เคยอ่านหนังสือเรื่อง เหตุแห่งคำตรัส มีอยู่ตอนนึงเกี่ยวกับอุปกะชีวก คนแรกซึ่งได้พบพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเขาเห็นพระพุทธเจ้าครั้งแรกนั้นได้ถามว่า ใครคืออาจารย์ของท่าน เมื่อพระองค์ได้ตอบว่า ไม่มีใครเป็นอาจารย์ ท่านได้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง อุปกะชีวกจึงจากไป ด้วยอาการแลบลิ้น ส่ายหน้า ในบทความหลายๆ บทกล่าวว่า มีชนชาตินึงมีประเพณีแปลกๆ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า การส่ายหน้าแลบลิ้น ไม่ได้หมายความว่ารังเกียจ แต่เป็นอาการยอมรับ เหมือนเราเห็นคนอินเดีย เวลาพูดก็ชอบสายหน้า ส่ายคอดุ๊กดิ๊กไปด้วย จึงมีการตีความว่า จริงๆ แล้วอุปกะชีวกอาจจะไม่ได้ไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า เก้าชอบอ่านประวัติตอนต่อมาของอุปกะชีวก ซึ่งได้ถามนามของพระพุทธองค์ไว้ก่อนจากกันครั้งนั้นว่า "อนันตชิน" และต่อมาอุปกะชีวกผู้นี้ก็ได้รอนแรมมาเพื่อพบพระศาสดาอีกครั้งนึง มีคำตรัสของพระพุทธองค์ที่อ่านครั้งใดก็รู้สึกว่าซาบซึ้งมากค่ะ เรื่องย่อๆของเหตุคำตรัสนะคะ อุปกะหลังจากที่จากพระพุทธเจ้าไปแล้ว ก็ได้ไปพบพรานซึ่งมีบุตรสาวสวยชื่อสุชาวดี ก็ตกหลุมรักจนได้ออกจากความเป็นนักบวชแล้วแต่งงานกับสุชาวดี จนมีลูกด้วยกัน ฝ่ายสาวเจ้าไม่ได้รักอุปกะ ทุกครั้งที่เลี้ยงลูกก็จะกล่อมลูกด้วยถ้อยคำที่เสียดสีอุปกะ อุปกะเมื่อได้ยินเช่นนั้นหลายครั้งก็นึกถึง"พระอนันตชิน" ผู้มีผิวพรรณงดงาม มีราศี จึงออกค้นหา เช้าวันหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรวจดูโลกด้วยพระญาณ ว่าจะมีเวไนยสัตว์ที่มีอุปนิสัยจะบรรลุธรรมได้ ทรงพบอุปกะ จึงให้อุปกะได้เข้าเฝ้าที่เชตวัน และได้ตรัสประโยคนี้ค่ะ "ดูก่อนอุปกะ" พระศาสดาตรัสตอบ "เรารอคอยการมาของท่านอยู่ การมาของท่านครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ท่าน" พอได้ยินคำว่า "อุปกะ" เท่านั้น ปีติปราโมชก็แผ่ไปทั่วสรรพางค์ของอุปกะ ชื่อใดเล่าในโลกนี้จะไพเราะอ่อนหวานยิ่งกว่าชื่อของตนเอง ทุกคนจะดีใจเป็นที่ยิ่งเมื่อทราบว่าผู้อื่นจำชื่อของตนได้อย่างแม่นยำ หลังจากพรากกันไปเป็นเวลานาน "อุปกะ" พระองค์ตรัสต่อไป "หลังจาก จากกันคราวนั้นแล้วท่านไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร พอทนได้อยู่หรือ เมื่อก่อนนี้ดูท่านทรงเพศเป็นนักบวช บัดนี้ทำไมจึงเปลี่ยนแปลงไป?" อุปกะได้เล่าความหลังทั้งมวลให้พระศาสดาทราบโดยตลอด แล้วทูลเพิ่มเติมว่า "พระองค์ผู้เจริญ! ข้าพระองค์เดินหลงทางอยู่เป็นเวลานาน บัดนี้มาพบพระองค์เป็นครั้งที่สอง คงจะดำเนินไปสู่ทางที่ถูกต้อง พระองค์ผู้อนุเคราะห์โลก โปรดอนุเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยเถิด" พูดเท่านั้นแล้วเขาก็ซบศีรษะลงแทบพระบาทมูลแห่งพระศาสดา พระจอมมุนีศรีศากยบุตร ประทับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า "ดูก่อนอุปกะ การครองเรือนเป็นเรื่องยาก เรือนที่ครองไม่ดีย่อมก่อทุกข์ให้มากมาย การอยู่ร่วมกับคนพาล เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง อุปกะเอย! เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆ เราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำคือ บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัตินี่แล รึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยาก คือ บ่วงบุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ นั้นเป็นเหยื่อของโลก เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ไม่มีรูปใดที่จะรัดรึงใจของบุรุษได้มากเท่ารูปแห่งสตรี ดูก่อนอุปกะ ผู้ยังตัดอาลัยในสตรีมิได้ ย่อมจะต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่ร่ำไป แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ ย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ กิเลสนั้นมีอำนาจครอบคลุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าในวัยและเพศใด "ดูก่อน อุปกะ! ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหาอุปทาน ความทะยานอยากดิ้นรน และความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเราเป็นของเขา รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้โดยความเป็นตนเป็นของตนที่จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มี หาไม่ได้ในโลกนี้ เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เพียงแต่สักว่าๆ ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่างๆ ปลอดโปร่งแจ่มในเบิกบานอยู่ ดูก่อน อุปกะ! เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย ด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม" อุปกะส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนาของพระตถาคตเจ้า คลายสังโยชน์คือกิเลสที่ร้อยรัดใจออกเป็นเปาะๆ ได้บรรลุอนาคามีผลเป็นพระอริยบุคคลชั้นที่สามด้วยประการฉะนี้