ต้นทุนชีวิตคือการสะสมความเคยชินที่ดี
เมื่อตามลูกไปร่วมเดินธรรมยาตราเพื่อลุ่มน้ำลำปะทาว ครั้งที่ 10





30 พฤศจิกายน 2552

วันนี้ลูกชายกับพ่อเดินทางไปร่วมเดินธรรมยาตราที่จังหวัดชัยภูมิ
เป็นการเดินทางไกลและนานครั้งแรกร่วมกันของพ่อลูก
ที่ไม่มีแม่ไปด้วย…



เด็กน้อยกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น กำลังเติบโต
และง่ายต่อการซึมซับทุกสิ่งเร้าที่กระตุ้นเร่าอยู่รอบตัว
เกมส์ทางอินเตอร์เน็ต เพลง หนัง การ์ตูนจากโทรทัศน์ เพื่อน ๆ ที่กำลังคึกคะนอง
และความกดดันของระบบการศึกษาที่ทำให้ต้องเตรียมตัวสอบแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย….สิบวันในป่า คงผ่อนคลายความรุมเร้ารุ่มร้อนของภาระแบบเด็กในเมือง

สองพ่อลูกออกเดินทางแต่เช้า พ่อยิ้มร่า ลูกชายหน้าตาแช่มชื่น
แต่คนเป็นแม่อยากร้องไห้
เพราะตระหนักมากขึ้นทุกวัน ๆ ว่าลูกกำลังห่างอกแม่ออกไปทุกที

ความเติบโตของลูก
เป็นการเรียนธรรมะอีกบทของคนเป็นพ่อแม่
โดยเฉพาะการต้องเรียนรู้จักพรหมวิหารสี่อย่างลึกซึ้ง
ทั้งความหมายของ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
แม้ว่าจะเป็นชีวิตที่ผูกพันกันด้วยสายเลือดและสายใยของพ่อแม่ลูก
แต่ชีวิตของใครก็ไม่มีใครอื่นควรคาดหวังหรือครอบครอง
เพราะท้ายสุดแล้ว แม้ชีวิตตนเองก็ไม่อาจเป็นของตนเอง
ช่วงระยะหนึ่งของชีวิตคือการทำหน้าที่ระหว่างกันให้ดีที่สุดเท่านั้น

ขอให้การเดินทางครั้งนี้
เป็นการเดินเพื่อฝึกฝนเด็กน้อยผู้เป็นที่รัก
ให้เข้าใจความหมายของสติ ความอดทน
และการอยู่ร่วมกันของสรรพสิ่ง
เพราะชีวิตของลูก
ยังต้องเดินทางอีกไกล…

2 ธันวาคม 2552

ตอนเช้าพ่อของลูกโทร.มาส่งข่าวสั้น ๆ บอกว่าเด็ก/นักศึกษาเยอะมาก
ผู้ใหญ่ (แก่ ) ขนาดพ่อมีเพียงประมาณยี่สิบคนจากจำนวนรวมราวสองร้อยคน...

แม่ขอพูดกับลูกนิดนึงถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ลูกชายตอบว่า "เป็น..คนหล่อ"
คำตอบกวน ๆ แบบนี้ทำให้สบายใจได้ว่าพ่อหนุ่มน้อยมีความสุขดีแม้จะมีเสียงอ้อนตามมาว่า
"ลำบากมากเลยแม่ เมื่อวานเดินสิบสองกิโล ผ่านป่าผ่านทุ่งนาด้วย เท้าแตกแล้ว"

ลูกชายเล่าว่าเวลาเดินไปเดินกับ "เพื่อน"
พ่อมีหน้าที่แค่แบกน้ำให้!!



เมื่อวันที่ 30 พย. รวมพลคนเดินเท้าที่วัดป่าชัยภูมิ
เมื่อวานวันที่ 1 ธค. ออกเดินจากวัดป่าชัยภูมิ ถึงจุดเพลที่วัดบ้านช่อระกา และออกเดินต่อไปพักค้างคืนที่วันบ้านนาสีนวล
กลางวันวันที่ 2 ธค.นี้ คงถึงหน่วยจัดการต้นน้ำ และไปพักค้างคืนที่วัดบ้านหินหนีบ...

คนเป็นแม่ไม่ได้ไปด้วย แต่รู้ว่า ปรับตัวเพียงสองสามวัน ความลำบากของลูกจะหมดไป พร้อมกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไหลซึมเข้ามาแทนที่
เคยฟังพระไพศาล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโตที่เป็นประธานพาเดินธรรมยาตราเทศน์ว่า การเดินธรรมยาตราเป็นการฝึกสติไปด้วย เรียนรู้จักจิตใจของตัวเองไปด้วย ท่านเทศน์ว่า กระแสบริโภคนิยมที่ท่วมท้นอยู่กับพวกเราตอนนี้ ทำให้มีการเสพสิ่งของจากภายนอกตลอดเวลา เราแทบไม่มีโอกาสรู้จักความอยากที่เพิ่มมากขึ้น ทุกที ๆ ในใจของตัวเราเอง เพราะอยากปุ๊บก็มีให้เสพปั๊บ..

ท่านบอกว่าเคยลองพยายามสร้างกติกาว่า เมื่อเห็นไม่ซื้อได้ไหม...ผู้ใหญ่เดินผ่านหมู่บ้านเห็นเป๊ปซี่ไม่ซื้อได้ไหม เด็ก ๆ เห็นไอติมไม่กินได้ไหม....บทเรียนเหล่านี้ง่าย ๆ แต่เป็นจริงเห็นจริง ....

ไม่รู้ว่าปีนี้ท่านจะเทศน์ทุกเช้าเย็นด้วยเรื่องอะไรบ้างอยากตามไปฟังจังเลย
แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ พ่อลูกชายซัดไอติมทุกครั้งที่เจอแน่นอน


3 ธันวาคม 2552

วันนี้คณะธรรมยาตรามีกำหนดออกเดินทางจากบ้านหินหนีบไปถึงจุดเพลที่วัดบ้านวังโพน และช่วงบ่ายเดินต่อไปจนถึงวันบ้านแหล่หญ้าคา
แต่ไม่มีข่าวคราวหรือเสียงตามสายจากสองพ่อลูก






คิดว่าคงหาเวลายาก ไหนจะต้องตื่นแต่ดึกมาทำวัตรเช้า ไหนจะเหนื่อยจากการเดิน ไหนจะต้องวุ่นวายกับการเก็บข้าวของกางเต๊นท์เก็บเต๊นท์ทุกเช้าทุกเย็น และคงไหนจะง่วงจากการฟังเทศน์ทุกเวลาก่อนอาหารและก่อนนอน

เมื่อไม่ได้ตามไปฟังเทศน์กับขบวนด้วย คนอยู่บ้านก็เลยฟังเทศน์จากแผ่นแทน รู้สึกซาบซึ้งกับคำว่า "ลงสนามจริง" ที่พระไพศาลท่านเทศน์ให้ตระหนักว่า ไม่ว่าจะฝึกอะไร ต่างก็เพื่อลงสนามทั้งนั้น กรณี "ไม่ซื้อเป๊ปซี่ ไม่กินไอติม" ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

การฝึกแยกจากกันบ้างระหว่างพ่อแม่ลูกก็เป็นอีกสนามเล็ก ๆ ให้ทดลองเจอของจริง
เพราะความรู้ ความคิด และความรู้สึก
จะเห็นได้ชัดเจนก็ตอนเจอของจริงนั่นแหละเนอะ

เช้านี้อากาศเย็น ในป่าน่าจะหนาวมาก
เจ้าลูกชายคงนึกว่าโชคดีที่แม่ไม่ไปด้วยและมีความสุขกับการ "ไม่ต้องอาบน้ำเช้า" อย่างสมใจและชอบธรรม
หารู้ไม่ว่า
แม่ก็มีความสุขเช่นกัน
ที่ไม่ต้องคอยแซะเจ้าหนูออกจากที่นอนแล้วต้อนเข้าห้องน้ำก่อนไปโรงเรียน


4 ธันวาคม 2552

วันนี้ถึงครึ่งทางของการเดินธรรมยาตราครั้งนี้แล้ว เมื่อเช้าได้ยินเสียงแจ๋ว ๆ ของลูกบอกมาว่า
"หนาวมากเลยแม่ เสื้อหนาวที่เตรียมไปเอาไม่อยู่เลย"
แต่ขนาดเอาไม่อยู่ เสียงลูกก็ไม่มีแววทุกข์ร้อน กลับสดใสร่าเริง เหมือนตอนแรกที่แม่ถามว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้วเจ้าหนูตอบกลับมาว่า
"เป็นคนหล่อ..มากขึ้นกว่าเดิม!"

เท่านั้นเองที่มีโอกาสคุยกันกับลูกชาย...
แต่ความสุขในใจของแม่ก็เต็มไปด้วยสัมผัสแห่งความสุข สนุกสนานที่ผ่านมากับข้อความสั้น ๆ ไม่กี่ประโยค
จนลืมถามไปเลยว่า
"กินไอติมตามหมู่บ้านหรือเปล่า?"

นึกถึงไอติมแล้วก็นึกถึงเรื่องความรู้กับความรู้สึกที่ฟังมาจากพระไพศาล
ท่านเทศน์ว่า ความรู้ไม่มีพลังมากพอเท่ากับความรู้สึก แต่การใช้ชีวิตตามอำนาจของความรู้สึกในตัวก็ไม่สามารถพาชีวิตไปดีได้ คนเรามักยอมแพ้แก่ความรู้สึกตนเองเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ให้ความสุขที่ประณีตกว่า...

ในสถานการณ์บางอย่าง ลูกคงได้เรียนรู้จักการตอบสนองความต้องการของตนเองด้วยวิธีอื่นมากกว่าวิถีที่เคยชินอยู่ในเมือง

บางอย่างที่ต้องสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะเป็นพลังที่สามารถเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในชีวิต



5 ธันวาคม 2552

ครึ่งทางของการเดินธรรมยาตราแล้ว เมื่อตามลูกไปถึงขบวนเมื่อใกล้ถึงบ้านโปร่งช้างในวันที่ 5 ธันวาคม เจ้าหนูเดินอยู่เกือบรั้งท้าย แม้จะออดอ้อนความยากลำบากในการเดินบ้างแต่ก็ยังบอกเล่าโน่นนี่ด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ
“ถ้าแม่หิวน้ำบอกนะ อย่าเพิ่งกินน้ำ กินมะขามนี่ก่อน มันจะช่วยลดความกระหายได้”
ลูกชายควักกระเป๋าเอามะขามป้อมมาอวดเต็มมือ แม่เพิ่งสังเกตเห็นว่าลูกตัวเองเดินอยู่เกือบท้ายขบวน
“วันนี้มีหน้าที่คุมขบวน”
คำอธิบายดูสมเหตุสมผลมาก แต่ในวันต่อ ๆ มาลูกก็ยังอยู่ท้ายขบวนอยู่ดี พอถามมาก ๆ เข้าเจ้าหนูก็บอก “แม่อย่ากดดันสิ แม่เดินไปก่อนเถอะ”

ความจริงค่อยปรากฏในวันก่อนสุดท้ายว่า
“ตอนนี้พลังมันเหลืออยู่แค่ 0.01%”



หน้าตาคนพูดบอกระดับพลัง 0.01 อย่างชัดเจน แต่พอได้ยินเสียงประกาศจากคนคุมขบวนว่า ใกล้ถึงแล้ว อีกสองร้อยเมตรก็ถึงแล้ว ดูเหมือนพลังในตัวเด็กจะพุ่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ลูกชายเดินจ้ำพรวด ๆ เผลอแป๊ปเดียวไปอยู่หน้าขบวน เจอกันอีกทีเมื่อถึงที่หมาย เจ้าหนูบอกว่า

“ตอนเขาประกาศว่าอีกสองร้อยเมตรจะถึงนะแม่ พลังขึ้นมาถึง 80 เปอร์เซ็นต์แน่ะ แต่พอเดินมาถึงนะ แม่รู้หรือเปล่า ถึงป้ายบอกทางว่า อีก 1.8 กม.จะถึงวัด สรุปว่าตอนเดินช่วงหลังนี่ สองกิโลนะแม่”

แม่ได้แต่ยิ้มเพราะก็เหนื่อยแฮ่กพอกัน แต่คิดว่าการบอกว่าอีกสองร้อยเมตรจะถึง (แม้จะถึงป้ายบอกทางก็เหอะ) ย่อมดีกว่าบอกว่าอีกสองกิโลถึงแน่นอน

เหมือนอย่างเช่นวันสุดท้ายตอนเดินเรียงหนึ่งเรียงสองขึ้นเขาจะไปวัดป่ามหาวันที่ภูหลงนั้น อยู่ ๆ ขบวนก็หยุด คนอยู่ข้างหน้ามองกันเลิ่กลั่กเพราะคนนำขบวนก็มีสีหน้าเหย ๆ มีเสียงถามกันว่าถึงไหน เสียงตอบไปมาว่าก็เราจะไปไหนกันล่ะ เราจะไปภูหลงไง ภูที่เรากำลัง “หลง”

เท่านั้นแหละ ไอ้ที่พอจะมีแรงเหลือกันบ้างก็เริ่มแรงหมดพลังหดไม่รู้เหลือกี่เปอร์เซ็นต์ โชคดีที่มีเสียงหนึ่งในทีมงานบอกคนคุมขบวนให้ประกาศว่า “อีกนิดเดียวกำลังจะถึงแล้ว” ความกระชุ่มกระชวยจึงกลับคืนมาสู่ผู้ไม่รู้เรื่องทางทั้งหลาย เรื่องกำลังใจจากผู้นำนี่จำเป็นจริงจริ๊งง...

ตอนประเมินผลนั้นลูกชายบอกว่า
“ประทับใจทุกอย่างชอบหมดตั้งแต่มอหินขาว ธรรมชาติ ทุกอย่างเลย เห็นอะไรประทับใจหมดไม่เว้นแม้แต่มดเลย ประทับใจพี่ในกลุ่มที่มีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วย”

แต่ที่ไม่ได้เขียนบอกไปคือ ไม่ชอบตอนพระเทศน์ เพราะเทศน์ทีไรหลับทุกที ตอนมาขออิงแม่หลับในวันแรกที่เจอกันนั้น เจ้าหนูบอกว่า

“พระอาจารย์เทศน์ครั้งละครึ่งชั่วโมงทุกวัน ง่วงมากเลย เมื่อวานนะแม่ ทำลายสถิติ เทศน์ตั้งหนึ่งชั่วโมง!”

แต่ความไม่ชอบของลูกนี้เป็นสิ่งตรงข้ามกับคนเป็นพ่อแม่ เพราะสิ่งที่ทั้งสองคนชอบมากที่สุดสำหรับการเดินธรรมยาตราครั้งนี้คือโอกาสที่จะได้ฟังพระไพศาลท่านเทศน์ทั้งเช้าทั้งค่ำ

เมื่อแม่ตามลูกไปในวันที่ 5 ของการเดินทางนั้น การทำวัตร เทศน์ และกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งเช้าเย็นจะจัดที่ลานวัดในทุกวัดที่ขบวนเคลื่อนไป เวลาทำวัตรเช้าคือตีห้า ฟ้ายังมืด อากาศก็หนาวเยือก เวลาทำวัตรเย็นคือหกโมง ฟ้ามืดแล้ว ดาวเริ่มพราวแสง เป็นบรรยากาศการทำวัตรและฟังเทศน์ที่โรแมนติคที่สุด ไม่นับรวมเสียงเพลงกีตาร์คลาสสิคจากโรงเรียนกาญจนา และเสียงขิมเสียงขลุ่ยในยามสายยามเย็นของเพื่อนร่วมขบวน





นอกเหนือจากบรรยากาศการฟังเทศน์ที่พิเศษจริง ๆ แล้ว คำสอนของพระไพศาลที่ดึงเรื่องราวของการเดินทางในแต่ละวันมาเทศน์สอนเชื่อมโยงให้เข้าใจชีวิต ให้เห็นความทุกข์ เห็นพลังของตนเองและคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมทางนั้น ทำให้การเดินธรรมยาตราได้ทั้งปฏิบัติ (คือเดิน อดทน และเดิน และเดิน และเดิน ไม่ว่าจะเหนื่อย จะท้อ จะร้อน จะเจ็บเท้าปวดน่องเพียงไหนก็ตาม) และได้คำสอนที่เป็นหลักยึดให้เข้าใจความทุกข์ที่เห็นจะจะ ต่อหน้าต่อตา ด้วยตัวของตัวเอง เห็นความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะการกินการอยู่เปลี่ยนที่ตลอดทาง ท่านสอนว่า ท้อหลายครั้งแต่ยังอยู่ได้ ดีกว่าท้อครั้งเดียวแล้วเลิก…การท้อหลายครั้งยังอยู่ได้นี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเห็นพลังของ “ทุกข์เป็นทีม” ที่ต่างได้คาถาการเดินร่วมกันว่า “ขวาทนได้ ซ้ายสบายมาก-ซ้ายทนได้ ขวาสบายมาก”..

และสุดท้ายเมื่อต่างกลับมาถึงบ้าน เจ้าลูกชายที่ไม่ชอบฟังเทศน์ก็ยังจำคาถาบทนี้ได้ แถมจำไว้สั้น ๆ ว่า “ทนได้ สบายมาก” (แม้ตอนช่วยพ่อแม่ซักเสื้อผ้าเก็บล้างเต๊นท์ถุงนอนต่าง ๆ จะบ่นออกมาอ่อย ๆ ว่า “ทนไม่ได้ สบายน้อยยยย” ก็เหอะ)















นอกจากการเทศน์ที่โยงเหตุการณ์ในแต่ละวันมาสอนผู้เข้าร่วมขบวนแล้ว คืนวันที่ 5 ธันวาคม พระไพศาลได้นำเจริญสติ เป็นเรื่อง “มรณสติ” ด้วย ในช่วงแรกที่ท่านบอกว่าให้รู้สึกเหมือนกับเป็นช่วงสุดท้ายก่อนตายนั้น คนเป็นแม่รู้สึกว่าใจนิ่ง สงบและพร้อมจะจากไปได้ แต่พอท่านบอกว่า ถ้าเกิดมีเวลาเหลือได้อีกสามวันอยากทำอะไร อ้าว, คราวนี้อาการสงบ พร้อมตายหายไปทันที ใจเริ่มคิด และคิด และคิด…รู้ได้ทันทีว่า ถ้ามีเวลา คนก็มักจะไม่ยอมปล่อยวาง เวลาเฉพาะหน้า เวลา “ปัจจุบัน” ตรงนั้นหายไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็เลยได้คิดว่า ถ้าอยากจะตายอย่างสงบจริง ๆ ต้องทำภาระหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุดจริง ๆ และเมื่อนั้นแหละ เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากไป จะได้ไม่มีห่วงอะไรให้ต้องกังวล ไม่ว่าอะไรกับใคร เพราะตนเองได้ทำสิ่งที่สมควรทำที่สุดแล้ว ส่วนอื่น ๆ นั้นนอกเหนือความสามารถที่เราจะควบคุม

เมื่อพระให้แลกเปลี่ยนกับคู่และกับกลุ่มย่อย ๆ ว่าอยากทำอะไรในเวลาที่เหลืออยู่สามวัน ลูกชายคนดีตอบว่า “นอน!”

เย็นวันที่ 7 ธันวาคม ขบวนธรรมยาตราได้ไปทำวัตรและฟังพระเทศน์ที่ผาจิกหลังพระอาทิตย์ลับภูคีในสถานที่เป็น “unseen Thailand” ของจริง ขณะที่นั่งอยู่ตรงหน้าผามองข้ามไปที่เทือกเขาอีกฝั่งหนึ่งนั้น รู้สึกเห็นด้วยกับหลาย ๆ คนในที่นั้นว่า สถานที่บางอย่างควรจะเป็น unseen ที่ไม่ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเลยจะดีกว่า เพราะเมื่อไหร่ที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ความหมายของป่า ของภูเขา จะลดลงเหลือแค่ความงามและเงิน แต่ความหมายแห่งธรรมชาติ แห่งต้นน้ำ แห่งแหล่งอาหารของสรรพชีวิต แหล่งอาศัยของสรรพสัตว์ แหล่งเรียนรู้ชีวิตและการพึ่งพาอาศัย และอีกหลาย ๆ ความหมายที่เป็นของจริงจะหายไปจากสถานที่ตรงหน้านี้

และคืนวันที่ 7 ธันวาคมก็เป็นคืนสุดท้ายของการเดินธรรมยาตราสวนกระแส ที่พระไพศาลท่านสอนว่าเป็นการเดินทวนสายน้ำจากเมืองชัยภูมิขึ้นสู่ต้นน้ำลำปะทาว ยิ่งเดินขึ้นสูง น้ำจะยิ่งใสขึ้น เหมือนเราเดินสวนกระแสกิเลสได้มากขึ้นเท่าไร ใจเราก็จะใสเย็นมากขึ้นเท่านั้น การเดินธรรมยาตราคือการเดินไปกับธรรม จึงไม่ได้หมายความว่าธรรมยาตราจะจบลงที่ภูเขาต้นน้ำ แต่เป็นการเริ่มต้นที่เราจะน้อมธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของชีวิตเราต่อไป

ในคืนนี้ มีกิจกรรมแลกเปลี่ยนร่วมกันถึงความประทับใจ สิ่งที่ได้เรียนรู้ และสิ่งที่จะนำกลับไปปรับใช้ ต่อคำถามที่ว่า “ได้อะไร” ลูกชายตอบว่า
“ได้ฝึกฝนความอดทน เพราะว่าแต่ละวันเดินไกลมากเลย และพ่อก็ไม่ให้ขึ้นรถด้วย”
(ตอบอย่างนี้แสดงว่าถ้าพ่อไม่ได้ไปด้วย เจ้าลูกชายต้องโดดขึ้นรถทีมงานทุกวันแน่นอน!)

นอกเหนือจากคำตอบของลูกชายที่แม่ได้อ่านในกระดาษแล้ว ยังได้ยินคำตอบของหนูน้อยร่วมกลุ่มคนหนึ่งว่า ประทับใจดวงดาว ไม่เคยเห็นดาวเยอะและสวยเท่านี้มาก่อน

ส่วนความประทับใจที่คนส่วนใหญ่เห็นร่วมกันก็คือ “ความประทับใจในทีมงาน” ซึ่งทั้งพ่อแม่และเจ้าลูกชายก็เห็นด้วย ว่าทีมงานธรรมยาตรานั้นน่าทึ่งมาก กลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนไม่มากนักแต่แสดงพลังแห่งความอุทิศตนในการร่วมสร้างกิจกรรมครั้งนี้ได้อย่างยิ่งใหญ่ ความรับผิดชอบชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ร่วมขบวนสามสี่ร้อยคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะขบวนเดินทางตลอด มีคนเพิ่มขึ้นโดยตลอด ไหนจะอาหารสามมื้อ ไหนจะสมบัติข้าวของส่วนตัวและเต็นท์นอน ไหนจะดูแลเรื่องน้ำดื่มระหว่างทาง ไหนจะเป็นห่วงจัดการเรื่องห้องน้ำ ที่วัดบางแห่งมีห้องน้ำเพียงหนึ่งหรือสองห้องต่อคนจำนวนหลายร้อย..และไหนจะกิจกรรมพิเศษระหว่างทาง การจัดแบ่งความรับผิดชอบ การประสานงานกับคนในพื้นที่ การจัดป้ายนิทรรศการเกี่ยวกับป่า ต้นน้ำ และธรรมยาตรา การแสดงละครยามค่ำ การถ่ายทำตัดต่อหนังสั้นในแต่ละวัน การจัดกิจกรรมยามเช้าคลายหนาวคลายเบื่อ การดูแลทุกข์สุข เจ็บไข้ได้ป่วย การจัดเวรยามดูแลความสงบเรียบร้อยยามกลางคืน การเรียกรวมพลคนจำนวนมากที่ไม่อยากทำตามกำหนดเวลาอันเนื่องมาจากความเหนื่อย ความอยากพัก ความอยากชื่นชมธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยไม่มีเสียงดุตำหนิต่อว่าหรือการแสดงอารมณ์จากทีมงาน แม้หน้าตาในวันท้าย ๆ ออกจะอิดโรยแต่เสียงเรียกร้องการเข้าร่วมกิจกรรมก็ยังปลุกเร้าอย่างเข้าใจและอ่อนโยน















ธรรมะที่แสดงผ่านการทำงานของทีมงานเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของผลลัพธ์ที่น่าชื่นชมของขบวนธรรมยาตรา และตัวอย่างเหล่านี้แผ่ขยายผ่านผู้เข้าร่วมที่เผชิญ “ทุกข์เป็นทีม” ให้ได้ซึมซับเช่นเดียวกับคำสอนของพระไพศาล เช่นเดียวกับประจักษ์พยานในการเรียนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมในป่าขณะที่ขบวนเดินผ่านทาง

ในใบประเมินผลสุดท้ายที่ลูกชายตั้งใจเขียนส่งไปให้พี่ ๆ ทีมงาน เจ้าหนูเขียนไว้ว่า
“อยากฝากบอกพี่ ๆ ทุกคนว่า นึกไม่ถึงเลยว่าพี่ ๆ ทีมงานทุกคนจะมาทำเพื่อเราอย่างนี้ และอาหารก็อร่อยมากเลยด้วย ขอบคุณพี่ ๆ ทีมงานทุกคนมากครับ และก็อยากให้ถึงครั้งที่ 11 เร็ว ๆ จัง สู้ต่อไปนะ” จาก น้องไผ่





หมายเหตุ 1: ผู้สนใจเกี่ยวกับธรรมยาตราดูรายละเอียด ฟังคำเทศน์ในช่วงการเดินธรรมยาตราของพระไพศาล และชมภาพเหตุการณ์ทั้งหมดได้ที่ //www.visalo.org

หมายเหตุ 2: ในวันสุดท้ายตามกำหนดเดิมจะมีการแสดงละครของกลุ่มสีส้ม ตอนเช้าคุณออสการ์ผู้ดูแลการแสดงให้โจทย์ไว้ว่าอยากเล่นเรื่องอะไร จะมาตามคำตอบตอนเที่ยงเพื่อฝึกซ้อมร่วมกัน ในช่วงเช้านั้น น้องพั้นช์จากโรงเรียนรุ่งอรุณเสนอว่า อยากเล่นเรื่องเต่ากับกระต่าย ส่วนผู้ใหญ่ในกลุ่มหลายคนบอกอยากให้มีการพูดถึงสิ่งที่ได้จากการเดินธรรมยาตราด้วย แม่น้องไผ่นึกภาพการกำกับละครที่แสนจะชวนหัวและมีสีสันของคุณออสการ์แล้วก็เลยอยากร่วมแจมด้วยการแต่งกลอนประกอบละครเรื่องเต่ากับกระต่ายเวอร์ชั่นธรรมยาตรา (กลอนอาจจะยาว แต่เชื่อเถอะว่ายาวนานไม่เท่าการรอคอยเข้าห้องน้ำที่วัดเช้าวันที่ 7 แน่นอน เพราะว่ากลอนเรื่องนี้แต่งตอนนั้นนั่นแหละ) ตอนเที่ยงประชุมกลุ่มสีส้มไม่ครบ น้องพั้นช์ไม่มา คุณแม่ชีเสนอละครแบบมหากาพย์มาอีกหนึ่งเรื่อง แต่สรุปว่าทั้งมหากาพย์และเต่ากับกระต่ายก็หายไปกับเวลาที่เปลี่ยนเป็นความประทับใจต่อการเดินไปผาศรีวิไล unseen Thailand ในการทำวัตรเย็นครั้งสุดท้ายของการเดินทาง

ไหน ๆ กลอนก็แต่งแล้ว ก็เลยขอมาปิดท้ายไว้ตรงนี้แทนคำขอบคุณต่อทีมงาน และแทนการประเมินผลที่ไม่ได้เขียนไว้ให้ที่วัดก็แล้วกันนะคะ

ทางขึ้นเนินเดินผ่านน้ำตามแถวหน้า
กระต่ายป่าไม่ชอบใจอะไรหนอ
อ้อ, เต่าหลายตัวเดินอืดอาดไม่อยากรอ
เจ้าตัวขอวิ่งนำหน้าจะคว้าชัย

ชนะอะไรก็ไม่รู้ขอหนูก่อน
ใจมันร้อนรอไม่ได้รอไม่ไหว
วิ่งฝุ่นคลุ้งลอยตลบกลบเต่าไป
เต่ากลั้นใจหลบฝุ่นควันดั้นด้นเดิน

กระต่ายเมืองบางตัวเริ่มสนุก
เดินดูทุกข์คลุกลูกรังช่างขัดเขิน
เคยอยู่เมืองมาเดินป่า..ช้าเหลือเกิน
เหมือนหัดเดิน เหมือนหัดใหม่ ข้างในตน

เคยวิ่งเร็วเหมือนกระต่ายคล้ายอย่างนี้
แต่ไม่ถึงสักทีน่าฉงน
เพราะวิ่งตาม วิ่งแข่ง และวิ่งวน
วิ่งตามโลก กิเลสตนก็วิ่งตาม

เจอฝุ่นคลุ้งจากกระต่ายแล้วได้คิด
ในชีวิตเคยทำไหมใจหนึ่งถาม
อีกใจตอบ เคยทำสิ่งไม่งาม
เคยวิ่งข้ามแบบนี้เช่นเดียวกัน

เพราะอยากเร็วจึงรุดหยุดไม่ได้
เพราะอยากไปให้ถึงซึ่งความฝัน
จึงลืมตัว ตะบึงไปกลางฝุ่นควัน
เคยยึดมั่น เคยทะนง เคยหลงตน

แต่ลองเดินช้า ๆ ลองดูบ้าง
ลองเดินตามเต่าป่าดูสักหน
ระหว่างทางมองลึกในใจตน
ระหว่างทางเหมือนได้ค้นพบตัวเอง

เดินกลางป่ากลางใจกลางธรรมชาติ
ขบวนญาติมวลมิตรใหม่ไม่โหวงเหวง
เจอกระต่ายบ้างน่ารักบ้างนักเลง
เจอเพื่อนเต่าคล้ายตัวเองเดินด้วยกัน

ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่รายรอบ
ได้เรียนรู้ รัก เกลียด ชอบ ทุกข์ สุขสันต์
ได้เรียนรู้ความลำบากยากร่วมกัน
ได้ธรรมะใต้แสงจันทร์และดวงดาว

จะเร็วช้ากระต่ายเต่าเราอยู่ด้วย
ต่างคนช่วยร่วมทางใหม่ไม่ขลาดเขลา
กล้าเดินทวนสวนกิเลสในใจเรา
สวนสายน้ำลำปะทาวเข้าสายธรรม




หมายเหตุ 3: ขอบคุณคุณฮับ-วาสนา สำหรับภาพพ่อแม่ลูกที่ถ่ายและส่งมาให้ค่ะ เป็นภาพในช่วงเช้าวันที่ 8 ธันวาคม บริเวณที่พัก ณ ลานหินวัดภูตาดทอง











Create Date : 11 ธันวาคม 2552
Last Update : 18 ธันวาคม 2552 19:42:48 น. 20 comments
Counter : 2541 Pageviews.

 
จับใจมากค่ะ มีลูกชายเล็กๆเหมือนกันและคิดว่าเมื่เค้าเริ่มเติบโตขึ้นเค้าก็จะห่างเราไปทุกวัน


โดย: olikung@nerijung วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:17:47:50 น.  

 
" ที่พระไพศาลท่านสอนว่าเป็นการเดินทวนสายน้ำจากเมืองชัยภูมิขึ้นสู่ต้นน้ำลำปะทาว ยิ่งเดินขึ้นสูง น้ำจะยิ่งใสขึ้น เหมือนเราเดินสวนกระแสกิเลสได้มากขึ้นเท่าไร ใจเราก็จะใสเย็นมากขึ้นเท่านั้น การเดินธรรมยาตราคือการเดินไปกับธรรม จึงไม่ได้หมายความว่าธรรมยาตราจะจบลงที่ภูเขาต้นน้ำ แต่เป็นการเริ่มต้นที่เราจะน้อมธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของชีวิตเราต่อไป "

ขอบคุณค่ะ สำหรับการแบ่งปันความหมายดีๆของการเดินธรรมยาตราในครั้งนี้


โดย: A life IP: 58.8.25.125 วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:21:08:27 น.  

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดีๆค่ะ..
ตามไปอ่านบทความในเว็บของท่านไพศาล วิสาโล..ได้อ่านเรื่องนึง มีมุมที่น่าสนใจมาก คิดว่าวันหน้าวันหลังจะเขียนบ้าง เรื่องการปลูกป่ากับการปลูกต้นไม้ในบ้าน..
โชคดีของเด็กน้อยที่ได้มีโอกาสแบบนี้ ..สำหรับข้อยเวลาคิดถึงพ่อกับแม่ มักนึกขอบคุณพ่อกับแม่เสมอที่ให้โอกาสให้เวทีในโลกใบใหญ่ ..ให้ได้เรียนรู้ ได้เห็นความงาม ได้เห็นชีวิต..
มีเรื่องเล่าของการเดินป่าเหมือนกัน แต่คนละแนว..แนวเดินเป็นกลุ่มแบบนี้ เคยทำตอนอายุยังน้อย..คนจัดการเหนื่อยน่าดู..ตอนนี้ถนัดเดินเงียบๆมากกว่าค่ะ

ปล. ได้รับโปสการ์ดแล้วค่ะ คงจะมานอนนิ่งในกล่องจดหมายที่เคาน์เตอร์คอนโดหลายวันแล้วค่ะ แต่ไม่ค่อยได้เดินไปดู ขอบคุณสำหรับความระลึกถึง..สองสามวันนี้ก็นึกถึงพี่พีค่ะ ..ตรงที่ว่านกที่มีขนสีเดียวกัน จะอยู่ด้วยกัน..เพราะตอนนี้กำลังสนุกสนานกับพี่สองคนที่เป็นพฤกษาชนเหมือนกัน..เค้าจะมาอยู่เมืองไทยแค่เดือนพย.ถึงมีค.เท่านั้น..ดูเหมือนเรื่องคุยเยอะแยะไปหมด..กับบางคน..เราไม่รู้จะพูดอะไรด้วย..เป็นไหมล่ะคะ


โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:11:10:32 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณolikung@nerijung

ลูกยังเล็กจะติดพ่อแม่นะคะ ถือว่าโชคดีค่ะ
ปัญหาจะมีก็ตอนลูกโตไม่อยากอยู่ติดพ่อแม่แต่พ่อแม่ติดลูกแทนนี่แหละ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพ่อแม่คงต้องทำใจและต้องพร้อมเสมอที่จะให้ลูกกลับมาหา-ในทุกสภาพและ/หรือทุกสถานการณ์นะคะ

สวัสดียามค่ำค่ะคุณ A life
เดินไปด้วยธรรมคื่อธรรมยาตรา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ยินพระไพศาลท่านเทศน์ว่า เดินธรรมยาตรา (ที่ไปเดินกันมาหลายวันนี่แหละ) คือเดินเข้าหาทุกข์ เพราะทุกข์ก็คือธรรม สอนเราได้..ยิ่งเป็นทุกข์ที่เห็นง่าย ๆ ตรงหน้า สัมผัสจะ ๆ กับเนื้อกับตัวของเรา ยิ่งเห็นง่าย ถ้ามีทุกข์แล้วเห็น..และเข้าใจมัน..นั่นคือทางพ้นทุกข์นะคะ (แต่สิ่งที่ยากมักเป็นทุกข์ที่มองไม่เห็นนะ ความทุกข์ที่มันซ่อนตัวอยู่ในรูปอื่น ในแบบอื่น..แล้วเราไม่สามารถรู้ไม่สามารถเห็นมันได้...ตรงนี้ต้องเห็นผ่านการฝึกเจริญสติให้มาก ๆ แล้วล่ะ)

และ'วัสดีคุณแมลงพันชื่อค่ะ
อยากไปร่วมคุยด้วยประสาพฤกษาชน
ชอบคำเทศน์ของพระไพศาลท่านเรื่องต้นไม้ป่ากับต้นไม้ที่บ้านเช่นเดียวกันค่ะ
...เห็นด้วย ว่าเป็นแบบฝึกหัดเบื้องต้นของการเรียนธรรมะใกล้ตัว เห็นจะ ๆ จริง ๆ


โดย: kangsadal วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:18:57:06 น.  

 
ไม่ได้ทักทายกันนานเลยนะครับ
พอเข้ามาวันนี้ ได้รับรู้ถึงความชื่นบานในหัวใจของคนเป็นพ่อแม่
นับเป็นประสบการณ์ที่ดีของลูกครับ การได้ใกล้ชิดธรรมะ
หรือธรรมชาติ ทำให้โตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง (ด้านจิตใจ) ครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:19:24:28 น.  

 
สายัณห์สวัสดีค่ะพี่พี & ที่รักพี่พี & ที่รักมากในดวงใจพี่พีค่ะ
+------------------------------------------------------+

ขอบคุณค่ะที่แวะไปหาน้องสาวที่บ้านนอก
แม้ว่า..จะไม่ยอมแวะไปดื่มกาแฟ(โ)สด ฝีมือน้องฯ หุ หุ

พอมาถึง... รู้สึกซาบซึ้งในธรรมะ & ธรรมชาติค่ะ
ขอบคุณค่ะที่เขียนให้อ่านและช่วยฉุด อะกึ๊ย!
ฉุกใจให้ระลึกถึงการฝึกฝนในธรรมะ (อีกครั้ง) ค่ะ

ในบทความธรรมะฉบับย่อกระชับสั้น ๆ
แต่.. ทำให้ "ความคิดนั้นย้อนความทรงจำที่ดีได้ยาวนานค่ะ"
อาทิประโยคนี้

......เพราะท้ายสุดแล้ว แม้ชีวิตตนเองก็ไม่อาจเป็นของตนเอง.........


เห็นภาพประทับใจการเดินทางด้วยสองเท้า(+หนึ่งไม้เท้า)
ภาพแห่งการเรียนรู้ชีวิตกับธรรมะในธรรมชาติ
ภาพเหล่านี้สร้างพลังใจให้เกิดขึ้นได้มากมาย
และพลังที่เกิดขึ้นในมโนภาพแห่งธรรมะนั้น
ประทับใจในความทรงจำเสมอค่ะ
ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ด้วยการบอกเล่าหรืออ่านเอาเรื่อง
ขอบอก อะคึ่ ๆ

พี่พีเขียนเล่าเอาเรื่องธรรมะเข้าถึงความรู้สึกได้ดีค่ะ
และรู้สึกดีใจมากพิเศษคือว่า..

ภาพ "พ่อแม่ลูก" ผูกพันกันตัวกลม เอ้ย! ผูกพันกอดกันกลมเชียว
ดูแล้วอบอุ่นค่ะ



โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 14 ธันวาคม 2552 เวลา:20:17:10 น.  

 
เป็นเรื่องเล่าที่ครบรสมาก
ซึ้งมากครับ(หัวอกแม่)/สาระประโยชน์เพียบ
แถมสนุกมากครับ อ่านไปเอิ๊กอ๊ากไป

ช่วงที่เล่าถึงเย็นวันที่ 7 ธันวาคม เขาลูกตรงข้ามที่เราเห็นคือภูหลงครับ(วัดป่ามหาวัน)ที่พระอาจารย์ไพศาลดูแลอยู่เป็นป่าต้นน้ำลำปะทาว เป็นเขาคนละลูกที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาเดียวกันกับผาภูจิกที่เราสวดมนต์-ทำวัตรเย็น


โดย: เหน่ง IP: 125.24.184.44 วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:6:51:55 น.  

 
ไม่เจอกันนานเลยนะคะ คุณ IM ยินดีที่ได้คุยด้วยอีกค่ะ
ปีหน้าสนใจไปร่วมเดินบ้างไหม

สวัสดีน้องสาวฯ
ตอนแรกอ่านคำทักทายแล้วงง ๆ กว่าจะแกะรหัสออกใช้เวลาตั้งนาน (สมองบอกวัยแล้วมั้ง?)
อยากดื่มกาแฟสดตอนเช้าวันเดินธรรมยาตราจัง
อ๊ะ ๆ ไม่ใช่
อยากชวนคนชงกาแฟสดไปซดกาแฟซองบนภูปีหน้ามากกว่า

และสวัสดีคุณเหน่งด้วยความยินดีค่ะ
เพราะได้มีภาพพ่อแม่ลูกเพิ่มมาอีกหนึ่ง เจ้าหนูยอมยิ้มให้ด้วยคราวนี้ สงสัยเพราะคุ้นกับตากล้องละมัง (หรือเพราะดีใจจะได้กลับบ้าน!?)




ขอบคุณสำหรับภาพนี้และอีกภาพหนึ่งที่เก็บไว้ที่บ้านนะคะ

และดีใจที่มาช่วยอธิบายเมื่อคำบอกเล่าไม่ตรงกับความเป็นจริง ...
ขนาดคิดว่าว่าฟังชัดแล้วเชียวนากับคำอธิบายยามเย็นเรื่องชื่อภูหลง ภูคี และภูจิกวันนั้น

หรือว่าสติไปรับจับอยู่ที่ภาพก็ไม่รู้


ขอบคุณมากค่ะ


โดย: kangsadal วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:19:52:54 น.  

 
เล่าเรื่องได้ดีมากค่ะ กลอนกระต่ายกับเต่า version นี้สรุปการเดินทางได้ลงตัวพอดี ทำให้พี่อยากไปร่วมเดินป่าด้วยอีกคน เป็นกลุ่มเต่านะเนี่ย

_/|\\_ กราบอนุโมทนากับการการสอนธรรมะเด็กด้วยภาค "ลงสนามทั้งครอบครัว" ของพระอาจารย์ไพศาลตลอดมาค่ะ


โดย: Supranee IP: 74.5.51.118 วันที่: 30 ธันวาคม 2552 เวลา:0:24:22 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ครับ



โดย: Insignia_Museum วันที่: 31 ธันวาคม 2552 เวลา:10:20:10 น.  

 


วันนี้ได้ฤกษ์อัพบล็อกแรกของปีขาลแล้วครับ...




....เป็นบ้านน้อย ร้อยฝัน รังสรรค์สวย

ใช่โชคช่วย ล้วนแรงฉุด ด้วยอุตส่าห์

เอาใจสู้ เอามือทำ ตรากตรำมา

เป็นชีวา เป็นรากฐาน เป็นบ้านเรา.....



โดย: ลุงแว่น วันที่: 7 มกราคม 2553 เวลา:6:50:31 น.  

 
สายัณห์สวัสดีค่ะพี่พี & พี่คนหล่อ & พ่อพี่คนหล่อ(กว่า) ค่ะ
+------------------------------------+

สุขสันต์วันเด็กค่ะ



คุณป้าสาวฯ วานให้น้องใบตองมาส่งยิ้มหวาน
มอบความสุขแด่มิตรักนักเขียน (บล๊อก) ค่ะ


โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 9 มกราคม 2553 เวลา:21:34:09 น.  

 
Piacenza...
19 Gennaio

สวัสดีค่ะพี่พี

มาสวัสดีปีใหม่พี่สาวช้าเหลือเกิน ได้รับหนังสือและน้ำใจตั้งแต่คริสต์มาสแล้วค่ะ
ติดว่าย้ายบ้าน ย้ายที่อยู่ อะไรๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทางเลยเข้ามาขอบคุณพี่ช้าไปมาก
หนังสือของพี่ที่ส่งมาทุกเล่ม เป็นเพื่อนใจให้คนทุกข์ได้เสมอ..
ไม่รู้จะขอบคุณและตอบแทนพี่อย่างไรดี กับน้ำมิตร ไมตรีที่มีมาถึงไม่เคยขาด
ข้อคิด ข้อเขียน คำคม...สร้างความหวัง และพลังใจให้เกิดขึ้นได้ในยามที่ไม่เหลือใคร
ขอบคุณพี่มากๆ อีกครั้งนะคะ

---------------------------------------------------

เพิ่งได้เห็นภาพครอบครัวสุขสันต์พร้อมหน้ากันในบล็อกนี้
ฝากสวัสดีไปถึงคุณพ่อใจดี ที่อุตส่าห์แบกน้ำให้หนุ่มน้อยด้วยค่ะ..^___^

ผ้าขาวผืนนี้เริ่มมีสีสันแต้มแต่ง..อยู่ที่เราจะยอมให้สีโทนไหนอยู่บนผืนผ้านั้นมากกว่ากัน
เชื่อมั่นค่ะว่าการอบรม เพาะบ่มที่ดี จากสองมือแม่ สองมือพ่อที่อบอุ่น
จะส่งผลให้น้องมีแนวทางชีวิตที่ดีและเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพดั่งคุณพ่อ คุณแม่ค่ะ

มองกลับมาที่ลูกตัว เด็กวัยนี้ต้องขัดเกลามาก เหนื่อยใจคนเป็นพ่อแม่ค่ะ
น้องเค้าวัยใกล้กัน แต่วิถีชีวิตแตกต่างกันมาก..กัตเริ่มรับวัฒนธรรมของเด็กฝรั่งเข้ามา
ความนอบน้อม รู้กาละเทศะ การพูดจาเริ่มเปลี่ยนไป ด้วยวัยและสภาพแวดล้อม
กรอบที่เรากำหนดให้บางครั้งก็ต้องขยาย หรือปรับเปลี่ยนใหม่ไปตามสภาพสังคมของลูก
บางครั้งก็คิดนะคะว่าเราเลี้ยงลูกถูกวิธีหรือเปล่า
ดูมันขาดๆ เกินๆ ไม่ได้ดั่งใจ หรือเราคาดหวังกับลูกไว้มากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ

นอกจากย้ายบ้านแล้ว คุณแอนโตยังเปลี่ยนงาน ปีใหม่นี้จึงกลายเป็นการเริ่มต้นปีที่มีแต่การเปลี่ยนแปลง
กราฟชีวิตดิ่งแล้วพุ่ง พุ่งแล้วดิ่ง..โลดโผนโจนทะยานดีแท้ ขำได้ทั้งน้ำตาเลยค่ะ
แต่อย่างไรเสีย..สองมือลูก และแก้มเย็นๆ ที่คอยมาคลอเคลียแม่ ก็เป็นยาดีๆ ได้เสมอ


รักและเคารพพี่เสมอ รักษาสุขภาพด้วยค่ะ
กุ้ง...



โดย: กุ้งค่ะ IP: 87.9.27.75 วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:14:16:03 น.  

 





คำคมความคิด


อยากให้คุณ...

มีไว้ประดับตู้หนังสือที่บ้านสักเล่ม

เชื่อว่า ในวันหนึ่ง

อาจมีกลอนในเล่มสักบท

ทำให้ชีวิตของบางท่านเปลี่ยนไปก็เป็นได้

เพราะผมเชื่อเสมอมาว่า...


“คำคมคม เพียงคำ แสนล้ำค่า

ปรับชีวิต เปลี่ยนชีวา หน้าเป็นหลัง

ปลอบคนทุกข์ ปลุกคนท้อ ก่อพลัง

จุดไฟหวัง สั่งใจสู้ กู้ศรัทธา..”


และ..



“คำที่คม คมกว่ามีด ที่กรีดเฉือน

คำตามเตือน ล้ำลึก ยามนึกถึง

คมแห่งคำ คงชี้นำ ทุกคำนึง

คำคมจึง ไม่เคยตาย ไม่คลายคม.”


โดย: ลุงแว่น วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:14:59:40 น.  

 
มาแจ้งข่าวว่าใช้บล๊อกได้แล้ว...ต้องไปโหลดบราวเซอร์ใหม่มาใช้ค่ะ..มีปัญหาทำให้ต้องหาหนทาง ทำให้ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น


โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:07:15 น.  

 
พี่พีจ๋า..วันที่สิบสองกุมภานี้คุ้มจะเข้ากรุงเทพไปซื้อของ พี่พีว่างบ่ เผื่อจะได้เจอกัน


โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:43:10 น.  

 
สุขสันต์วันแห่งความรักค่ะพี่พี & ที่รักพี่พี & ลูกสุดที่รักค่ะ
+-------------------------------------+



HappY Valentine' s Day
&
Happy Always for My Love
&
HappY HappY HappY for My WORLD

+@+



ด้วยมิตรภาพจากใจสาวบ้านนอก


โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:43:14 น.  

 


มาส่งเทียบเชิญ ให้ลองไปอ่านนวนิยายสไตล์นักสู้

นำเสนอเรื่องราวของเด็กหนุ่มนักสู้บนสังเวียนมวยและสังเวียนชีวิต

ในเรื่อง...

"สังเวียนคน"


เรื่องราวดุเดือดถึงเลือดถึงเนื้อ

ขอเชิญติดตามชมได้แล้วครับ....


โดย: ลุงแว่น วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:06:15 น.  

 


มาแจ้งข่าวว่า

สังเวียนคน

ตอนที่ 2 ตอน "กินโต"


ลงโรงฉายแล้วครับ....


โดย: ลุงแว่น วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:6:42:48 น.  

 
บ้านนี้ร้างแล้วหรือคะhttps://www.bloggang.com/emo/emo6.gif


โดย: แมลงจ่อย (Bug in the garden ) วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:29:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kangsadal
Location :
เวียงจัน Laos

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]






พระจันทร์เต็มดวงคนมองเห็นได้บางวัน
เช่นกันกับวันที่เห็นพระจันทร์เสี้ยว
แต่ทุกวัน....
พระจันทร์เต็มดวง
online
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kangsadal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.