เมษายน 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
10 เมษายน 2550

มหาวิทยาลัย...ให้อะไรเรา ?

นั่งคุยกับตัวเอง : มหาวิทยาลัย...ให้อะไรเรา ?
เขียนโดย : สิงห์โตหมอบ
10 เมษายน 2550



ม.ให้อะไร
ผลงาน : พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์


เขาหวัง เขารอด้วยความแกร่ง รอนแรมจากครอบครัวมา
หวังปริญญามหาวิทยาลัย
อุดมการณ์อุดมความแกร่ง โรคแล้งน้ำใจจะแก้ไข
ให้ความเป็นธรรม ทุกชนทุกชั้น ทั่วไป

ไต่เต้า รับราชการยศต่ำ คุณธรรมยังนำความอยากในใจ เพื่อนฝูงอย่างไร กินได้รวยไป ไม่สนใจ
จิตใจของคนต่ำสูง ไม่เทียมเท่ากัน
เขายังหวัง สักวัน เพื่อนเขาจะกลับใจ

อยู่ไปอยู่มา ถึงจึงรู้ว่า โลกนี้คนดีมีน้อยเกินไป
แค่คนไม่ชั่ว ไม่ต้องดี ไม่รู้อยู่ไหน
เขาจึงมองย้อนไปถึงชีวิตในมหาลัย
แล้วตั้งคำถาม.....มหา’ ลัย ให้อะไรเรา

* ไม่ได้สอนให้เรียน แข่งขันอย่างคลั่งบ้า
ไม่ได้สอนคิดบ้า ว่าเป็นคนเหนือคน
จบเห็นแก่ตนแต่งงานสืบพันธุ์แล้วตาย
( มหา’ลัย สอนไว้ให้เราเป็นข้าประชาชน)


( ซ้ำ * )

ไม่ได้สอน ให้โกง ให้กลอกกลิ้ง
ไม่ได้สอนว่าเป็นเทวดา
ไม่ได้สอนให้จบออกมา เหยียดหยามประชาชน
ไม่ได้ให้ปัญญา เอาไว้คดโกงสังคม
มหา’ลัยสอนไว้ให้เรา เป็นข้าประชาชน
ไม่ได้สอนให้เป็นเทวดา
ไม่ได้สอนให้จบออกมา เหยียดหยามประชาชน
ไม่ได้สอนว่าเป็นเทวดา
จบเห็นแก่ตน แต่งงานสืบพันธุ์แล้วตาย
ไม่ได้ให้ปัญญา ไว้โกงสังคม
มหา’ลัยสอนไว้ ให้เรา เป็นข้าประชาชน

( ซ้ำ * ‘ til fade )


……………………………………………….
เธอเข้าไปทำอะไรในนั้น ?
เข้าไปเพื่อเรียนรู้โลกกว้าง
หรือแค่เดินดุ่มอยู่บนทางเดินร้างไร้
เธอฝันถึงสิ่งใดในวันพรุ่ง
แค่เรียนให้จบตามหลักสูตร
แค่กระดาษหนึ่งแผ่นที่เรียกขานว่า “ปริญญา”
แค่ตัวเลขสวยๆในใบเกรด เพื่อสู่โอกาสการทำงานที่ดีกว่า
แค่ได้เรียน ได้รัก ได้เที่ยว ได้เล่น
แค่ไหน ?..........
แค่ไหน ?..........แค่ไหนที่เธอต้องการ ?


..............................................


เธอเข้าไปทำอะไรในนั้น ?
เขาคัดแยกเธอเหมือนเครื่องจักร
เอ็งเก่งสายวิทย์ไปทางนี้ ถนัดสายศิลป์ไปทางโน้น
เอาล่ะ...เรามีชุดความคิดสำหรับฟันเฟืองที่แยกไว้
ยัดมันลงใส่หัว อย่าไปคิดไปถามอะไรให้มากนัก
อย่าก้าวร้าวหรือเป็นเด็กขี้สงสัย
ฉันจะปั้นพวกเธอให้เป็นฟันเฟือง
เพื่อป้อนสู่โรงงานทุนนิยม
พวกเธอจะกลายเป็นหน่วยหนึ่งที่มีทักษะเฉพาะทางอันสมบูรณ์แบบ
ความรู้แคบๆที่จำกัด รู้เฉพาะในสิ่งที่เรียน
รู้เฉพาะสิ่งที่อาจารย์สอน
รู้แต่วิชาการอันคับแคบ และถูกจัดเตรียมไว้ตามแต่ใจอาจารย์ผู้สอน ตามแต่ที่บริษัท โรงงาน ห้างร้านทั้งหลายต้องการ

ฉันจะปลูกฝังความเชื่อไว้ในสมองของพวกเธอ
เรียนให้เก่ง ต้องเอาชนะให้ได้
ชื่อเสียงต้องมีไว้ อย่าให้ใครดูถูก
รสนิยมเราต้องหรู เพราะเรามีการศึกษาที่สูงกว่า
เราต้องเร่งรีบในการประสบความสำเร็จ
และความสำเร็จก็วัดจากเงินที่เรามีในบัญชี

รุ่นพ่อเราเป็นชาวนา รุ่นแม่เราเป็นชาวไร่
แต่รุ่นเราต้องเป็นลูกจ้างในบริษัทห้างร้าน

ทำงานแทบตาย เพื่อส่งเจ้าของกิจการให้รวย
จากนั้นก็ทนท้อ เพราะต้องผ่อนสิ่งของมากมาย
เงินเดือนได้มา แทบไม่พอรองรับรสนิยม
ไหนจะมือถือต้องเปลี่ยนทุกเดือน
ไหนจะคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ไหนจะกล้องดิจิตอลรุ่นล่า
ไหนจะเครื่องสำอางชุดใหญ่ ไหนจะเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ
ไหนจะค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติของลูก
ไหนจะค่าสปาหรูของเมีย
ไหนจะผ่อนบ้านหลังโตอีกยี่สิบปี
ไหนจะผ่อนรถหรูคันใหญ่
ไหนล่ะ ...“ชีวิตที่แท้จริง ?”
ไหนล่ะ... “ความสุขที่แท้จริง ?”


....................................................

เธอเข้าไปทำอะไรในนั้น ?
เธอเข้าไปทำอะไรในนั้น ?
....ฉันถามตัวเองย้ำๆ
เขายัดอะไรใส่หัวสมองของฉัน
ฉันถามตัวเองซ้ำๆ...
มหาวิทยาลัย....ให้อะไรเรา.







....................................................


เมื่อวานผมพูดถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
ที่นั่งดู (แถมเขียนชื่อผิดอีกต่างหาก)
คือภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ





เนื้อหาของภาพยนตร์พูดถึงภาวะโลกร้อน
ซึ่งเกิดจากการทำลายมลภาวะของโลกอย่างรุนแรง
และมากมายโดยเหล่าประเทศผู้มีอำนาจทางอุตสาหกรรม
และการผลิต.....ผ่านมุมมอง ข้อมูลทางวิทยาศาตร์
และวีธีการนำเสนอแบบสุดยอดการพูด โดย อัล กอร์
อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ในสมัยเดียวกับจอร์จ บุช

เขาพยายามชี้ให้เห็นมหันตภัยที่นับวันจะรุนแรงขึ้น บ่อยครั้งขึ้น ซึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน เช่น เมื่อโลกร้อนขึ้น
น้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้น ลมพายุที่ก่อตัวจะสามารถทวี
ความรุนแรงได้อย่างมากมาย ...
ข้อมูลที่น่าตระหนกเมื่อน้ำแข็งทั้งในขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ละลาย
และอาจกลืนประเทศฮอลแลนด์ได้ทั้งประเทศ เนื่องจาก
ประเทศนี้อยู่ต่ำที่สุดในโลกเมื่อวัดค่าจากระดับน้ำทะเล
ฯลฯ

ทุกสิ่งเกิดจากการกระทำของประเทศที่เรียกตัวเองว่าประเทศที่เจริญแล้ว
ข้อมูลของกอร์บอกว่า ประเทศที่ทำลายระบบสภาวะแวดล้อมมากที่สุดในโลก
คือ ประเทศของเขาเอง..สหรัฐอเมริกา
รองลงมาคือ จีน ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย

ผมอาจไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เขาเสนอไว้ในภาพยนตร์ทั้งหมด
เพราะส่วนหนึ่งเนื้อหาข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
ก็ถูกนำำเสนอควบคู่ไปกับเนื้อหาด้านการเมืองของอัล กอร์เช่นกัน
ในภาพยนตร์จึงมีการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองของเขาเป็นระยะๆ
และนั่นอาจทำให้เขานำเสนอ "ความจริง" ด้านที่อัล กอร์ต้องการให้เรารับรู้เท่านั้น

ใน an inconvenient truth มีหลายประโยคที่ผมชอบ
เช่น

ถ้าคุณศรัทธาเรื่องการสวดอ้อนวอน
โปรดสวดอ้อนวอน
ให้มนุษย์กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง


..............................................

และอีกประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก


"ตอนเรียนมัธยม มีครูคนหนึ่งสอนภูมิศาสตร์ด้วยรูปแผนที่โลกบนกระดานดำ
เพื่อนผมตอนเรียนประถมหกยกมือขึ้น
แล้วชี้ไปที่ชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้
จากนั้นก็ชี้ชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา
แล้วถามว่า "เมื่อก่อนมันต่อกันรึเปล่าครับ ?"
ครูตอบว่า "ไม่มีทาง ถามอะไรไร้สาระที่สุด"
เด็กคนนั้นเลยกลายเป็นขี้ยาเสียผู้เสียคนไปเลย
ส่วนครู...กลายเป็นที่ปรึกษาด้านวิทยาศาตร์ของรัฐบาลชุดนี้"


Create Date : 10 เมษายน 2550
Last Update : 10 เมษายน 2550 7:44:59 น. 25 comments
Counter : 1906 Pageviews.  

 
อ่านเพลินเลยค่ะ


โดย: อย่างร้ายกาจ วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:8:01:13 น.  

 
" มหาวิทยาลัย...ให้อะไรเรา ? "

สำหรับเรา ไม่ได้หวังแค่ปริญญาใบเดียวแน่นอน

อยากตอบเยอะกว่านี้ แต่บรรยายไม่ถูก

เอาเป็นว่าอยู่ที่แต่ละคนมากกว่า ว่าจะรู้จักเก็บเกี่ยวมากน้อยแค่ไหน

คนที่คิดว่าแค่เรียน ๆ ให้ จบ ๆ ไปก็จะได้แค่จบ

แต่ถ้าไม่ ก็จะได้อะไรมากกว่านั้น...ค่ะ


โดย: ใบไม้ร่วงในป่าใหญ่ วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:8:26:38 น.  

 
เคยมีอาจารย์คนไทยในมอ สอนสายธุรกิจ เข้ามาทัก
เขาไปตั้งรกราก ตปท แบบไม่หวนแผ่นดินไทย
คนนี้ก็อ้างว่า มหาวิทยาลัยดังมาทาบทามไปเป็นที่ปรึกษาหลักสูตร แต่เขาไม่ไป เพราะไม่ชอบระบบงาน

อ้อ เขางงหรือเก๊กงงก็ไม่รุ เมื่อรู้ว่าเราเรียนอะไร
"คุณเรียนวิชานี้ไปทำไมเหรอ"
ประมาณว่า จะไปทำอะไรกินกับวิชาแบบนี้
ส่วนเราก็อึ้งย้ง เพราะไม่คิดว่าอาจารย์จะไม่รู้จริงๆ




โดย: หน้าม้าแถวบ้าน วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:8:40:53 น.  

 
สำรวจแล้ว ได้เพื่อนมาหลายคน
**เมื่อคืนดูรายการคุณสุทธิชัย เรื่องโรงเรียนนานาชาติ
ไม่อยากโทษตัวเองเลยว่าทำไม่ไม่เก่งภาษาต่างชาติ เพราะเราอาจเกิดมาเร็วเกินไป พ่อแม่จึงส่วไปเรียนตามนโยบายทางการศึกษาที่ไร้ทิศทาง ตามยุคสมัย
ผ่านมานานเท่าใด ก็ยังมองไม่เห็นวี่แววว่าเราจะสามารถแข่งขันกับต่างชาติในด้านต่างๆเขาได้จริง
ประเทศเราคงทำได้เพียงเชื้อเชิญต่างชาติมาลงทุน ชวนญี่ปุ่นมาตั้งโรงงาน แล้วเราก็สอนคนให้ออกไปเป็นลูกจ้างบริษัทต่างชาติทั้งหลายแหล่นั้น....เฮ้อ. พอดีกว่า


โดย: ชลสิทธิ์ วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:9:06:31 น.  

 
สวัสดีค่ะ ไม่ได้เข้ามาทักทายตั้งหลายวันเลย ไปตจว.เพิ่งกลับมาหน่ะค่ะ
เข้ามาอ่านบล็อคค่ะ แต่ก้อยังตอบไม่ได้เนอะว่าให้อะไร แล้วแต่คนจะคิดมากกว่าค่ะ ว่าได้อะไรจากมหาลัย


โดย: jeab (annyjeab ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:9:18:08 น.  

 
เคยอยู่บ้านคนจน ไม่รู้สึกมันลำบากตรงไหน
พอได้มาอยู่บ้านคนรวย อย่างแรกที่รู้สึกคือคนรวยไม่ประหยัด เพราะคนรวยเชื่อว่าเศรษฐกิจจะวิ่งต่อไปได้ ทุกคนต้องช่วยกันใช้ ยิ่งใช้มากเงินยิ่งหมุนเวียนต่อกันมากขึ้นไปอีก

คนรวยนึกไม่ออกว่าประหยัดทำยังไง คิดว่าเขาอาจจะต้องลองมาจนดูแล้วถึงจะนึกออก

บ้านคนรวยที่ว่า... คือประเทศในหนังที่คุณดู ส่วนบ้านคนจนถึงตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่าที่ไหนนะคะ

ปล. เข้าใจว่าที่เมืองไทยโทรศัพท์เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพเกือบทุกคนมีใช้ ไม่เว้นเด็ก สตรี และคนชรา แต่มือถือที่มีนั้นไม่เคยใช้ เพราะเคยขับรถชนเกือบตายไปที ตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์แถมคนที่เราชนเค้าโกรธ (จะว่าไปก็สมควรอยู่ รถเค้าเสียโฉมไปเลยนี่นา) เลยไม่ยอมให้ใช้โทรศัพท์ของเขา ก็เลยติดต่อใครไม่ได้เลย กว่าที่บ้านจะรู้ก็แทบแย่ ตั้งแต่นั้นเลยถูกคนที่บ้านบังคับให้มี โทรศัพท์ที่มีเลยเป็น SOS อย่างเดียว ถ้าเห็นในรูปจะเห็นว่าเป็นโทรศัพท์ที่เชยที่สุด และค่าบริการถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ ไม่มีสัญญาแต่เป็นบัตรโทรศัพท์ที่หมดอายุทุกๆสามเดือน

ปล.สอง ประโยคที่เห็นในกล่อง comment คือ The job is well done. ค่ะ (สมกับเป็น fortune cookie จริงๆ เพราะมากินข้าวฉลองงานเสร็จนี่แหละ) อีกประโยคที่ติดมาคือ You're the one of people which "go places in life".

ปล.สาม คิดว่าอย่างน้อยมหาวิทยาลัยก็สอนให้คิดเป็น เพราะการเรียนหนังสือระดับนี้ต้องใช้สติปัญญาวิเคราะห์วิจารณ์พอสมควร ส่วนใครจะได้มากน้อยแค่ไหน อันนั้นคิดว่าแล้วแต่ปัจเจก

มาบล็อกนี้ทีไร เม้นท์ยาวทุกที


โดย: SevenDaffodils วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:9:20:57 น.  

 
อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่มหา'ลัย ให้กับเราคือพัฒนาการด้านความคิด...ถึงแม้จะไม่ได้กระดาษแผ่นนั้นมาครอบครองเพื่อเชิดหน้าชูตา แต่สิ่งที่ได้มาคือการเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ในสังคมให้ได้ในทุกวันนี้....


โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:9:42:09 น.  

 
พวกเธอจะกลายเป็นหน่วยหนึ่งที่มีทักษะเฉพาะทางอันสมบูรณ์แบบ
ความรู้แคบๆที่จำกัด รู้เฉพาะในสิ่งที่เรียน
รู้เฉพาะสิ่งที่อาจารย์สอน

โชคดีที่ปัจจุบันนี้หลายๆ ภาควิชาในหลายๆ สถาบันเริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิด Interdisciplinary การสอนให้คนรู้จักวิธีคิดแบบมองรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต

อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนในบางสาขาวิชาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเน้นไปที่การผลิต "หน่วยหนึ่งที่มีทักษะเฉพาะทางอันสมบูรณ์แบบ" เพราะสาขาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ยังมีความจำเป็นต้องพัฒนา .. แต่เราต่างก็รู้กัน ว่านักเคมีที่ไม่รู้จักดอกไม้เลยสักดอก หรือทนายความที่เปลี่ยนหลอดไฟในบ้านไม่เป็น คงเป็นคนที่น่าเบื่อชะมัด

-----------------------------------------------------------

ในฐานะคนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม หนังเรื่องนี้ไม่น่าสนใจ เพราะมันเป็นการกล่าวถึงเรื่องใกล้ตัวให้กลายเป็นเรื่องไกลตัว อย่าลืมว่าเราทุกคนมีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น เราเปิดเครื่องปรับอากาศแทนการปลูกต้นไม้ใหญ่ในเขตบ้าน เราใช้สเปรย์แต่งผมซึ่งมีสาร CFCs ซึ่งทำลายชั้นโอโซน

นั่นเพราะเราโทษคนอื่นได้สะดวกปากกว่าการพิจารณาตนเอง



โดย: นางสาวอาร์ต วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:9:48:25 น.  

 
อ่านแล้วได้ข้อคิดนะ ชอบเพลงนี้ของพงสิทธ์นะคับ ไมไ่ด้ฟังนานแล้วละ อืมมคนเราสร้างแต่หนี้นะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนลูก ไม่สร้างทรัพย์สินเลย


โดย: frank3119 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:9:50:44 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อเขียนดี ๆ นะครับ


โดย: พีทคุง (redistuO ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:9:54:47 น.  

 
วรรณกรรมเยาวโจร ค่ะ ไม่ใช่พวกลักเด็กนะ 5555..
เป็นวิชากำลังภายในชนิดหนึ่ง
ไว้พาเด็กท่องยุทธจักร


โดย: หน้าม้าแถวบ้าน วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:11:19 น.  

 
มหาวิทยาลัย...ให้อะไรเรา ? อย่างน้อยเงินเดือนจากอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยก็เลี้ยงเรามาจนโตค่ะ จนได้เข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกันและจะตอบแทนมหาลัยเหมือนกัน


โดย: นู๋นีล (นางน่อยน้อย ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:26:07 น.  

 
อิอิ ขอบคุณที่ชมครับ
แต่ผมว่าบล็อกนี้ก็เป็นขวัญใจของใครหลาย ๆ คนนะ (รวมทั้งผมด้วยคนนึงล่ะ)


โดย: พีทคุง (redistuO ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:11:22:24 น.  

 
ปล. ผมน่ะเด็กเชียงใหม่นะ แต่ตอนนี้พลัดพรากจากถิ่นฐานมาเร่ร่อนในกทม.


โดย: พีทคุง (redistuO ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:11:23:52 น.  

 
ปล.ผมน่ะเกิดที่กรุงเทพ
แต่ตอนนี้มากินนอน (และน่าจะตาย) ที่เชียงใหม่นี่แหละครับ


โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:11:31:59 น.  

 
ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับอะไรจากมหาวิทยาลัยเยอะ

เพียงแต่ว่าผมมิได้เป็นนักศึกษาแบบ passive คือนั่งรอให้คนมาป้อนข้าวป้อนน้ำ การเป็นนักศึกษาแบบ active ทำนู้นทำนี้ หาอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเป็นของขวัญล้ำค่าที่ผมหาได้จากมหาวิทยาลัย

สำหรับผม บางทีมหาวิทยาลัยอาจจะมีความสำคัญแค่เป็นที่รวมคนที่ชอบในสิ่งเดียวกันให้มาเจอกันแล้วทำกิจกรรมต่อยอดกันขึ้น

นักศึกษาทุกวันนี้ทำตัวเองเป็นเพียงแค่น๊อตที่พร้อมออกสู่โรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ความเป็นมนุษย์ถูกลดคุณค่าไม่ให้ความสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก จะมีเสียกี่คนที่ได้เห็นความงามของชีวิตแทนการมุ่งมั่นเอาเกียรตินิยม

ป.ล. ผมก็จบมาจากมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:12:33:45 น.  

 
มีเรื่องนึง ที่จำได้ฝังใจ...ตั้งแต่ตอนประถม

ในชั่วโมงวิทยาศาสตร์ มีการทำการทดลอง

เกี่ยวกับน้ำแข็งและเกลือ คุณครูให้เอาน้ำแข็ง

ใส่บีกเกอร์ และวัดอุณหภูมิ ได้เท่าไหร่ก็จด

ตอนวัดมันก็เย็นมากเหมือนกันแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่

หลังจากใส่เกลือลงไป น้ำแข็งก็ยิ่งเย็นจัดมากขึ้น

ไปอีก ด.ญ หิมะสีดำ ตื่นเต้นมาก และนำปรอท

วัดอีกครั้ง คราวนี้ ปรอทในแท่งมันต่ำมากๆ

ต่ำกว่าเลข ศูนย์ เสียอีก คุณครูเดินมาถามว่าวัด

ได้เท่าไหร่ ด.ญ หิมะสีดำ ด้วยความมั่นใจ ก็เลย

ตอบคุณครูไปว่า .."ต่ำกว่า ศูนย์องศา อุณหภูมิติดลบ ค่ะ"

คุณครูตวาดกลับมาว่า "มีที่ไหนกันอุณหภูมิ ติดลบ"

และเดินไปโดยไม่สนใจที่จะก้มลงมาดู

แม้แต่นิดเดียว...................?????


**เรื่องเล็กๆ จากการศึกษาค่ะ


โดย: หิมะสีดำ (หิมะสีดำ ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:15:05:29 น.  

 
สำหรับเปิ้น "มหาลัยให้อะไรมากกว่า -- กระดาษแผ่นเดียวแน่นอะ"

ใช่...อาจมีให้ได้รัก ได้เรียน ได้เล่น เป็นองค์ประกอบ แต่มันมีมากกว่านั้นแน่นอน

สุขสันต์วันสงกรานต์ สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ
เที่ยวให้สนุก เดินทางปลอดภัยค่ะ


โดย: fonrin วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:17:44:49 น.  

 
เป็นบทความที่เราอ่านแล้วรู้สึกตาม จริงๆ
คือ มีบางครั้งถามตัวเองว่า เราเรียนไปเพื่อ ...
แล้วเราแข่งขัน กันไปเพื่อ... เพราะสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พีคๆสุดของชีวิต กระดาษ1แผ่นที่ได้มา
ยังไม่พอ ต้องเอาอีกใบนะลูก แบบนี้เจอแบบนี้มากๆโอ้ยเครียดคะ
+++++++
หนังเรื่องนี้ดูแล้วคะ พี่สาวคนหนึ่งในบล๊อคแนะนำเขียนไว้ดีมาก (walkin ) เลยหามาดูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


โดย: li_goro วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:20:13:01 น.  

 
คนเราเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้

ไม่จำเพาะว่าในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย

การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หาใช่การสอบได้ที่หนึ่งไม่

ภาพลวงตาที่เราใส่เข้าไปในหัวเด็กๆ มันคืออะไร

หรือกระทั่งตัวแบบที่เด็กๆเห็นทุกวันนี้เป็นยังไง

ผมว่าเราคาดหวังกับเด็กมากเกินไป ในเรื่องการเรียน

โดยไม่มองในเรื่องของทักษะการใช้ชีวิตเอาเสียเลย

เด็กในโรงเรียนทุกวันนี้ พ่อแม่อยากให้เรียนหนังสืออย่างเดียว

โดยไม่ต้องให้รับผิดชอบอะไรเลย กระทั่งเรื่องของการทำกิจกรรมบางอย่างเล็กๆน้อยๆ

กระทั่งการทำเวรประจำวันที่เราเคยทำกัน พ่อแม่บางคนกลับว่าโรงเรียนว่า

"ฉันส่งลูกมาให้เรียนหนังสือ ไม่ได้ส่งลูกมาเป็นพนักงานทำความสะอาด"

ผมว่าการรับผิดชอบในห้องเรียนเป็นจุดเริ่มต้นการรับผิดชอบต่อสังคมที่ดี

หันมามองเรื่องของทักษะสังคม ทักษะการใช้ชีวิต ทักษะการอยู่ร่วมกันจะดีกว่า

ก่อนที่โลกจะร้อนขึ้นไปกว่านี้

มาเก็บเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งครับ

ปล. เพลงที่คุณกะว่าก๋าชอบ ผมนำเนื้อมาลงให้แล้วนะครับ


โดย: DekChaiDam วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:20:44:26 น.  

 
ตามพี่แป๋วมาค่ะ : )
...
พูดถึง เรื่องสิ่งที่ตัวเองได้มาจาก มหาวิทยาลัย
...
คงไม่ใช่แค่ ปริญญา ใบเดียวแน่แน่
...
เห็นเรื่อง [...an inconvenient truth...]ที่จขบ.พูดถึง
เลยอยากจะขอเอา link ที่ blog มาฝากไว้ที่นี่ด้วยอ่ะค่ะ
คอมเม้นท์ที่ blog ก็มีหลายมุมมอง
...
เรื่องหนังนี้ ออกจะส่วนตัวไปนิ๊ดนึง
เพราะแทรกเรื่องการเมืองด้วย
...
แต่มองไปยังเหตุการณ์รอบรอบตัวโดยรวมแล้ว
คิดว่า ถ้าปล่อยผ่านไป...โดยไม่ช่วยกันทำอะไรเลย
คงไม่ดีแน่แน่อ่ะค่ะ


โดย: Serendipity_t วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:23:25:38 น.  

 
สำหรับเรา.. เราว่าเค้าให้อะไรหลายๆอย่างเลยค่ะ


โดย: chichiro วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:23:46:18 น.  

 
มาช้าแต่มาชัวร์ค่ะคุณกิจ จะสายัญสวัสดิ์ก็คงไม่ได้แล้ว มาเอาป่านนี้ เดี๋ยวค่อยราตรีสวัสดิ์ตอนลาละกันค่ะ

.....................................................................

อ่า....ถ้ายังรู้จัก ฟิล์มรัฐภูมิก็ยังอยู่ในรถไฟ (อินเทรน) ไม่ได้ตกยุคแต่อย่างไรค่ะ เพราะติ๊กไม่รู้จักเพลงของฟิล์มเลยสักกะเพลง

....................................................................

วันนี้ตอนบ่ายๆ ได้ดูรายการทางช่องห้ารายการหนึ่ง ซื่อรายการ "หมุนโลกด้วยวิศวะกรรม " ถ้าจำไม่ผิดนะคะ หัวข้อที่คุยกันวันนี้คือ "เรียนสาย คณิต- -วิทย์ รวยได้ไหม" แขกรับเชิญติ๊กเข้าใจว่าทำงานอยู่ใน บ. ปตท. และคงมีตำแหน่งสูงพอดู

เขาบอกว่าเขาจบวิศวะเครื่องกล และพูดว่าวิชาคณิต - วิทย์ ทำให้คนร่ำรวยได้ แน่นอน แล้วยกตัวอย่างมหาเศรษฐี อย่าง บิล เกต ยกตัวอย่างว่า เพราะคอมพิวเตอร์ใช้หลักการทางด้านคณิตศาสตร์ ยกตัวอย่างไปถึงว่าทำไมประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ถึงได้พัฒนาเร็ว เพราะเขาเก่งวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงติดอันดับทอปเทน 7 แห่งอยู่ในอเมริกา ส่วนอีกสามแห่งกระจายอยู่ในยุโรป

และอเมริกามีประชากรยิว ซึ่งเก่งทางด้านคณิตศาสตร์อยู่มากมาย อเมริกาฉลาดที่จะรับเอาคนที่มีความสามารถและเก่งกาจอย่างคนยิวมาอยู่ในประเทศ

และที่ประเทศเราสู้เขาไม่ค่อยได้ เพราะเราไม่เอาจริงเอาจังที่จะเรียนและสอนกัน ในเรื่องคณิตและวิทยาศาสตร์ เราจึงมีคนจบปริญญาที่ไร้คุณภาพมากมายอยู่ในสังคมทุกวันนี้

ติ๊กเกิดคำถามขึ้นในใจว่า คุณภาพชีวิตของคนเรานั้นเราใช้อะไรเป็นดัชนีชี้วัดได้บ้าง วัดด้วยวัตถุ ทรัพย์สิน เงินทอง ความสำเร็จและความมีชื่อเสียง หรือวัดด้วยความสุขที่เกิดจากภายใน

รากและแก่นแท้ทางสังคมของเราคือสังคมเกษตรกรรม เมื่อก่อนเราไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรมากมาย แต่ทำไมคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราถึงมีชีวิตอยู่ได้ สภาพสังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย ชีวิตมีความสุข พออยู๋พอกิน

นอกจากนั้นเราส่งออกอาหารไปเลี้ยงคนตั้งค่อนโลก แล้วจู่ๆเราก็จะหันมาปฎิวัติตัวเองเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม แข่งกับสหรัฐ ทั้งที่รากฐานของเราไม่ได้เป็นแบบนั้น

เราอยากให้เด็กเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศที่เขาล้ำหน้าเราไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ถ้ามันทันกันได้ในเวลาอันสั้น มันก็ปาฎิหารย์ เพราะงั้นจะมาโอดครวญเพื่ออะไรว่าทำไมเราพัฒนาได้ไม่ทันเขา

ใช่...ที่คนเก่งพอจะไปเรียน ม. ดังๆในอเมริกาอ่ะมี แต่จบแล้วเขาอยากกลับมาทำงานบ้านเรา รับเงินเดือนถูกๆกันหรือเปล่า เพราะงั้นติ๊กเห็นว่าในหลวงท่านทรงดำริถูกแล้ว

ว่าเราควรกลับมาพัฒนาและส่งเสริมในสิ่งที่เราถนัด สอนลูกสอนหลานเราให้กลับไปสู่สังคมแบบเดิม แต่พัฒนาศักยภาพของตัวเองขึ้นมา ให้กลายเป็นประเทศที่ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก เครื่องมือเครื่องจักรที่คนไทยคิดค้นก็ดีใช่ย่อยนี่คะ

เป็นภูมิปัญญาของไทยที่ทำขึ้นให้เหมาะกับที่คนไทยจะใช้ อย่าไปคิดผลิตเพื่อส่งออกแข่งกะเขา แต่คิดว่าทำเพื่อให้เรามีใช้ในประเทศ ลดการสั่งซื้อเทคโนโลยีพวกนั้นของเขาเข้ามาใช้

เราก็ยังได้ใช้ความรู้ในเชิงคณิตศาตร์วิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเมืองไทยเราเอง เราจะไปฝืนแข่งกับเขาในเรื่องที่เราไม่ถนัดทำไม ทำเรื่องที่เราถนัด หันกลับมาพัฒนาสิ่งที่เรามีอยู่

ทุกอย่างมันก็มาจบลงที่เรื่อง ของการให้การศึกษาอีกนั่นแหละ ว่าเราจะสอนลูกหลานอย่างไร ปลูกอะไรในหัวเขา และฝังอะไรในใจเขา ปัญหาทุกอย่างมันก้ต่อเนื่องเกียวโยงกันเป็นลูกโซ่ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะมนุษย์เราเป็นพวกที่ชอบแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่อ้อมค้อม

ติกมีเรื่องขำขันจะเล่าให้ฟังค่ะ เรื่องมีอยู่ว่านักบินอวกาศของสหรัฐ ตอนขึ้นไปอยู่ในอวกาศ มีปัญหาเรื่องปากกาที่ใช้น้ำหมึก นั้นเอามาเขียนไม่ได้เลย เพราะน้ำหมึกมันไม่ไหล

ด้วยความที่ตัวเองเป็นมหาอำนาจแห่งการประดิษบ์คิดค้น กลับลงมาถึงพื้นโลก ก็เอาเรื่องเข้าที่ประชุม และตกลงให้มีการทุ่มเทงบประมาณมากมาย เพื่อคิดค้นเจ้าปากกา ที่ใช้เขียนในอวกาศได้ ขณะที่รัสเซียเมื่อรู้ว่าปากกาใช้เขียนในอวกาศไม่ได้ การกลับไปในอวกาศครั้งหลัง พวกเขาจึงเอาดินสอติดตัวไปด้วย...!!!?

นอนหลับฝันดีค่ะคุณกิจ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


โดย: บรรณภรณ์ วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:0:09:19 น.  

 
เราค่อนข้างมีทัศนคติที่ดีต่อมหาวิทยาลัย
เราอาจจะเคยตั้งคำถามว่า สอนอะไรกันเนี่ย
ไม่เห็นรู้เรื่อง เรียนไปทำไม เอาไปใช้อะไรได้
ณ วันนี้ บทเรียนบางอย่างถึงแม้จะเก่า เรียนรู้มาหลายปี
แต่ยังนำมาใช้ได้
บทเรียนบางอย่างก็เพิ่งรู้จักจากมหาวิทยาลัยชีวิต
เมื่อเราถามว่ามหาวิทยาลัยให้อะไรเรา
เราว่าก็น่าจะย้อนถามว่า เราล่ะ ให้อะไรมหาวิทยาลัยบ้าง
เราว่าถึงเราจะเป็นนักศึกษา ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้รับผู้เรียนอย่างเดียว

หนังเรื่องนี้ หลายคนพูดถึง
เราเองก็เคยเขียนถึง
แต่ยังไม่ได้ดู ประเด็นสิ่งแวดล้อมเราว่าเราตระหนักมาพอสมควร
และก็ปฏิบัติค่อนข้างดีมาตลอด
ก็เลยไม่ตื่นเต้นอะไรมาก
เพราะเราคงไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้
อย่างดีก็คงพยายามชักชวนใครต่อใครให้ประหยัดน้ำประหยัดไฟ
แยกขยะ เอาของเก่ามาใช้ หรืออะไรทั้งหลาย
เราบอกมาหลายปีแล้ว ก็เราเคยเป็นเด็กชมรมอนุรักษ์ฯ นี่นา

ป.ล. อยากถามที่ปรึกษารัฐบาลชุดนี้จังว่า โลกนี้มีอะไรที่เป็น สาระที่สุด บ้าง

ยังตามหาเด็กคนนั้นต่อไป
^^


โดย: I am just fine^^ วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:11:34:49 น.  

 
น้อมขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อธิษฐาน
ดลบันดาลปีใหม่ไทยให้พร้อมพรั่ง
ทั้งอายุ วรรณะ สุขะพลัง
เลิศดังหวังเกษมมั่นนิรันดร์เทอญ

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ


โดย: เราสองคน (ฝากเธอ ) วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:23:20:07 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

กะว่าก๋า
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 392 คน [?]




มองฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
หรืออาจไม่เห็นฉัน

ฉันแค่แวะผ่านทางมา
และอาจไม่หวนกลับมาทางนี้อีกแล้ว

เราเคยรู้จักกัน
และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

มองดูฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
และฉันอาจมองไม่เห็นเธอ.





[Add กะว่าก๋า's blog to your web]