:: โครงการถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 35 ::
:: โครงการถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 35 ::
โจทย์โดย : คุณเป็ดสวรรค์
โจทย์มีดังนี้
ม.ให้อะไร
ม.ให้อะไร
ศิลปิน - พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์
เขาหวัง เขารอด้วยความแกร่ง รอนแรมจากครอบครัวมา หวังปริญญามหาวิทยาลัย อุดมการณ์อุดมความแกร่ง โรคแล้งน้ำใจจะแก้ไข ให้ความเป็นธรรม ทุกชน ทุกชั้น ทั่วไป
ไต่เต้า รับราชการยศต่ำ คุณธรรมยังนำความอยากในใจ เพื่อนฝูงอย่างไรกินได้รวยไป ไม่สนใจ จิตใจของคนต่ำสูง ไม่เทียมเท่ากัน เขายังหวัง สักวัน เพื่อนเขาจะกลับใจ
อยู่ไปอยู่มา ถึงจึงรู้ว่า โลกนี้ คนดีมีน้อยเกินไป แค่คนไม่ชั่ว ไม่ต้องดี ไม่รู้อยู่ไหน เขาจึงมองย้อนไป ถึงชีวิตในมหาลัย แล้วตั้งคำถาม มหา’ ลัย ให้อะไรเรา
* ไม่ได้สอนให้เรียน แข่งขันอย่างคลั่งบ้า ไม่ได้สอนคิดบ้า ว่าเป็นคนเหนือคน จบเห็นแก่ตนแต่งงานสืบพันธุ์แล้วตาย
( มหา’ลัย สอนไว้ให้เราเป็นข้าประชาชน)
( ซ้ำ * )
ไม่ได้สอน ให้โกง ให้กลอกกลิ้ง ไม่ได้สอนว่าเป็นเทวดา ไม่ได้สอนให้จบออกมา เหยียดหยามประชาชน ไม่ได้ให้ปัญญาเอาไว้คดโกงสังคม มหา’ลัยสอนไว้ให้เรา เป็นข้าประชาชน
ไม่ได้สอนให้เป็นเทวดา ไม่ได้สอนให้จบออกมา เหยียดหยามประชาชน ไม่ได้สอนว่าเป็นเทวดา จบเห็นแก่ตน แต่งงานสืบพันธุ์แล้วตาย
ไม่ได้ให้ปัญญา ไว้โกงสังคม มหา’ลัยสอนไว้ ให้เรา เป็นข้าประชาชน ( ซ้ำ * ‘ til fade )
:: โลกในกำแพงสูง ::
เรื่องและภาพ : กะว่าก๋า
โลกในกำแพงสูงนั้นงดงามนัก มีความฝันอันบริบูรณ์และสวยงาม
ฉันฝัน ฉันหวัง ฉันเป็นความหวังของใครมากมายนัก
ฉันต้องมีความรู้ ฉันต้องได้ปริญญา ฉันต้องเป็นกำลังของครอบครัว ฉันต้องเป็นที่รักของใครๆ
แล้วในนั้น...มีสิ่งใดซ่อนอยู่ มีความรู้มากมายคณานับ มีผู้ทรงภูมิที่เรียกว่าอาจารย์ แล้วชีวิตที่เริงร่านั่นเล่า วัยเยาว์ วัยแห่งพลัง พลังแห่งการสร้างสรรค์และเรียนรู้ ยังอยู่ ณ ที่นั้นใช่ไหม ?
โลกนี้สวยงามจริงหรือ ? ความฝันงดงามจริงหรือ ?
มหาวิทยาลัยให้อะไรฉัน ? มหาวิทยาลัยให้อะไรเรา ?
?
เข้าไปนั่งรับความรู้ที่ตายซาก อาจารย์ถือหนังสือเล่มเดิม เล่มเดิมที่เคยสอนเด็กไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น เขาเปิดหนังสือเล่มเดิม แล้วนั่งลงอ่าน อ่าน อ่าน อ่าน อ่าน อ่านไปจนหมดชั่วโมง เราเรียนรู้ความรู้ที่ตายซาก เป็นความรู้เมื่อสิบปีที่แล้ว ความรู้ที่ไม่มีใครเคยอยากสอบทาน ว่ามันล้าหลังและเหี่ยวเฉาขนาดไหน
ไม่มีใครอยากถามท้ายชั่วโมงอีกแล้ว ไม่มีใครสงสัยและใคร่รู้อีกแล้ว
ทุกคนนั่งเรียนอย่างเบื่อหน่าย แล้วรอเวลาเลิกเรียนเพื่อไปนั่งดื่มกาแฟในห้างหรู เด็กสาวคนนั้นหยิบแป้งขึ้นมาเติม ใบหน้าขาวผ่องเตรียมไปเดินรับแอร์ บ่ายๆดูหนังสักเรื่องกับแฟนหนุ่ม แล้วค่อยกลับไปนอนกกกอดกันต่อที่หอ
ความรู้ต่อยอด ความรู้ที่เป็นสุดยอด งานที่สั่ง การบ้านที่มี เปิดเน็ต เสริชหาข้อมูล แล้วเอาความรู้ที่ตายซากในเว็บมาตัดต่อ ตัดแปะแล้วถ่ายเอกสาร เย็บเล่มสวยๆ สิ้นปีรับเกรด A ไปโดยไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม
โลกถึงยุคที่ไม่ต้องใช้สมองเรียน แค่นิ้วคลิ๊ก เลือก แล้วโยนข้อมูลไปกองรวมกัน ขยะทางวิชาการอันเกิดจากการลอกเลียน ขโมยและฉกฉวยความรู้ที่ตายซากของคนอื่นมาเป็นของตน กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ของการเรียนรู้
มหาวิทยาลัยให้อะไรเรา ?
ความฝันของเราคืออะไร ?
วันก่อนพ่อถามว่าเมื่อไหร่จะเรียนจบ ตอบไม่ได้…. แต่ถ้าพ่ออยากรู้ว่าดาราคนไหนท้องกับใคร ดาราคนไหนพี้ยา คนไหนรักๆเลิกๆกับใคร หนูบอกได้
อย่าถามว่าได้เรียนรู้อะไรจากการเรียนตลอดทั้งเทอม ก็จะรอถามอาจารย์อยู่นี่ไง ว่าข้อสอบจะออกอะไรบ้างในการสอบปลายเทอม
ข้อสอบมันมี 4 ตัวเลือก ก...ข...ค...ง A….B….C….D
ไม่รู้ก็เดากันไป มีโอกาสถูกตั้ง 1 ใน 4 ไปนั่งท่องให้เหนื่อยทำไม หนักเข้าถ้าทำข้อสอบไม่ได้ ก็ขอลอกเพื่อนในห้องสอบ เพื่อนไม่ให้ลอก เราก็ออกมาประณามมัน อย่าคบมัน เพื่อนชั่ว --- ไม่ช่วยเพื่อน เพื่อนเลว --- ไม่มีน้ำใจ
โลกในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เรามองแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า และรับเอาแต่สิ่งที่เราได้ผลประโยชน์
มหาวิทยาลัยให้อะไรเรา ?
ไม่มีใครถามกันแล้ว ว่าตอนนี้นายอ่านหนังสือวิชาไหนอยู่
เรารอถามกันว่าคืนนี้จะไปเที่ยวย่ำรุ่งที่ไหน
เราไม่ถามกันแล้วว่าวิชาไหนเรียนแล้วสนุก และได้ความรู้ไปพัฒนาตนเอง
แต่เราถามกันว่าวิชาไหนอาจารย์ใจดี ปล่อยเกรดและจบง่าย
เราไม่ถามกันแล้วว่าเราควรออกไปกิจกรรมเพื่อสังคมบ้างหรือเปล่า
เราคิดถึงแต่ตัวเอง ความสุขของตัวเราเอง ชีวิตของตัวเราเอง
มหาวิทยาลัยให้อะไรเรา ?
“มีงานอะไรที่ทำแล้วสบาย ได้เงินดีบ้าง ?”
เด็กสาวคนนั้นถามฉัน
ฉันตอบไปว่า
“...ขายยากับขายตัว”
สายตาเธอหวั่นกลัว ไม่ใช่ไม่กล้าทำ แต่เธออยากรู้ว่าจะเริ่มต้นงานนี้จากตรงไหน
กระเป๋าแบรนด์เนม กับเงินในกระเป๋า สำคัญกว่าความภาคภูมิใจในตน
ทำงานหนัก เงินเดือนน้อย – นั่นมันคนโง่เง่า
ในนามของความเป็นเรา เงินดี งานง่าย สบาย โลกนี้สบายนัก หลับนอนกับชายแปลกหน้า ค้ายาให้เด็กใจแตก แลกกับเงินฟู่ฟ่องล่องลอย
ชีวิตนี้ง่ายนัก สบายนัก
มหาวิทยาลัยสอนอะไรเรา ?
ความรู้คือปีกอันแสนสวยงามมิใช่หรือ แต่ทำไมความรู้นี้กลับล่ามร้อยชีวิตไว้กับความหดหู่
เมื่อเขาถามฉันว่า มหาวิทยาลัยคืออะไร ?
ฉันตอบว่า มันคือ “คุก”
เขาถามฉันว่า “คุก” ในความหมายของฉันเป็นแบบไหน ?
ฉันตอบว่า
“จะเอาคุกแบบที่กำแพง หรือไม่มีกำแพงล่ะ ?”
โลกในสังคม กับ โลกในรั้วมหาวิทยาลัยได้เชื่อมโยงกันแล้ว แต่เราเชื่อมโยงโลกกับมหาวิทยาลัยด้วยการป้อนผลิตคนเข้าสู่ระบบ.... ระบบการศึกษาแบบหมาหางด้วนที่ทำให้เราไม่เห็นรากเหง้าของตนเอง
เราไม่ได้สอนให้คนคิด แต่สอนให้เชื่อ สอนให้คนอยู่ในกรอบ แต่ไม่สอนให้ลองท้าทาย เราอยากได้เด็กเชื่องๆ เด็กที่เดินตามกันไปเป็นฝูง ไม่ต่อต้าน ไม่ท้าทาย ไม่กล้าหืออือต่อระบบและอาจารย์ เราไม่อยากได้เด็กก้าวร้าว เราอยากได้แต่เด็กที่อ่อนด้อย พ่อแม่รวยๆ จะได้มีปัญญาจ่ายค่าเทอมแพงๆให้สถาบัน
เราจะได้มีเงินเยอะๆไปสร้างตึกสวยๆ อาคารที่ดูทันสมัย จะได้เป็นตัวล่อให้ผู้ปกครองเห็นดีเห็นงามในการส่งบุตรหลานมาเรียนที่นี่
เราชอบสร้างอาคาร แต่ไม่ชอบสร้างปัญญา เราชอบสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆโตๆ เพราะมันโก้หรู ใหญ่โตและดูดี
ที่สำคัญมันมองเห็นง่ายและวัดค่าราคาได้ทันที
หลายปีผ่านพ้น.... ฉันจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ ฉันได้อะไรติดตัวมา...
ปริญญาบัตร
--- กระดาษใบนั้นฉันโยนมันทิ้งไว้ที่ซอกมุมไหนก็ไม่รู้ในห้องเก็บของ
วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา วางกองไว้ที่มุมไหนไม่รู้ในซอกสมอง
ฉันเป็นผลผลิตแห่งความแตกร้าวด้านการศึกษา
ฉันไม่เคยภูมิใจในความเป็น “บัณฑิต” ของตนเองเลย ฉันรู้ว่าฉันยังโง่ ฉันรู้ว่าหลายปีที่มหาวิทยาลัยนั่น ไม่ได้ทำให้ฉันเติบโตขึ้นเลย
ฉันมีแต่คำถามคาใจและหาคำตอบไม่ได้
ทำไมอาจารย์ไม่สอน แต่เอาเวลาไปทำงานนอก ทำไมอาจารย์ตัดเกรดไม่ยุติธรรม คนที่ถ่ายเอกสารนิตยสารมาส่งกลับได้ A ทำไมอาจารย์มีเรื่องชู้สาวกับลูกศิษย์ของตน ทำไมอาจารย์ไม่สอน เข้ามาในห้องเอาแต่เล่าประวัติชีวิตตัวเองทั้งชั่วโมง ทำไมอาจารย์ยืนสูบบุหรี่หน้าห้องไปด้วยเวลาสอน ทำไมอาจารย์หน้าแดงกล่ำเมาเหล้าเข้ามาสอนในห้อง ทำไมอาจารย์ไม่พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเลย ฯลฯ
คำถาม คำถาม มีแต่คำถาม
มหาวิทยาลัยสอนอะไรเรา ?
ความรู้ที่แท้จริงอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัย ใครคนหนึ่งเคยพูดกับฉันไว้
ถ้าเช่นนั้นเราจะเข้าไปขังตัวเองอยู่ในคอกแคบๆนั้นทำไม
คำถามนี้ท้าทายความคิดของฉันอยู่ไม่น้อย
ใช่ --- ถ้าโลกนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะนำความรู้ มาบีบอัดยัดไว้ในห้องแคบที่เรียกว่าห้องเรียน แล้วเราจะเข้าไปเรียนกันทำไม
เราอยากรู้อะไร ก็กดถามกูเกิ้ลได้ เราอยากทราบข้อมูลอะไร กดถามวิกิพีเดียได้
เราเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่ายดายเพียงพริบตา ปัญหาคือ เราได้เคยสร้างเกราะแห่งภูมิปัญญา ในการแยกแยะข้อมูลมหาศาลเหล่านั้นหรือเปล่า ว่าข้อมูลใดจริง ข้อมูลใดลวง ข้อมูลใดถูก ข้อมูลใดผิด
“ปัญญา” ไม่ใช่การแสวงหาข้อมูลมากองสุมในสมอง หากแต่คือการรู้จักแยกแยะข้อมูลออกมาแล้วนำมันไปใช้งานได้อย่างแท้จริงและถูกต้อง
เธอเองก็เคยผ่านระบบการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยมาแล้วใช่ไหม
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่ามหาวิทยาลัยให้อะไรเรา ?
ท้าทายมากกว่านั้น ---
เธอเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าเคยได้ให้อะไรกับมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ ?
เธอได้ให้อะไรกับสังคมที่เธออยู่
เธอได้เรียนรู้ที่จะให้อะไรกับคนรอบข้างที่เธออยู่ร่วม เธอได้เคยคิดเปลี่ยนคำถามจากคำถามที่ว่า
“ฉันจะได้อะไร ?”
เป็น
“ฉันจะให้อะไร ?” บ้างหรือเปล่า ?
เราคงไม่ได้คิดแค่เกิดมา เรียนหนังสือ จบมาทำงาน แต่งงานสืบพันธุ์ แล้วตายเท่านั้นใช่ไหม ?
ชีวิตที่แท้จริงมีมิติ มีคุณค่ามากมายกว่านั้น และเราทำได้มากกว่านั้น เราเป็นได้มากกว่าที่เราเชื่อ และเราให้ได้มากกว่าที่เรารับ
มหาวิทยาลัยให้อะไรฉัน ?
มหาวิทยาลัยทำให้ได้รู้ว่าอะไรคือการศึกษาที่แท้จริง
“การศึกษาที่แท้จริง” อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิต ไม่ว่าชีวิตจะเต็มไปด้วยริ้วรอยของความทุกข์มากเพียงใด เรายังอยู่กับทุกข์นั้นอย่างเข้าใจได้ด้วย “ปัญญา”
การศึกษาเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในการฝึกให้เรารู้จักคิด รู้จักแยกแยะข้อมูลที่ผ่านเข้ามาในสมอง ที่สุดแล้วปัญญาของเราต้องพาเราให้พ้นไปจากความโง่ ความหลงผิด ความเห็นแก่ตัว ความฉกฉวย หรือความคิดที่จะเอาเปรียบคนอื่นตลอดเวลา
มหาวิทยาลัยไม่ได้ถูกออกแบบมา เพื่อสร้างหุ่นยนต์ไร้ความคิดป้อนเข้าสู่บริษัทและโรงงานเพียงอย่างเดียว
เหมือนกับที่หลักสูตรและวิชาการต่างๆ ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้เธอเชื่อและหลงผิดไปว่า การเป็นคนที่มีการศึกษาสูงจะเป็นเครื่องการันตีในการเป็นคนเข้าใจชีวิต
ชีวิตที่ดีงามไม่ได้เริ่มต้นจากเกรดเฉลี่ย 4.00 ในใบเกรดของเธอ แต่เริ่มจากสิ่งดีงามที่เธอคิด พูดและทำกับตนเองและคนรอบข้าง แล้วมอบสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอมี…. คืนกลับสู่สังคมและโลกที่แวดล้อมตัวเธอมิใช่หรือ ?
Create Date : 05 กรกฎาคม 2554 |
|
123 comments |
Last Update : 5 กรกฎาคม 2554 5:17:10 น. |
Counter : 3617 Pageviews. |
|
|
แอมอร