|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
(100%) === สองรักล้นใจ # 3 : นางฟ้าตกสวรรค์ ===
- 3 -
ถ้ารุจศยามีพรวิเศษสามารถบันดาลพรให้เป็นความจริงได้หนึ่งอย่าง สิ่งที่เธอจะขอคือ...อยากให้เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน ลืมตาตื่นแล้วจะได้อันตรธานไป เหลือเพียงร่องรอยเล็กๆ ในความทรงจำ ไม่สร้างความเจ็บปวดให้แต่อย่างใด
หากมันก็เป็นไปไม่ได้...
นับจากวันที่ศราพรรณเสียชีวิต หญิงสาวไม่อาจข่มตาหลับสนิทสักคืน ก่อนเข้านอนความคิดทั้งหมดจะจมจ่อมอยู่ที่เรื่องแม่ งานศพ และปัญหามากมายที่รออยู่ พอลืมตารับรุ่งอรุณ สิ่งที่พุ่งเข้ามายึดพื้นที่ในหัวสมองก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ วนเวียนไปมาไม่รู้จบรู้สิ้น
รุจศยายอมรับว่ากลัวสิ่งที่จะได้พบเจอในแต่ละวัน มองไม่เห็นทางหลบพ้น ชีวิตที่เหมือนตกอยู่ในห้วงฝันร้ายยังคงดำเนินต่อไปในโลกแห่งความเป็นจริง
ทวิพัทธ์เสร็จงานตอนสายก็ตรงมาหาหญิงสาวตามนัด รุจศยาฝากงานให้แม่บ้านกับคนทำงานบ้านที่มาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในงานศพช่วยดูแลจัดการแล้วก็ขึ้นรถเพื่อไปรับการ์ดฌาปนกิจและของชำร่วยที่สั่งทำไว้ ตอนที่ชายหนุ่มบ่ายพวงมาลัยออกนอกเส้นทาง หญิงสาวก็ไม่ได้ถามอะไร คิดเอาเองว่าเขาคงพาไปหาซื้อของอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ต่อ ตัวเธอไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ก็ได้แต่ตามเขาไปต้อยๆ มารู้ตัวว่าคาดการณ์ผิดก็ตอนเห็นจุดหมายปลายทางเป็นโรงพยาบาลที่เคยมาเมื่อหลายวันก่อน
คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม
มาเยี่ยมจั๊มพ์ ชายหนุ่มตอบพลางถอยรถเข้าจอดในช่องว่างข้างต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่น ตามองกระจกส่องหลัง ปากก็แจกแจงต่อ เมื่อเช้าผมโทรมาถามอาการ เห็นว่าจั๊มพ์ดีขึ้นมากพอจะพูดคุยได้แล้ว แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับจั๊มพ์ก็ต้องพาผู้ปกครองอย่างคุณจ๋ามาด้วยถึงจะเนียนพอเข้าเยี่ยมในห้องไอซียูได้
ฉันไม่อยากเห็นเด็กคนนั้น
รุจศยาปฏิเสธห้วนๆ นั่งคอแข็งลำตัวตั้งตรงเหมือนท่อนไม้ ดวงตาแข็งกร้าวมองตรงไปข้างหน้า มีระลอกคลื่นความหวั่นไหวฉาบอยู่บางๆ
ถือว่าผมขอร้องแล้วกัน...นะครับ
ชายหนุ่มวิงวอนทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแววตา หญิงสาวเบนหน้าไปทางกระจกด้านข้าง กัดเรียวปากอย่างชั่งใจ...ใจซีกหนึ่งยังคงตั้งแง่รังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ แต่อีกซีกก็อยากเห็นว่าเด็กชายมีสภาพยังไง...ความรู้สึกที่เธอมีต่อรุจศรัณย์ช่างน่าสับสนสิ้นดี
ในที่สุดหญิงสาวก็ผงกศีรษะรับแกนๆ...ไหนๆ เขาก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือเธอมาเยอะแล้ว ยอมตามใจบ้างจะเป็นไร
ช่วงที่สองหนุ่มสาวเข้าไปเยี่ยมดูอาการ รุจศรัณย์เพิ่งตื่นมาแบบมึนๆ งงๆ ได้พักหนึ่งก็ทำตาปรือจะผล็อยหลับต่อ พอเหลือบเห็นร่างที่ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงก็พยายามยกเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นมองว่าเป็นใคร
ทวิพัทธ์ชะงัก หายใจสะดุด จ้องดวงตาดำขลับที่ฉายแววพิศวงอย่างถอนสายตาไม่ออกคลับคล้ายกับโดนแรงดึงดูดให้จมดิ่งลงไปในลูกตาคู่นั้น ความรู้สึกบางอย่างเอ่อท้นใจเงียบๆ ริมฝีปากหยักลึกคลี่ยิ้มนุ่มนวล นัยน์ตาคมกริบทอแสงอ่อนโยน ท่าทีที่เขาแสดงออกกับเด็กชายเต็มไปด้วยความละมุนละไมจนรุจศยาสัมผัสได้
ใครคับ
เสียงเล็กถามอ่อยๆ อย่างสงสัย ทวิพัทธ์สอดนิ้วเข้าจับมือที่มีขนาดกระจิริดกว่าหลายเท่าไว้หลวมๆ ขณะให้คำตอบด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกับสีหน้า
พี่สองครับ...พี่สองเป็นเพื่อนของพี่จ๋า จั๊มพ์รู้หรือเปล่าว่าพี่จ๋าเป็นใคร
รู้คับ...
คำตอบรับของเจ้าตัวน้อยทำให้หญิงสาวกะพริบตาปริบอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยอกแสยงใจกับประโยคที่ติดตามมา
แม่บอกพี่จ๋าเป็นพี่จั๊มพ์ ตอนนี้ไปทำงาน กลับมาจะพามาหาจั๊มพ์...ใช่พี่จ๋าของจั๊มพ์ไหมคับ
ใช่ครับ
ชายหนุ่มเปิดปากแทนหญิงสาวที่ปิดปากสนิทติดจะกัดกรามนิดๆ นัยน์ตาเริ่มเรืองแสงขุ่นมัวขึ้นอีก
...ฮึ! เด็กมันยังรู้ตัวว่ามีพี่ แต่พี่อย่างเธอสิไม่เคยรู้ตัวว่ามีน้อง!...
รุจศรัณย์มองพี่สาวอย่างรอคอย ทว่ารุจศยามีอคติจากความโกรธเคืองปนผิดหวังในตัวมารดาและชิงชังพ่อเลี้ยงจนพานต่อต้านน้องชายคนใหม่ เนื้อแท้หญิงสาวไม่ใช่คนใจร้ายใจดำขนาดจะอาละวาดกราดเกรี้ยวใส่เด็ก ดังนั้นเมื่อแสดงความเกลียดเต็มที่ไม่ได้ จะให้รักใคร่ชอบพอก็ทำใจไม่ลง สิ่งที่เธอเลือกปฏิบัติคือวางตัวนิ่งดูดาย ตีหน้าเคร่ง ยืนเฉยเป็นรูปปั้นในพิพิธภัณฑ์ ไม่ยอมแตะต้องหรือปริปากพูดด้วยสักคำ ทำเอาเด็กชายหน้าม่อยอย่างผิดหวังเล็กๆ ที่พี่จ๋าดูจะเป็นคนดุต่างจากแม่บอก
ทวิพัทธ์ปรายตามองหญิงสาวอย่างตำหนิ แต่เธอไม่ยอมรับไว้ เมินหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีดวงตาคมกล้ากับดวงตาหงอยๆ คู่นั้นเสีย
รุจศรัณย์อ้าปากหาวหวอด เปลือกตาค่อยๆ หรี่ลงด้วยฤทธิ์ยากับความอ่อนเพลียที่เรียกร้องขอการพักผ่อน หากยังไม่ลืมสิ่งที่ติดใจสงสัย ถามใครก็ไม่ได้เรื่องเลย
พ่อ แม่ ป้าเรืองอยู่ไหน...จั๊มพ์อยากหาพ่อ แม่ ป้าเรืองคับ
สองหนุ่มสาวเงียบกริบ ไม่มีคำตอบให้เช่นเดียวกับคุณหมอ นางพยาบาล และนักกายภาพบำบัดที่เข้ามาก่อนหน้านั้น
ทวิพัทธ์บีบมือเล็กเบาๆ และเลื่อนมืออีกข้างไปลูบเรือนผมอ่อนนุ่มอย่างปลอบประโลม เจ้าตัวน้อยยังเป็นผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าดูอาการอยู่ในห้องไอซียู การรับรู้เรื่องโหดร้ายอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและร่างกายให้ย่ำแย่ลง ชายหนุ่มจึงตอบเลี่ยงๆ ไปว่า
จั๊มพ์ยังเจ็บหนักต้องนอนเยอะๆ รักษาตัวให้หายก่อนแล้วค่อยคุยกันนะครับ
ให้พ่อ แม่ ป้าเรือง มาหาจั๊มพ์...เอาผ้านุ่มมาด้วยนะคับ
คำขอร้องเจื้อยแจ้วดึงคิ้วเข้มข้างหนึ่งให้เลิกสูงขึ้นอย่างฉงน
ผ้านุ่ม...มันเป็นยังไงครับ
ก็ผ้านุ่มๆ ของจั๊มพ์คนเดียว...ป้าเรืองให้จั๊มพ์คับ
รุจศรัณย์บอกทื่อๆ ตามประสาเด็กที่ยังอธิบายรูปพรรณสัณฐานไม่ค่อยเป็น แต่ก็ช่วยให้ทวิพัทธ์เข้าใจได้เลาๆ เคยรู้มาว่าเด็กหลายคนมีความผูกพันกับสิ่งของบางอย่าง อาทิ ผ้าขนหนู ผ้าห่ม หมอนข้าง หรือตุ๊กตา ประมาณว่า ติดกลิ่น ถ้าไม่ได้ดอมดม ไม่ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงมักจะกระวนกระวายนอนไม่ค่อยหลับ
อ่อ...เดี๋ยวพี่สองจะลองถามหาให้นะครับ
อย่าลืมนะคับ...
เด็กชายกำชับเสียงงัวเงีย ปิดตาลงอย่างไม่อาจฝืนต่อสู้กับคลื่นความง่วงเหงาหาวนอน จำยอมปล่อยตัวเองลงสู่ห้วงนิทรารมย์อันลึกล้ำ
ทวิพัทธ์ถอนหายใจเบา ปลายนิ้วแข็งแรงลากต่ำลงมาไล้เรียวคิ้วดกได้รูปสวยและเปลือกตาที่ประดับด้วยแพขนตาหนายาวของหนูน้อยไปมาอย่างเชื่องช้า รอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มมุมปากเขาอีกครั้ง แววตาคมทอแสงเอื้อเอ็นดูคละเคล้ากับสงสาร
รุจศยากะพริบตาถี่ๆ สะกดกลั้นความอ่อนไหวไว้ภายใน ลอบมองกิริยาของชายหนุ่มเงียบๆ และอ้อยอิ่งอยู่บริเวณที่เขากำลังสัมผัส
ดวงหน้าหลับใหลอย่างไร้เดียงสามีพลังมากพอจะกะเทาะเปลือกแข็งที่ห่อหุ้มตัวเธอให้เป็นรอยปริร้าว ยิ่งพยายามถือทิฐิไม่ยอมรับสิ่งที่ประกาศว่าไม่พึงปรารถนามาตั้งแต่ต้นผสมกับอยากตอบโต้ผู้ที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจไว้มากเท่าไหร่ หัวใจเธอก็ยิ่งบีบรัดแน่น หลั่งเลือดไหลซึมออกมาตามรอยแยกเล็กๆ มากเท่านั้น
เธอไม่อยากรู้สึกขัดแย้งในตัวเองแบบนี้เลย...
============================
ยามบ่ายคล้อยยันค่ำกลายเป็นช่วงเวลาที่รุจศยาไม่อยากเผชิญมากที่สุด
เรื่องของศราพรรณกับรัชพงศ์แพร่สะพัดไปดั่งไฟลามทุ่ง ตกเป็นหัวข้อสนทนาอันโอชะในหมู่คนรู้จัก ทั้งเรื่องฐานะครอบครัวที่เปลือกนอกดูดี เนื้อในกลวงโบ๋ เรื่อยไปถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ปิดบังการอยู่กินฉันสามีภรรยาและซุกซ่อนลูกเล็กๆ เอาไว้ บ้างว่าพวกเขามีจุดประสงค์แอบแฝงเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ และสถานภาพทางสังคม ขืนเปิดเผยฐานะที่แท้จริง ลูกสาวคงจับผู้ชายรวยๆ ได้ลำบาก บ้างก็ว่าพวกเขายกลูกให้เรืองรองเลี้ยงเพื่อหลอกเอาเงิน ที่ร้ายกาจที่สุดคือรุจศยาถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับแม่สร้างภาพ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หลอกลวงคนอื่นอย่างแยบยล เพราะแม่กับลูกสาวสนิทสนมกันปานนั้นมีหรือจะไม่รู้จริง สรุปว่าโกหกเก่งทั้งแม่ทั้งลูก
หลายวันมานี้หญิงสาวอับอายจนไม่อยากสู้หน้าผู้คน แต่ผู้คนกลับแห่แหนมาแสดงความอาลัยต่อผู้เสียชีวิตกึ่งมาดูน้ำหน้าเธออย่างคับคั่ง คนที่มอบความเห็นอกเห็นใจจากใจจริงก็มี หากคนที่จ้องจะซ้ำเติมกันมีเยอะกว่า บางรายอยากรู้อยากเห็นมากก็อาศัยความใจกล้าหรือวัยที่สูงกว่าเดินเข้ามาสอบถามตรงๆ หยิบยกสิ่งที่คนอื่นพูดกันลับหลังมาเกริ่นนำ ตบท้ายด้วยโจทย์ว่าจริงหรือไม่ ทำไม และเพราะอะไร พอได้คำตอบก็มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ปักใจว่าเธอยังสร้างเรื่องโกหกตบตาคนไม่สร่างซา
สีหน้าแววตาและรอยยิ้มต่างลักษณะจากหลายคนที่คิดว่าตนรู้จริงทำเอารุจศยาหน้าชาดิก เธอไม่เคยทำอะไรให้พวกเขาเดือดร้อน แต่ถูกวิจารณ์อย่างกับเป็นคนสาธารณะเพียงเพราะแม่ของเธอเก็บงำชีวิตอีกด้านไว้ไม่ให้ใครรู้เห็น เธอต้องทนแบกรับความอัปยศแทนแม่กับพ่อเลี้ยงไปควบคู่กัน
หญิงสาวต้อนรับแขกเหรื่อเหมือนหุ่นยนต์ไร้ชีวิตจิตใจเข้าไปทุกที กว่าการสวดพระอภิธรรมในแต่ละคืนจะจบสิ้น เส้นประสาทของเธอก็ถูกขึงตึงเปรี๊ยะเจียนจะขาดผึงอยู่รอมร่อ
เมื่อส่งแขกผู้ใหญ่เสร็จ รุจศยาตั้งใจจะหาที่นั่งพักหายใจหายคอสักหน่อย เธอเล็งชุดม้าหินข้างศาลาสวดไว้ บริเวณนั้นมีความเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง แสงจากหลอดไฟนีออนที่อยู่ห่างกันเป็นระยะๆ ช่วยให้ไม่มืดเปลี่ยว เดินเข้าไปอีกนิดก็จะถึงเขตหลังศาลาที่ใช้เป็นสถานที่จัดการอาหาร เครื่องดื่ม และภาชนะสำหรับผู้มาร่วมงาน
หนูจ๋า
เสียงเรียกที่ดังจากด้านหลังทำให้หญิงสาวชะงักฝีเท้า สูดหายใจลึกก่อนเหลียวกลับไปประจันหน้ากับผู้ชายวัยห้าสิบต้นๆ ในชุดสูทภูมิฐาน มีความสูงพอๆ กับเธอ แต่ลำตัวขยายออกมากกว่าเยอะ เขาเดินอาดๆ พาพุงพลุ้ยมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเล็กตี่แสดงความพึงพอใจชัดแจ้งตรงข้ามกับคนถูกมองที่แอบขยะแขยงจนขนลุกเกรียว
ได้คำตอบของคำถามที่ลุงให้เก็บเอาไปคิดเป็นการบ้านแล้วหรือยัง
ที่นี่งานศพ ไม่ใช่สถานที่พูดเรื่องแบบนั้น ช่วยให้เกียรติกันด้วยค่ะ
หญิงสาวปรามเสียงเรียบ แต่อีกฝ่ายก็รุกไล่ไม่เลิก
ถ้าเป็นที่อื่นก็พูดได้งั้นสิ ลุงเห็นตัวจริงหนูจ๋าตั้งแต่วันสวดวันแรกแล้วชอบใจจริงๆ ถ้าหนูจ๋ายอมตกลง ลุงจะบอกทนายให้หยุดส่งเรื่องฟ้องศาล
รุจศยาหน้าขาวซีดสลับแดงด้วยความโกรธและอดสู ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้กับตัวเอง...เธอกำลังถูกต่อรองแลกเปลี่ยนเหมือนสิ่งของที่มีราคาค่างวด...ไม่ใช่ชีวิตที่มีค่าด้วยเกียรติของความเป็นคน!
ถ้าเรื่องที่ศราพรรณแอบมีสามีใหม่และลูกชายเล็กๆ สามารถผลักเธอลงสู่ก้นเหวลึก ต้นสายปลายเหตุที่ชักนำให้เรื่องดำเนินมาในทิศทางนี้ก็ไม่ต่างจากก้อนหินใหญ่หล่นตามมากระแทกซ้ำให้กระอักเลือด กดทับเธอไว้ไม่ให้ปีนป่ายขึ้นไปเห็นแสงเดือนแสงตะวัน
ชนวนปัญหาแรกสุดที่แม่กีดกันเธอออกไป ไม่ยอมให้มีส่วนร่วมรับรู้...
ปัญหาเรื่องหนี้สินจำนวนมหาศาล!
ศราพรรณใช้เงินหนักมาตั้งแต่สิ้นนายทหารหนุ่มใหญ่ผู้เป็นสามี ไหนจะต้องส่งเสียบุตรีที่เรียนอยู่เมืองนอก พ่อแม่สามีก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวแพงลิบลิ่ว เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นก่อนสิ้นอายุขัยจนสมบัติเก่าร่อยหรอ แถมยังต้องช่วยพยุงบริษัทที่ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ ให้อยู่รอดในยุคที่พิษเศรษฐกิจตกต่ำแพร่ระบาด แต่นั่นยังไม่ทำให้สาวใหญ่เดือดร้อนได้เทียบเท่ากับการถูกคนใกล้ชิดหักหลัง เมื่อเธอหลงคารมเห็นใจน้องสาวนอกคอกที่ถูกตัดออกจากตระกูลของสามี ลองให้โอกาสคนที่ซมซานมาขอขมาได้กลับเนื้อกลับตัวใหม่เผื่อผู้ล่วงลับไปจะสงบสุข รับเป็นผู้ค้ำประกันให้น้องสามีกับแฟนใหม่ชาวต่างชาติเข้าทำงานในสถาบันการเงินชั้นนำ พวกเขากลับร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่ยักยอกเงินไปอักโขและโบยบินหนีไปเสวยสุขสร้างชีวิตใหม่ในต่างแดน ไม่แยแสว่าพี่สะใภ้จะถูกบังคับให้เป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญา
ศราพรรณดำรงตำแหน่งประธานบริหารบริษัทเอเจนซี่โฆษณาย่อมเป็นห่วงฐานะหน้าตาทางสังคมจึงเลือกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ จัดการกู้ยืมเงินจากหลายแหล่งมาใช้หนี้ก้อนโตและค่อยๆ ทยอยผ่อนดอกเบี้ยหรือเงินต้นส่งคืนเรื่อยมา
ครั้นศราพรรณเสียชีวิตลง เจ้าหนี้หลายคนก็ทยอยมาแสดงตัวกับรุจศยาในงานศพเพราะหนี้สินบางอย่างไม่ได้จบลงพร้อมกับผู้ตาย ยังสามารถบังคับให้ทายาทชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดีไม่ดี...อาจจะไม่เหลือแม้แต่บ้านไว้ให้เธออยู่อาศัย!
นางฟ้าตกสวรรค์!
นี่ล่ะ...สถานะที่แท้จริงของเธอในตอนนี้ ถูกสอยจากวิมานลงสู่ขุมนรก ต้องแบกรับเรื่องน่าอายสารพัด รวมทั้งต้องทนกับสายตากะลิ้มกะเหลี่ยของสมภพ...เจ้าหนี้รายใหญ่ที่มีแววเป็นตัวปัญหาหนักสุด
รีบๆ ตัดสินใจดีกว่าหนูจ๋า เลยกำหนดที่ต้องใช้เงินต้นคืนตามสัญญามาหลายเดือนแล้ว แต่แม่ของหนูขอผลัดไปจนกว่าจะได้เงินสินสอดของหนูก่อน ลุงว่าคงจะไม่มีหวัง คุณนวลอรดูจะไม่ปลื้มกับว่าที่สะใภ้อย่างหนูแล้วนี่ มางานสวดคืนแรกแล้วก็ไม่มาอีกเลย ทั้งคมทั้งเขี้ยวออกขนาดนั้นจะยอมให้ลูกชายคนเดียวแต่งงานกับหนูจ๋าจริงเหรอ
หยุดพูดบ้าๆ นะ!
ถ้าชานนท์ไม่ได้แต่งงานกับหนูจ๋าจริงก็หันมารับข้อเสนอของลุงดีกว่า หนูจ๋าจะอยู่บ้านนั้นนานเท่าไหร่ก็ได้ แถมลุงยังมีเงินรายเดือนให้ใช้อีกนะ
รุจศยาเกิดอาการหูอื้อตาลาย หายใจแรงถี่เร็ว กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งเกลียวด้วยความโกรธจัด เพิ่งเข้าใจวลีที่ว่า โกรธจนพูดไม่ออก อย่างถ่องแท้ในนาทีนี้...ไม่ใช่แค่โกรธคนพูดจาทุเรศ ยังพาลแค้นเคืองโชคชะตาวาสนาของตัวเองด้วย
เธอตกต่ำได้ขนาดนี้เชียวเหรอ...
จาก คุณหนู ผู้สูงส่ง เพียงแค่ไม่กี่วันเธอกำลังถูกต้อนให้เป็น อีหนู แทนเสียแล้ว มิหนำซ้ำราคาค่าตัวก็ไม่มากพอจะปลดหนี้ เป็นได้แค่เงินขัดดอกหรือค่าเช่าบ้านของตัวเองอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น
ก่อนที่อารมณ์พลุ่งพล่านของเธอจะแตะจุดระเบิด ทวิพัทธ์ก็สาวเท้ายาวๆ เข้ามาช่วยปกป้องเธอจากสถานการณ์น่ารังเกียจ
คุณสมภพ...ช่วยระวังคำพูดหน่อย อย่างน้อยก็ถือว่าให้เกียรติคนตาย งานศพเป็นงานแสดงความเสียใจไว้อาลัย ไม่ใช่งานทวงหนี้นะครับ
แกเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย
ผมเป็นเพื่อนคุณจ๋า เห็นเธอเจอคนพูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักกาลเทศะก็อดจะสอดไม่ได้น่ะ
นี่มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับหนูจ๋า
ผมมีเพื่อนฝูงเป็นคอลัมน์นิสต์หลายคนนะลุง พวกนักข่าวซุบซิบสายสังคมก็มี เห็นบ่นๆ ว่าหาเรื่องเขียนขายไม่ได้อยู่ ลุงอยากช่วยให้พวกเขามีช่องทางทำมาหากินบ้างไหมล่ะ...นักธุรกิจใหญ่หน้ามืดแผ่แม่เบี้ยขนาดเท่ากระด้งหวังเคลมสาวรุ่นหลานในงานศพ
ก็ฟังดูน่าค้นหาดีนะ รับรองว่าผมจะไม่เอ่ยชื่อจริงของลุงออกไปให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก แค่อาจจะเผลอหลุดปากกับภรรยาของลุงคนเดียวเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มตอบโต้นิ่มๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มยียวน คู่กรณีวัยกลางคนตาลุกวาบ ไม่ได้โง่เสียจนไม่เข้าใจนัยที่ถูกด่ากระทบว่าเป็นพวกเฒ่าหัวงู ตัวเขาไม่กลัวข่าวซุบซิบพวกนั้น มั่นใจว่ากำราบภรรยาได้ แต่การก้อร่อก้อติกกับผู้หญิงอายุน้อยกว่าหลายรอบก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเปิดการแสดงให้ผู้อื่นรู้เห็น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากตกเป็นฝ่ายขายหน้าและถูกมองอย่างสังเวช เมื่อมีบุคคลที่สามโผล่มาขัดจังหวะจึงต้องหยุดล่าเหยื่อไปอย่างเสียดาย
หนูจ๋า ลุงคงต้องกลับแล้ว เอาไว้คุยกันใหม่ทีหลังนะ ถ้าหนูจะตอบตกลงก็โทรหาลุงได้ทุกเวลาเลย
ก่อนไปไม่วายถลึงตาดุใส่ทวิพัทธ์ซึ่งฉีกยิ้มรับซื่อๆ แบบที่ชอบกระทำในยามต้องการกวนประสาทใครสักคน
การได้รับปฏิกิริยาตอบโต้สวนทางจากที่คาดหวังมักจะทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหัวเสียเองเสมอ วัดจากหน้าตาบึ้งๆ แล้วสมภพก็คงเป็นอีกคนที่เข้าข่ายนั้น
============================
พอถูกทิ้งไว้ข้างหลังสองต่อสอง ทวิพัทธ์ก็ทอดสายตามองหญิงสาวอย่างเห็นใจ พอจะเข้าใจว่าทำไมตาแก่ตัณหากลับถึงอยากได้เธอจนตัวสั่น
รุจศยาอยู่ในชุดไว้ทุกข์แบบเรียบๆ ใบหน้านวลมีร่องรอยความหมองคล้ำอิดโรยฉาบทับ ลอนผมขนาดกำลังงามถูกรวบเป็นมวยต่ำ บางปอยหลุดลุ่ยออกมาม้วนตัวคลอเคลียลำคอระหง เชิญชวนให้คนมือซนอยากเสนอตัวช่วยจัดผมให้นัก แม้จะไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งโฉมอย่างประณีตเหมือนเคย เนื้อแท้ตามธรรมชาติของหญิงสาวยังน่ามอง จัดเป็นคนสวยคมคนหนึ่ง อาจจะไม่ได้เลิศเลอเกินสตรีอื่นในยุคที่มีดหมอเนรมิตความงามได้ตามใบสั่ง แต่เธอมีแต้มต่อพิเศษตรงบุคลิกลักษณะโดดเด่นดุจนางพญา ท้าทายให้ผู้ชายหลายคนอยากเอาชนะเพราะการพิชิตเธอได้ย่อมน่าภาคภูมิใจเหมือนได้สมบัติชิ้นงามมาส่งเสริมบารมี
หญิงสาวไม่พูดไม่จา เดินไปทิ้งร่างบนม้านั่ง วางข้อศอกทั้งสองข้างตั้งบนโต๊ะ หงายฝ่ามือขึ้นรองรับใบหน้าที่ซบลงซุกซ่อน ทวิพัทธ์สังเกตจากอาการสงบเงียบ ไม่มีเสียงลมหายใจติดขัด หัวไหล่แบบบางไม่สะท้อนขึ้นลง หญิงสาวคงไม่ได้ร้องไห้ หากพยายามสะกดอารมณ์ปั่นป่วนภายในและเก็บงำสีหน้าแววตาไว้ไม่ให้ใครเห็นมากกว่า...คิดแล้วก็น่าสงสารเธอเหลือเกิน
รุจศยาเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เพิ่งผ่านความสูญเสียใหญ่หลวง เจอมรสุมกระหน่ำซ้ำเติมไม่หยุดหย่อนจะฝืนทนรับได้สักเท่าไหร่ เป็นบางคนอาจจะทรุดฮวบไปนานแล้ว ที่เธอยังยืนหยัดได้ถึงนาทีนี้ก็เพราะธาตุทระนงในตัวเองสูงแท้ๆ
ชายหนุ่มปล่อยหญิงสาวให้ระงับสติอารมณ์ตามลำพัง ไม่นานก็กลับมาพร้อมถาดบรรจุอาหารว่างและเครื่องดื่ม
เสียงภาชนะกระทบพื้นโต๊ะดังกุกกักดึงรุจศยาออกจากภวังค์อันมืดมน ช้อนดวงตาแห้งแล้งมองคนที่ถือวิสาสะทิ้งตัวลงครอบครองม้านั่งอีกด้าน
เห็นเจ๊อ้อยบ่นว่าคุณจ๋าไม่ยอมกินอะไรเลย ทรมานตัวเองแบบนี้ไม่ดีนะ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก
ฉันไม่หิว
หญิงสาวปฏิเสธอย่างหมายความตามนั้นจริงๆ ลำคอเธอตีบตันและขมปร่า ทานอะไรไม่ค่อยรู้รส หมดความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง
ทวิพัทธ์โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจระคนไม่เห็นด้วย ลำเลียงจานขนมปังเนื้อนุ่มที่ถูกหั่นเป็นทรงลูกเต๋า ถ้วยใส่สังขยาสีเขียวสวยน่ารับประทาน และแก้วนมสดอุ่นๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอพลางคะยั้นคะยอให้ลิ้มลอง
ตะกี้ผมออกไปซื้อของกินเล่นมาเลี้ยงเพื่อนๆ ที่มาช่วยงานก็เลยซื้อมาฝากคุณจ๋าด้วย เจ้านี้ทำอร่อยนะ เจ๊อ้อยได้ไปชุดนึงยังติดใจเลย คุณจ๋าลองชิมสักนิดสิ
รุจศยาส่ายหน้าแทนคำตอบเดิม ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย แวบเดียวก็ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ แกล้งพูดจายั่วแหย่หวังให้เธอวางเรื่องเศร้าหมอง ผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียด และกลับเป็นคนเดิมที่มีนัยน์ตาดำเป็นมันวาว ประจุไฟชีวิตเต็มเปี่ยม สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างทัดเทียม...แม้จะแค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็ยังดี
เอ...หรือว่านี่เป็นแผนการของคุณจ๋า ตั้งใจทำให้ตัวเองดูโทรมๆ ไว้ เผื่อไอ้แก่ตัณหากลับจะเปลี่ยนใจไม่มายุ่งกับคุณจ๋าอีกใช่ไหมล่ะ
บ้า!
หญิงสาวแหวกลับโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆ อย่างพึงพอใจ ไม่วายหยอดแถมอีกหนึ่งมุก
ยังด่าได้เร็วแบบนี้ค่อยสมกับเป็นคุณจ๋าที่ผมรู้จักหน่อย เอ้า...ผมมีโปรโมชั่นพิเศษ ยอมให้คุณจ๋าด่าฟรีอีกห้าคำแล้วต้องกินอะไรสักนิดล่ะ
ทุเรศ! งี่เง่า! เพี้ยน! ประสาท! บ้าบอคอแตกที่สุด!!
รุจศยาจัดให้ตามคำขอหนึ่งชุด ไม่ได้ประณามชายหนุ่มคนเดียว ยังเหมารวมถึงคนที่ทำให้เธอรู้สึกแย่ด้วย...น่าแปลกที่สบถออกไปแล้ว ความหนักอึ้งที่กดทับทรวงอกเธอก็คล้ายจะเบาลงนิดหน่อย
ทวิพัทธ์ยิ้มบางๆ เลื่อนแก้วกระเบื้องเคลือบแบบมีหูจับเข้าไปใกล้หญิงสาว ใช้สายตาทวงสิ่งแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องพูดโต้งๆ ว่า ด่าครบแล้วจงกินซะ
รุจศยานิ่วหน้าครู่หนึ่งก็ถอนใจ ยอมรับแก้วเนื้อหนาไปประคองไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้าง อุณหภูมิที่ได้สัมผัสช่วยให้เธออุ่นขึ้นในยามที่เมฆฝนเริ่มตั้งเค้าปกคลุมผืนฟ้ายามรัตติกาล ส่งสายลมเย็นบาดผิวหนังให้สั่นสะท้าน พอยกขอบแก้วขึ้นแตะปาก รับน้ำนมขาวนวลเข้าลำคอ ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านภายในร่างกายขับไล่ความหนาวเย็นให้หดหายไปหลายส่วน
ดวงตาคมสีนิลแฝงแววอ้างว้างสบประสานกับดวงตาคมสีสนิมเหล็กที่ทอแสงห่วงใย...หลายวันที่ผ่านมาทวิพัทธ์ช่วยเหลือเธอมากเหลือเกิน ร่างสูงก้าวนำพาไปทุกแห่ง เสียงทุ้มคอยให้คำแนะนำต่างๆ และสองมือของเขาก็ช่วยแบ่งเบาภาระของเธอเท่าที่จะทำได้โดยไม่น่าเกลียดมาก ไม่ต้องการให้เธอถูกพูดถึงในแง่ไม่ดีหนักกว่าเดิม เวลาที่เธอกำลังจะถูกต้อนจนมุม ถ้าเขาไม่โผล่มาเองก็จะส่งผองเพื่อนเข้ามาแทรกแซงราวกับเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอด
ความเอื้ออาทรของเขาสื่อผ่านการกระทำเงียบๆ เป็นน้ำใจดีๆ ที่แทรกซึมผ่านเข้าไปในหัวใจแตกระแหงของเธอได้มากกว่าน้ำลายของใครหลายคนที่เป็นพวกปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ
เร็วเท่าความคิด...เธอเอ่ยคำหนึ่งที่ติดค้างเขาออกไป
ขอบคุณนะ
หืม? ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ทำเสียงฉงนในลำคอ
ถ้าไม่มีคุณ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอะไรบ้าง ขอบคุณที่ช่วยฉันทุกอย่าง
รุจศยารู้สึกว่าต้องพูดคำนี้ ไม่ใช่แค่ตามมารยาท ถึงเธอจะตั้งแง่ไม่ชอบเขา หากทุกสิ่งที่ได้รับมาไม่มีคำใดตอบแทนได้เทียบเท่ากับคำสั้นๆ ที่มีความหมายกินใจว่า ขอบคุณ
ชายหนุ่มชะงักมองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ วินาทีถัดมาก็ยกนิ้วหัวแม่มือปัดปลายจมูกโด่งแก้เก้อและพยักหน้ารับน้อยๆ โดยไม่มีคำพูด แต่ประกายแพรวพราวที่เพิ่มพูนขึ้นในดวงตาคมกับมุมปากที่โค้งขึ้นเป็นรอยอมยิ้มในหน้าส่งผลให้ผิวแก้มเธอร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นแปลกๆ ชักเก้อเขินจนต้องหลุบแพขนตายาวงอนมองภาชนะในมือพลางเคี้ยวปากเบาๆ เพื่อไม่ให้อมยิ้มตอบออกไปชัดๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเธอไม่เคยชินกับการพูดคุยดีๆ กับเขากระมัง พอทำสักทีเลยขัดๆ เขินๆ พิลึก...
ความคิดของรุจศยาล่องลอยกลับไปก่อนหน้านี้ประมาณสองสามปี...ตอนที่เธอยังยิ้มกับทวิพัทธ์ได้อย่างเป็นมิตร เกือบจะสนิทสนมกันด้วยซ้ำ ทว่าวันหนึ่งทุกอย่างกลับพลิกผันไปในทางตรงข้ามจากการกระทำอันไม่ยั้งคิดของเขา จริงอยู่ที่ชายหนุ่มยังทำตัวเป็นกันเองเหมือนเดิม แต่เธอไม่อยากคบหาเขาอีกแล้วจึงวางตัวเป็นคู่อริเสมอมา
กระนั้นรุจศยาต้องจำยอมรับการมีคู่ปรับอยู่ตรงนี้...อยู่เคียงข้างเธอในวันเวลาที่แสนสาหัสก็ช่วยให้เธอไม่โดดเดี่ยวมากอย่างที่ควรจะเป็น
============================
วันฌาปนกิจศพมีแขกเหรื่อมากมายมาร่วมไว้อาลัย พอวางดอกไม้จันทน์เสร็จก็เริ่มทยอยเดินทางกลับ เปิดทางให้ญาติสนิทมิตรสหายที่ใกล้ชิดกับผู้ล่วงลับรวมตัวกันขึ้นไปบอกลาเป็นกลุ่มสุดท้าย และเมื่อเสียงสัญญาณเตือนเวลาเผาจริงดังขึ้นก็เปรียบเสมือนคมมีดกรีดคว้านเข้าควักหัวใจของรุจศยา น้ำตาที่เคยหลั่งให้ผู้อื่นเห็นในวันที่รับรู้ความสูญเสียและตอนเห็นมารดาถูกจับมัดตราสังข์นำเข้าโลงศพ จากนั้นก็เก็บซ่อนไว้ได้ดีมาตลอด บัดนี้พลันเอ่อคลอเต็มขอบตางามอีกครั้ง
หญิงสาวยืนกรานให้สัปเหร่อเปิดโลงศพเพื่ออำลาแม่ ถึงแม้ว่าภาพสุดท้ายจะไม่งดงามเหมือนที่เคยสัมผัส เธอก็ยังอยากมอง...มองดูร่างของแม่ก่อนที่จะไม่สามารถทำได้อีกตลอดกาล ทันทีที่เจ้าหน้าที่ลำเลียงโลงไม้เข้าไปข้างใน กายนี้จะมอดไหม้ไม่เหลืออะไร...ตัวตนที่เธอเคยมองเห็น เคยพูดจาหยอกเย้า เคยกอดรัดคลอเคลียอย่างรักใคร่จะสูญสลายไปจากโลกและชีวิตของเธอชั่วนิรันดร์
เหลือเพียงความทรงจำที่คงอยู่ในหัวใจ...
รุจศยาหลับตาทำให้น้ำตาเม็ดโตร่วงอาบสองแก้ม เรียวปากอิ่มเม้มแน่น ตัดใจพยักหน้าอนุญาตให้คนของทางวัดนำโลงศพเข้าเตาเผา เจ็บร้าวเจียนใจจะขาดรอนๆ
วิภาดากับมัทนาโยนดอกไม้จันทน์เข้าไปในช่องด้านหน้าเมรุแล้วก็ร้องไห้เหมือนเด็กๆ พวกเธอสามคนคบกันมาตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่น เรียนด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ไปไหนไปกันตลอด ความผูกพันเหนือกว่าคำว่าเพื่อน เข้าขั้นเป็นพี่น้องกันเลยด้วยซ้ำ ขาดคนหนึ่งไปก็เหมือนอวัยวะสำคัญสูญหาย
อิสรีกับเพื่อนๆ ยืนเตร่อยู่แถวนั้นอย่างเป็นห่วง เห็นสองสาวใหญ่ทำท่าโงนเงนจะล้มก็ปราดเข้าประคองไปนั่งพักที่โซฟาของเจ้าภาพ ร้องขอยาดมมาช่วยบรรเทาอาการเป็นการใหญ่
ทวิพัทธ์ก้าวไปหารุจศยาที่ยังยืนมองเปลวไฟลามเลียสลับกับดอกไม้จันทน์ในมือผ่านม่านน้ำตาพร่ามัว บอกอย่างอ่อนโยน
ลาคุณแม่นะคุณจ๋า
หญิงสาวสะอื้นฮึกฮัก น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสาย มือสั่นเทาโยนดอกไม้จันทน์เข้าหาพระเพลิงที่โหมแรงขึ้น
จบแล้ว...
เธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ...ทุกอย่างดำเนินมาจนสุดทาง...เธอจะต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยปราศจากร่างผู้ที่คอยโอบอุ้มและเป็นที่พึ่งพิงทางใจ
ในอกเธอสั่นไหวรุนแรงก่อนจะระเบิดพร่าง ร่างกายกลวงโหวงเบาหวิว พื้นที่รองรับเท้าไหวโคลงเคลง ความเสียใจอย่างสุดแสนผสมกับความอ่อนเพลียจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาไม่ต่างจากสายลมแรงพัดสติสัมปชัญญะของเธอให้ดับวูบ...เป็นลมล้มพับไปทั้งน้ำตานองหน้า
คุณจ๋า!
ทวิพัทธ์อุทานอย่างตกใจและคว้าร่างที่อ่อนปวกเปียกไว้ทันท่วงที รีบช้อนอุ้มพาไปหาวิภาดากับมัทนาที่พร้อมใจกันลุกพรวดให้ร่างบางได้นอนเหยียดยาวบนเบาะนุ่ม ทั้งคู่ช่วยเช็ดน้ำตาและลูบเนื้อตัวหลานสาวอย่างสงสาร ขณะที่อิสรีกับเพื่อนใช้กระดาษโบกพัดกันมือเป็นระวิง
รุจศยาฟื้นแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่พักใหญ่
วันรุ่งขึ้นทวิพัทธ์กับอิสรีก็แวะมารับหญิงสาวไปเก็บอัฐิ ช่วยตระเตรียมดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และสตางค์เศษเหรียญเงินเหรียญทองมาสมทบกับผ้าขาวห่ออัฐิ โกศ และลุ้งใส่อังคารที่ชายหนุ่มเคยพาเธอไปหาซื้อเมื่อสามสี่วันก่อน พบว่าพวกวิภาดากับมัทนามารอเข้าร่วมประกอบพุทธศาสนพิธีตามความเชื่ออยู่ที่วัดแล้ว
ฝากแม่กับพ่อรัชไว้กับพระนะหลานจ๋า
สาวใหญ่บอกให้ฝากอัฐิไว้ในช่องกำแพงบรรจุอัฐิรอบพระอุโบสถ รุจศยายังทำใจรับพ่อเลี้ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ตั้งท่ากีดกันแข็งขันเหมือนเดิม บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นจุดสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ว่าเหลือเพียงเท่านี้ หรืออาจจะรู้ดีว่าต่อต้านพวกเธอไปก็ไร้ประโยชน์
สองคุณน้าอนุญาตให้หลานสาวลาพักจนกว่าจะสบายใจแล้วค่อยกลับไปทำงานใหม่ ส่วนงานที่คั่งค้างอยู่ของหญิงสาวก็มอบหมายให้คนอื่นดูแลแทนตามความเหมาะสม หากรุจศยาก็หมกมุ่นอยู่กับตัวเองได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะทวิพัทธ์ที่ดูจะมีเวลาว่างเหลือเฟือมักโทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ บางครั้งก็ตอแยเธอให้ไปหารุจศรัณย์หรือไปจัดการเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเด็กชายอยู่เรื่อย ช่วงงานศพชายหนุ่มมีน้ำใจต่อเธอมาก จบงานแล้วจะไร้ไมตรีตอบก็ดูกระไร อีกทั้งธุระบางเรื่องจัดอยู่ในข่ายที่เธอจำเป็นต้องไปเองด้วย จะให้ละเลยหมดทุกอย่างย่อมเป็นไม่ได้...
============================
ตอนนี้รุจศรัณย์อาการดีขึ้นมากพอจะย้ายไปอยู่ห้องพิเศษเดี่ยวแล้ว ทุกครั้งที่เห็นใครเข้ามาต้องถามถึงบิดามารดาและผู้เป็นป้า ทวิพัทธ์เห็นว่าสมควรต้องบอกความจริงเสียที ต่อให้ยื้อเวลาออกไปยังไงเจ้าตัวเล็กก็ต้องรู้เข้าสักวัน ดังนั้นยอมแต้มยาแสบสันใส่แผลใจไปดีกว่าปล่อยทิ้งให้เป็นแผลเรื้อรัง แต่หญิงสาวที่ควรรับหน้าที่นั้นกลับเพิกเฉย ไม่มีวี่แววว่าจะยอมพูดหรือทำดีกับน้องเลย ไปๆ มาๆ ตัวเขาต้องเป็นฝ่ายออกหน้าเจรจาเรื่องน่าลำบากใจแทน
พอได้ยินว่าพ่อแม่และป้าจากไปอยู่ที่ไกลแสนไกล ดวงตาคู่โตบนใบหน้าเท่างบน้ำอ้อยก็กะพริบปริบๆ อย่างงุนงง
พ่อ แม่ ป้าเรืองไปอยู่บนสวรรค์เหรอคับ
ครับ
ไปนานไหมคับ เมื่อไหร่จะมาหาจั๊มพ์
นาน...นานมาก...กลับมาหาจั๊มพ์ไม่ได้อีกแล้ว
เท่านั้นแหละ...รุจศรัณย์ก็ทำหน้าเบะ แม้จะยังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจคำว่าตายจาก แต่การบอกว่าเหล่าคนที่รักจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาก็มีค่าเท่ากัน หัวใจดวงน้อยรับรู้ความเจ็บปวดและหวาดกลัวต่อการไม่มีบุคคลที่รักคอยประคับประคองถนอมเลี้ยงเหมือนวันวาน ถึงกับปล่อยโฮลั่น ดิ้นรนจะไปหาพวกเขา ทวิพัทธ์ต้องกอดร่างกระจ้อยร่อยไว้อย่างปลอบโยนและปกป้องไม่ให้เด็กชายทำร้ายตนเองให้เจ็บหนักขึ้น
ฮือๆ...
รุจศยาหลับตาพลางกัดริมฝีปากแน่นอย่างพยายามข่มกลั้นอารมณ์ แทบทนฟังเสียงเล็กๆ ที่ร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจไม่ได้ มันส่งแรงสั่นสะเทือนหัวใจเธอไม่น้อย
ทวิพัทธ์โอ๋รุจศรัณย์จนเสียงสะอื้นซาลงถึงหันมาทางหญิงสาวที่นิ่งเฉย ถือวิสาสะจับมือเรียวไปแตะตัวน้อง รุจศยาสะดุ้งเหมือนถูกเข็มตำ ทำท่าจะชักมือหนี แต่เห็นแววตาคมกริบจับจ้องมาในลักษณะครึ่งปรามครึ่งขอร้องและเห็นดวงตาฉ่ำน้ำของน้องมองมาอย่างกริ่งเกรงปนโหยหา...หญิงสาวก็ชักลังเลใจ...น้ำตากับเสียงสะอื้นของรุจศรัณย์มีอานุภาพปานกรดกัดกร่อนทิฐิของเธอให้เว้าแหว่ง
พอชายหนุ่มแตะร่างน้อยคล้ายบอกให้ไปหาพี่สาว รุจศรัณย์ก็โผไปตามสัญชาตญาณเด็ก รุจศยาตัวแข็งทื่อ แต่ก็ยอมรับน้องชายไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ อย่างไม่คุ้นชิน ได้ยินเสียงทุ้มกำกับอยู่ใกล้ๆ
คุณจ๋าระวังแขนที่เข้าเฝือกของจั๊มพ์หน่อยนะ
อะ...อื้อ
เธอรับคำเงอะๆ งะๆ เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น กลัวจะทำน้องเจ็บ ทั้งที่เธอเองก็เจ็บลึกอย่างบอกไม่ถูก...ร่างนุ่มนิ่มของน้องช่างเหมือนเตารีดร้อนๆ นาบผิวหนังเธอให้พุพอง มือเล็กที่ขยุ้มเสื้อเธอก็เปรียบประดุจกรงเล็บแหลมคมแทงทะลุเข้าไปจิกทึ้งเนื้ออ่อนในใจให้เป็นแผลเหวอะหวะ
พี่จ๋า...ฮือ...ฮือ...
เจ็บ...จนอยากจะสะอื้นไห้ไปกับน้องด้วย
เธออาจจะไม่รักน้องชายต่างบิดาคนนี้ แต่เวทนาแน่นอน
และความรู้สึกนั้นก็ทวีความข้นแรงมากขึ้นเมื่อหญิงสาวพบแพทย์เจ้าของไข้ ได้รับแจ้งผลการรักษาพยาบาลกับผลการทดสอบต่างๆ ที่บ่งบอกว่ารุจศรัณย์อาจจะพิการ!
แรงกระแทกจากอุบัติเหตุคราวนั้นส่งผลกระทบต่อเด็กชายอย่างร้ายแรง กระดูกสันหลังเคลื่อนลงไปกดทับไขสันหลังทำให้ร่างกายช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จำเป็นต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อ เรียนรู้การหายใจ และฝึกหัดช่วยเหลือตัวเอง ถ้าสภาพร่างกายกับจิตใจพร้อมเมื่อไหร่ก็สมควรเข้ารับการผ่าตัดจัดเรียงกระดูกใหม่
รุจศยาก้าวออกจากห้องอย่างมึนงงผสมอ่อนล้า พอเจอเก้าอี้ว่างตัวแรกก็ทรุดนั่ง ยกมือข้างหนึ่งปิดหน้าผากที่ก้มต่ำ ทวิพัทธ์จับจองเก้าอี้ข้างๆ พูดปลุกปลอบให้กำลังใจ ไม่อยากให้เธอท้อแท้สิ้นหวัง
คุณจ๋าอย่าเพิ่งคิดมากสิ หมอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ายังพอมีหวัง ขาจั๊มพ์ยังมีอุณหภูมิ มีความรู้สึก มีการตอบสนองบางอย่างเหลืออยู่ ไม่ได้สูญเสียไปหมด ผ่าตัดแล้วจั๊มพ์ต้องหายดีแน่ๆ
ถ้าไม่สำเร็จล่ะ จั๊มพ์จะเป็นเด็กพิการตลอดไปเหรอ...
เธอถามเสียงแหบเครือ เพียงแค่คิดถึงภาพนั้นก็แทบทนรับไม่ได้ทีเดียว
ต้องสำเร็จสิ ถ้าไม่สำเร็จเราก็จะพยายามกันต่อไป ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ครั้งหน้าก็สำเร็จ จั๊มพ์ต้องหายเป็นปกติแน่ เดี๋ยวผมจะลองถามคนรู้จักดูว่ามีหมอเก่งๆ ที่ไหนบ้าง คุณจ๋าอย่าคิดอะไรร้ายๆ บั่นทอนตัวเองเลย
คำว่า เรา ที่คนพูดอาจจะเหมารวมโดยไม่ตั้งใจสร้างความอุ่นใจให้เธออย่างประหลาด
กระนั้นเมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายมากมายที่รออยู่ เธอก็เริ่มกังวลอีกรอบ มรดกที่มารดาทิ้งไว้มีจำนวนหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ยังดีที่กฎหมายระบุไว้ว่าทายาทไม่ต้องชดใช้หนี้สินเกินมูลค่ามรดกที่ได้รับ* แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของเธอก็มีแค่รถยนต์หนึ่งคัน เครื่องประดับไม่กี่ชิ้น และเงินฝากก้อนหนึ่งในธนาคารซึ่งดูน้อยนิดไปถนัดใจเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
ครั้นจะหวังพึ่งพิงญาติทางพ่อของรุจศรัณย์ก็คงยาก พลวัตกับพิลาสลักษณ์...ลุงกับป้าตามสายเลือดของพ่อหนูน้อยเคยแวะมาดูหลานหนเดียว ถามไถ่อาการพอเป็นพิธีก่อนฝากฝังเด็กชายเอาไว้กับพี่สาวคนละพ่อโดยไม่เอ่ยปากจะช่วยเหลืออะไรสักคำและไม่เคยย่างกรายมาอีกเลย
ตอนที่ทวิพัทธ์ลากเธอไปหา ผ้านุ่ม ที่บ้านของเรืองรองก็พบว่าพวกเขาต่างอพยพครอบครัวเข้าไปอ้างสิทธิ์เหนือคฤหาสน์หลังงาม พิลาสลักษณ์กำลังต้อนรับแขกที่สนใจที่ดินผืนงามติดชายทะเลก็หันมาทักทายผู้มาเยือนสั้นๆ ก่อนสั่งแม่บ้านกับลูกจ้างให้ไปยกสมบัติของเด็กชาย พอเห็นสภาพถุงดำกับลังกระดาษโทรมๆ รุจศยาก็รู้สึกเหมือนกลายร่างเป็นพนักงานเก็บขยะพิกล แม่บ้านวัยกลางคนแอบซับน้ำตาเล่าให้ฟังว่าห้องของรุจศรัณย์ถูกหลานชายของพิลาสลักษณ์ยึดครอง ทางด้านหลานชายกับหลานสาวของพลวัตก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทำข้าวของเครื่องเล่นพังพินาศไปหลายชิ้น ส่วนเสื้อผ้าข้าวของอื่นๆ ที่ใช้ไม่ได้หรือไม่ต้องการก็ถูกแยกเก็บไว้ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้
วิภาดากับมัทนาที่ค่อนข้างหูไวตาไวเก็บข่าวมาเล่าเสริมว่าสองพี่น้องทะเลาะกันเรื่องแบ่งเงินช่วยงานศพแล้วก็เตรียมเปิดศึกทึ้งมรดกต่อเพราะเรืองรองเสียชีวิตโดยไม่มีบุตร บุพการีสิ้นบุญไปนานแล้ว ถ้าเธอไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ตามที่โจษจันกัน สมบัติทั้งหมดจะตกทอดสู่ทายาทโดยธรรม** ลำดับถัดไปคือพี่น้องร่วมบิดามารดา ส่วนรัชพงศ์สิ้นใจก่อนเรืองรอง บุตรชายของเขาจึงหมดสิทธิ์ขอแบ่งสรรปันส่วน ลุงกับป้าที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนโลภและโหยหิวเงินจัดมีหรือจะสนใจไยดีหลานชายพิการที่มีแต่ตัวให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ปลี้ๆ
รุจศยาเองก็ไม่ได้พิศวาสรุจศรัณย์นักหนา ฐานะก็ตกต่ำสุดขีด แต่นึกถึงดวงตาเปียกชื้นที่มองมาเหมือนลูกหมาถูกทิ้งและเสียงเล็กๆ ร้องเรียก พี่จ๋า หัวใจเธอก็เหมือนกับถูกสายโซ่ที่มองไม่เห็นพันธนาการไว้เหนียวแน่น
บางทีโซ่นั่นอาจจะหล่อหลอมจากมโนธรรมในส่วนลึกหรือความหน้าบางไม่อยากให้ใครเก็บไปนินทาอีกกระมัง เธอถึงไม่อาจหันหลังให้น้องชายได้อย่างเด็ดขาด
ในเมื่อไม่มีใครรับเลี้ยง เธอก็คงต้องรับไว้ จะลำบากแค่ไหนก็ต้องลองดูสักตั้ง เพราะจะให้ทอดทิ้งน้องเหมือนทิ้งขยะไร้ค่า...เธอก็ทำไม่ลง...
============================
หลังจากรับรู้ข่าวร้าย รุจศรัณย์ก็ซึมๆ ไป ยังถามหาพ่อ แม่ และป้าตามความเคยชินอีกหลายครั้งก่อนจะค่อยๆ ซาลง เริ่มยอมรับสภาพว่าพวกเขาไม่กลับมาหาแล้วจริงๆ ดังคำบอกกล่าว...โลกที่เคยอบอุ่นและปลอดภัยของหนูน้อยสูญสลายไป กลายเป็นโลกใหม่ที่เวิ้งว้างน่าหวาดกลัวท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า ทวิพัทธ์ห่วงใยสภาพจิตใจของรุจศรัณย์ที่ต้องเป็นกำพร้าและพิการกะทันหันจึงแจ้งเจตจำนงขอให้จิตแพทย์เด็กเข้ามาเยียวยาจิตใจอย่างใกล้ชิดควบคู่ไปกับแพทย์ที่รักษาทางกาย นอกจากนั้นชายหนุ่มยังเจียดเวลาว่างไปอยู่กับคนตัวเล็กแทบทุกวัน สงสารเด็กชายที่หัวเดียวกระเทียมลีบ จับเจ่าเศร้าซึมอยู่ในห้องพักอันเงียบเหงา เห็นแต่หน้าเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ สำหรับรุจศยาจะโผล่มาให้เห็นก็ต่อเมื่อทางโรงพยาบาลติดต่อไปหาหรือออกไปทำธุระกับเขาแล้วถูกบังคับพาตัวมาด้วยเท่านั้น
หญิงสาวยังไม่อาจละวางทิฐิที่มีต่อแม่ พ่อเลี้ยง และน้องชายคนใหม่ เท่าที่ยอมออกหน้าทำเรื่องต่างๆ ให้ก็ถือว่าดีมากแล้ว แม้จะอ้างว่าทำไปเพราะถูกหน้าที่ค้ำคอ แต่มันก็เป็นสัญญาณดีว่าเธอเริ่มจะอ่อนลง คงต้องให้เวลาปรับตัวปรับใจอีกสักระยะ ช่วงนี้หญิงสาวกำลังเครียดจัดกับปัญหาหนี้สินที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ การรุกเร้าเซ้าซี้มากๆ เข้าอาจทำให้เธอรู้สึกว่าโดนบีบคั้นมากเกินไป ชะดีชะร้ายจะพาลต่อต้านหนักกว่าเดิมเอา
อิสรีเป็นคนนำข่าวสารที่ได้ยินจากหลายทิศทางมากระซิบบอกเขาว่า
คุณจ๋ากำลังจะถูกฟ้องให้ขายทรัพย์สินทอดตลาดมาใช้หนี้ของคุณพรรณ อีตาสมภพน่ะร้ายสุด คุณจ๋าไม่ยอมเป็นของเล่นบนเตียง มันก็หาเรื่องว่าคุณพรรณหัวหมอโกงเจ้าหนี้ แอบถ่ายเทข้าวของเงินทองให้ลูกสาวแทนที่จะเอาไปใช้หนี้ นี่มันเตรียมจะฟ้องขอเพิกถอนสิทธิ์สมบัติทุกอย่างที่คุณจ๋ามีอยู่อีก ไอ้แก่นั่นกะเล่นคุณจ๋าให้หมดตัว เอาให้ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ
คุณวิกับคุณมัทว่าไงล่ะ
ชายหนุ่มถามถึงสุภาพสตรีสาวโสดที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของรุจศยา พวกเธอร่วมมือกับศราพรรณกางปีกปกป้องหญิงสาวออกปานนั้น ไม่น่าปล่อยให้เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นโดยไม่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา
อิสรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนมอบคำตอบผิดคาดให้ด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
ไม่ว่าไงเลย งวดนี้คุณวิกับคุณมัทเฉยสนิท
พูดจริงหรืออำเล่น
ชายหนุ่มชะงักถามอย่างไม่อยากเชื่อ เพื่อนรุ่นพี่ต้องย้ำตอบพร้อมกับหยิบยกเหตุผลมายืนยันว่าไม่ใช่มุกล้อเล่นขำขัน
พูดจริงสิ ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าคุณวิกับคุณมัทต้องช่วยคุณจ๋าแน่ๆ เอาเข้าจริงพวกเธอกลับไม่ทำอะไรเลย วางตัวเป็นคนนอกลูกเดียว อย่างว่าล่ะเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร คุณจ๋าเป็นแค่หลานนอกไส้ ต่อให้รักใคร่เอ็นดูยังไงก็คงไม่ทุ่มเทให้มากขนาดนั้น แว่วมาว่าคุณพรรณใช้หุ้นค้ำประกันตอนยืมเงินส่วนตัวจากพวกเธอด้วย คุณจ๋าจะเอาเงินจากไหนไปไถ่คืนได้ ตอนนี้เท่ากับว่าพวกเธอเป็นผู้ถือหุ้นสองรายใหญ่สุด ไม่จำเป็นต้องง้อคุณจ๋าเลยนี่นา
แล้วทางบ้านแฟนคุณจ๋าล่ะ
นังคุณนายแม่เริ่มพูดกับคนอื่นว่าอาจต้องเลื่อนงานแต่งของลูกชายออกไปก่อนเพราะคุณจ๋าเพิ่งเสียคุณแม่ไปจะให้จัดงานมงคลคงไม่เหมาะ เฮอะ! ทำเป็นพูดดีสร้างภาพชัดๆ ที่จริงโกรธคุณพรรณกับคุณจ๋าแทบตายว่ากล้ามาหลอกลวงแกกับลูกชายให้กลายเป็นคนโง่ ขนาดงานเผายังไม่ยอมไปเลย อ้างว่าไม่สบาย รุ่งขึ้นเห็นเดินปร๋ออยู่ที่งานออกร้านของสมาคม พวกแมงเม้าท์ลือกันให้แซ่ดว่าคุณนายแม่เสียหน้าและผิดหวังมาก ไม่อยากได้ลูกสะใภ้ถังแตก มีน้องชายพิการมาเป็นของแถมอีกต่างหาก งานนี้ต้องรอดูกันว่านายชานนท์กลับมาแล้วจะว่าไง ถ้าหมอนั่นรักคุณจ๋าจริงไม่ได้หวังผลพลอยได้อะไรก็คงช่วยคุณจ๋าจากเรื่องแย่ๆ ได้ แต่ถ้าดันเป็นลูกไม้ใต้ต้นสายพันธุ์เดียวกับคุณนายแม่ คุณจ๋าก็คงโชคร้ายอีก
อิสรีบ่นเสียยืดยาว เริ่มต้นด้วยการใส่อารมณ์จิกกัดคุณนายนวลอรชุดใหญ่ ก่อนจะทอดถอนใจลงท้ายอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวชายหนุ่มผู้เป็นคนรักของรุจศยา
ทวิพัทธ์ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงเขาจะมีนิสัยช่างพูดช่างคุยและยั่วประสาทชาวบ้านเก่งจนโดนหลายคนตราหน้าว่าปากเปราะ แต่ก็ไม่ค่อยชอบร่วมผสมโรงวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น อีกทั้งสิ่งที่อิสรีเล่าล้วนเป็นเรื่องที่พูดกันมาปากต่อปากกับการคาดเดาที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ชายหนุ่มไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้ถูกจับเข้าชมรมสาวช่างเม้าท์จึงแกล้งเบรกพลังจินตนาการที่กำลังไหลลื่นของครีเอทีฟสาวให้เพลาๆ ลงเสียหน่อย
เจ๊...กินมากเลยคิดมากไปป่าว
ไอ้บ้า! อิสรีแว้ดด่าพร้อมกับส่งหมัดขวากระแทกต้นแขนคนอ่อนวัยกว่าหนึ่งพลั่ก แถมค้อนปะหลับปะเหลือกยกใหญ่ ฉันกินมากแล้วใช้สมองคิดมากก็ยังดีกว่าพวกกินมากแต่อาหารไปเลี้ยงสมองน้อยอย่างแกล่ะ อย่าลืมนะสอง...การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่คนเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กันสองคนนี่นา กี่รายแล้วล่ะที่เข้ากับครอบครัวของอีกฝ่ายไม่ได้จนต้องเลิกกันไป ตอนนี้แม่ของนายชานนท์ทำตัวมีปัญหาแล้ว ถ้าเลื่อนงานแต่งออกไปสักพักแล้วได้แต่งก็ยังดี คุณจ๋าจะได้มีใครสักคนคอยดูแล แต่ถ้าต้องยกเลิกไปเลยคุณจ๋าคงจะเสียใจและขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก คนเราบทจะดวงตกดวงแตกอะไรแย่ๆ ยิ่งชอบเข้ามารุมด้วย แกไม่เป็นห่วงไม่สงสารคุณจ๋าบ้างหรือไง ไอ้คนความรู้สึกหยาบ พูดกับแกแล้วอารมณ์เสียจริงๆ
ว่าจบเจ้าตัวก็สะบัดสะโพกผละไปรับโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามพลางยักไหล่อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกเห็นใจและอยากช่วยเหลือรุจศยาซึ่งกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาเคยเห็นมากับตาว่าเธอถูกเจ้าหนี้รุกเร้าขนาดไหน ขากลับจากโรงพยาบาลครั้งล่าสุดก็มีคนโทรศัพท์มาทวงถามความรับผิดชอบขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถของเขา แต่เมื่อเธอเลือกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่อยากพูดถึงมัน เขาก็ต้องวางเฉย ไม่อาจซักถามให้เธอรู้สึกอับอายกับสภาพที่เป็นอยู่
รุจศยามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีสูง เคยชินต่อการถูกยกย่องให้เกียรติและทะนงตนว่าเป็นหนึ่งมาตลอด จู่ๆ ก็มีน้องเล็กๆ โผล่มาทำให้เธอรู้สึกเป็นสอง ฐานะก็พลิกผันไปในทางเลวร้าย เจ้าหนี้ของแม่ก็เหยียบย่ำเธอให้ตกต่ำลง ทุกสิ่งทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในช่วงเวลาสั้นๆ จนเธอตั้งรับไม่ทัน ที่ยังฝืนวางท่าเข้มแข็งเพราะเกลียดการเป็นคนอ่อนแอ ไม่อยากแลดูน่าสมเพชเวทนาในสายตาผู้อื่น หากการเก็บกดอดทนมากๆ เข้าก็สะสมความเครียดไว้ในตัวเธอเหมือนถังเชื้อเพลิง จะอัดแน่นเกินพิกัดหรือถูกอะไรกระทบให้ระเบิดเปรี้ยงปร้างเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...
========= (จบตอนที่ 3) =========
เชิงอรรถ
* ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๑ ทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน สอดคล้องกับมาตรา ๑๗๓๔ เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น
** ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกตามกฎหมายเรียงตามลำดับคือ (๑) ผู้สืบสันดาน (๒) บิดามารดา (๓) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน (๔) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน (๕) ปู่ ย่า ตา ยาย (๖) ลุง ป้า น้า อา โดยลำดับที่ (๑) และ (๒) มีสิทธิเป็นทายาทลำดับแรกสุดเทียบเท่ากัน สำหรับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จัดเป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา ๑๖๓๕
|
Create Date : 17 ตุลาคม 2557 |
|
2 comments |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2558 15:16:24 น. |
Counter : 1394 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: princesnowman IP: 110.170.80.2 21 ตุลาคม 2557 16:27:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: คีตภา 24 ตุลาคม 2557 17:57:59 น. |
|
|
|
|
|
|
Unique Visitors :
Page Loads :
|
|
|
|
|
|
|