิดาคนนี้ แต่เวทนาแน่นอน…

และความรู้สึกนั้นก็ทวีความข้นแรงมากขึ้นเมื่อหญิงสาวพบแพทย์เจ้าของไข้ ได้รับแจ้งผลการรักษาพยาบาลกับผลการทดสอบต่างๆ ที่บ่งบอกว่ารุจศรัณย์อาจจะพิการ!

แรงกระแทกจากอุบัติเหตุคราวนั้นส่งผลกระทบต่อเด็กชายอย่างร้ายแรง กระดูกสันหลังเคลื่อนลงไปกดทับไขสันหลังทำให้ร่างกายช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จำเป็นต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อ เรียนรู้การหายใจ และฝึกหัดช่วยเหลือตัวเอง ถ้าสภาพร่างกายกับจิตใจพร้อมเมื่อไหร่ก็สมควรเข้ารับการผ่าตัดจัดเรียงกระดูกใหม่

รุจศยาก้าวออกจากห้องอย่างมึนงงผสมอ่อนล้า พอเจอเก้าอี้ว่างตัวแรกก็ทรุดนั่ง ยกมือข้างหนึ่งปิดหน้าผากที่ก้มต่ำ ทวิพัทธ์จับจองเก้าอี้ข้างๆ พูดปลุกปลอบให้กำลังใจ ไม่อยากให้เธอท้อแท้สิ้นหวัง

“คุณจ๋าอย่าเพิ่งคิดมากสิ หมอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ายังพอมีหวัง ขาจั๊มพ์ยังมีอุณหภูมิ มีความรู้สึก มีการตอบสนองบางอย่างเหลืออยู่ ไม่ได้สูญเสียไปหมด ผ่าตัดแล้วจั๊มพ์ต้องหายดีแน่ๆ”

“ถ้าไม่สำเร็จล่ะ จั๊มพ์จะเป็นเด็กพิการตลอดไปเหรอ...”

เธอถามเสียงแหบเครือ เพียงแค่คิดถึงภาพนั้นก็แทบทนรับไม่ได้ทีเดียว

“ต้องสำเร็จสิ ถ้าไม่สำเร็จเราก็จะพยายามกันต่อไป ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ครั้งหน้าก็สำเร็จ จั๊มพ์ต้องหายเป็นปกติแน่ เดี๋ยวผมจะลองถามคนรู้จักดูว่ามีหมอเก่งๆ ที่ไหนบ้าง คุณจ๋าอย่าคิดอะไรร้ายๆ บั่นทอนตัวเองเลย”

คำว่า ‘เรา’ ที่คนพูดอาจจะเหมารวมโดยไม่ตั้งใจสร้างความอุ่นใจให้เธออย่างประหลาด

กระนั้นเมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายมากมายที่รออยู่ เธอก็เริ่มกังวลอีกรอบ มรดกที่มารดาทิ้งไว้มีจำนวนหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ยังดีที่กฎหมายระบุไว้ว่าทายาทไม่ต้องชดใช้หนี้สินเกินมูลค่ามรดกที่ได้รับ* แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของเธอก็มีแค่รถยนต์หนึ่งคัน เครื่องประดับไม่กี่ชิ้น และเงินฝากก้อนหนึ่งในธนาคารซึ่งดูน้อยนิดไปถนัดใจเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่

ครั้นจะหวังพึ่งพิงญาติทางพ่อของรุจศรัณย์ก็คงยาก พลวัตกับพิลาสลักษณ์...ลุงกับป้าตามสายเลือดของพ่อหนูน้อยเคยแวะมาดูหลานหนเดียว ถามไถ่อาการพอเป็นพิธีก่อนฝากฝังเด็กชายเอาไว้กับพี่สาวคนละพ่อโดยไม่เอ่ยปากจะช่วยเหลืออะไรสักคำและไม่เคยย่างกรายมาอีกเลย

ตอนที่ทวิพัทธ์ลากเธอไปหา ‘ผ้านุ่ม’ ที่บ้านของเรืองรองก็พบว่าพวกเขาต่างอพยพครอบครัวเข้าไปอ้างสิทธิ์เหนือคฤหาสน์หลังงาม พิลาสลักษณ์กำลังต้อนรับแขกที่สนใจที่ดินผืนงามติดชายทะเลก็หันมาทักทายผู้มาเยือนสั้นๆ ก่อนสั่งแม่บ้านกับลูกจ้างให้ไปยกสมบัติของเด็กชาย พอเห็นสภาพถุงดำกับลังกระดาษโทรมๆ รุจศยาก็รู้สึกเหมือนกลายร่างเป็นพนักงานเก็บขยะพิกล แม่บ้านวัยกลางคนแอบซับน้ำตาเล่าให้ฟังว่าห้องของรุจศรัณย์ถูกหลานชายของพิลาสลักษณ์ยึดครอง ทางด้านหลานชายกับหลานสาวของพลวัตก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทำข้าวของเครื่องเล่นพังพินาศไปหลายชิ้น ส่วนเสื้อผ้าข้าวของอื่นๆ ที่ใช้ไม่ได้หรือไม่ต้องการก็ถูกแยกเก็บไว้ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้

วิภาดากับมัทนาที่ค่อนข้างหูไวตาไวเก็บข่าวมาเล่าเสริมว่าสองพี่น้องทะเลาะกันเรื่องแบ่งเงินช่วยงานศพแล้วก็เตรียมเปิดศึกทึ้งมรดกต่อเพราะเรืองรองเสียชีวิตโดยไม่มีบุตร บุพการีสิ้นบุญไปนานแล้ว ถ้าเธอไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ตามที่โจษจันกัน สมบัติทั้งหมดจะตกทอดสู่ทายาทโดยธรรม** ลำดับถัดไปคือพี่น้องร่วมบิดามารดา ส่วนรัชพงศ์สิ้นใจก่อนเรืองรอง บุตรชายของเขาจึงหมดสิทธิ์ขอแบ่งสรรปันส่วน ลุงกับป้าที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนโลภและโหยหิวเงินจัดมีหรือจะสนใจไยดีหลานชายพิการที่มีแต่ตัวให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ปลี้ๆ

รุจศยาเองก็ไม่ได้พิศวาสรุจศรัณย์นักหนา ฐานะก็ตกต่ำสุดขีด แต่นึกถึงดวงตาเปียกชื้นที่มองมาเหมือนลูกหมาถูกทิ้งและเสียงเล็กๆ ร้องเรียก ‘พี่จ๋า’ หัวใจเธอก็เหมือนกับถูกสายโซ่ที่มองไม่เห็นพันธนาการไว้เหนียวแน่น

บางทีโซ่นั่นอาจจะหล่อหลอมจากมโนธรรมในส่วนลึกหรือความหน้าบางไม่อยากให้ใครเก็บไปนินทาอีกกระมัง เธอถึงไม่อาจหันหลังให้น้องชายได้อย่างเด็ดขาด

ในเมื่อไม่มีใครรับเลี้ยง เธอก็คงต้องรับไว้ จะลำบากแค่ไหนก็ต้องลองดูสักตั้ง เพราะจะให้ทอดทิ้งน้องเหมือนทิ้งขยะไร้ค่า...เธอก็ทำไม่ลง...

============================


หลังจากรับรู้ข่าวร้าย รุจศรัณย์ก็ซึมๆ ไป ยังถามหาพ่อ แม่ และป้าตามความเคยชินอีกหลายครั้งก่อนจะค่อยๆ ซาลง เริ่มยอมรับสภาพว่าพวกเขาไม่กลับมาหาแล้วจริงๆ ดังคำบอกกล่าว...โลกที่เคยอบอุ่นและปลอดภัยของหนูน้อยสูญสลายไป กลายเป็นโลกใหม่ที่เวิ้งว้างน่าหวาดกลัวท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า ทวิพัทธ์ห่วงใยสภาพจิตใจของรุจศรัณย์ที่ต้องเป็นกำพร้าและพิการกะทันหันจึงแจ้งเจตจำนงขอให้จิตแพทย์เด็กเข้ามาเยียวยาจิตใจอย่างใกล้ชิดควบคู่ไปกับแพทย์ที่รักษาทางกาย นอกจากนั้นชายหนุ่มยังเจียดเวลาว่างไปอยู่กับคนตัวเล็กแทบทุกวัน สงสารเด็กชายที่หัวเดียวกระเทียมลีบ จับเจ่าเศร้าซึมอยู่ในห้องพักอันเงียบเหงา เห็นแต่หน้าเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ สำหรับรุจศยาจะโผล่มาให้เห็นก็ต่อเมื่อทางโรงพยาบาลติดต่อไปหาหรือออกไปทำธุระกับเขาแล้วถูกบังคับพาตัวมาด้วยเท่านั้น

หญิงสาวยังไม่อาจละวางทิฐิที่มีต่อแม่ พ่อเลี้ยง และน้องชายคนใหม่ เท่าที่ยอมออกหน้าทำเรื่องต่างๆ ให้ก็ถือว่าดีมากแล้ว แม้จะอ้างว่าทำไปเพราะถูกหน้าที่ค้ำคอ แต่มันก็เป็นสัญญาณดีว่าเธอเริ่มจะอ่อนลง คงต้องให้เวลาปรับตัวปรับใจอีกสักระยะ ช่วงนี้หญิงสาวกำลังเครียดจัดกับปัญหาหนี้สินที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ การรุกเร้าเซ้าซี้มากๆ เข้าอาจทำให้เธอรู้สึกว่าโดนบีบคั้นมากเกินไป ชะดีชะร้ายจะพาลต่อต้านหนักกว่าเดิมเอา

อิสรีเป็นคนนำข่าวสารที่ได้ยินจากหลายทิศทางมากระซิบบอกเขาว่า

“คุณจ๋ากำลังจะถูกฟ้องให้ขายทรัพย์สินทอดตลาดมาใช้หนี้ของคุณพรรณ อีตาสมภพน่ะร้ายสุด คุณจ๋าไม่ยอมเป็นของเล่นบนเตียง มันก็หาเรื่องว่าคุณพรรณหัวหมอโกงเจ้าหนี้ แอบถ่ายเทข้าวของเงินทองให้ลูกสาวแทนที่จะเอาไปใช้หนี้ นี่มันเตรียมจะฟ้องขอเพิกถอนสิทธิ์สมบัติทุกอย่างที่คุณจ๋ามีอยู่อีก ไอ้แก่นั่นกะเล่นคุณจ๋าให้หมดตัว เอาให้ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ”

“คุณวิกับคุณมัทว่าไงล่ะ”

ชายหนุ่มถามถึงสุภาพสตรีสาวโสดที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของรุจศยา พวกเธอร่วมมือกับศราพรรณกางปีกปกป้องหญิงสาวออกปานนั้น ไม่น่าปล่อยให้เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นโดยไม่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา

อิสรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนมอบคำตอบผิดคาดให้ด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

“ไม่ว่าไงเลย งวดนี้คุณวิกับคุณมัทเฉยสนิท”

“พูดจริงหรืออำเล่น”

ชายหนุ่มชะงักถามอย่างไม่อยากเชื่อ เพื่อนรุ่นพี่ต้องย้ำตอบพร้อมกับหยิบยกเหตุผลมายืนยันว่าไม่ใช่มุกล้อเล่นขำขัน

“พูดจริงสิ ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าคุณวิกับคุณมัทต้องช่วยคุณจ๋าแน่ๆ เอาเข้าจริงพวกเธอกลับไม่ทำอะไรเลย วางตัวเป็นคนนอกลูกเดียว อย่างว่าล่ะเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร คุณจ๋าเป็นแค่หลานนอกไส้ ต่อให้รักใคร่เอ็นดูยังไงก็คงไม่ทุ่มเทให้มากขนาดนั้น แว่วมาว่าคุณพรรณใช้หุ้นค้ำประกันตอนยืมเงินส่วนตัวจากพวกเธอด้วย คุณจ๋าจะเอาเงินจากไหนไปไถ่คืนได้ ตอนนี้เท่ากับว่าพวกเธอเป็นผู้ถือหุ้นสองรายใหญ่สุด ไม่จำเป็นต้องง้อคุณจ๋าเลยนี่นา”

“แล้วทางบ้านแฟนคุณจ๋าล่ะ”

“นังคุณนายแม่เริ่มพูดกับคนอื่นว่าอาจต้องเลื่อนงานแต่งของลูกชายออกไปก่อนเพราะคุณจ๋าเพิ่งเสียคุณแม่ไปจะให้จัดงานมงคลคงไม่เหมาะ เฮอะ! ทำเป็นพูดดีสร้างภาพชัดๆ ที่จริงโกรธคุณพรรณกับคุณจ๋าแทบตายว่ากล้ามาหลอกลวงแกกับลูกชายให้กลายเป็นคนโง่ ขนาดงานเผายังไม่ยอมไปเลย อ้างว่าไม่สบาย รุ่งขึ้นเห็นเดินปร๋ออยู่ที่งานออกร้านของสมาคม พวกแมงเม้าท์ลือกันให้แซ่ดว่าคุณนายแม่เสียหน้าและผิดหวังมาก ไม่อยากได้ลูกสะใภ้ถังแตก มีน้องชายพิการมาเป็นของแถมอีกต่างหาก งานนี้ต้องรอดูกันว่านายชานนท์กลับมาแล้วจะว่าไง ถ้าหมอนั่นรักคุณจ๋าจริงไม่ได้หวังผลพลอยได้อะไรก็คงช่วยคุณจ๋าจากเรื่องแย่ๆ ได้ แต่ถ้าดันเป็นลูกไม้ใต้ต้นสายพันธุ์เดียวกับคุณนายแม่ คุณจ๋าก็คงโชคร้ายอีก”

อิสรีบ่นเสียยืดยาว เริ่มต้นด้วยการใส่อารมณ์จิกกัดคุณนายนวลอรชุดใหญ่ ก่อนจะทอดถอนใจลงท้ายอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวชายหนุ่มผู้เป็นคนรักของรุจศยา

ทวิพัทธ์ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงเขาจะมีนิสัยช่างพูดช่างคุยและยั่วประสาทชาวบ้านเก่งจนโดนหลายคนตราหน้าว่าปากเปราะ แต่ก็ไม่ค่อยชอบร่วมผสมโรงวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น อีกทั้งสิ่งที่อิสรีเล่าล้วนเป็นเรื่องที่พูดกันมาปากต่อปากกับการคาดเดาที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ชายหนุ่มไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้ถูกจับเข้าชมรมสาวช่างเม้าท์จึงแกล้งเบรกพลังจินตนาการที่กำลังไหลลื่นของครีเอทีฟสาวให้เพลาๆ ลงเสียหน่อย

“เจ๊...กินมากเลยคิดมากไปป่าว”

“ไอ้บ้า!” อิสรีแว้ดด่าพร้อมกับส่งหมัดขวากระแทกต้นแขนคนอ่อนวัยกว่าหนึ่งพลั่ก แถมค้อนปะหลับปะเหลือกยกใหญ่ “ฉันกินมากแล้วใช้สมองคิดมากก็ยังดีกว่าพวกกินมากแต่อาหารไปเลี้ยงสมองน้อยอย่างแกล่ะ อย่าลืมนะสอง...การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่คนเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กันสองคนนี่นา กี่รายแล้วล่ะที่เข้ากับครอบครัวของอีกฝ่ายไม่ได้จนต้องเลิกกันไป ตอนนี้แม่ของนายชานนท์ทำตัวมีปัญหาแล้ว ถ้าเลื่อนงานแต่งออกไปสักพักแล้วได้แต่งก็ยังดี คุณจ๋าจะได้มีใครสักคนคอยดูแล แต่ถ้าต้องยกเลิกไปเลยคุณจ๋าคงจะเสียใจและขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก คนเราบทจะดวงตกดวงแตกอะไรแย่ๆ ยิ่งชอบเข้ามารุมด้วย แกไม่เป็นห่วงไม่สงสารคุณจ๋าบ้างหรือไง ไอ้คนความรู้สึกหยาบ พูดกับแกแล้วอารมณ์เสียจริงๆ”

ว่าจบเจ้าตัวก็สะบัดสะโพกผละไปรับโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามพลางยักไหล่อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น

ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกเห็นใจและอยากช่วยเหลือรุจศยาซึ่งกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาเคยเห็นมากับตาว่าเธอถูกเจ้าหนี้รุกเร้าขนาดไหน ขากลับจากโรงพยาบาลครั้งล่าสุดก็มีคนโทรศัพท์มาทวงถามความรับผิดชอบขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถของเขา แต่เมื่อเธอเลือกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่อยากพูดถึงมัน เขาก็ต้องวางเฉย ไม่อาจซักถามให้เธอรู้สึกอับอายกับสภาพที่เป็นอยู่

รุจศยามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีสูง เคยชินต่อการถูกยกย่องให้เกียรติและทะนงตนว่าเป็นหนึ่งมาตลอด จู่ๆ ก็มีน้องเล็กๆ โผล่มาทำให้เธอรู้สึกเป็นสอง ฐานะก็พลิกผันไปในทางเลวร้าย เจ้าหนี้ของแม่ก็เหยียบย่ำเธอให้ตกต่ำลง ทุกสิ่งทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในช่วงเวลาสั้นๆ จนเธอตั้งรับไม่ทัน ที่ยังฝืนวางท่าเข้มแข็งเพราะเกลียดการเป็นคนอ่อนแอ ไม่อยากแลดูน่าสมเพชเวทนาในสายตาผู้อื่น หากการเก็บกดอดทนมากๆ เข้าก็สะสมความเครียดไว้ในตัวเธอเหมือนถังเชื้อเพลิง จะอัดแน่นเกินพิกัดหรือถูกอะไรกระทบให้ระเบิดเปรี้ยงปร้างเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...


========= (จบตอนที่ 3) =========



เชิงอรรถ

* ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๑ ทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน สอดคล้องกับมาตรา ๑๗๓๔ เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น

** ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกตามกฎหมายเรียงตามลำดับคือ (๑) ผู้สืบสันดาน (๒) บิดามารดา (๓) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน (๔) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน (๕) ปู่ ย่า ตา ยาย (๖) ลุง ป้า น้า อา โดยลำดับที่ (๑) และ (๒) มีสิทธิเป็นทายาทลำดับแรกสุดเทียบเท่ากัน สำหรับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จัดเป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา ๑๖๓๕





 

Create Date : 17 ตุลาคม 2557
2 comments
Last Update : 23 พฤษภาคม 2558 15:16:24 น.
Counter : 1394 Pageviews.

 

มาอัพเพิ่มเร็วๆนะคะ รออ่านอยู่จ้า ^_^

 

โดย: princesnowman IP: 110.170.80.2 21 ตุลาคม 2557 16:27:02 น.  

 

=== princesnowman ===
มาอัพตอนถัดไปแล้วค่ะ ไปพบกันได้เลยจ้า

 

โดย: คีตภา 24 ตุลาคม 2557 17:57:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คีตภา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




*** งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบนะคะ :) ***


"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ)

รวมเล่มโดย Love สนพ. แจ่มใส วางแผงปลายเดือน มิ.ย. 58 ค่ะ ขอฝากพี่สอง คุณจ๋า และน้องจั๊มพ์ไว้ด้วยนะคะ ^_____^



Date 28/04/2015
สองรักล้นใจ บทที่ 1-11
~ ตัวอย่างทดลองอ่านจ้า ~





เว็บบอร์ดคีตภา@jamsai.com
เว็บบอร์ดคีตภา ณ แจ่มใส :)




ผลงานของคีตภา
นิยายตีพิมพ์รวมเล่ม

นิยายรูปแบบ E-Book


อีเมลของคีตภา



Unique Visitors :
Page Loads :


Friends' blogs
[Add คีตภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.