:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่ uter ::
:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่ uter ::
ถ้าคนเราปลดปล่อยวางกิเลส หันหน้าเข้าทางธรรม ตัดจากโลก แต่ทิ้งภาระและหน้าที่ไว้ให้คนอื่นสานต่อ อย่างนี้จะมีประโยชน์ยังไงคะ
คำถามโดย : uter วันที่ : 14 กรกฎาคม 2553 เวลา : 8:29:50 น.
สวัสดีครับ
มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยมาก แม้แต่เมนูง่ายๆและธรรมดาอย่างไข่เจียว หรือกระเพราไก่ เขาก็สามารถสร้างสรรค์มันออกมา จนกลายเป็นอาหารเลิศรสที่ใครๆติดใจได้
วันหนึ่งเขาจึงประกาศที่จะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง เขาบอกใครต่อใครว่าร้านนี้จะทำอาหารที่อร่อยที่สุดเท่านั้น วัตถุดิบต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อุปกรณ์ บรรยากาศร้าน ทุกอย่างจะถูกรังสรรค์ออกมาอย่างยอดเยี่ยมและไม่มีที่ติ ฤกษ์ผานาทีถูกเลือกไว้ในวันเวลาอันเป็นมงคล ในวันเปิดร้าน เขาเชิญบุคคลดังๆผู้มีชื่อเสียงมากมายมาร่วมรับประทานอาหาร ทุกเสียงตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่าอาหารของเขานั้นมีรสชาติที่ดีจริงๆ...
แต่ใครจะเชื่อ... เพียงสามเดือนหลังจากวันเปิดร้าน ร้านในฝันของเขาก็ปิดตัวลงอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะอะไร ?
เราอยู่กับสิ่งที่เรารู้ และรู้เพียงแค่สิ่งที่เรารู้ แต่ในโลกนี้ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย มันมากมายจนเราไม่อาจเรียนรู้ได้หมดสิ้น
ความรู้ทางธรรมนั้นอเนกอนันต์และยิ่งใหญ่ไพศาลนัก มันทั้งกว้างและลึกจนสุดหยั่งถึง จินตนาการและห้วงเวลาไม่อาจนับได้
ทางสายเอกในการเข้าถึงธรรม จึงมีเพียงเส้นทางเดียว นั่นคือการย้อนกลับมามองดู “ความคิด” ของตัวเราเอง
ทำไมต้องมานั่งดู “ความคิด” เพราะคิดนี่ล่ะจึงเกิดตัวตน คนๆหนึ่งรัก โลภ โกรธ หลงกับสิ่งๆหนึ่ง ก็ทำให้เกิดอารมณ์ ความอยาก ความโกรธ ความสุข ความทุกข์ ฯลฯ
การปล่อยวางความคิด ไม่ได้หมายความถึงการทิ้งทุกสิ่งที่เรามีอยู่เพียงเพื่อไปหาความว่างเปล่า เพราะในความว่างเปล่านี้ ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย แต่หมายความว่า ทุกสิ่งที่เรามีอยู่ ล้วนแต่ “ไม่คงทน ไม่เที่ยงแท้”
การปล่อยวางกิเลสย่อมไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งใด กดข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วเฝ้าพร่ำบอกกับตัวเองว่า ต้องไม่รู้สึก ต้องไม่ยินดียินร้าย ต้องเฉยๆ ต้องทำเป็นไม่เห็น ถ้าธรรมะ คือ ธรรมชาติ การฝืน การเลี่ยงหลบความจริง จะเป็นธรรมชาติที่แท้จริงได้อย่างไร?
การตัดขาดจากโลก เพียงเพราะกลัวโลกจะแว้งกัด เป็นเพียงการวิ่งหนีจากความจริงโดยตื่นกลัว และโดยวิธีนี้เราไม่มีทางพ้นไปจากสุขและทุกข์ที่คอยล่อหลอกได้
ทางเดียวที่จะเข้าใจชีวิต คือการย้อนกลับมามองการเกิด-ดับของความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะโดยปัญญา สมาธิ หรือการวิปัสสนา ในทุกศาสนาและนิกายต่างก็มีหนทาง และวิธีการในการนำพาตัวเราเข้าไปสู่ความจริงนี้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าเราจะเรียกขานนามนั้นว่า การตรัสรู้ พระเจ้า องค์ธรรม นิพพาน โลกุตระ เต๋า ฯลฯ หรือเรียกขานในนามใดใดก็ตาม
คนเราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ แม้เราจะเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมและเข้าถึงธรรมขั้นสูงสุดได้ ขอเพียงหมั่นเตือนตน หมั่นฝึกฝน หมั่นลับคมปัญญาในกระจ่างแจ้งใสแจ่มอยู่เสมอ
จะโดยวิธีใด ด้วยความเชื่อและความศรัทธาแบบใด ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ...
ถ้าเชื่อ และมันใช่ ทิศทางถูกต้อง อยู่บนหนทางที่ดีงาม มันย่อมพาเราไปสู่จุดสูงสุดแห่งชีวิตได้เฉกเช่นนักบวช หรือ ผู้ทรงภูมิปัญญา
เขาได้รู้แล้วว่า การเป็นคนที่ทำอาหารเก่ง ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จ รสชาติ ราคา ทำเล กำลังซื้อของลูกค้า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยในการกำหนดความสำเร็จของร้านอาหารทั้งสิ้น
เราเชื่อว่าเราทำอาหารอร่อย ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งโลกต้องชอบและเชื่อเหมือนเรา
คนเราเกิดมาเพื่อ “ทำหน้าที่” จะเป็น ขอทาน พระ กษัตริย์ ทหาร ทนาย แพทย์ ฯลฯ ขอเพียงรู้จักหน้าที่ของตนเอง ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เราไม่จำเป็นต้องละทิ้ง “รูปแบบ” เพื่อไปหา “หนทาง” ขอเพียงเป็นหนึ่งเดียวกับหนทางที่กำลังย่างก้าวไป ไม่ว่าเราจะเป็นใคร เราสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมได้อย่างมิต้องสงสัย.
Create Date : 24 กรกฎาคม 2553 |
|
105 comments |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 5:05:40 น. |
Counter : 1054 Pageviews. |
|
|