สอนด้วยชีวิต ภาค 2
นั่งคุยกับตัวเอง : สอนด้วยชีวิต ภาค 2 เขียนโดย : สิงห์โตหมอบ 28 เมษายน 2550
เมื่อลูกชายวัยสิบเจ็ดอยากเจริญรอยตามพ่อ ผู้เป็นนักย่องเบาฝีมือดีที่สุดในแผ่นดิน พ่อเห็นว่าลูกโตพอแล้ว จึงอนุญาตให้เขาตามไปขโมยของที่บ้านเศรษฐีใหญ่ในเมืองด้วย เนื่องจากบ้านหลังนี้เจ้าของบ้านร่ำรวยมาก จึงมียามเฝ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยฝีมือแบบเซียนเหยียบเมฆ ไม่นานทั้งคู่ก็ทะลุเข้าสู่ตัวบ้าน ผู้เป็นพ่อกระซิบบอกลูกชายให้แสดงฝีมือให้เต็มที่ เดี๋ยวพ่อจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาลึกล้ำที่สุดของพ่อให้ในคืนนี้ “เจ้าเดินเข้าไปในห้องเศรษฐีสิ ทำให้เงียบที่สุดล่ะ พ่อจะดูต้นทางให้” ผู้เป็นพ่อกระซิบ ลูกชายพยักหน้ารับทราบ เขาสะเดาะกลอนประตูอย่างช่ำชอง เดินเข้าไปคล้อยหลังไม่นาน ผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้น ก็ร้องตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันสุดดังว่า “ขโมยเข้าบ้าน แย่แล้วๆ ขโมยเข้าบ้าน!!!” จากนั้นก็หลบหนีออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว
ลูกชายซึ่งขณะนั้นกำลังเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาทรัพย์สิน ตกใจเป็นอันมากเมื่อได้ยินเสียงพ่อของตนตะโกนอย่างนั้น เจ้าของบ้านสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เขารีบเปิดไฟในห้อง ผู้คนมากมายในบ้านแตกตื่น ยามวิ่งพล่านตรวจตราทันที ชายหนุ่มซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าได้ทันอย่างหวุดหวิดจวนเจียน ก่อนที่เศรษฐีจะเปิดไฟจนสว่างไสว
ยามหลายคนรีบวิ่งมาที่ห้องเศรษฐี ถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าของบ้านบอกว่าไม่เป็นไร ปลอดภัยดี ว่าแล้วก็บอกให้ทุกคนรีบออกค้นหาโจร ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าครู่ใหญ่ เมื่อเห็นเสียงในห้องเงียบไป จึงรีบออกมาจากตู้ สมองของเขาต้องทำงานอย่างหนัก... เขาปีนขึ้นไปบนฝ้าเพดานอย่างคล่องแคล่ว แต่เนื่องจากน้ำหนักตัวของเขาไม่น้อย เสียงจึงดังกรอบแกรบ ผู้คนวิ่งกรูกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง “เสียงอะไรว่ะ หรือว่าโจรมันซ่อนอยู่บนฝ้าเพดาน” เขาใจหายวาบ....นึกได้ว่าตนเองเป็นคนชอบเลียนเสียงสัตว์ “จิ๊ดๆๆๆๆ” เขาร้องเลียนเสียงหนู ใช้นิ่วทำเสียงกุกกักๆ “อ้อ...ที่แท้ก็ไอ้หนูเวรนี่เอง” หัวหน้ายามพูดขึ้น “ไปๆ เราออกไปหาโจรกันต่อ ข้าว่ามันยังอยู่ในบ้านนี่แหละ” เมื่อคนออกไปอีกครั้ง เขาค่อยคลานผ่านฝ้าเพดานไปลงยังห้องครัว จากนั้นวิ่งไปซ่อนตัวในสวนหลังบ้าน
ทันใดนั้นมียามเดินผ่านมาสองคน เขาแกล้งร้องเลียนเสียงแมวอีกครั้ง ก้มตัวติดพื้น ซ่อนตัวหลังพุ่มไม้ “เมี้ยววว.....” “สงสัยแมวมันหาคู่” ยามพูดกับเพื่อนยามด้วยกัน “เราไปเดินหาไอ้โจรห้าร้อยกันต่อดีกว่า”
เมื่อยามเดินคล้อยหลังไป เขารีบกระโดดปีนขึ้นกำแพง วิ่งกลับมายังที่บ้านอย่างปลอดภัย พ่อของเขานั่งรออยู่แล้ว ชายหนุ่มต่อว่าพ่อของเขาทันที “ทำไมพ่อทำกับผมอย่างนี้ ผมเกือบตาย เกือบถูกจับรู้ไหมพ่อ” พ่อยิ้ม...ก่อนบอกลูกชายนั่งลง แล้วให้ลูกชายเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เมื่อเล่าจบ... พ่อจึงพูดขึ้นว่า “นี่เป็นบทเรียนเดียวที่พ่อจะสอนลูกได้ และลูกสอบผ่านแล้ว”
Tag Tag Tag......
ได้รับ Tag นี้มาจาก นู๋นีล.. คนงามแห่งเมืองอุบล (แม่นบ่) พอจะตอบได้ครับ
1.ความใฝ่ฝันช่วงอายุ 0 - 5 ขวบ
ตอนช่วงนั้นเรียนอยู่ที่อนุบาลกุ๊กไก่... ได้แสดงอยู่สองชุด คือ พม่าแทงกบ กับ สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด ความใฝ่ฝันตอนนั้นก็คือ ผมไม่อยากแทงกบ ผมอยากแสดงพม่ารำขวาน และที่แน่ๆ คงเพราะแสดงเป็น 1 ใน 7 ของคนแคระนี่แหละ ถึงได้เตี้ยมาถึงทุกวันนี้ (คิดดูอีกทีก็ดีแล้วที่ครูไม่จับไปเล่นเป็นตัวสโนว์ไวท์)
2.ความใฝ่ฝันในช่วงวัยละอ่อน 10 – 15 ปี
ช่วงนี้ย้ายบ้านจากกรุงเทพ ไปอยู่จังหวัดเลย ตอนนั้นอยากเป็นอะไรนะ.......... ใฝ่ฝันอยากเป็นจิตรกร....อยู่ที่จังหวัดเลยเป็นเด็กที่อยู่ในแคมป์วาดรูป วาดกันทั้งวันทั้งคืน วาดส่งประกวด อืมมม.....ตอนนั้นอยากเป็น “จิตรกรระดับโลก”
3.ความฝันช่วงวัยรุ่น 15 - 20 ปี
ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ เป็น 5 ปีที่เรียนสถาปัตยกรรม อยากเป็น “ครูที่ดี” อันนี้ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายเลย
4.ความฝันช่วงมหาลัย จบมหาลัย
อยากเปลี่ยน “ระบบการศึกษาของประเทศ” อยากเปลี่ยนคุณภาพ “ครู” ผู้สอน อยากเปลี่ยน “โลก” แต่ล้มเหลวทั้งหมดครับ....กลับบ้านดีกว่า
5.ความฝันตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ตอนนี้ไม่คิดเปลี่ยนอะไรแล้ว นอกจาก “เปลี่ยนตัวเอง” ไปในทางที่ดีขึ้น ในทุกวัน.... ทำง่ายกว่า สบายใจกว่า
6.ความฝันตอนแก่
จะนั่งคุยกับตัวเอง…. ถึงตอนนั้นจะบอกตัวเองให้ได้ว่า “นายไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ได้เกิดมา สำหรับสิ่งที่นายเป็น สิ่งที่นายคิด และสิ่งที่นายทำ”
7.ความฝันที่อยากให้เป็นจริงมากที่สุด
มีอยู่ “ความลับ” หนึ่งจะบอก ผมอยากทำ “พุทธคำนึง” มาก.... อยู่ในใจมาหลายปีแล้ว วันหนึ่งผมจะสร้างที่นี่ขึ้นมา ฟังดูเหมือนชื่อสถานปฎิบัติธรรม แต่ไม่ใช่ ที่นี่ไม่นั่งสมาธิ ไม่มีคนคอยเทศนา ต้องคิดเอง ทำเอง รู้เอง แต่ผมเน้นแค่ “สถานที่แห่งการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน” เอาไว้สำหรับใครที่ไม่ชอบเดินเร็วๆ ชอบเดินช้าๆ อากาศดีดี ดนตรีเพราะๆ นั่งวาดรูปสวยๆ มีหนังสือน่าอ่าน ผู้คนยิ้มแย้มพูดคุยด้วยเสียงเบาๆ เป็นชุมชนเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน ไม่มีแสงสี ไม่มีเหล้า ไม่มีบุหรี่
อืม....อีกไม่นาน.... ใครอยากไปลงชื่อรอไว้นะครับ
8.ความฝันที่เป็นไปไม่ได้แต่อยากจะฝัน
ผมอยากเป็นคนพานายกทักษิณ กับ ประธานคมช. มาพบกัน มานั่งกินข้าวด้วยกัน แล้วผมจะบอกท่านว่า ถ้า “รักชาติ” อย่างที่พูดกัน ก็ “เกี่ยวก้อย” คืนดีกันเถอะครับ พอท่านคืนดีกัน ผมจะเป็นนายกฯ แล้วให้ทั้งสองท่านเป็นรองนายกฯ - ประเทศจะเติบโตปีละ 20 % เน้นวัดจากระดับความสุขในชีวิต - ประชาชนจะอยู่ดีกินดี ถึงไม่รวยมากก็มีความสุขได้ ไม่บ้าวัตถุ - ประชาชนมีที่ดินทำกินจากการบริจาคที่ดินจากคนรวยไม่กี่ตระกูลที่ครอบครองที่ดินจำนวนมากมาย เป็นการให้ด้วยความเต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับ - ภาคใต้จะสงบสุขร่มเย็นภายในชั่วข้ามคืน - พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาที่แท้ ไม่เจือปนไปด้วยไสยศาสตร์ และเครื่องรางของขลัง ประชาชนจะมีความเข้าใจในหลักธรรม จนไม่คิดพึ่งพาเรื่องงมงายแบบนี้อีกต่อไป (ข่าวดี...คนไทยจะไม่ไหว้หมูห้าขา หรือวัวหน้าเหมือนแมวอีกแล้วครับ ในยุคที่ผมเป็นนายกฯ) - การศึกษาจะผลิตคนที่มีคุณภาพ ครูก็มีคุณภาพ เด็กจะเรียนแค่ครึ่งวัน อีกครึ่งวันไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ ฯลฯ - ปฏิรูปสื่อทั้งหมดให้มีคุณภาพ ไม่มอมเมา ไม่เลือกข้างเชียร์ โปร่งใส ยุติธรรม - ให้คนในประเทศทำงานน้อยลง เพื่อให้มีเวลาว่างมากพอสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ และ มีความสุขในการใช้ชีวิต - กฎหมายจะเด็ดขาดและเที่ยงธรรมมาก ชนิดที่ กระเป๋าเงินหล่นบนถนนก็ไม่มีใครสนใจอยากเก็บ ไม่มีการปล้น ฆ่า ข่มขืน ลักทรัพย์ ไม่มีความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก
และในที่สุด....ผมก็ตื่น และความฝันนี้....ก็ไม่มีวันเป็นจริง
...................................
ปล.
ขออภัยเพื่อนที่ส่ง Tag มาให้ด้วยนะครับ บาง tag ก็กล้าเล่น บาง tag ก็ไม่กล้า
Create Date : 28 เมษายน 2550 |
|
22 comments |
Last Update : 28 เมษายน 2550 10:44:20 น. |
Counter : 987 Pageviews. |
|
|