"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ) จะวางแผงแล้ว~ ขอฝากงานเขียนของ "คีตภา" ไว้ด้วยนะคะ ^^

Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 

(100%) === สองรักล้นใจ # 2 : โครงกระดูกในตู้ ===









- 2 -



เด็กคนนั้นเป็นน้องชายของเธอเอง!

มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่สุด แต่มันคือ ‘ความจริง’ ที่รุจศยาไม่อาจปฏิเสธ แม้หัวใจจะร่ำร้องว่าไม่จริงสักเพียงใดก็ตาม หากคำสารภาพจากปากวิภาดากับมัทนาประกอบกับหลักฐานทั้งมวลที่พวกเธอหยิบมาเอ่ยอ้างล้วนบ่งชี้ว่าเธอมีพ่อเลี้ยงที่ไม่เคยรู้จักตัวตน รวมทั้งยังมีน้องชายคนละพ่ออยู่ร่วมโลกอีกหนึ่งคน!

เหตุเกิดเมื่อหลายปีก่อน...ตอนนั้นเธอกำลังเพียรพยายามคว้าปริญญาใบแรกในต่างแดน ไม่ได้รู้เลยว่าระยะทางที่ห่างไกลกันคนละฟากฟ้าบวกกับความห่วงใยกังวลของใครหลายคนได้กีดกันเธอจากปัญหาร้ายแรงของครอบครัว

ศราพรรณที่ตกพุ่มม่ายต้องเผชิญความผันผวนหนักหน่วงของชีวิตเพียงลำพัง ปราศจากบุตรีหรือญาติพี่น้องอยู่เคียงข้างกาย มีทุกข์แสนสาหัสแต่ต้องเก็บเอาไว้ ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้...โดยเฉพาะรุจศยา...ด้วยเกรงว่ามันจะกระทบกระเทือนต่อการเรียนและดับอนาคตอันสดใสของบุตรสาว

ในยามที่ถูกปัญหามากมายรุมเร้าจนหายใจแทบไม่ออก ศราพรรณบังเอิญได้พบกับรัชพงศ์...เพื่อนสมัยวัยรุ่นที่ห่างหายกันไปนานนับสิบปี ชายหนุ่มเป็นวิศวกรโยธาที่ล้มเหลวในการทำธุรกิจส่วนตัว สองหนุ่มสาวที่ตกอยู่ในฐานะลำบากไม่แพ้กันได้ช่วยเหลือเกื้อกูล ปลอบโยน ให้กำลังใจจนเกิดเห็นอกเห็นใจกัน ผนวกกับพิษสงของความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยว อยากได้ใครสักคนมาเติมเต็มความรู้สึกไม่ให้อ้างว้างโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก แม้จะเป็นการหลอกตัวเองชั่วครั้งชั่วคราวก็ตามที ผลักดันให้ทั้งคู่เผลอไผลมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเพื่อน

ความที่มีอายุมากพอสมควรทำให้ต่างประมาทชะล่าใจ ไม่คิดว่าจะมีผลพวงใดๆ ติดตามมา เมื่อทราบว่าจะมีบุตรคนที่สองอย่างไม่คาดฝัน ศราพรรณว้าวุ่นใจมาก ไม่กล้าบอกบุตรีที่กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยปีสี่ กลัวลูกรับไม่ได้ ยิ่งอยู่ไกลตาก็ยิ่งพะวงสารพัดว่าลูกอาจจะเตลิดเปิดเปิงจนเสียผู้เสียคน ตัวเธอกับรัชพงศ์คบหากันโดยไม่เคยมีความคิดจะลงเอยกันด้วยการสมรส อีกทั้งวิกฤตชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่เฉียดใกล้คำว่า ‘ล้มละลาย’ เต็มที ภาวการณ์เช่นนั้นย่อมไม่เอื้ออำนวยต่อการแบกภาระครอบครัวเพิ่มแน่ๆ

ทว่าเรืองรอง...พี่สาวคนโตวัยห้าสิบหกปีของรัชพงศ์ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา เอ่ยปากขอรับผิดชอบเด็ก เธอเป็นเศรษฐินีม่าย ไม่มีลูกและไม่เอาพี่น้องคนอื่นๆ ด้วยรู้ว่าพวกเขามุ่งหวังผลประโยชน์จากทรัพย์สินของเธอ มีเพียงน้องชายคนเล็กที่อ่อนกว่าเกือบรอบอย่างรัชพงศ์ที่เธอลำเอียงมอบความเอื้อเอ็นดูให้เป็นพิเศษด้วยเคยช่วยเลี้ยงดูอุ้มชูมามากกว่าน้องคนไหน แต่เธอก็กันตัวเองออกจากปัญหาหนี้สิน ยอมให้แค่คำปรึกษา ไม่อยากยุ่งเรื่องเงินๆ ทองๆ มากเกินเหตุ เกรงว่าน้องคนอื่นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เธอต้องการให้เขาล้มและเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นเองให้ได้

ศราพรรณไม่พร้อมจะมีบุตรคนใหม่ แต่ไม่อยากทำบาปทำลายชีวิตที่จะเกิดมา ในที่สุดก็ตัดสินใจยกเด็กให้ฝ่ายชายตามข้อเสนอ

การปิดบังอำพรางครั้งใหญ่จึงได้เริ่มต้นขึ้น...

แรกๆ ก็ค่อนข้างขลุกขลักลำบาก นานวันเข้าก็กลายเป็นความเคยชินจนโกหกได้แนบเนียนขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าศราพรรณคนเดียวย่อมไม่สามารถทำได้ตลอดรอดฝั่ง แต่มีวิภาดากับมัทนาเป็นตัวช่วยสำคัญ ทั้งสองได้ยื่นมือเข้ามารับช่วงดูแลงานต่างๆ ของบริษัทแทนเพื่อนที่อ้างว่ามีปัญหาสุขภาพ ต้องการหยุดพักผ่อนยาวอย่างไม่มีกำหนด เปิดทางให้รัชพงศ์ที่จะเดินทางไปคุมงานก่อสร้างในประเทศข้างเคียงพาศราพรรณหายตัวไปจากวงสังคมและได้คลอดลูกก่อนกำหนดหนึ่งเดือนที่นั่น

กระนั้นเมื่อลูกชายตัวน้อยลืมตาดูโลก สาวใหญ่ก็ตัดใจไม่ขาด แอบแวะไปมาหาสู่และอยู่กับลูกทุกครั้งที่มีโอกาส รัชพงศ์ที่เคยคิดว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นพ่อของเด็กคนไหนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ตั้งใจสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่อีกหน ส่วนเรืองรองที่อาสาเลี้ยงดูพ่อหนูน้อยก็รักและหวงแหนเขาปานแก้วตาดวงใจ

ในด้านความสัมพันธ์ของศราพรรณกับรัชพงศ์ก็พัฒนาขึ้นตามลำดับ ถึงจะไม่ค่อยได้พบหน้าค่าตาและได้ใช้เวลาร่วมกันมากนัก เพราะฝ่ายหญิงต้องทำงานหนักและฝ่ายชายก็ไปคุมงานต่างถิ่นบ่อยๆ แต่ความเข้าอกเข้าใจกลับเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ไม่นานมานี้ทั้งคู่ได้ตกลงใจจะอยู่กินกันอย่างเปิดเผย เหลือเพียงหาจังหวะดีๆ พูดคุยกับรุจศยาให้เข้าใจเท่านั้น

สุดท้ายการเตรียมการทุกอย่างก็พังทลาย ศราพรรณหมดโอกาสสารภาพความจริงและปรับความเข้าใจกับบุตรสาว...ชั่วนิรันดร์

รุจศยาต้องรับรู้ทุกเรื่องเองอย่างกะทันหัน...ในยามที่เพิ่งพานพบเรื่องโหดร้าย ยังทำใจรับมือต่อการสูญเสียมารดาไม่ได้ ความจริงทั้งหมดที่ถูกเปิดเผยออกมาก็ไม่ต่างจากไม้แข็งๆ ฟาดเข้ากลางศีรษะเธอให้มึนงง ซ้ำยังกระหน่ำตีเนื้ออ่อนตรงทรวงอกซ้ายให้แหลกยับไม่เหลือชิ้นดี

หญิงสาวนั่งก้มหน้านิ่งจนปลายคางพับติดลำคอ ลอนผมเปียกชื้นทิ้งตัวลงเป็นม่านสีเข้มซ่อนสีหน้าและแววตาไม่ให้เห็นได้ถนัด สองมือเรียวพาดกอดตัวเองไว้เหมือนเหน็บหนาว...ไม่ใช่แค่ผิวกาย แต่ความเย็นยะเยือกมันเจาะลึกเข้าถึงกระดูกและกัดกินหัวใจ!

“หลานจ๋า...อย่าโกรธแม่เลยนะ พรรณไม่อยากโกหกจ๋าเลย แต่พลาดไปถึงขั้นนั้นแล้วมันก็น้ำท่วมปาก”

“พรรณเจอเรื่องร้ายๆ มามากเหลือเกิน พรรณไม่มีความสุขกับการมีครอบครัวแบบหลบๆ ซ่อนๆ นักหรอก ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อลูกจ๋าของเขาทั้งนั้น”

วิภาดากับมัทนาเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อน ตลอดหลายนาทีที่พวกเธอดึงตัวบุตรสาวเพื่อนออกมาพูดคุยกันในมุมสงบที่ม้านั่งบริเวณทางเดินนอกอาคาร ห่างจากบุคคลอื่นพอสมควร มีเสียงฟ้าคำรามกับสายฝนซัดสาดคอยรบกวนโสตประสาทคนไกลไว้อีกชั้น รุจศยามีปฏิกิริยาที่เห็นแล้วชวนใจคอไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนแรกหญิงสาวปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง หากไม่อาจหาอะไรมาโต้แย้งให้ถึงที่สุด จำต้องนิ่งฟังอย่างขมขื่น จากที่เคยมีคำถามสั้นๆ หลุดจากเรียวปากอิ่มบ้าง ผ่านไปสักพักก็เหลือเพียงความเงียบเฉยเหมือนเจ้าตัวได้ ‘ช็อก’ ซ้ำซ้อนจนไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

พวกเธอไม่ได้กันทวิพัทธ์ออกไปนอกวง ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ต้องได้รับรู้เรื่องนี้อยู่ดี มันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป การถึงแก่กรรมของเศรษฐินีม่ายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มูลค่ามหาศาลอย่างเรืองรองย่อมตกเป็นข่าว ทุกชีวิตที่ร่วมชะตากรรมในรถคงถูกแจกแจงว่าเป็นใคร มีความเกี่ยวพันกันยังไง อีกไม่นานคนรู้จักมากหน้าหลายตาจะรู้สิ่งที่ศราพรรณพยายามปกปิดมานานหมดสิ้น นอกจากนั้นพวกเธอยังแอบหวังว่าการมีคนนอกเป็นกันชนสักคนน่าจะทำให้รุจศยาชะงัก ไม่กล้าระเบิดอารมณ์รุนแรงออกมาเต็มพิกัดด้วย

“หลานจ๋า...”

วิภาดาเลื่อนมือไปแตะบ่าที่ลู่ลงอย่างหมดสภาพของหญิงสาวซึ่งเบี่ยงกายหลบทันทีที่ถูกสัมผัส ทำเอาเธอกับเพื่อนสนิทหน้าเสีย มัทนาที่ค่อนข้างใจเร็วกว่าก็เร่งเร้าอย่างอดรนทนไม่ไหว

“หลานคิดยังไง รู้สึกยังไง พูดออกมาบ้างสิ จะต่อว่าพวกน้าก็ได้ อย่าเอาแต่เงียบแบบนี้ พวกน้าไม่รู้จะทำยังไงนะ”

“พูดเหรอ…จะให้จ๋าพูดอะไรอีก”

รุจศยาปริปากตามที่ถูกขอ น้ำเสียงปร่าแปร่งระหว่างอยากหัวเราะเยาะหยันกับอยากร่ำไห้อีกรอบ เผลอกดน้ำหนักมือแน่นจนเล็บจิกผิวเนื้อ แต่ความเจ็บกายภายนอกยังไม่เทียบเท่ากับความร้าวลึกภายใน

เธอเจ็บ...เพราะสูญเสียผู้เป็นหลักให้ชีวิต

เธอเจ็บ...เพราะถูกคนที่รักใคร่บูชาทรยศหลอกลวงในแบบที่ไม่เคยคิดฝัน

เธอเจ็บ...เพราะเพิ่งตระหนักว่าสิ่งที่ยึดถือศรัทธาไม่ได้งดงามอย่างที่มองเห็น

เธอเจ็บ...เพราะคนทำร้ายเธออยู่ใกล้ตัว สถิตแน่นในหัวใจ เป็นคนที่เธอมอบความภักดีด้วยใจทั้งดวง แต่คนคนนั้นกลับโกหกเธอมากมาย...โกหกมายาวนาน...ทำเหมือนเธอเป็นคนอื่น ไม่ใช่ลูกสาวที่แสดงออกว่ารักนักรักหนา

แม่ช่างทำกับเธอได้ลงคอ!

ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจปนเจ็บแค้น รุจศยาไม่อาจต้านทานความสับสนวุ่นวายที่อัดแน่นเต็มอก กรีดเสียงทวงถามความยุติธรรมจากสองสาวใหญ่ผู้สมรู้ร่วมคิด

“จ๋าจะคิดยังไง รู้สึกยังไง พูดไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อแม่ น้าวิ น้ามัท ตอบเองแทนจ๋าหมดแล้ว อ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อจ๋า โกหกเพื่อจ๋า เคยถามจ๋าบ้างหรือเปล่าว่าต้องการไหม มาถามตอนนี้มันสายไปหรือเปล่า!”

“น้า...น้าขอโทษ...”

“แม่แอบมีคนอื่นจนมีลูกด้วยกัน แล้วทุกคนก็รวมหัวกันปิดบังจ๋ามาเป็นปีๆ ทั้งหมดนี่เพื่อจ๋าตรงไหน แม่ทำเพื่อตัวเอง น้าวิกับน้ามัททำเพื่อแม่ ไม่มีใครคิดถึงใจจ๋าเลย!”

ปลายเสียงเกรี้ยวกราดขาดหายไปในลำคอรุจศยา มีเสียงสะอื้นฮึกฮักเล็ดลอดออกมาแทนที่ น้ำตาที่หยุดรินไหลไปพักหนึ่งเริ่มรื้นขึ้นเต็มหน่วยตาชอกช้ำฉายแสงปวดร้าว สะท้อนให้เห็นภาพหัวใจที่แตกสลายจนคนมองใจหาย รีบชี้แจงปากคอสั่น

“ไม่จริงนะ หลานจ๋าอย่าคิดแบบนั้น”

“พรรณคิดถึงจ๋ามากไปต่างหาก จ๋าจำไม่ได้เหรอว่าเคยบอกแม่ไว้ยังไง คนอื่นอาจจะไม่สน คิดว่าเป็นคำขู่เล่นๆ แต่พรรณสนและกลัวมาก พรรณจะไม่ยอมเสี่ยงกับการสูญเสียลูกจ๋าของเค้าไปเด็ดขาด”

น้ำคำทวงถามถึงความหลังส่งผลให้รุจศยาชะงักเล็กน้อย อดีตที่ผ่านมานานตกตะกอนอยู่ในส่วนลึก เมื่อถูกกระทุ้งก็ลอยฟุ้งขึ้นมาให้หวนรำลึก

มีหรือที่เธอจะลืมดับว่าเคยยื่นคำขาดอะไรไป...ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว...ศราพรรณเคยชวนเธอคุยทีเล่นทีจริงหลายครั้งจนเธอต้องแสดงเจตนารมณ์เด็ดเดี่ยว ไม่ต้องการให้แม่พูดเรื่องระคายหูเธออีก

เธอไม่เคยเฉลียวใจสักนิดว่าหัวข้อสนทนานั้นจะมีมูลจริงๆ!

============================


‘ลูกจ๋า...ถ้าแม่จะมีแฟนใหม่ มีน้องตัวเล็กๆ ให้ลูกจ๋าเล่นสักคน จะว่าไงเอ่ย’

‘ไม่เอา จ๋าชอบเป็นลูกคนเดียวของแม่มากกว่า’

‘ลูกจ๋าไม่อยากมีน้องเหมือนคนอื่นบ้างเหรอ เด็กตัวเล็กๆ น่ารักน่าชื่นใจออกน้า’

‘จ๋าเกลียดเด็ก...โดยเฉพาะเด็กที่เป็นน้องคนละพ่อ จ๋ารักพ่อของจ๋าคนเดียว จ๋าไม่อยากมีพ่อเลี้ยง ไม่อยากมีน้อง แม่อย่าพูดเรื่องนี้อีกนะ จ๋ารับไม่ได้ ถ้าแม่มีคนอื่นเมื่อไหร่ จ๋าจะตายอยู่ที่อังกฤษ จะไม่กลับไปให้แม่เห็นหน้าตลอดชีวิต!’

‘ลูกจ๋า!’

‘จ๋าพูดจริง ไม่ได้ขู่เล่น ถ้าแม่ไม่เชื่อจะลองดูก็ได้ แต่ครั้งสุดท้ายที่แม่จะได้เห็นจ๋ามีลมหายใจคงเป็นตอนส่งจ๋าขึ้นเครื่องมาเรียนต่อนั่นแหละ!’

รุจศยาประกาศกร้าวแฝงความจริงจัง ศราพรรณอุทานในลำคออย่างตกใจ รีบพลิ้วลิ้นกลบเกลื่อนเป็นพัลวัน

‘แม่แค่พูดเล่น ลูกจ๋าอย่าคิดทำอะไรแบบนั้นนะ แม่ได้ยินแล้วใจไม่ดีเลย ถ้าลูกจ๋าเป็นอะไรไปแม่จะทนอยู่ได้ยังไง’

‘งั้นแม่ก็ให้สัญญากับจ๋าสิ’

‘แม่สัญญาจ้ะแม่สัญญา...ตราบใดที่ลูกจ๋าไม่อนุญาต แม่ก็จะไม่มีใคร จะมีแต่ลูกจ๋าของแม่คนเดียวเท่านั้น’

ศราพรรณยอมโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย กระแสเสียงเจือความเศร้าสร้อยเร้นลึก หากรุจศยาเข้าใจว่าคงหูฝาดหรืออุปาทานไปเอง อารามสมใจกับคำมั่นที่ได้รับทำให้เธอเลือกมองผ่าน ไม่อยากบีบคั้นมารดาให้เกิดความขัดแย้งกันโดยใช่เหตุ

ถ้าเพียงแต่เธอจะเชื่อมารดาให้น้อยลงสักนิด หวาดระแวงให้มากกว่าปกติสักหน่อย คงเอะใจรู้ว่าการแย็บถามที่ทิ้งระยะห่างกันนานพอสมควรคือการหยั่งเชิงท่าที ไม่ใช่แค่มุกยั่วแหย่เธอให้ของขึ้นเล่นชั่วครู่ชั่วยาม

ตอนที่ศราพรรณกำลังตั้งครรภ์บุตรคนใหม่ เธอกำลังเรียนหนัก ได้แต่ติดต่อกับมารดาผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล หรือโปรแกรมสนทนาออนไลน์ที่สามารถถ่ายทอดภาพและเสียงถึงกัน ยกเว้นช่วงหนึ่งที่ศราพรรณขอหยุดงานไปท่องเที่ยวพักผ่อน มารดามักจะบ่ายเบี่ยงไม่ให้เธอเห็นภาพสดๆ ด้วยข้ออ้างสารพัด ไม่ว่าจะเป็นการติดขัดด้านสถานที่หรือกำลังทำกิจกรรมอื่นอยู่ ไม่สะดวกใช้งานอินเตอร์เน็ต แต่จะส่งรูปภาพไปให้ดูภายหลัง

รุจศยาเห็นว่าศราพรรณทำงานหนักมานานสมควรจะได้รับความสุขสนุกสนานบ้างก็ไม่อยากขัดจังหวะ เซ้าซี้ให้อารมณ์เสีย ความรักและความไว้วางใจที่มีต่อมารดามาชั่วชีวิตทำให้ไม่เคยฉุกใจว่าทั้งหมดเป็นเพียงคำลวง...โกหกกันให้ตายใจ!

ตราบจนเธอสำเร็จการศึกษากลับมาอยู่ร่วมบ้านก็ยังถูกปิดหูปิดตาไว้มิดชิด เวลาศราพรรณขอไปพักค้างอ้างแรมที่อื่น เธอก็นึกเสมอว่ามารดาไปหาความสำราญกับสองเพื่อนสนิท ไม่ได้ระแคะระคายเลยว่ามารดาแอบปันเวลาไปอยู่กับครอบครัวใหม่

เธอเชื่อแม่ไม่ลืมหูลืมตาจนถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานปี...

ลูกสาวผู้โง่งม!

รุจศยาเคยได้ยินเรื่องผู้ชายที่ซุกซ่อนภรรยาลับกับลูกนอกสมรสไว้จากสังคม ใช้ชีวิตสองลักษณะโดยไม่มีใครจับได้จนลูกโต นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่ดูสูงส่งอย่างแม่ของเธอจะมีพฤติกรรมน่ารังเกียจแบบนั้นด้วย

ถึงแม้วิภาดากับมัทนาจะแจกแจงต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว รุจศยาก็ยังไม่อาจยอมรับได้ ยังมีคำถามใหญ่ติดค้างใจว่าเหตุผลเหล่านั้นเพียงพอต่อการรวมหัวกันปิดบังเธอมาตลอดหรือ เธอรู้สึกเหมือนถูกกล่าวโทษกลายๆ ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่อง ทั้งที่เธอไม่เคยรับรู้อะไรและเป็นฝ่ายถูกกระทำให้เสียความรู้สึกอย่างแรงแท้ๆ

ยิ่งหวนคิดถึงหน้าแม่ก่อนแยกจากกัน หัวใจเธอก็ยิ่งเจ็บแปลบ

ที่บอกว่าจะไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่า...คงหมายถึงผู้ชายคนนี้สินะ...

เพื่อนเก่า...ที่กลายมาเป็นสามีใหม่!

ไม่เท่านั้นพวกเขายังพากันยกโขยงคนในบ้านไปเที่ยวเป็นครอบครัวสุขสันต์ ปล่อยเธอไว้ข้างหลังกับความไม่รู้เรื่องรู้ราวเพียงคนเดียว!

แม่โกหกเธอ...โกหกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...โกหกมาตลอด!

ริมฝีปากของรุจศยาสั่นระริกด้วยแรงดันอารมณ์ ต้องใช้ฟันขบเรียวปากล่างไว้ ไม่อยากปล่อยโฮอย่างหมดท่าเป็นคำรบสอง รวบรวมกำลังใจเค้นเสียงแห้งโหยถามออกไป...เธอต้องการรู้ความจริงอีกอย่าง แม้ว่ามันจะเป็นมีดแหลมคมกรีดเธอให้ขาดวิ่นเป็นชิ้นๆ ก็ตามที

เธอไม่อยากเป็นคนโง่อีกแล้ว...

“ถ้าไม่เกิดเรื่องวันนี้ เมื่อไหร่จะบอกความจริงกับจ๋า"

“ก็...อีกไม่นานหรอก”

“พรรณกับพวกน้าตั้งใจจะบอกจ๋าอยู่แล้ว”

“เมื่อไหร่ล่ะ!”

รุจศยาถามเสียงเข้มพอๆ กับแววตา อยากให้พวกเธอตอบให้ตรงประเด็น ไม่ใช่พูดอ้อมแอ้มหลบเลี่ยงไปมา สองสาวใหญ่ทำท่ากระอักกระอ่วนใจ สุดท้ายมัทนาก็ปัดสายตาโยนหน้าที่เจรจาความให้วิภาดา

“เอ่อ...เท่าที่เราเคยคุยกันไว้ พรรณว่าจะรอให้จ๋าแต่งงานไปสักระยะแล้วค่อยบอก พรรณอยากให้จ๋ามีใครสักคนช่วยรั้งไว้จะได้ไม่คิดสั้นหรือเตลิดไปอยู่ที่อื่น พรรณเป็นห่วงจ๋ามากนะ”

“ห่วงเหรอ...” รุจศยาทวนคำ แค่นยิ้มเย้ยหยัน นัยน์ตาวาววับจัดจ้า ความน้อยอกน้อยใจผุดพุ่งขึ้นเป็นริ้วๆ อดตีความในแง่ร้ายไม่ได้ เพราะแม่ของเธอช่างเลือกจังหวะบอกได้เหมาะเจาะเสียเหลือเกิน “แม่จะผลักจ๋าให้คนอื่น จะได้ไปมีความสุขกับผู้ชายใหม่ได้เต็มที่ ไม่มีก้างขวางคออีกใช่ไหมล่ะ!”

“ไม่ใช่นะหลานจ๋า”

สาวใหญ่ปฏิเสธเสียงหลง แต่รุจศยาไม่ยอมรับฟังอะไรอีกแล้ว คลื่นอารมณ์หลากหลายรวมตัวกันถึงจุดที่ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป ทะลักทลายออกมาเป็นเสียงกรีดร้องทั้งน้ำตาคลอเบ้า...อยากให้อีกฝ่ายเจ็บ...เจ็บตรงหัวใจเหมือนที่เธอรู้สึกบ้าง!

“จ๋าเกลียดแม่! เกลียดน้าวิ! เกลียดน้ามัท! เกลียดทุกคนเลย!!!”

“หลานจ๋า!”

นี่ล่ะ...สิ่งที่ศราพรรณกับพวกเธอหวั่นกลัวนักหนา ภายนอกรุจศยาอาจจะสง่างาม วางตัวได้ไม่มีที่ติ เก็บงำความรู้สึกเก่ง แต่เนื้อในมีความแรงซุกซ่อนอยู่มาก ทั้งดื้อเงียบ ใจแข็ง ทิฐิจัด โมโหร้าย เป็นคนจำพวกรักแรงเกลียดแรง ถ้าโกรธแค้นแล้วไม่มีทางให้อภัยผู้ที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจได้ง่ายๆ

“น้าขอโทษ...น้าขอโทษ...”

“อย่าแตะจ๋า!”

รุจศยาสาดเสียงเข้าหยุดมือสองข้างที่เอื้อมมาหาอย่างเฉียบขาดพร้อมกับขยับลุกจากที่นั่ง ทำเอามือของวิภาดากับมัทนาตกลงข้างลำตัว มองหลานสาวด้วยสายตาวิงวอนขอร้อง

“ไม่จริงใจต่อกันก็อย่ามายุ่ง จ๋าไม่ต้องการความหวังดีจอมปลอม!”

“โธ่...หลานจ๋า...”

หญิงสาวอยากจะประณามและอาละวาดใส่สองคุณน้าให้สาสมกับที่ได้มีส่วนร่วมในสิ่งที่เธอรู้สึกแย่เกินทน แต่ถึงความโกรธจะเข้าครอบงำเธอจนลืมตัวแสดงกิริยาไม่ดีไปหลายอย่าง เธอก็ยังไม่ลืมว่ากำลังอยู่ในสถานที่ใด อีกทั้งยังมีบุคคลอื่นร่วมรับรู้เหตุการณ์ ไม่ใช่มีแค่พวกเธอสามคนน้าหลาน

เมื่อเบนหน้าไปอีกทาง ได้พบกับดวงตาของชายหนุ่มที่ทอดมองมาอย่างเห็นอกเห็นใจ ในอกเธอก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเค้นหนักหน่วง ใบหน้าซีดเซียวชาวาบเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง

อารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาอีกอย่างพุ่งเข้าจู่โจมรุจศยา...

ความอับอาย…

ไม่ใช่แค่เรื่องเจ็บปวดใจ...เธอยังต้องลิ้มรสความอับอายที่สุดในชีวิต...อับอายต่อการเปิดเผยโครงกระดูกในตู้ที่แม่ซุกซ่อนไว้มากมาย

เธอไม่ได้เป็นหญิงสาวผู้สูงส่งอย่างที่ใครๆ มองเห็น ทั้งหมดเป็นเพียงเปลือกจอมปลอมที่ถูกบรรจงห่อหุ้มไว้ลวงสายตาคน แท้จริงแล้วเธอเป็นหงส์มีตำหนิที่ถูกย้อมสีให้สวยงามเท่านั้น

ขอบตาเปียกชื้นของเธอยังคงร้อนผ่าวและเจ็บร้าว ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกแน่นในลำคอ ต้องแข็งใจกล้ำกลืนลงไป มือเรียวกำหมัดแน่น พยายามก่อกำแพงขึ้นมาปิดกั้นความรู้สึกอีกครั้ง เธอไม่ต้องการร้องไห้เสียน้ำตากับเรื่องนี้อีกแล้ว...เป็นคนโง่งมอย่างเดียวก็มากเกินพอ...เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอขี้แพ้ให้เป็นที่น่าเวทนาไปมากกว่านี้

ดวงตาดำคมของรุจศยาแข็งกร้าวขึ้นด้วยแรงทิฐิจนคนมองสัมผัสได้

“จ๋าจะไปดูแม่ ป่านนี้เจ้าหน้าที่คงรอแล้ว”

หญิงสาวบอกขื่นๆ และหมุนร่างออกไปโดยไม่สนใจใครอีก

เธอจะไปดูหน้าคนที่เธอรัก...และบอกว่ารักเธอ...แต่กลับหลอกลวงกันอย่างเลือดเย็น!

ถึงจะอ้างว่าจำเป็นต้องกระทำเพื่อผลดีต่อตัวเธอก็ตาม แต่ความปรารถนาดีเช่นนั้น...เธอไม่เข้าใจ!!

ทวิพัทธ์มองตามร่างระหงที่ฝืนวางท่าเข้มแข็งก่อนเลื่อนสายตาไปทางสองสาวใหญ่ ถึงเขาจะเป็นคนขี้เล่น แต่ก็รู้กาลเทศะว่าเวลาใดควรพูดมากและสถานการณ์ใดควรถนอมปากคำให้มากที่สุด

“ผมขอตามคุณจ๋าไปนะครับ”

“คุณสอง”

วิภาดาเรียกไว้ก่อนเขาผละไปอีกคน ชายหนุ่มผินหน้ามอง บังเกิดความรู้สึกว่าสาวใหญ่ที่มักจะแลดูสวยทันสมัยกว่าวัยเป็นสิบปีจะมีสภาพอ่อนล้าและอิดโรยสมอายุจริงก็วันนี้เอง

“ฉันขอโทษที่ดึงคุณเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย แต่อีกไม่นานทุกคนคงรู้กันหมด ฉันแค่อยากให้มีใครสักคนรู้ว่าหลานจ๋าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในสิ่งที่พรรณกับพวกฉันทำเลยสักนิด”

“ผมทราบ...หลายคนที่รู้จักคุณจ๋าดีก็คงไม่คิดแบบนั้นแน่”

ทวิพัทธ์บอกอย่างอ่อนโยน เขาเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การจัดฉากหรือบทละครที่ใครจะตระเตรียมไว้ รุจศยาไม่ใช่นักแสดงอาชีพถึงจะตีบทแตกได้สมจริงขนาดนั้น ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ฉายชัดในสีหน้าแววตาเธอไม่ใช่สิ่งโกหก หยาดน้ำใสที่หลั่งอาบแก้มล้วนกลั่นออกจากหัวใจบอบช้ำสาหัส

“เรื่องนี้คงทำให้หลานจ๋าเสียหลักมาก เขารักและบูชาแม่ของเขามากเหลือเกิน”

“ฉันไม่กล้าคิดเลยว่าคนอื่นจะพูดถึงเรื่องนี้ยังไง ปากคนพูดกันไปได้เรื่อยเปื่อย ต่อให้หลานจ๋าเข้มแข็งแค่ไหนก็เป็นผู้หญิงธรรมดา มีหัวจิตหัวใจ แถมยังเพิ่งเสียแม่ไปทั้งคน ฉันเป็นห่วงจริงๆ”

มัทนาพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง ชายหนุ่มจึงไม่ตอบโต้อะไร แต่ก็เข้าใจความกังวลของเธอดี ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะเชื่อด้านร้ายมากกว่าเพราะมันช่วยยกตนเองให้ดูเป็นคนดีขึ้นหรือไม่ก็ช่วยหักลบความเลวร้ายที่มีอยู่ให้เป็นเรื่องเบาลง หลายคนเห็นเรื่องชาวบ้านเป็นงานของตน เข้าข่ายยิ่งพูดก็ยิ่งมันส์ แสดงความเป็นผู้รู้ขุดคุ้ยเรื่องนู้นมาผสมเรื่องนี้ให้วุ่น วิเคราะห์ไปต่างๆ นานา เอาความคิดตนเป็นที่ตั้งและตัดสินกันตามอำเภอใจโดยไม่นึกถึงหัวอกผู้ที่ถูกพาดพิงเลย

ในกรณีนี้ทวิพัทธ์ขอวางตัวเป็นคนนอก ไม่อยากสรุปว่าใครผิดใครถูก ศราพรรณกับเพื่อนมีเหตุผลที่จะปิดบัง รุจศยาก็มีเหตุผลที่จะโกรธเคืองเช่นกัน หญิงสาวตกเป็นผู้ถูกกระทำให้มีบาดแผลใหญ่หมาดๆ ย่อมมองเห็นแต่ความเจ็บของตนเป็นหลัก คงต้องใช้เวลาบรรเทาอาการบาดเจ็บให้น้อยลง เมื่อเลิกจมจ่อมกับความทุกข์ก็อาจจะเปิดใจรับอะไรได้มากขึ้น

หากเพียงจินตนาการถึงสิ่งที่กำลังรออยู่ในอนาคตอันใกล้ เขาก็ชักหนักใจแทนเธอเหลือเกิน

รุจศยาจะก้าวผ่านไปไหวไหม...

============================


ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว แต่สภาพร่างไร้วิญญาณของมารดาก็เขย่าหัวใจของรุจศยาให้สั่นไหว...ยากที่จะยอมรับว่าร่างนี้ปราศจากลมหายใจ ไม่อาจลืมตาขึ้นมองหรือขยับปากเปล่งเสียงเรียกเธอว่าลูกจ๋าอย่างอ่อนหวานเหมือนแต่ก่อน ผิวกายที่อยู่ใต้ฝ่ามือเธอเย็นชืด ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น

แม้สมองจะเพียรสร้างทิฐิแรงกล้า แต่ก็ไม่อาจห้ามกระแสน้ำตาแห่งความอาดูรที่ไหลรินจากหัวใจ หญิงสาวซบกอดร่างที่นอนนิ่ง ซุกหน้าลงร่ำไห้บนบ่าของแม่ รู้ว่าจะสามารถกอดเธอได้เป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้คงไม่อาจแตะต้องเธอแบบนี้อีกแล้ว

...แม่...แม่ของจ๋า...

...จ๋ารักแม่นะ...ทำไมแม่ทำกับจ๋าแบบนี้...

...จ๋าโกรธ...จ๋าผิดหวัง...จ๋าเจ็บ...แต่ก็ยังรัก...


เสียงสะอื้นของเธอผสมกับเสียงของวิภาดาและมัทนาอีกรอบ ผ่านไปครู่ใหญ่หญิงสาวถึงเงยหน้าขึ้น ค่อยๆ ลูบไล้ทุกส่วนบนใบหน้าศราพรรณอย่างอาลัยอาวรณ์ บันทึกเก็บไว้ในความทรงจำ จากนั้นก็ก้มลงบรรจงกราบที่อกแม่ผู้มอบชีวิตก่อนตัดใจผละออกห่างอย่างยากเย็น

รุจศยายังไม่สามารถรับศพไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ ต้องทำเรื่องตามกระบวนการกฎหมายให้เรียบร้อยก่อน ศราพรรณเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ต้องติดต่อกับตำรวจเจ้าของคดีด้วย ตอนนี้กว่าสิบห้านาฬิกาแล้วคงตระเตรียมการต่างๆ เพื่อจัดงานเย็นวันนี้ไม่ทัน ต้องฝากมารดาไว้ที่โรงพยาบาลหนึ่งคืน พรุ่งนี้ถึงจะรับศพออกไปได้

วิภาดากับมัทนาทำท่าอ่อนแรงเหมือนจะเป็นลม แต่คนที่พวกเธอเป็นห่วงอย่างรุจศยากลับหยัดยืนเข้มแข็ง ใช้ทิฐิเป็นแรงขับเคลื่อน ไม่ยอมทรุดซ้ำง่ายๆ

“จ๋าจะไปดูเด็กคนนั้น”

เธอยังไปไหว...ถึงแต่ละก้าวจะเพิ่มรอยร้าวให้ตัวเธอจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เธอก็ยังอยากเห็นเด็กชายด้วยตาตัวเอง

เด็ก...ที่เปรียบเสมือนหลักฐานยืนยันว่าแม่ทรยศเธอจริง!

“ผมไปเป็นเพื่อนคุณจ๋านะครับ”

ทวิพัทธ์เอ่ยอาสา สองสาวใหญ่ยังเข้าหน้ารุจศยาไม่ค่อยติดและเหนื่อยกายเหนื่อยใจจนไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหนให้ล้มพับ ต่างพร้อมใจกันพยักหน้ารับ ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ดูจะมีสติมากที่สุด รุจศยามีเขาติดสอยห้อยตามไปด้วยก็คงพอจะวางใจได้

หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่ม ความอดสูยังกำซาบอยู่เต็มอก ไม่อยากให้เขาเห็นเธอตกอยู่ในสภาพนี้ และไม่ชอบที่เขาทำเหมือนเธอมีอาการน่าเป็นห่วง ต้องมีผู้เฝ้าดูแล คำปฏิเสธจึงหลุดจากปากอิ่มฉับไว

“ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวได้”

“ให้ผมไปด้วยคนเถอะ”

“ฉันไม่ล้มหรอก ไม่ต้องห่วง”

ใช่...เธอจะไม่ยอมล้มให้เขาเห็นว่าเธอกำลังเป็นหงส์ปีกหักอย่างที่เคยถูกหยามไว้!

“ให้คุณสองไปเป็นเพื่อนเถอะหลานจ๋า ถือว่าเห็นแก่พวกน้านะ”

วิภาดาแทรกขึ้นมาขอร้องกึ่งรวบรัดตัดความตามเสียงส่วนใหญ่ หญิงสาวอยากจะขัดขืนแต่ไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกันให้ตกเป็นเป้าสายตาก็จำใจรับคำอย่างเสียมิได้

แพทย์เจ้าของไข้ถ่ายทอดอาการบาดเจ็บของเด็กชายให้ฟังว่าร่างกายถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักจากอุบัติเหตุ หัวแตกเย็บสิบเข็ม กระดูกปลายแขนซ้ายหัก มีบาดแผลสด แผลฟกช้ำดำเขียว และบอบช้ำภายในหลายแห่ง ควรจะได้รับการดูแลรักษาอย่างไรต่อไป สักพักก็อนุญาตให้สองหนุ่มสาวเข้าเยี่ยมเด็กชายในห้องไอซียูของผู้ป่วยเด็ก จำกัดเวลาเยี่ยมแค่ห้านาทีเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนไข้

ขณะย่างเท้าเข้าใกล้เตียงด้านในสุด หัวใจของรุจศยาก็เต้นช้าลง มือไม้เย็นเฉียบ เพ่งมองชีวิตเล็กๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘น้อง’ เหมือนเห็นสิ่งแปลกประหลาด

ร่างน้อยสลบไสลไม่ได้สติ ถูกพันธนาการไว้กับสายระโยงระยางจากเครื่องไม้เครื่องมือพยุงชีพ ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มมีผ้าก๊อซพันรอบหน้าผาก ดวงหน้าเท่างบน้ำอ้อยขาวซีดแข่งกับปลอกหมอน บริเวณโหนกแก้มและปลายคางมีพลาสเตอร์ปิดแผล แขนซ้ายเข้าเฝือก ลำตัวส่วนที่เหลือถูกปกปิดไว้ใต้ผ้าห่ม

สายตาเธอตกลงบนป้ายข้อมือเด็ก เจ็บแปลบกับชื่อที่เห็น

…รุจศรัณย์…

เสียงบอกเล่าของวิภาดายังดังก้องอยู่ในหัว

‘เจ้าตัวเล็กสามขวบครึ่งแล้ว ปลายปีนี้จะเต็มสี่ขวบ ชื่อจริงว่า ‘รุจศรัณย์’ ชื่อเล่น ‘จั๊มพ์’ พรรณตั้งใจตั้งชื่อลูกมาก บอกว่าจั๊มพ์เป็นน้องของจ๋าก็ต้องชื่อคล้ายจ๋า พรรณคิดถึงจ๋าเสมอนะ’

...ของเธอ?...

...ทำไมไม่บอกกันสักคำ!...


เพียงแค่คิดถึงเรื่องนั้น...พิษร้ายที่ตกค้างอยู่ในหัวใจเธอก็เหมือนจะกำเริบ ส่งคลื่นความแสบร้อนไปทั่วทุกอณูใจให้ร้าวระบม

รุจศยาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกับเด็กคนนี้...รู้แต่ว่ามองแล้วยอกแสยงใจ ถ้าส่วนเสี้ยวหนึ่งในตัวเธอยังมีแสงเทียนแห่งความหวังริบหรี่ว่ามารดายังคงเป็นคนเดิมก็ถูกเป่าจนดับสนิท เพราะเด็กชายคือหลักฐานชั้นดีบีบบังคับให้เธอจำนนว่าแม่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ...แม่ผิดสัญญา...แม่ไม่ได้รักพ่อคนเดียวอีกแล้ว...และแม่ก็ไม่ได้มีเธอเป็นลูกสาวคนเดียวดังที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้

รุจศรัณย์คือสัญลักษณ์ความอัปยศในชีวิตของเธอ!

มือสั่นเทาที่ขยับไปหาเด็กน้อยพลันร่วงลงกลางทาง รุจศยามองร่างที่หลับตาพริ้มอย่างสับสนระคนอัดอั้นตันใจ สุดท้ายก็เลือกหมุนตัวจากไป...ไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นกับน้องชายที่ยังไม่สามารถทำใจยอมรับ

ทวิพัทธ์ถอนหายใจยาว หลุบตามองเด็กไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างเวทนา บีบมือเล็กข้างที่ไม่บาดเจ็บเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจกึ่งบอกลาชั่วคราว และแอบให้สัญญาในใจว่าจะหาโอกาสมาเยี่ยมใหม่ ก่อนจะติดตามหญิงสาวออกไปหลังจากที่เพิ่งเข้าเยี่ยมหนูน้อยได้ไม่ถึงสามนาที

============================


อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตกเป็นข่าวดังพอสมควรด้วยชื่อเสียงของเรืองรอง...เศรษฐินีม่ายผู้รับมรดกจากสามีเป็นเจ้าของตลาดสดสี่แห่ง อาคารพาณิชย์และตึกแถวให้เช่าเซ้งมากมาย ที่ดินผืนงามหลายผืนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อีกทั้งยังเคยเป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นในกิจการทำกำไรหลายบริษัท เมื่อสี่ปีก่อนเธอวางมือจากงานบริหาร หันไปใช้ชีวิตแบบเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยมีข่าวคราว ไม่เข้าร่วมงานสังคม แต่ก็ช่วยงานการกุศลแบบปิดทองหลังพระเสมอ พอเปิดเผยประวัติออกไปก็เพิ่มความฮือฮาให้ไม่น้อย

ผู้โดยสารในรถยนต์ที่รัชพงศ์เป็นคนขับเสียชีวิตเกือบหมด มีเพียงรุจศรัณย์ที่รอดตายราวปาฏิหาริย์ แว่วว่าผู้เป็นป้ากอดเขาไว้ราวกับจะยอมรับชะตากรรมแทน โดยเรืองรองถูกส่งไปอยู่ห้องไอซียูไม่พ้นคืนก็สุดแรงฝืนสู้ความเจ็บปวด ถึงแก่กรรมกลางดึกคืนเดียวกัน ทางฝ่ายคู่กรณีสองคนก็บาดเจ็บสาหัส ถึงจะรอดชีวิตมาได้ก็ต้องรับบทลงโทษตามกฎหมาย ค่าที่ความประมาทใจเร็วได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปถึงสี่คน

งานศพของศราพรรณและรัชพงศ์ถูกจัดขึ้นโดยมีกำหนดการสวดพระอภิธรรมห้าคืนและจะฌาปนกิจอีกสองวันถัดไป ใจจริงวิภาดากับมัทนาอยากให้จัดงานสามวันและเผาเลยด้วยซ้ำ แต่ดูจะรวบรัดเกินไปหน่อย ครั้นจะจัดเจ็ดวันก็ออกจะมากไป เกรงว่าหลานสาวจะทนรับแรงกดดันจากข่าวอื้อฉาวของแม่กับพ่อเลี้ยงไม่ไหว

ตอนแรกรุจศยาไม่ยอมช่วยเป็นธุระจัดงานให้รัชพงศ์ อยากให้ญาติฝ่ายเขารับไปจัดการเอง แต่พี่ชายกับพี่สาวของรัชพงศ์ดูจะกระตือรือร้นต่อการจัดงานศพให้พี่สาวคนโตผู้มั่งคั่งมากกว่าน้องชายคนเล็กที่ทำธุรกิจไม่รุ่ง ต้องกลับไปเป็นวิศวกรต๊อกต๋อยหาเงินชดใช้หนี้และซมซานมาพึ่งพิงพี่สาวบ่อยหน

เห็นจะจริงตามวลีที่ว่า ‘มีเงินนับเป็นพี่ ไม่มีเงินไม่ถูกนับญาติ’ ภาระที่เกี่ยวข้องกับรัชพงศ์และบุตรชายกำพร้าถูกโยนมาให้รุจศยาในฐานะ ‘ลูกเลี้ยง’ ที่เธอแสนรังเกียจนักหนา ส่วนพี่เลี้ยงของรุจศรัณย์ที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ญาติได้มาขอรับศพไปจัดงานที่ต่างจังหวัด ซึ่งทนายความของเรืองรองได้มอบค่าใช้จ่ายและเงินทำขวัญชดเชยให้มากพอสมควร

วิภาดากับมัทนาอาจจะยอมลงให้รุจศยาหลายอย่างเพราะความรู้สึกผิด ยกเว้นเรื่องนี้ที่พวกเธอไม่ยอมให้หญิงสาวแผลงฤทธิ์ได้เด็ดขาด

“พรรณกับรัชเป็นผัวเมียกัน อยู่กินกันจนมีลูกหนึ่งคน ถึงจะไม่ได้เปิดเผยเรื่องครอบครัวให้ใครรู้มากก็เถอะ แต่เขาก็รักกันดีและมีแผนจะแต่งงานกันด้วย จ๋าไม่ควรพรากเขาจากกันนะ”

“จ๋าเกลียดเขา!”

“เก็บความเกลียดไว้ในใจเถอะ แค่นี้ก็ถูกพูดถึงในแง่ร้ายมากพอแล้ว อย่าทำเรื่องน่าเกลียดให้ถูกเก็บไปนินทามากกว่านี้เลย”

“เอาสิ อยากจะทำอะไรก็ทำเลย ไม่มีใครเคยนึกถึงใจจ๋าอยู่แล้วนี่”

เธอประชดประชันอย่างน้อยใจ แต่สองคุณน้าถือเป็นคำอนุญาตให้หีบศพของรัชพงศ์อยู่ร่วมศาลาสวดพระอภิธรรมเดียวกับศราพรรณ

แวบแรกที่เห็นรูปผู้ชายคนนั้น รุจศยาก็จำได้ว่าเคยพบเขามาก่อน ครั้งแรกบังเอิญเจอกันที่ร้านอาหาร ศราพรรณแนะนำว่าเขาเป็น ‘เพื่อนเก่า’ ต่อจากนั้นก็ได้พบกันตามงานเลี้ยงและสถานที่อื่นอยู่เป็นระยะๆ เธอเพิ่งประจักษ์ว่านั่นไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นเจตนาจัดฉากพบปะเพื่อหยั่งเชิงความรู้สึกของเธอมากกว่า

นึกแล้วก็ชักกรุ่นๆ ขึ้นมาอีกระลอก...คนรอบตัวเธอช่างแสดงละครเก่งกันแท้ๆ!

รุจศยาโทรศัพท์ข้ามประเทศไปแจ้งข่าวกับชานนท์ ชายหนุ่มแสดงความเสียใจและออกตัวว่าคงไม่สามารถกลับมาได้ เธอรู้ว่าเขาเตรียมการสำหรับงานนี้มานานย่อมไม่อาจโยนทิ้งไปดื้อๆ นี่คือโอกาสงามที่จะต่อยอดธุรกิจอาหารแช่แข็งของเขาให้เติบโตยิ่งขึ้น...เป็นอนาคตของบริษัทและพนักงานหลายร้อยชีวิตในสังกัด

หญิงสาวพยายามเข้าอกเข้าใจ กระนั้นก็ยังเปล่าเปลี่ยวลึกๆ อยู่ดี...

อีกคนหนึ่งที่เธอติดต่อหาคืออัมราภรณ์...เพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่เรียนมัธยมและได้ไปศึกษาต่อที่อังกฤษด้วยกัน เจ้าตัวพอใจแค่จบปริญญาตรี ไม่ยอมเสียเวลาต่อปริญญาโทอีกหนึ่งปีเป็นเพื่อนเธอ เลือกเที่ยวตะลอนทั่วภาคพื้นยุโรปก่อนบินกลับมาทำงานสบายๆ เป็นผู้ช่วยคุณหญิงแม่ เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากกิจการโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งมีทีมบริหารฝีมือเยี่ยมทำงานให้อย่างมีประสิทธิภาพ บางทีก็รับบทนางแบบกิตติมศักดิ์ให้กับนิตยสารหรูๆ หรือเดินเฉิดฉายบนเวทีแฟชั่นการกุศล ตกเป็นข่าวกระฉ่อนอยู่เนืองๆ ทั้งจากการเป็นธิดาของนักการเมืองระดับรัฐมนตรีหลายสมัย ล่าสุดขึ้นแท่นกุมอำนาจกระทรวงใหญ่ที่ใครๆ ก็คร้ามเกรง และจากประวัติชีวิตรักของเธอกับดารา นักร้อง นักธุรกิจ หรือทายาทผู้มั่งคั่งในวงสังคมหลายต่อหลายคนล้วนส่งให้เธอติดทำเนียบสาวไฮโซฯ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง...เมื่อหลายวันก่อนเพื่อนผู้รักสนุกได้บินไปเที่ยวอเมริกากับแคนาดา ยังชวนรุจศยาให้ไปด้วย แต่เธอปฏิเสธเพราะไม่อาจทิ้งงานในความรับผิดชอบไปหาความสำราญได้

“เสียใจด้วยนะจ๋า”

อัมราภรณ์พูดคำนั้นเหมือนกับทุกคนและเสริมต่อแบบที่คนฟังไม่รู้สึกแปลกใจเลย

“แอมก็อยากกลับไปหรอก แต่คงช่วยอะไรไม่ได้มาก จ๋าก็รู้นี่ว่าแอมไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร กว่าจะหาตั๋วได้ กว่าจะบินถึงไทย ดีไม่ดีอาจจบงานไปแล้ว ถ้าแอมไม่กลับไป...จ๋าคงไม่คิดว่าแอมใจดำนะ”

“จ๋าเข้าใจ แค่โทรมาบอกเฉยๆ”

รุจศยาตอบเรียบๆ ถึงจะแอบน้อยใจบ้างก็ไม่อยากถือสาหาความมาก อัมราภรณ์อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่แสนดีเต็มร้อย แต่ก็คบกันมาหลายปีดีดัก เคยร่วมกินร่วมเที่ยวและช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลายอย่าง ตราบเท่าที่อีกฝ่ายไม่ก่อเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือกระทำอะไรให้เธอเสียความรู้สึกมากเกินทน เพื่อนก็ยังคงเป็นเพื่อนเสมอ

ทว่าคนที่สร้างความประหลาดใจให้เธอที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้ชายชื่อ...ทวิพัทธ์

ในยามที่เธอเสียหลัก เคว้งคว้าง ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง สองคุณน้าวุ่นวายกับเข้าไปการบริหารงานแทนศราพรรณ อิสรีก็ต้องเร่งงานกองพะเนินให้ทันกำหนด ปลีกตัวมาเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดตลอดเวลาไม่ได้ ชายหนุ่มกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอหลายอย่าง ทั้งไปเป็นเพื่อนเดินเรื่องกับทางตำรวจและโรงพยาบาล หาสถานที่จัดงานศพ โลงศพ ดอกไม้และข้าวของที่จำเป็นไปยันหาคนมาช่วยจัดการอาหารและจานชามที่เลี้ยงพระเลี้ยงแขก

“คุณไม่ไปทำงานทำการเหรอ”

หญิงสาวถามกึ่งเกรงใจกึ่งสงสัยเพราะทวิพัทธ์โผล่มาแต่เช้า ไม่ยักจัดรายการวิทยุอย่างที่ควรเป็น

“ไปสิ แต่วันนี้ผมขอลางานอีกวัน ผมคุยกับโปรดิวเซอร์แล้วว่าจะแลกเวลากับดีเจคนอื่นสัปดาห์นึง ผมยังจัดรายการช่วงเช้าเหมือนเดิม ช่วงเย็นก็สลับให้เจ้าเต๋ทำ ส่วนผมจะย้ายไปจัดช่วงห้าทุ่มถึงตีสองแทนมันชั่วคราวน่ะ”

คำตอบสบายๆ ของเขาทำให้เธอนิ่งอึ้ง แววตาวูบไหว...ในขณะที่คนสนิทชิดเชื้อหลายคนทำได้แค่มอบความเอื้ออาทรผ่านเครื่องมือสื่อสารมาให้ชุ่มชื่นใจเป็นครั้งคราว ชายหนุ่มที่ถูกหมายหัวว่าเป็นคู่ปรับอันดับหนึ่งกลับยอมแลกเปลี่ยนเวลาทำงานมาเป็นพี่เลี้ยงให้เธอ

“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย…”

“ผมอยากทำ ยังไงเราก็เพื่อนกันนะ ถ้าคุณจ๋ามีคนคอยช่วยเต็มที่ ผมคงไม่กล้ายุ่งหรอก แต่นี่เจ๊อ้อยกับพวกก็ติดงาน แต่ละอย่างขาดเจ๊ไม่ได้ทั้งนั้น ไหนจะต้องเตรียมไปชู้ตติ้ง* กับพวกน้องสุอีก มาอยู่เป็นเพื่อนคุณจ๋าไม่ได้จริงๆ เลยฝากน้องรักอย่างผมมาแทน อย่างว่าล่ะผมดันมีเวลาว่างเยอะเกิน หน้าตาก็บอกยี่ห้อชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วย ยังไงคุณจ๋าก็ทนเหม็นหน้าผมต่อไปหน่อยละกัน”

ตอนท้ายเขาพูดให้เป็นเรื่องชวนหัวขำขัน กล้าเรียกตัวเองอย่างหน้าไม่อายว่า ‘น้องรัก’ ชนิดที่อิสรีได้ยินเข้าคงอยากอาเจียน แต่รุจศยาหัวเราะไม่ออก หมั่นไส้ไม่ลง จ้องมองเขาราวกับจะเจาะลึกให้ถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน...บางสิ่งบางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดสวยหรูอธิบาย ขอเพียงใจไม่ถูกบดบังด้วยอคติก็สามารถรับรู้ได้

เขาเป็นห่วงเธอ...

ถึงจะชอบทำตัวยียวนกวนประสาทชวนทะเลาะเล่นบ่อยหน แต่เขาก็มีน้ำใจมอบให้ยามเธอเดือดร้อน แสดงออกผ่านการกระทำที่เหมือนกับไม่สลักสำคัญ ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย แค่มาร่วมฟังสวดเหมือนคนอื่นสักคืนสองคืนให้สมกับเป็นคนรู้จักกันก็เพียงพอแล้ว

ความตระหนักรู้นั้นกล่อมเกลาหัวใจแข็งกระด้างของเธอให้อ่อนโยนลง...ทิฐิที่เคยมีต่อเขาลดระดับลงเล็กน้อย

ทวิพัทธ์เคยผ่านประสบการณ์กับงานแบบนี้มาก่อนจึงช่วยรุจศยาได้มากทีเดียว เมื่อแขกเหรื่อเริ่มทยอยเข้าศาลา ชายหนุ่มก็ระมัดระวังไม่สุงสิงกับหญิงสาวมากเกินงาม เลือกใช้อิสรีกับผองเพื่อนที่ตามมาช่วยงานทีหลังเป็นกันชนป้องกันข้อครหาร้ายๆ เพราะประเมินจากเสียงเล่าลือหลากหลายที่เธอกำลังเผชิญอยู่...งานสวดพระอภิธรรมคงเป็นฝันร้ายต่อเนื่องสำหรับเธอไปเรียบร้อยแล้ว…


========= (จบตอนที่ 2) =========



เชิงอรรถ

* Shooting = การออกกองถ่ายทำโฆษณา




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2557
5 comments
Last Update : 23 พฤษภาคม 2558 15:12:05 น.
Counter : 1551 Pageviews.

 

ตามมาอ่านอีกรอบ จนกว่าหนังสือจะออก อิอิ

 

โดย: โอ่งมังกร IP: 27.130.125.107 13 ตุลาคม 2557 20:07:11 น.  

 

ตามอ่านตลอดนะคะ รอหนังสืออยู่เช่นกันค่ะ

 

โดย: summer IP: 118.175.223.198 13 ตุลาคม 2557 23:30:56 น.  

 

พี่สองยังน่ารักน่าหยิกเหมือนเดิม

 

โดย: sakeena IP: 124.120.12.251 14 ตุลาคม 2557 11:16:31 น.  

 

ช่วงเวลาสองทำคะแนนแล้ว หลังจากติดลบอยู่นาน คู่หมั้นกับเพื่อนสนิทไม่กลับมาเป็นกำลังใจให้จ๋าซักคน ทั้งที่เรื่องร้ายแรงขนาดนี้

 

โดย: goldensun IP: 61.47.87.2 14 ตุลาคม 2557 19:14:43 น.  

 

=== โอ่งมังกร ===
ยินดีอย่างยิ่งค่า สัญญากันแล้วน้า อิอิ

=== summer ===
ยินดีค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามน้า จุ๊บๆๆ

=== sakeena ===
พี่สองทำหน้าภูมิใจ ส่วนคุณจ๋าเบ้ปาก แอบบ่นอุบ หมอนั่นกวนประสาทชัดๆ 555+

=== goldensun ===
หลายอย่างเป็นใจให้พี่สองเนอะ ถูกจังหวะเหลือเกินอิตาคนนี้

 

โดย: คีตภา 17 ตุลาคม 2557 21:33:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คีตภา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




*** งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบนะคะ :) ***


"สองรักล้นใจ" (แพ็กคู่ 2 เล่มจบ)

รวมเล่มโดย Love สนพ. แจ่มใส วางแผงปลายเดือน มิ.ย. 58 ค่ะ ขอฝากพี่สอง คุณจ๋า และน้องจั๊มพ์ไว้ด้วยนะคะ ^_____^



Date 28/04/2015
สองรักล้นใจ บทที่ 1-11
~ ตัวอย่างทดลองอ่านจ้า ~





เว็บบอร์ดคีตภา@jamsai.com
เว็บบอร์ดคีตภา ณ แจ่มใส :)




ผลงานของคีตภา
นิยายตีพิมพ์รวมเล่ม

นิยายรูปแบบ E-Book


อีเมลของคีตภา



Unique Visitors :
Page Loads :


Friends' blogs
[Add คีตภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.