เปิดใจ
 
กรกฏาคม 2548
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
3 กรกฏาคม 2548
 
 

การพิจารณาความตาย

ในการพิจารณาความกลัวและความเศร้าโศก เราต้องสืบค้นลงไปในเรื่องความตายและความชรา ความตายอาจเกิดขึ้นจากโรคร้าย อุบัติเหตุ หรือเพราะอายุที่มากขึ้นและความเสื่อมถอย มีความจริงที่ชัดเจนให้เห็นถึงการสิ้นสุดของกายเนื้อ และมีความจริงที่เห็นได้ชัดเจนว่าร่างกายค่อยๆชราขึ้น เป็นคนแก่ เจ็บป่วย และตายไป และเมื่อคนเราแก่ขึ้นเราก็สังเกตเห็นปัญหาพอกพูนขึ้น เห็นความน่าเกลียด เห็นว่าเมื่อคนเราชราขึ้น เราทื่อเพียงไร ความรู้สึกช้าเพียงไร ความชรากลายเป็นปัญหาเมื่อเราไม่รู้ว่าจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร เราอาจจะไม่เคยมีชีวิตอยู่เลยก็ได้ เนื่องจากต้องอยู่อย่างดิ้นรน เจ็บปวด ขัดแย้ง ซึ่งแสดงออกให้เห็นบนใบหน้าของเรา ในร่างกายเรา ในเจตคติของเรา

เมื่อกายเนื้อสิ้นสุดลง ความตายก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีนักวิทยาศาสตร์อาจค้นพบยาบางอย่างที่ทำให้อยู่ต่อไปได้อีกสัก ๕๐ หรือ ๑๐๐ ปี แต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องตายเสมอ ปัญหาของความชรานั้นมีอยู่ตลอดมา เป็นต้นว่า สูญเสียความทรงจำ มีอาการที่เกิดจากความชราภาพ มีประโยชน์ต่อสังคมน้อยลง ๆ ทุกที เหล่านี้เป็นต้น แล้วก็มีความตาย ความตายในฐานะที่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่รู้จัก ไม่เป็นที่พึงใจอย่างยิ่ง น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ด้วยความที่เราหวาดกลัวมัน เราไม่แม้แต่จะพูดถึงมันด้วยซ้ำ หรือหากเราพูดถึงมัน เราก็จะมีทฤษฎี มีสูตรสำเร็จที่ทำให้สบายใจ มีทั้ง "การกลับชาติมาเกิด" ของชาวตะวันออก และ "การฟื้นขึ้นจากความตาย" ของชาวตะวันตก หรือบางทีเราก็ยอมรับความตายในเชิงเหตุผลและกล่าวว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ และว่า "เมื่อสรรพสิ่งต้องตาย ฉันเองก็ต้องตาย" การใช้เหตุผลอธิบาย ความเชื่อที่ช่วยให้สบายใจขึ้น และการหลบลี้หนีจากความตายแท้จริงแล้วล้วนเหมือนกัน

แต่ความตายคืออะไรเล่า? นอกเหนือจากการที่ตัวตนซึ่งเป็นกายเนื้อสิ้นสุดลงแล้ว อะไรคือความตาย? ขณะที่ตั้งคำถามนั้น เราต้องถามด้วยว่าอะไรคือการมีชีวิตอยู่? ทั้งสองสิ่งนี้ไม่อาจแยกจากกันได้ ถ้าคุณถามว่า "ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรคือความตาย" คุณจะไม่มีทางรู้คำตอบจนกว่าคุณจะรู้ว่าอะไรคือการมีชีวิตอยู่ แล้วอะไรเล่าคือการมีชีวิตอยู่ของเรา? นับตั้งแต่วินาทีที่เราเกิดจนกระทั่งตาย มีแต่การต่อสู้ไม่สิ้นสุด เป็นสมรภูมิรบ การดิ้นรนต่อสู้เหล่านี้มิได้มีอยู่เพียงในตัวเราเอง แต่กับเพื่อนบ้าน ภรรยา ลูก สามี กับทุกสิ่ง เป็นยุทธการแห่งความโศก ความกลัว ความกลัดกลุ้ม ความรู้สึกผิด ความอ้างว้าง และสิ้นหวัง และจากความสิ้นหวังนี้เองก็เกิดประดิษฐกรรมแห่งจิตใจขึ้นมา เป็นต้นว่า พระเจ้า พระผู้ไถ่ นักบุญ การบูชาวีรบุรุษ พิธีกรรม และสงคราม เป็นสงครามจริงๆ ที่ฆ่าฟันกันและกัน นั่นแหละคือชีวิตของเรา นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าการมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจมีความสุขอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เป็นโอกาสที่ดวงตาส่องประกาย แต่นั่นเป็นชีวิตของเรา และเราก็ติดยึดกับชีวิตเช่นนี้เพราะเราบอกว่า "อย่างน้อยที่สุดฉันก็รู้จักสิ่งเหล่านี้ และการมีสิ่งนี้อยู่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย"

ด้วยเหตุนี้เราจึงกลัวการมีชีวิตอยู่ และเราก็กลัวความตาย อันเป็นการสิ้นสุด และเมื่อความตายมาถึงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เราก็พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชนะมัน ชีวิตของเราเป็นการยุทธอย่างหนึ่งที่ปวดร้าวทรมานแสนยาวนาน เป็นการต่อสู้กับตัวเอง กับทุกสิ่งรอบตัว และการยุทธนี้เองที่ถูกเรียกขานว่าความรัก เป็นการเพิ่มพูนความพึงพอใจ เพิ่มพูนความปรารถนา พร้อมทั้งความสมปรารถนา ไม่ว่าจะในเรื่องเซ็กส์และอะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้คือชีวิตของเราจากเช้าจรดค่ำ

หากเราไม่เข้าใจการมีชีวิตอยู่ การเอาแต่หาทางหนีให้พ้นไปจากความตายย่อมไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เมื่อเราเข้าใจว่าการมีชีวิตอยู่คืออะไร ซึ่งก็คือการยุติความเศร้าโศก ยุติการต่อสู้ดิ้นรน ไม่สร้างสมรภูมิแห่งชีวิตขึ้นมา เราจะเห็นด้วยจิตใจภายในของเราเองว่า การมีชีวิตอยู่ก็คือการตายนั่นเอง ตายไปจากทุกสิ่ง ในทุกวัน ตายไปจากสรรพสิ่งที่เราสะสมรวบรวมไว้ แล้วแต่ละวันจิตใจจะใหม่ สดชื่น และไร้เดียงสา การทำเช่นนั้นได้ต้องมีความใส่ใจอย่างมหาศาล ทว่าไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้หากไม่มีการสิ้นสุดของความเศร้าโศกเสียใจ ซึ่งก็คือความกลัว รวมทั้งสิ้นสุดความคิด จากนั้นจิตใจจะสงบนิ่งเป็นที่สุด ไม่ทื่อ ไม่เขลา ไม่ไร้ความรู้สึกเพราะการฝึกจิตและกลอุบายต่างๆ ที่เราใช้ โดยอาศัยการศึกษาโยคะและอะไรทำนองนี้ เมื่อนั้นชีวิตก็คือการตาย ซึ่งหมายความว่าไม่มีความตายหากปราศจากความรัก ความรักมิใช่ความทรงจำ ชีวิต ความรัก และความตายอยู่ร่วมกันเสมอ มันมิใช่สามสิ่งที่แยกขาดจากกัน ด้วยเหตุนี้ ในการดำรงอยู่ทุกวันของชีวิต จึงอยู่ในสภาวะที่สดใหม่ นอกจากนี้ การจะมีความแจ่มชัดและความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาเยี่ยงนั้นได้ สภาวะแห่งจิตใจที่มี "ตัวฉัน" เป็นศูนย์กลางอยู่เสมอนั้นต้องตกตายไปเสียก่อน

หากไร้รักก็ปราศจากคุณธรรม หากไร้ซึ่งความรักก็ปราศจากสันติภาพ ไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆ นั่นเป็นรากฐานของจิตใจในการเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัดเข้าสู่มิติที่สัจจะปรากฏ



กฤษณมูรติ : บรรยาย
กรรณิการ์ พรมเสาร์ : แปล
ชีวิตกับความตาย > ว่าด้วยชีวิตและความตาย > จาก ปาฐกถาในยุโรป ๑๙๖๘, ปารีส, ๒๘ เมษายน ๑๙๖๘




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2548
4 comments
Last Update : 3 กรกฎาคม 2548 16:32:02 น.
Counter : 1452 Pageviews.

 

ชอบกฤษณะมูรติเหมือนกันคะ
เคยอ่านเรื่อง...แด่หนุ่มสาว

 

โดย: Pojjy IP: 168.120.26.101 4 กรกฎาคม 2548 0:35:59 น.  

 



น่าสนใจดีค่ะ
กฤษณะมูรติ
คงต้องลองหาอ่านเพิ่มเติมดูอีกทีค่ะ


 

โดย: paang IP: 221.128.103.252 12 กรกฎาคม 2548 7:35:21 น.  

 

Thank you มากๆค่ะ
เป็นผู้ที่เราเคารพนับถือมากค่ะ
ท่านปล่อยวางซึ่งตัวตนหมดสิ้นแล้วจริงๆค่ะ
สาธุๆๆ

 

โดย: Goddess IP: 203.144.241.41 13 กรกฎาคม 2548 10:29:36 น.  

 

สุดยอดเลยครับ ผมอ่านหนังสือของท่านแล้ว
ทำไห้ผมรู้จักตัวเองได้มากขึ้น และสามารถตัดสินใจ
ทำสิ่งที่ควรทำได้ด้วยตัวเอง ครับ ขอบคุณมากครับ ผมนับถือและเชื่อฟังคับคำสอนของท่านครับ

 

โดย: โต้ง chotsawai IP: 125.26.186.79 8 ธันวาคม 2553 15:50:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

กาหลิบ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add กาหลิบ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com