|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ผอมด้วยคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ดีมั้ยนะ
หลังจากง่วนหาข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บ๊อกซี่มานานแสนนานเกือบปี ก็ยังทำใจไปนอนให้หมอจิ้มพุงไม่ได้ซะที เพราะด้วยความกลัวเข็มสุดๆ
แต่เพราะฤกษ์สละคาน ได้คืบคลานใกล้เข้ามาหามากขึ้นเรื่อยๆ ฟิตเนสที่เพียรไปนั้นก็ดูจะไม่ทันการณ์ซะละ
ในที่สุดก็ตัดสินใจยอมไปสู่ทางลัดทางรอดที่จะอัปเปหิไขมันส่วนเกินให้ไปเกิดใหม่เสียที งานนี้ต้องบอกว่า อยากสวยหมอช่วยได้ ฉะนั้น เราก็ต้องท่องไว้ว่า เพื่อความสวย ก็ต้องทนให้ได้
หลังจากไปจิ้มคาร์บ๊อกซี่มาสองครั้งก็รู้สึกว่าร่างการมีการเปลี่ยนแปลง ไว้เดี๋ยวจะสรุปรายงานผลหลังจากฉีดครบคอร์สอีกที แต่วันนี้จะเอาข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บ๊อกซี่มาฝากกัน เพราะกว่าเราจะยอมนอนให้หมอจิ้มได้ ยอมรับว่าบริโภคข้อมูลเยอะมาก กลัวสวยวันนี้จะเศร้าวันหน้า เพราะ side effect (ข้อมูลหลักๆจาก WE Magazine)
Carboxy คืออะไร... นักวิทยาศาสตร์พบว่าเซลล์ไขมันในร่างกายคนเรานั้นเป็นเซลล์ที่มีความขี้เกียจ ไม่ยอมแตกตัวเป็นพลังงานความร้อนได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างยามเราออกกำลังกาย 20 นาทีแรกนั้น ร่างกายจะใช้ไกลโคเจนที่เราสะสมไว้มาแปลงเป็นพลังงาน แต่เซลล์ไขมันยังไม่ได้ขยับขยายไปไหน ดังนั้นการออกกำลังที่สามารถเผาผลาญไขมันได้นั้น จึงต้องเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิคต่อเนื่องมากกว่า 20 นาทีขึ้นไป แล้วทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ไขมันสามารถเผาผลาญให้กลายเป็นพลังงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งคาร์บอกซี่ คือการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่มีไขมันสะสม จากนั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะออกแรงดันทำให้เซลล์ไขมันซึ่งเป็นก้อนกลมๆ อยู่ในชั้นผิวแตกตัวออกเป็นเซลล์ขนาดเล็กลง ซึ่งเมื่อร่างกายมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก ร่างกายจะสูบฉีดเลือดให้นำก๊าซออกซิเจนไปยังบริเวณนั้นๆมากขึ้นโดยปริยาย เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้หายไปกลายเป็นพลังงานความร้อน
วิธีการฉีด Carboxy... แพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดด้วยแอลกอฮอล์เช่นเดียวกับการฉีดยาทั่วไป จากนั้นจะใช้เข็มขนาดเล็กมาก(เบอร์ 30) จิ้มเข้าไปที่ชั้นผิว โดยปลายเข็มจะเป็นท่อสำหรับปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป ซึ่งอัตราการปล่อยก๊าซจะอยู่ที่ประมาณ 60-80 CC ต่อนาที จนกระทั่งถึงสูงสุดคือ 150 CC ทั้งนี้ขึ้นกับความสามารถทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคน แต่อย่าคิดว่าจิ้มหนเดียวแล้วสามารถลดไขมันได้ทั่วทั้งพุงเป็นอันขาด เพราะคุณหมอจะต้องมีการปล่อยก๊าซดักไขมันเป็นระยะ เช่นถ้าต้องการลดช่วงเอว อาจต้องจิ้มที่เอวด้านซ้ายและเอวด้านขวา ส่วนถ้าต้องการลดต้นขาอาจต้องจิ้มสามด้าน ต้นขาด้านหน้า ต้นขาด้านหลัง และต้นขาด้านใน
อันตรายหรือไม่... ร่างกายคนเราสามารถสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นมาได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดก๊าซตัวนี้เข้าไปจึงไม่เหมือนกับการฉีดสารเคมีชนิดอื่นๆ เข้าไปเพื่อสลายไขมัน ร่างกายไม่รู้สึกต่อต้าน และไม่เสี่ยงกับอาการแพ้ ราคาครั้งละประมาณ 2,000- 3,000 บาท
เพิ่มเติมนิดนึงนะคะ ราคาจะมี 2แบบ คือ 1) แบบฉีดเฉพาะจุด ราคาจะอยู่ที่ 1,000-2,000บาท แล้วแต่คลีนิค สำหรับโรงพยาบาลจะราคาประมาณ 2,000 บาท เพราะเพื่อนเคยไปลองฉีดที่รพ.พญาไทมา แต่เพื่อน(คนเดียวกัน)ก็บอกว่าพฤกษาคลีนิคมีโปรโมชั่น ตกครั้งละ 800 บาทเอง 2) แบบฉีดทั้งตัว ราคาประมาณ 4,000บาท
ฉีดที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง... ด้วยดีกรีความแรงแซงทุกเทรนด์ลดผอม เราจึงเริ่มเห็นป้ายคาร์บอกซี่อยู่ทั่วทุกหัวระแหงคลินิคความงามต่างๆ กระซิบบอกไว้เลยว่าแม้จะฮิตติดลมบนขนาดไหนแต่ "ฝีมือ" หมอผู้ปักเข็มนั้นยังเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าหมอมือไม่เจ๋งพอ เซลล์ไขมันอาจถูกไล่ไปกองอยู่ด้านใดด้านหนึ่งได้ (อันนี้จากคำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์)
กรณีอยากสวยแต่กลัวควรบอกหมอแต่เนิ่นๆ เพราะหมอจะมีจิตวิทยาที่ดีทำการชวนคุยทำให้คุณหันเหความสนใจไปที่ปากแทนที่พุง และหมอจะสอนเทคนิคการหายใจ "เข้า-ออก" ให้สอดคล้องกับจังหวะการทิ่มเข็มและเดินก๊าซบรรเทาความเสียวได้ เมื่อเทียบกันการฉีดคาร์บอกซี่ในผู้หญิงจะเห็นผลดีกว่าผู้ชาย เพราะผู้ชายมีชั้นผิวหนังที่ค่อนข้างหนากว่าผู้หญิง
สำหรับคนที่มีกล้ามเนื้อค่อนข้างมาก (เช่นเป็นสาวนักออกกำลังอยู่แล้ว) เวลาฉีดคาร์บ๊อกซี่จะรู้สึกเจ็บมากกว่าสาวที่มีแต่ไขมันเป็นห่วงยาง เพราะคนที่ออกกำลัง ไขมันจะค่อนข้างเป็นระเบียบและแข็งแรงกั้น แต่คนไม่ออกกำลังกายไขมันจะมีลักษณะเหลวกว่า ในบางรายหลังจากฉีดคาร์บ๊อกซี่แล้วอาจพบรอยช้ำสีเขียวๆ บริเวณที่ฉีด แต่ไม่นานก็จะหายไป
ทำครั้งแรกในบางรายจะเห็นผลได้ทันที แต่จะให้ดีควรทำครบคอร์ส ประมาณ 4 ครั้งขึ้นไป แต่ละครั้งสามารถเว้นระยะห่างกันประมาณ 3-4 วัน ส่วนระยะเวลาในการลดขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่แต่ละคนสะสมไว้ กรณีว่าที่เจ้าสาวอยากลดหุ่นลองใช้สูตรนี้คำนวณได้คร่าวๆ ถ้ารูปร่างดีอยู่แล้ว แต่มีเซลลูไลท์เฉพาะส่วนควรทำล่วงหน้าก่อนแต่งงานประมาณ 2 อาทิตย์
ดูแลตัวเองหลังจากฉีด carboxy ยังไงดี... เมื่อไขมันโดนกำจัดออกไปจากชั้นผิวแล้ว ผิวบริเวณนั้นจะเหี่ยวเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกไป ดังนั้นขั้นตอนต่อไปที่ไม่ควรละเลยคือ การดูแลผิวให้กระชับเต่งตึง หลักการง่ายๆ ที่สามารถทำได้คือ...
- การออกกำลังกาย ฟิตแอนด์เฟิร์ม จะเป็นการซิตอัพ ปั่นจักรยาน ฯลฯ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อกลับมาแข็งแรงอย่างเก่าได้ใหม่ ...แต่กรณีที่ขาแข้งไม่มีเรี่ยวแรง ลองหาทางลัดทางรอดดังนี้ควบคู่ไปด้วย หาได้ตามคลินิกทางความงามอีกเช่นกัน
- Muscle Vibration เป็นเครื่องที่ใช้ส่งคลื่นความถี่เข้าไปเขย่ากล้ามเนื้อ เครื่องนี้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการเผาผลาญแคลลอรี่ แต่เป็นการสั่นสะเทือนให้กล้ามเนื้อได้ออกกำลัง ช่วยให้กล้ามเนื้อหย่อนๆ เข้าที่ได้เร็วขึ้น
- Laser Firming เป็นเครื่องที่ช่วยนวดและบีบรัดไขมัน และส่งความเย็นเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างความร้อนเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิให้คงที่ รวมทั้งมีการส่งสัญญาณเลเซอร์เข้าไปกระตุ้นผิวให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพื่อช่วยให้ผิวกลับมาเต่งตึงเช่นเดิม เวลาใช้คุณหมอจะนำหัว Laser มาวนไปตามส่วนต่างๆ ที่เราต้องการลด ใช้เวลาส่วนละประมาณ 1 ชั่วโมง - Relax F เป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการละลายไขมัน และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวเต่งตึง
- Mesotherapy (เมโสเทอราปี) หรือการฉีดสารอาหารเข้าไปที่ผิวชั้นในโดยตรงเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะปัญหาจุดด่างดำ ส่วนถ้าต้องการฉีดเพื่อลดเซลลูไลท์ จะเรียกว่า Lipotibil โดยจะเป็นการฉีดสารสกัดจากถั่วเหลืองเข้าไปเพื่อช่วยในการสลายไขมัน แต่ทั้งนี้การฉีดเมโสนั้นค่อนข้างมีผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง เพราะเป็นการฉีดสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นไม่ได้ ร่างกายจึงต้องขับถ่ายสารเหล่านี้ออกทางตับ ยิ่งฉีดมากยิ่งอันตราย และผู้ป่วยโรคตับ โรคเบาหวาน ห้ามฉีดเด็ดขาด
ตอนไปทดลอง คุณหมอบอกว่า ถ้าทนคาร์บ๊อกซี่ไม่ไหว ฉีดเมโสก็ได้ แต่เรายอมทนเจ็บนะ เพราะเราคิดว่า เมโสในเมืองเมืองนอกปลอดภัยก็จริง แต่ในเมืองไทยนี่ไม่รู้จิ...ยังไม่แน่ใจพอ
Tips ดีๆ ดื่มน้ำเย็นเร่งการเผาผลาญ... หลังออกกำลังมาเหงื่อซกควรดื่มน้ำเย็น จะช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เพราะอุณหภูมิเย็นๆ ของน้ำที่เข้าไปในร่างกายจะทำให้ร่างกายเร่งเผาผลาญพลังงานเพื่อมาควบคุณอุณหภูมิที่ลดลงให้กลับมาเป็นปกติ
หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณสาวๆ ที่ยังลังเลว่าจะลองดีหรือไม่นะคะ แล้วเราจะมาอัพเดตผลลัพธ์ที่ได้คราวหน้า...ยังเหลือให้เจ็บตัวอีก 9 ครั้งแน่ะ
Create Date : 07 มิถุนายน 2551 |
|
6 comments |
Last Update : 6 กรกฎาคม 2551 22:56:19 น. |
Counter : 3320 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: กระเฉดน้ำ (กระเฉดน้ำ ) 18 มิถุนายน 2552 10:56:47 น. |
|
|
|
|
|
|
|