ท่ามกลางสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย จนคุกคามความสุขสงบของชีวิตมนุษย์ไม่เว้นวัน ด้วยสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่ออยู่รอด ที่ซึ่งความสุขกับการได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักได้จางหายไป ทำให้ จ.ส.อ.ธนพงศ์ ใจภักดี อดีตนายทหารที่รับราชการมากว่า 22 ปี ตัดสินใจหันเหชีวิตมาเป็นเกษตรกรในโครงการคอนแทรคฟาร์มกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และได้เป็นเจ้าของกิจการฟาร์มเลี้ยงสุกรที่นอกจากจะมีรายได้ที่ยั่งยืนแล้ว ยังได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอย่างที่เคยวาดฝันไว้อีกด้วย
ในครั้งนี้ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนธนพงศ์ฟาร์ม บ้านเลขที่ 46/1 หมู่ 1 ต.โคกไทย อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี และพูดคุยกับเจ้าของฟาร์มอย่างเป็นกันเอง จ.ส.อ.ธนพงศ์ ในวัย 47 ปีเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่จะผันตัวมาเป็นเกษตรกรนั้น ตนรับราชการทหารที่ต้องใช้เวลาเดินทางไปทำงานในแต่ละวันค่อนข้างนานและทำงานหนัก อีกทั้งค่าใช้จ่ายระหว่างวันก็มีจำนวนมาก ทำให้เงินเก็บในแต่ละเดือนมีน้อย และที่สำคัญคือไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ตนจึงเริ่มมองหาอาชีพที่สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงยั่งยืน และเป็นอาชีพที่ตนจะสามารถใช้เวลาดูแลและอยู่กับครอบครัวได้อย่างเต็มที่ด้วย
ในตอนแรกผมยังคิดไม่ออกว่าจะประกอบอาชีพอะไรดี แต่ประจวบเหมาะกับที่ญาติของผมเป็นเกษตรกรที่เข้าร่วมกับโครงการของทางซีพีเอฟพอดี เขาจึงสนับสนุนให้ผมเข้าร่วม เพราะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ที่ดีและมั่นคง ธนพงศ์ กล่าวถึงที่มาของการเลือกมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว
หลังจากทำการศึกษาเกี่ยวกับโครงการคอนแทรคฟาร์มของทางซีพีเอฟแล้ว ธนพงศ์จึงตัดสินใจเข้าร่วมเป็นเกษตรกรภายใต้โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกรขุน พนมสารคาม และด้วยความพร้อมทางด้านอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วจากความช่วยเหลือจากญาติ ธนพงศ์จึงเริ่มสร้างโรงเรือนสุกร 600 แม่ ขึ้นในปี 2554 พร้อมกับตัดสินใจลาออกจากราชการก่อนกำหนดเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับอาชีพใหม่นี้อย่างเต็มที่ และจากรายได้ที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง เขาจึงขยายธุรกิจด้วยการสร้างโรงเรือนสุกรเพิ่มอีกในปี 2555
นอกจากนี้ ทางซีพีเอฟได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสุกรแบบโรงเรือนระบบปิดปรับอากาศหรืออีแวป (EVAP) ซึ่งช่วยควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการเลี้ยงสุกรในแต่ละช่วงอายุ ทำให้สุกรไม่มีความเครียดและเจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่ดีในเวลาที่รวดเร็ว โดยมีระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 5 เดือน รอบการเลี้ยง 1-2 รุ่นต่อปี ที่สำคัญบริษัทยังส่งเสริมการเลี้ยงสุกรด้วยระบบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างระบบบำบัดน้ำเสีย เช่น ไบโอแก๊ส ทำให้ฟาร์มสุกรของนายธนพงศ์เป็นฟาร์มที่ถูกสุขอนามัย บนพื้นฐานการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ทางด้านการเลี้ยงสุกร ซีพีเอฟก็เข้ามาให้ความรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมดูแลตลอดกระบวนการเป็นอย่างดี ธนพงศ์เล่าว่า ก่อนการเลี้ยงหมูในแต่ละรอบ จะเริ่มจากการเตรียมโรงเรือนไว้ให้พร้อมด้วยการล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อก่อนนำหมูเข้าโรงเป็นเวลา 5-7 วันแล้วประสานงานกับซีพีเอฟให้นำสุกรชุดใหม่เข้าเลี้ยง ขณะเดียวกันต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น หลอดไฟกกเพื่อให้ความอบอุ่นกับลูกสุกรหย่านมที่อายุ 16-20 วัน เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ทำให้ขั้นตอนเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้นซีพีเอฟยังให้ความใส่ใจอย่างสม่ำเสมอโดยการส่งสัตวบาลและผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำและติดตามผล รวมไปถึงการส่งคนงานเข้าไปฉีดวัคซีนตามช่วงอายุที่กำหนด จากนั้นจะเลี้ยงสุกรต่อไปอีกประมาณ 5 เดือน ก็สามารถจับออกขายได้โดยมีซีพีเอฟเป็นตลาดรองรับผลผลิตทั้งหมด เท่ากับการร่วมโครงการในระบบประกันรายได้ที่ซีพีเอฟดำเนินการอยู่นี้ เป็นการปิดประตูความเสี่ยงให้กับเกษตรกร เนื่องจากบริษัทเข้ามารองรับแทน
ธนพงศ์ยังอธิบายให้ฟังด้วยว่า ถึงแม้การรับราชการจะเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่สำคัญคือไม่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างที่ต้องการ เมื่อหันมาประกอบอาชีพเกษตรกรกับซีพีเอฟ ปัญหาเหล่านั้นก็หายไป ได้ใช้เวลาอยู่บ้านกับครอบครัวมากขึ้น และยังมีเงินเก็บที่นอกเหนือจากเงินบำนาญจากทางราชการด้วย ทำให้ในปัจจุบันตนมีความสุขกับการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะได้ประกอบอาชีพที่ให้ความพึงพอใจทั้งด้านการเงินและคุณภาพชีวิตอย่างลงตัวที่สุด
การที่ซีพีเอฟได้เข้ามาสนับสนุนให้เกิดอาชีพมั่นคงเช่นนี้ นอกจากจะเป็นส่วนช่วยให้เกิดการกระจายรายได้แก่เกษตรกรแล้ว ยังช่วยสร้างความสุขให้กับผมและครอบครัวเป็นอย่างมาก ผมคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวกับซีพีเอฟ ธนพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย
บรรยายใต้ภาพ
จ.ส.อ.ธนพงศ์ ใจภักดี
เครดิตจาก มติชน สุดสัปดาห์