..สีสันของความหลากหลาย อาจทำให้ความหมายของชีวิตแปรเปลี่ยน แต่ความเป็นเพื่อนยังคงหมุนเวียน สับเปลี่ยนอยู่ในตำแหน่งของความผูกพัน..
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
9 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
เมืองตาก..เมืองระแหงแต่ไม่เคยแล้งน้ำใจ(ตอนที่ 3)

อยู่เมืองตาก ได้อยู่กับนายหลายคน บางคนก็ใจดีมาก เอ็นดูเราอย่างกับเป็นลูก ก็อย่างที่เคยบอกว่า เป็นคนโชคดี ที่มักจะมีผู้ใหญ่เอ็นดูและเมตตา แม้แต่เจ้านายที่ดุที่สุดเท่าที่เคยพบก็ยังเอ็นดู เหตุเพราะว่าเป็นคนพูดน้อยแล้วก็เรียบร้อยด้วยกระมัง ไว้ค่อยเล่ารายละเอียดทีหลังนะ เพราะรู้สึกประทับใจกับนายคนนี้มาก ๆ เลย อยู่ตากรอบแรก 5 ปี กว่า ๆ ตั้งแต่บรรจุรับราชการปี 2527 จนถึงปี 2532 ตอนคำสั่งย้ายออก ยังเล่นน้ำสงกรานต์อยู่เชียงใหม่อยู่เลย ความจริงตั้งแต่มาอยู่ตากก็เขียนขอย้ายตั้งแต่สองปีแรก เขียนส่งไปทุกปีแต่ไม่เคยได้ย้าย จนกระทั่งเข้าปีที่ห้า เพื่อนมาถามว่าปีนี้ไม่ยื่นคำร้องขอย้ายเหรอ ก็เลยเขียนส่ง ๆ ไป ปรากฏว่าได้ย้ายจริง ๆ ความรู้สึกตอนนั้น ไม่อยากย้ายเลย กำลังทำงานสนุกเชียว จะระงับก็ไม่ได้ เพราะคำสั่งก็ออกมาแล้ว


ทำงานที่ตากช่วงนั้น จะทำงานเกี่ยวกับผู้อพยพชาวพม่าและชนกลุ่มน้อย พวกกะเหรี่ยงเชื้อสายพม่า ที่ตากมีศูนย์รับผู้อพยพอยู่ถึง 10 ศูนย์ กระจายอยู่ตามแนวชายแดนไทย – พม่า เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าจะเหลือกี่ศูนย์ ศูนย์ใหญ่ๆ จะอยู่ที่บ้านห้วยกะโหลก อ.แม่สอด และศูนย์ที่ อ.ท่าสองยาง ชื่อแต่ละศูนย์ก็จะเป็นภาษากะเหรี่ยง จังหวัดตากเป็นจังหวัดที่มีแนวชายแดนยาวที่สุด แม่น้ำกั้นพรมแดน ก็คือแม่น้ำเมย บางช่วงก็ตื้น และแคบ เพราะฉะนั้นทั้งชาวไทย พม่า กะเหรี่ยง ก็เลยข้ามไปข้ามมาได้อย่างสบาย พอเกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารพม่า กับชนกลุ่มน้อย ก็จะมีผู้อพยพข้ามเข้ามาฝั่งไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ ผู้หญิง เด็ก คนชรา พอไทยผลักดันออกไป เดี๋ยวก็ข้ามกลับเข้ามาอีก เพื่อมนุษยธรรม ก็เลยมีความจำเป็นต้องตั้งศูนย์รับผู้อพยพชั่วคราวไว้ตามแนวชายแดน การต่อสู้ระหว่างทหารรัฐบาลพม่า กับชนกลุ่มน้อยชาวเหรี่ยง มีมานานนับสิบ ๆ ปี ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ พอเข้าหน้าแล้ง หน้าหนาว ก็เริ่มรบกันแล้ว แต่พอเข้าหน้าฝน บางส่วนก็จะอพยพกลับพม่า ไปทำนากัน แปลกดี วันดีคืนดีก็มีกระสุนปืน ค. ตกเข้ามาฝั่งไทย ทหารไทยก็ต้องตอบโต้ไปบ้าง ร่องรอยของการต่อสู้จะมีให้เห็นอยู่ประปราย เคยไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.ท่าสองยาง ปรากฏว่าหลังคาร้านทะลุเป็นรูโหว่เบ่อเริ่มเลย เพราะกระสุนปืน ค.ตกใส่พอดิบพอดี ชีวิตของอพยพชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง ดู ๆ ไปก็น่าสงสาร หนีการสู้รบตลอดทั้งปี อยู่ที่ไหนมันก็คงไม่มีความสุขเท่ากับได้อยู่บ้านของตัวเองหรอกนะ แต่พม่าก็กดขี่คนพวกนี้น่าดู ถือเป็นพลเมืองชั้นสอง


นอกจากจะทำงานกับชนกลุ่มน้อยแล้ว ก็ยังมีพวกชาวพม่าที่มาอยู่ในไทยนาน ๆ พวกนี้สร้างเนื้อสร้างตัว มีบ้านช่อง แต่งงานกับคนไทย มีลูกมีหลาน เราเรียกว่าผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า เวลาที่พวกนี้จะไปไหน ก็ต้องมาขออนุญาตออกเขตจังหวัดก่อน เหตุผลยอดฮิตคือไปเยี่ยมญาติที่ป่วย ที่เชียงใหม่บ้าง แม่ฮ่องสอนบ้าง จำไม่ได้ว่าอนุญาตครั้งละกี่วัน แล้วก็ต้องคอยเช็คกับอำเภอว่ากลับมารึยัง บางทีขอไปจังหวัดนี้แต่ไปโผล่จังหวัดโน้น ก็โดนจับ เพราะพวกนี้จะต้องถือหนังสืออนุญาตของจังหวัดติดตัวไปด้วยเสมอ อยู่กันมานานจนรู้จักคุ้นเคยกันดี เคยทำเรื่องขอสัญชาติไทยให้กับลูกหลานพวกนี้ด้วย เกิดที่เมืองไทย โตที่เมืองไทย เรียนหนังสือที่เมืองไทย จิตใจเป็นไทยไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีสัญชาติพม่า พ่อแม่ก็คงอยากให้ลูกหลานได้สบายกัน จึงมาทำเรื่องขอสัญชาติไทย


ทำงานฝ่ายกิจการพิเศษหรือเรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า “ศูนย์อำนวยการปฏิบัติต่อบุคคลเข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย” เรียกย่อ ๆ ว่า “ศป.บก.” ก็จะมีการติดต่อกับพวกองค์การการกุศล และฝ่ายทหารอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้ใหญ่ที่ส่วนกลางมาตรวจงานที่ตาก เราก็เดินเข้าเดินออก จนมีพี่คนหนึ่งถามหัวหน้าเราว่า เราอยู่องค์การฯอะไร พี่เค้าบอกว่านั่นน่ะ ลูกน้องผมเอง เอ...หน้าตาเราเหมือนพวกองค์การการกุศลเหรอเนี่ย เราต้องทำเรื่องขอต่อวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์การการกุศล อนุญาตให้ครั้งละ 6 เดือน เจ้าหน้าที่ขององค์การฯ ส่วนใหญ่จะเป็นอาสาสมัคร ซึ่งมักจะเป็นหมอหรือพยาบาล เป็นชาวฝรั่งเศสซะส่วนมาก พวกนี้มาทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพ แล้วก็จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ นอกจากเจ้าหน้าที่ขององค์การการกุศลแล้ว ก็ยังต้องติดต่อกับทหารด้วย ฝ่ายกิจการพิเศษ ถ้าติดต่อกับฝ่ายทหาร จะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ศูนย์สั่งการชายแดนไทย – พม่า จังหวัดตาก” หรือเรียกย่อ ๆว่า “ศส.ชทพ.จ.ตาก” ขึ้นอยู่กับกองทัพภาคที่ 3 ส่วน ศป.บก.ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย เหมือนสวมหมวก 2 ใบ เวลาเรียกก็สับสนอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นมีพี่คนหนึ่งเป็นทหารสังกัดกองพลรบพิเศษ กองทัพภาคที่ 3 แต่ที่ทำงานพี่เค้าอยู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ยศร้อยโท ชื่อพี่ติ๋ว มานั่งทำงานประจำอยู่ด้วยกัน ใหม่ ๆ พี่เค้าคงเซ็งเหมือนกัน มานั่ง ๆ ไม่มีอะไรให้ทำ แต่อยู่ ๆ พี่เค้าก็หายไป พอมารู้อีกทีอยู่ร่มเกล้าโน่น เค้าเป็นพวกป่าหวายน่ะ รบแบบกองโจร พลร่ม อยู่แต่ในป่าเป็นส่วนใหญ่ เค้าเคยเล่าให้ฟังว่าตอนฝึกกระโดดร่ม บางคนกลัวไม่ยอมกระโดด ครูฝึกต้องถีบลงมาจากเครื่อง จนทำให้เกิดการช๊อคกลางอากาศ พวกเพื่อน ๆ ต้องรีบโดดตามลงมา เพื่อช่วยกระตุกร่มให้กาง ไม่งั้นก็ซี้แหง แก๋ พี่เค้าพูดภาษาพม่าได้ด้วย บางทีพี่เค้าก็หายไปเป็นเดือน ๆ เขียนจดหมายมาบอกว่าอยู่ในป่าแม่ฮ่องสอน ไม่ต้องเขียนตอบไป เพราะไม่มีที่อยู่แน่นอน แค่อยากบอกให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงเท่านั้น บางทีเค้ากลับกรุงเทพฯ ก็โทรไปหาที่บ้าน แต่ปรากฏว่า เราไม่ได้กลับบ้านก็เลยไม่ได้คุยกัน พี่เค้านิสัยดี หล่อเหมือนพระเอกหนังจีนเลยล่ะ... อิอิ


ก่อนที่ย้ายจากจังหวัดตาก ก็มีการสู้รบระหว่างทหารพม่ากับนักศึกษาพม่า มีนักศึกษาพม่าอพยพหนีภัยเข้ามาอยู่ในจังหวัดตาก ก็เลยต้องจัดศูนย์พักพิงชั่วคราวไว้ที่บริเวณสนามบินเก่า มีมาอยู่หลายร้อยคน พี่ติ๋วเลยมีงานทำมากขึ้น เพราะต้องคอยเป็นล่าม พี่และเพื่อน ๆ เค้าที่มาทำงาน ก็พักอยู่ที่สนามบินด้วยเหมือนกัน จนผู้ว่าฯ และข้าราชการ จ.ตากหลายคน ได้รับเชิญจากรัฐบาลพม่า ให้ไปพม่า พี่เค้าก็ไปด้วย ขากลับก็ยังอุตส่าห์หอบภาพเขียนที่วาดบนไม้แผ่นใหญ่จากพม่ามาให้เราด้วย ยังเก็บไว้เลย ...ความทรงจำดี ๆ ป่านนี้ ไม่รู้ว่าพี่เค้าอยู่ไหนแล้ว เพราะพอย้าย ก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย คงจะก้าวหน้า มียศสูงขึ้นเยอะแล้วล่ะ


เรากำลังจะพูดถึงเรื่องน่ารักๆ ขำ ๆ ตอนนั้นน่ะ มีเพื่อนคนหนึ่งทำงานอยู่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จบจาก ม.เกษตรศาสตร์ เวลาเรากลับกรุงเทพฯ เค้ามักจะให้เราโทรไปหาเพื่อนเค้าที่เป็น อจ.พละ สอนอยู่ ม.เกษตร ฝากบอกเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ จนมีอยู่วันหนึ่ง เค้ามาบอกว่า เพื่อนเค้าอยากเห็นเรา เพราะฟังเสียงมาตั้งนานแล้ว เสียงน่ารักมากเลย ไอ้เรานะ...ขำก๊าก ๆ บอกว่าเอารูปมือเราไปดูก่อนมั๊ย ก่อนที่จะเห็นหน้า แบบนี้เค้าเรียกว่าหลงเสียงนาง ใช่ป่าว แต่เจ้าเพื่อนเราคนนี้ ก็นัดแนะให้เรากับเพื่อนเค้ามาเจอกัน แหม...จะเจอกับ อจ.พละ ดันมานัดสาวที่หน้าสนามกีฬาหัวหมาก ชวนไปดูแข่งขันตระกร้อ ปรากฏว่ายืนรอกันคนละประตู เลยไม่ได้เจอกัน อิอิ... แล้วก็ยังมีอีกคนนึง เป็นปลัดอำเภอ คนนี้เรียบร้อย ไม่ค่อยพูด ต่างคน ต่างก็ไม่ค่อยพูด เลยไม่มีอะไรก้าวหน้า แต่รู้จากเพื่อนบอก ว่าเค้าคิดอย่างไรกับเรา ความที่เป็นคนพูดน้อย เรียบร้อย ไม่ช่างพูด ได้แต่ยิ้มไปก็ยิ้มมา แหม...ไม่งั้นนะ คงเป็นคุณนายไปแล้ว อิอิ


อยากจะเล่าถึงเรื่องขำ ๆ ของตนเองบ้าง หัดขี่มอเตอร์ไซต์ใหม่ ๆ ก็ขี่วนไปวนมาอยู่แถวบ้าน นานนนนนนนนนมาก จนป้าเจ้าของบ้านเช่าเค้าต้องออกมาดู ว่าเมื่อไหร่จะเข้าบ้านซักที พอแกเห็นเราขี่มอเตอร์ไซต์ผ่านหน้าซอย แกก็ตะโกนถามว่า “ไอ้เปี๊ยก เมื่อไหร่เอ็งจะเข้าบ้านซะที มันเย็นมากแล้ว” เราก็ตะโกนตอบมาว่า “ป้า หนูเลี้ยวขวาไม่ได้ ใครก็ได้ช่วยหนูที” เท่านั้นแหล่ะ ป้าแกหัวเราะแทบกลิ้งเลย ให้เจ้าติ๋มวิ่งออกไปเอาเราเข้าบ้าน เล่าเรื่องนี้ทีไรก็ขำกันทุกที พอหัดมอเตอร์ไซต์เป็นใหม่ ๆ ไปงานศพกับเจ้าติ๋ม เราเป็นคนขี่ ติ๋มเป็นคนซ้อน พอจะถึงทางเข้าวัด ก็บังเอิญมีรถบรรทุกจอดขวางอยู่ ทำให้เรากะไม่ถูกเวลาจะเลี้ยว ก็เลยเลี้ยวขึ้นไปบนฟุตปาท รถก็ล้ม เราก็ล้ม โดยมีเจ้าติ๋มล้มลงมาทับอยู่บนตัวเรา ผู้ชายสองคนที่เดินมาพอดี ก็รีบวิ่งเข้ามาช่วย พอช่วยเสร็จเค้าก็ถามว่า “นึกยังไงถึงได้ขี่ขึ้นไปบนฟุตปาต” เราก็บอกว่า มันกะไม่ถูก เพราะรถใหญ่มันบังอยู่ ขับมอเตอร์ไซต์นี่ได้แผลเป็นประจำ ต้องมาทายาแดงที่ทำงานอยู่เรื่อย จนพี่ ๆ เค้าบอกว่า วันไหนไม่มีแผล แสดงว่าไอ้เปี๊ยกมันเดินมาทำงาน แล้วก็ขับชนกับคนอื่นบ่อยมาก จนหลัง ๆ เกิดความกลัว ไม่กล้าจับรถมอเตอร์ไซต์อีกเลย ต้องเป็นคนซ้อน ขนาดเป็นคนซ้อนยังเกิดอุบัติเหตุบ่อย ๆ ตกจากรถมานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่กลางถนน เฮ้อ..ไม่รู้เป็นอะไร ดวงไม่ค่อยถูกกับมอเตอร์ไซต์เอาซะเลย จนพี่ ๆ แซวว่า มอเตอร์ไซต์ทำหล่น.. วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ ยังมีเรื่องตลก ๆ เล่าให้ฟังอีกเยอะเลยSmileySmiley



Free TextEditor








Create Date : 09 กรกฎาคม 2552
Last Update : 19 สิงหาคม 2558 11:02:16 น. 7 comments
Counter : 735 Pageviews.

 
ขอบคุณ BG น่ารัก ๆ จากคุณ pk12th ค่ะ


โดย: kapeak วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:53:00 น.  

 
Photobucket

ความทรงจำที่น่าประทับใจจริง ๆ นะคะ

ขำตอนที่เลี้ยวไม่ไหว อิอิ


โดย: fleuri วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:13:42 น.  

 
ขอบคุณเพลงเพราะ ๆ จากป้ามด ขอบคุณคำแนะนำดี ๆ จากคุณ fleuri ค่ะ


โดย: kapeak วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:41:27 น.  

 


ฝันดีค่ะ


โดย: ญามี่ วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:2:29:42 น.  

 
อิอิ มาดูคนแก่เล่าเรื่องความหลัง

ผมรู้นะว่าทำไมเจ๊มีอุบัติเหตุกะรถมอไซค์บ่อย คงกะให้มีหนุ่มๆขี่รถเก๋งมารับใช่ป่าวละเจ๊ รู้ทันหรอก
อิอิ


โดย: sherief วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:35:30 น.  

 
เกลียดจิง คนรู้ทัน


โดย: kapeak วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:02:56 น.  

 
พี่เปี๊ยกสบายดีหรอค๊ะ

ตุ๊กตาเรียนอยู่แถวพัฒนาการง่ะ

ไม่รู้ว่าใกล้พี่เปี๊ยกหรือป่าวเพราะยังไม่เคยออกปัยไหนเรย

แหะ ๆ

น้องเมย์เรียน ม.ไรแล้วเอ่ยย


โดย: ตุ๊กตาซัง วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:36:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พูดไม่เก่ง แต่เจ๋งทุกคำ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




"ตั้งใจว่า...ทำบล๊อกนี้ขึ้นมาเพื่อบันทึกเรื่องราว ความทรงจำดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและอยากจะทำ และไม่เคยหวังผลตอบแทนใด ๆ ในทุกสิ่งที่ได้ทำ นอกจากรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มิตรภาพและความจริงใจจากเพื่อนๆ เท่านั้น"











# เริ่มทำบล๊อกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 #


ไปหลังบ้านทางนี้เน้อ
Friends' blogs
[Add พูดไม่เก่ง แต่เจ๋งทุกคำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.