เมษายน 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
21 เมษายน 2550

บันทึกนอกรอบ

บันทึกนอกรอบ :
วันที่ 17-19 เมษายน 2550



สามวันที่เดินทางไปชลบุรี
ระหว่างเดินทางมีบางสิ่งบางอย่างตกค้างในความคิด
มิได้ตั้งประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อถกเถียงกับใคร
แต่ตั้งใจพูดคุยกับตัวเองเป็นด้านหลัก


………………………………..


แถวๆจังหวัดกำแพงเพชรมีรถกระบะคันหนึ่งแซงหน้ารถตู้ที่ผมนั่งไป
ท้ายรถมีสติ๊กเกอร์แผ่นหนึ่งแปะไว้





ผมไม่รู้ว่าใครคิดอย่างไร
ผมคิดแค่ว่า ช่วงก่อนมีหมอดูชื่อดังออกมาทำนายทายทักว่า
ปีนี้รถสีเข้มจะเกิดอุบัติเหตุ
ด้วยเหตุนี้...คนที่ครอบครองรถสีเข้มแต่ความเชื่อเปราะบาง
ก็พากันวิตกจริตเกือบทั้งประเทศ
แล้วหมอดูคนดังก็ผ่าทางตันฟันฝ่าวิกฤตของชาติด้วยการให้คำแนะนำ
ชนิดที่ปริญญาเอกจากฮาร์วาร์ดก็ไม่มีทางคาดคิดได้
นั่นคือ เจ้าของรถคันไหนที่มีรถสีเข้ม
ก็ให้หาสติ๊กเกอร์พิมพ์คำว่า “รถคันนี้สีขาว” แปะเข้าไป
ปัญหาทุกอย่างเป็นอันคลี่คลาย

เรียกว่าสุดยอดภูมิปัญญาในการฝ่าวิกฤต...
อีกหน่อย หมอดูออกมาทำนายว่าปีนี้รถสีแดงขี่แล้วเฮง
มีหวังสติ๊กเกอร์แบบ “รถคันนี้สีแดง” คงขายดีระเบิดเถิดเทิง

ผมมอง “ความเชื่อ” แบบนี้ว่ามันยืนหันหลังชนกันกับ “ความโง่” อย่างแนบแน่น....
ไอ้ผีหน้าโง่...ถูกหลอกด้วยสติ๊กเกอร์ก็แยกไม่ออกแล้วหรือ
ว่ารถคันไหนสีอะไร สงสัยเป็นพวกผีตาบอดสี
แค่แปะสติ๊กเกอร์ “รถคันนี้สีขาว” ลงบนรถสีน้ำเงิน
ก็หลอกผีหน้าโง่ได้แล้ว


...........................................






รถวิ่งเข้าเขตสิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท
ป้ายสองข้างทางมีแต่ป้ายวัดที่ทำการปลุกเสกจตุคามรามเทพเต็มไปหมด
เหมือนเทศกาลจตุคามฯประจำปี
วัดเว้นวัด สร้างกันไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
ชื่อรุ่นฟังแล้วก็น่ากลัวทั้งนั้น
รุ่นรวยมหารวย รุ่นรวยโคตรรวย รุ่นอุดมทรัพย์กำลังมหาอำนาจ
รุ่นปกป้องภัย รุ่นดูดทรัพย์ดึงวาสนา รุ่นเมตตาทั้งแผ่นดิน ฯลฯ

“สื่อมวลชน” ในบ้านเมืองก็ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับ “สื่อมอมชน”
นำแต่ข่าวจตุคามมาลงซ้ำๆซากๆ เกาะกินกับกระแส
เพียงเพื่อหวังผลประโยชน์ทางด้านการขายอย่างเดียว

ยิ่งน่าเศร้าที่พระสงฆ์ซึ่งควรให้ “สติปัญญา” กับประชาชน
ในยามที่บ้านเมืองระส่ำระสาย
แทนที่จะให้ “คำสอน” ในแนวทางของพระพุทธเจ้า
เพื่อเรียกสติในการดำรงชีวิตกลับมา
กลับนั่งปลุกเสกก้อนดิน เพียงเพื่อฉวยผลประโยชน์จากกระแสบ้าคลั่งนี้
โดยไม่สนใจ “หลักธรรม” อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเลย

ผมคิดว่าการชอบหรือการเลือกนับถือสิ่งใด
ย่อมเป็นสิทธิอันพึงมี พึงทำได้ของคนเราอยู่แล้ว
เพียงแต่ผมนั่งมองปรากฏการณ์นี้มาสักระยะหนึ่ง
ด้วยความไม่สบายใจ
แม้จะรู้ว่าปรากฏการณ์จตุคามก็ไม่ต่างอะไรกับ
ปรากฏการณ์ชามุก ปรากฏการณ์ชาเขียว
ปรากฏการณ์ชวนชม ปรากฏการณ์แฮรี่ พอตเตอร์
ปรากฏการณ์ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ปรากฏการณ์ภราดร
ฯลฯ


“คนไทยขาดที่พึ่ง”
ผมว่ายังขาดไปอีกคำ…
“คนไทยขาดปัญญา”

ไม่ได้โทษใคร ไม่ต้องโทษใคร
แม้กระทั่งระบบการศึกษา
เราทำได้เพียงนั่งมองตาปริบๆใช่ไหม ?
ไม่ต้องมีใครฉุกคิด ลุกขึ้นมาพูดหรือทำอะไรให้คนในชาติมีสติกันแล้วใช่ไหม ?
ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ดีแล้วใช่ไหม ?

รอให้วันหนึ่งที่ทุกอย่างล่มสลาย
แล้วก็รอให้ลูกหลานมันลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าว่า
ก็ที่พวกฉันมันไม่ได้เรื่องแบบนี้
ก็เป็นเพราะความคิดที่ส่งต่อมาจากคนรุ่นแกนั่นแหละ

ถ้อยคำแบบนี้ใช่ไหม...
ที่เราอยากได้ยิน.



........................................


ขออภัยหากอ่านแล้วไม่ชอบ
ผมมิได้เจตนาหลบหลู่ท่านที่เชื่อและชอบในจตุคาม
ทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อและชอบในสิ่งต่างๆ
ตามระดับความคิด และความเชื่อของตัวท่านเอง
ผมมิได้ตัดสินถูกผิดดีชั่วจากการแขวนหรือไม่แขวนจตุคาม
ผมเองก็ชอบดูเหรียญ แต่มองเป็นแค่ศิลปะการปั้น
ดังนั้นคุณค่าของเหรียญก็เป็นเพียงงานปั้นจากดิน
ส่วนความศรัทธาที่ท่านมีก็เป็นความศรัทธาของท่าน
ขออภัยที่บันทึกนี้อาจทำให้ขุ่นเคืองใจ

แต่ผมอยากคุยกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด
และนี่เป็นความรู้สึกที่ผมมีต่อปรากฏการณ์นี้



Create Date : 21 เมษายน 2550
Last Update : 21 เมษายน 2550 19:29:17 น. 16 comments
Counter : 2083 Pageviews.  

 
สวัสดีคะ..
แวะมาอ่านบันทึกนอกรอบคะ..
ขออนุญาตนั่งฟังคุณคุยกับตัวเองนะคะ..
ขอบคุณคะ..

ปล.ชอบอ่านคะกำลังฝึกเขียน..คะ.


โดย: พิจักษณา วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:20:10:53 น.  

 

ดีนะคะที่ไม่พลาดบันทึกนอกรอบ..คราวนี้
โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับคุณนะคะ..คาดว่าเราจะแนวๆไม่ตามสมัยนิยมเหมือนกัน

เพิ่งคุยกะพี่สาวเรื่องจตุคามเมื่อวานนี้เอง..
มีคนให้มาทั้งเราและพี่สาวแต่เป็นคนละคนกันนะคะ
ต่างคนก้อต่างความเชื่อ..
แต่พวกเราเชื่อในความคิดการปฏิบัติตัวเองมากกว่าไปหาสิ่งยึดเหนี่ยวอย่างอื่น..

กระแสพวกนี้มักเล่นกะจิตใจของคนที่อ่อนไหว ไม่เชื่อมั่นในตัวตนของตัวเองนะเราว่า..
แต่ถ้าศรัทธามาพร้อมกะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รวมถึงใช้สติปัญญาไตร่ตรอง นั่นมันก้ออีกเรื่องนึงแล้วล่ะ


โดย: ดาวทะเล วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:20:37:41 น.  

 
พี่ที่ทำงาน เก่า

ซื้อรถมา สีขาว

ติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถว่า

รถคันนี้สีน้ำเงิน

เคยถามว่าทำไมต้องติด เค้าก็ยิ้มๆ

วันนี้รู้ระ ว่าทำไมต้องติด


โดย: ใครกัน...นั่งอยู่ตรงนี้ วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:20:55:40 น.  

 
จตุคามรามเทพในเวลานี้ กลายเป็นการพานิชย์ไปเรียบร้อยแล้ว...ความศัทธา แค่มีไว้ในใจก็น่าจะเพียงพอมิใช่หรือ...


โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:21:10:47 น.  

 
แวะมาอ่านบันทึกนอกรอบครับ


โดย: พีทคุง (redistuO ) วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:21:33:16 น.  

 


"ขออภัยหากอ่านแล้วไม่ชอบ"

..............................

ไม่ให้ขอค่ะ
ห้ามขอแบบนี้






โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:21:39:28 น.  

 
เห็นข่าวเหมือนกัน แต่ไม่นึกว่าจะขนาดที่คุณเขียน

คนเราต้องพึ่งตัวเอง ช่วยตัวเองก่อน ถ้าห้อยพระศักดิ์สิทธิ์สักร้อยองค์พันองค์แต่ไม่เคยคิดจะทำด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรคงจะไม่รวย หรือรวยโคตรรวย รวยมหารวยอย่างที่ชือรุ่นว่าไว้

น่าตกใจที่ชื่อรุ่นมีแต่ทำให้รวย ... น่าคิด


โดย: SevenDaffodils วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:21:43:58 น.  

 


เคยสงสัยเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์ รถคันนี้สีนู้นสีนี่อยู่เหมือนกัน วันนี้หายข้องใจแล้ว

คนเราก็เป็นแบบนี้ค่ะ ขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
และที่สำคัญขาดปัญญา
เรื่องพวกนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของใครของมัน
สำหรับเรา นอกจากไม่เชื่อแล้วยังลบหลู่(ในใจ)อยู่บ้าง



โดย: printcess of the moon วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:22:05:54 น.  

 
“คนไทยขาดที่พึ่ง”
ผมว่ายังขาดไปอีกคำ…
“คนไทยขาดปัญญา”

ยกมือเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะว่าเดี๋ยวนี้คนไทยขาดที่พึ่งและขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจมากเหลือเกิน มากถึงขนาดที่สื่อสามารถชักจูงไปทางไหนก็ได้ ไม่ว่าสื่อประโคมข่าวเรื่องอะไรคนไทยเป็นต้องแห่กันไปหาสิ่งนั้น นี่ก็เข้าข่าย"ขาดปัญญา" อย่างที่คุณกะว่าก๋าวิเคราะห์เลย เห็นแล้วรู้สึกอนาถใจค่ะ

ยิ่งถ้าคนที่เป็นแบบอย่างคนที่ริเริ่มปลุกกระแสความเชื่อที่งมงายเหล่านี้ มาจากพวกดาราและคนมีชื่อเสียงในวงสังคมด้วยแล้ว มันยิ่งไปกันใหญ่ กลายเป็นกระแสที่หยุดไม่อยู่ถึงขนาดว่ายอมตายเพื่อให้ได้มา ถ้าใครเคยดูข่าวก่อนหน้านี้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการเปิดให้จองจตุคามรามเทพแล้วเกิดจราจลจนเหยียบกันตาย นั่นยิ่งน่าอนาถว่าเดี๋ยวนี้คนเราเป็นไปได้ขนาดนี้แล้วหรือ

ส่วนตัวไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลยค่ะ เพราะอยู่ในดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ที่สอนให้คนเข้าใจถึงแก่นแท้ของศาสนาพุทธจริงๆว่า ศาสนาพุทธไมใช่เรื่องราวของการกราบไหว้ งมงาย ปลุกเสก ทำพิธี ตรงกันข้ามศาสนาพุทธคือความเรียบง่าย คือข้อเท็จจริง คือธรรมชาติ ศาสนาพุทธสอนคนอย่างตรงไปตรงมา ทำดีต้องได้ดี ทำชอบต้องได้ชอบ ทำชั่งต้องได้ชั่ว ไม่มีทางลัด ถ้าอยากรวยต้องหมั่นเพียรและอดออม อยากเจริญต้องไม่ปฏิบัติไปในทางเสื่อม คือการถือศีล คุณถือศีลได้ 5 ข้อคุณจะมีแต่ความสุข ความเจริญ คุณจะไม่ตกอยู่ในความเสื่อม

นั่นคือข้อเท็จจริงเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธ ถ้าเราเอาใจยึดมั่นไว้ที่แก่นนั้นไม่ว่ากระแสอะไรผ่านเข้ามาก็จะไม่ทำให้เราหวั่นไหว ที่คนเดี๋ยวนี้หวั่นไหวกันง่าย เชื่ออะไรง่ายๆเพราะไม่ได้ยึดศาสนาที่แก่นของมันแต่กลับไปยึดที่เปลือก ซึ่งมันผิดเจตนารมณ์ ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้าไปไกลมากๆ

คนอื่นจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงเราไม่ทราบนะคะ แต่สำหรับตัวเราเองแล้วเราไม่เชื่อเลยว่าการกราบไหว้ บูชาเหรียญเหล่านี้จะทำให้เราเจริญ ทำให้เราร่ำรวย สำหรับเราๆบูชาความดี บูชาความมานะพากเพียร ความอดออม รู้จักพอ ว่าสิ่งเหล่านี้แหละคือสิ่งที่จะพาเราไปสู่ความเจริญ....

ขอโทษนะคะที่เขียนยาวไปหน่อย นอนหลับฝันดีค่ะ


โดย: ฝากเธอ วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:22:15:05 น.  

 
เห็นด้วยเช่นกันค่ะ รู้สึกเช่นกันกับข่าวพวกนี้จนน่าเบื่อ ไม่ได้ลบหลู่ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้ศึกษาว่าดีไม่ดีอะไรยังไง แต่เรารู้แค่เพียงว่า หลักธรรมของพุทธศาสนาหลัก ๆ แค่ 3 อย่างก็เพียงพอต่อชีวิตแล้ว "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" ส่วนเครื่องลาง ของขลังต่าง ๆ ก็เป็นเพียงแค่วัตถุนิยม ที่ผู้คนพึงหามาเป็นที่พึ่ง ยึดเหนี่ยวจิตใจเท่านั้น

และเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งหลาย ก็ล้วนดีด้วยกันทั้งสิ้น จะมาเปรียบเทียบว่าอะไรดี อะไรไม่ดี หรืออะไรดีกว่าอะไรไม่ได้หรอก มันอยู่ที่จิตใจของคน ที่เชื่อและเคารพนับถือ ของทุก ๆ ศาสนา

แต่ส่วนตัวเคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าหากเราอยากร่ำอยากรวย แล้วนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ทำงานทำการอะไร แล้วเอาเครื่องรางไอ้ที่ว่า ทำให้ร่ำให้รวย เงินทองไหลมาเทมา อะไรต่าง ๆ หาซื้อมากราบไหว้บูชา แล้วจะทำให้ชีวิตร่ำรวยขึ้นมาได้มั๊ย ถ้าทำได้ ประเทศไทยคงร่ำรวยกันไปหมดแล้ว คนยากจนในประเทศคงไม่มีอยู่มากมายค่อยประเทศเช่นทุกวันนี้

บางที ความเชื่อบางอย่างก็ทำให้คนเราขาดสติ คิดไตร่ตรองพิจารณา ความเป็นจริงและเป็นไปได้พวกนี้เหมือนกัน คนจนก็ยังคงเล่นหวย ลุ้นรอความรวยมาหา แล้วหาแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลบันดาลให้ได้เลขเด็ด แต่ไม่ทำมาหากิน

อยากรู้เหมือนกันว่า เมื่อไหร่จะรวย

เคยได้ข่าวมั๊ย คนที่ถูกหวยหลายสิบหลายร้อยล้านนี่แหล่ะ ใช้เงินหมดภายในไม่ถึง 3 เดือน รวยแล้วก็ไม่ได้ทำให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น เมื่อบริการเงินไม่เป็น มีเท่าไหร่ก็หมด

สิ่งที่ชีวิตต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่ บางที ทุกคนต้องพิจารณา ถามตัวเองดู ^_^

ปล. บีนอนดึกทุกวันค่ะ ปรกติ แหะ ๆ มะต้องแปลกใจหรอกค่ะ ทำงานตอนกลางคืนมันสมองแล่นดีน่ะค่ะ แห่ะ ๆ


โดย: Beee (Beee_bu ) วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:22:53:53 น.  

 
อืม...พี่ที่ออฟฟิศ ติดไว้ว่า รถคันนี้สีเหลือง ทั้งที่เห็นว่ามันแดงโร่... 5555 ยังแซวกันอยู่เลยว่าจะมีใครบ้ามองเห็นสีแดงเป็นสีเหลืองไม๊เนี่ยะ

โชคดีนะที่รถเราเป็นสีขาว ไม่งั้นถ้าแม่รู้ข่าวพวกนี้ คงจะต้องไปหาสติ๊กเกอร์มาให้แปะแน่เลย

แล้วนี่ถ้าเกิดมีหมอดูคนไหนดันเกิดทักว่า ปีหน้าคนขับรถยนต์จะเกิดอุบัติเหตุมากมาย มิต้องแปะติ๊กเกอร์ท้ายรถว่า รถนี่เป็นจักรยานนะจ๊ะ จะบอกให้ รึไงกันหว่า 5555


โดย: rainoflove วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:22:56:35 น.  

 
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับบันทึกนอกรอบครั้งนี้ค่ะ
ในส่วนตัวคิดว่า เรื่องความเชื่อความศรัทธาเป็นสิ่งที่ดี
แต่ควรจะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ไม่ใช่เชื่อในเรื่องงมงาย
ควรจะเชื่อในความดี การประพฤติดี มากกว่าการห้อยเหรียญ ห้อยพระ

นั่งดูข่าวทุกวันนี้...ปลงค่ะ..สังคมเรานับวันช่างอ่อนแอเหลือเกิน คิดกันไม่เป็นแล้วหรือไร ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นผล
ทำชั่วแต่หวังให้พระที่ห้อยคอคุ้มครองตัว คิดได้อย่างไร


โดย: Alps_s วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:23:03:22 น.  

 
เรื่องสติ๊กเกอร์ ผมเห็น เป็นเรื่องขำขัน น่ะครับ ไม่นึกว่าจริง ๆ แล้ว ละ ซีเรียส ขนาดนี้ แต่เรื่องของจตุคามฯ เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์เลยครับ ความดีหาได้ด้วยการกระทำ สร้างได้จากจิตใจของเรา คนเรามีของดีอยู่แล้วภายในกาย หากขาดแต่เพียงการฝึกฝน ฝึกหัดที่ จะนำมาใช้ แล้วไย ต้องใฝ่หา ของนอกกายมาด้วยเล่า -- ขอชมเชย ที่กล้าพูด กล้าประกาศครับ ผมไม่อยากจะพูดเรื่องแบบนี้กะใคร เพราะว่ามันเป็นเรื่องความเชื่อ คือ กลัว ขาเยอะน่ะครับ แฮะ ๆ
ปล. ขอบคุณที่ไปเยี่ยม blog ครับ...


โดย: anotherhand (anotherhand ) วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:0:00:28 น.  

 
....มาตอบนอกกรอบค่ะ อายุที่ยังไม่ถึง 20 ปี แต่แก่แดด แก่ลม แก่พายุ แก่ฝน แก่ความคิดไปสักสิบปีค่ะ


โดย: หนูนีล (นางน่อยน้อย ) วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:17:05:04 น.  

 
หลายวันก่อน ปั๊ดต๋าหันใส่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เปิ้นเขียนไว้ว่า จตุคาม(เขียนถูกก่อหา?)ทำหื้อระบบเศรษฐกิจบ้านเฮาไหลลื่นขึ้นอี้เลาะ เม็ดเงินหมุนสะพัด5หยังสักอย่างนี่ล่ะ อ่านแล้วก็เป๋นดีจื้นนนนนใจ๋
ถึงมันจะย่ำกั๋นต๋ายไปพ่องสักคนสองคน แต่เม็ดเงินหมุนเวียนมันงาม ก็สมน้ำสมเนื้อ(อี้ก่อหา?)
เปิ้นว่าเป็นพุทธพาณิชย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง อ่านแล้วเป๋นดีอ่อนใจ๋ ไผต่อไผก็ขวนขวายเสาะหามาบูชากันลุบลับ ๆ เป๋นการช่วยชาติอีกหนทางหนึ่งอี้ว่ะ...

โดยส่วนตั๋วแล้ว มีความคิดเห็นต่อดินอัดก้อนที่ชื่อจตุคามนี่ว่า มันเหมือนเขียงหน้อยห้อยคอเหียแต้ สีท่าจะหนักต๊อกก๊อกเนาะ


โดย: กากีซ่าส์ วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:8:38:05 น.  

 
โดนที่สุดเลย


โดย: viji (viji ) วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:9:38:19 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

กะว่าก๋า
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 392 คน [?]




มองฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
หรืออาจไม่เห็นฉัน

ฉันแค่แวะผ่านทางมา
และอาจไม่หวนกลับมาทางนี้อีกแล้ว

เราเคยรู้จักกัน
และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

มองดูฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
และฉันอาจมองไม่เห็นเธอ.





[Add กะว่าก๋า's blog to your web]