Bloggang.com : : Kabird : พัทยา เฮฮา ใน 2 วัน

พัทยา เฮฮา ใน 2 วัน

พัทยา จะอยู่ในลิสต์ต้นๆที่คิดถึงเสมอเวลาที่ต้องการ refresh ตัวเองจากงานอันรุมเร้า แถมอยู่ไม่ไกลจาก กทม เดินทางสะดวกด้วย

ครั้งนี้มีเวลาเที่ยว 2 วัน 1 คืน กำลังพอดีค่ะ เที่ยวแบบหวานเย็น เรื่อยๆ ใช้ชีวิตให้ช้าลง ดื่มด่ำธรรมชาติให้มากที่สุด เที่ยวแบบได้เท่าไหร่เอาแค่นั้น

จาก กทม-พัทยา ถ้ารถไม่ติดก็ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ขอบอกว่า ไม่ได้เตรียมหาที่เที่ยวอะไรมากมาย ประมาณว่าไปก่อนแล้วค่อยคิดหน้างานละกัน ไม่อยากวางแผนมาก เดี๋ยวเที่ยวไม่ครบแล้วจิตตก555

MIMOSA

เข้าเขตพัทยา แดดร้อนเปรี้ยงปร้างแสบผิวโคตรๆ แวะเที่ยวเลยละกันที่แรกคือ Mimosa ภายใต้คอนเซป The city of love จริงๆเคยมาครั้งนึงละ ตอนนั้นเข้าฟรีเพราะยังสร้างไม่เสร็จ มารอบนี้เสร็จเรียบร้อยคงมีอะไรให้ชมมากมาย

Mimosa ตั้งอยู่นาจอมเทียน อ.สัตหีบ ถ้ามาจากกรุงเทพฯ จะเห็นง่ายมาก เป็น landmark อยู่ซ้ายมือติดถนนหลักเลยค่ะ

ที่จอดรถกว้างขวาง แถมมีทัวร์เอเชียมาลงตรึมค่ะ! ไม่ธรรมดานะเนี่ย

ประตูเข้าอยู่หน้าลานจอดรถ ขายบัตรราคา 150 บาท (อัพเดท ปี 2557) มีตั๋วพ่วงให้เลือกเข้าฟรีเพิ่ม ระหว่างห้อง Art 3D หรือ ชมสัตว์แปลก ส่วนตั๋วพ่วงอีกใบเป็นส่วนลด 100 บาทเมื่อซื้ออะไรสักอย่างเนี่ยแหละจำไม่ได้ค่ะ อ่านจากในเนตบัตรผ่านคือ 50 บาท ซึ่งพนักงานบอกว่านั่นเป็นราคาตอนเปิดใหม่ๆโปรโมชัน

ภายใน Mimosa ออกแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสโบราณ ผสมผสานกับหมู่มวลดอกไม้นานาชนิดแบ่งเป็น zone คือ โซนร้านอาหาร, ร้านของฝากของที่ระลึก, สปานวดแผนไทย, การแสดง, ห้องศิลปะ, โรงหนัง, และเสื้อผ้าแฟชั่น

อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อนจัด หรือเคยมาแล้วก็ไม่รู้สินะ ทำให้ใช้เวลาอยู่ใน Mimosa แป๊บเดียวเองค่ะ ที่อยู่นานสุดก็คงเป็นห้องศิลปะแบบ 3D Art ที่กำลังฮิตกันถูกใจสาวกเหล่าชอบถ่ายรูป อ้อ!ก่อนเข้าต้องถอดรองเท้าด้วยนะคะ เพราะทุกส่วนของห้องถูกเพนท์สีสันสวยงาม ติดแอร์เย็นฉ่ำ ตัวอาคารมี 2 ชั้นค่ะ คนเข้าชมกันแน่นตลอดเวลาเลย

Mimosa เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00 น. - 22.00 น. มีการแสดงหลากหลายไม่ซ้ำกันที่ลานน้ำพุ การแสดงประกอบน้ำพุตามจังหวะดนตรี แสงสีตระการตา

ติดต่อสอบถาม Office (66) 38 237 318-9 , 08 2467 6444 Fax (66) 38 237 318
https://www.facebook.com/mimosapattaya
//www.mimosa-pattaya.com/

จากนั้นเดินทางกันต่อ ขับรถชิลล์ๆเพื่อจะไปเขาชีจรรย์ ระหว่างทางขับผ่าน วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ก็เลยแวะขอเข้าไปชื่นชมความงดงามของศาสนสถานที่สอดแทรกคติธรรมรายรอบ ทั้งพระอุโบสถที่สร้างถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช,พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ที่สร้างถวายราชวงศ์จักรี และพระมหามณฑปพุทธบาทภปร. สก. ที่งดงามสมกับเป็นพระอารามหลวงเปิดทุกวัน ไม่เสียค่าเข้า ขอบอกว่าทัวร์อาม่าอาแปะ พี่ยุ่นก็มาตรึมจ้า!!!

ขับรถวนอ้อมไปด้านหลังวัดแล้วเลี้ยวขวาไม่ไกลกันมากก็จะเจอ วิหารเซียน หรือ อเนกกุศลศาลา เป็นสถานที่รวบรวมงานศิลปะไทย-จีนชั้นสูงที่สำคัญของเมืองไทย ตัววิหารเป็นแบบจีนสูงสามชั้น ภายในมีรูปปั้นศิลปะจีนต่างๆเช่น ไซอิ๋ว เปาบุ้นจิ้น และสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ไปจนถึงมวยจีนของวัดเส้าหลิน และยังมีพิพิธภัณฑ์เจ้าแม่กวนอิมหยกขาวองค์ใหญ่ไว้ให้สักการะ (มีค่าเข้าชมนะคะ ซื้อบัตรตึกหน้า เยื้องๆกับที่จอดรถค่ะ) กะเบิ๊ดไม่เข้าดีกว่า ยืนนิ่งๆชื่นชมความงามอยู่ข้างนอก แล้วก็เดินเข้าไปในสวนสาธารณะฝั่งที่ติดกับแม่น้ำและมองเห็นวัดญานฯอยู่ลิบๆ เลือกที่จะให้อาหารปลา และขอนั่งเฉยๆนิ่งๆพักเหนื่อยละกันค่ะ อากาศดี เคลิ้มๆตาแทบจะปิด

4 โมงเย็นแล๊ววว จุดหมายต่อไปคือ เขาชีจรรย์ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลมาก มีป้ายบอกตามทางตลอดไม่ต้องกลัวหลง ถ้าสังเกตุดีๆ ระแวกนี้ถูกออกแบบจัดแปลนมาอย่างดี สวยงามและแวดล้อมด้วยธรรมชาติเขียวขจี เย็นตาเย็นใจจัง

แวะสักการะพระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาเขาหินปูนที่งดงามที่สุดในพัทยา ณ เขาชีจรรย์ สัมผัสความมหัศจรรย์แห่งศรัทธาในพุทธศาสนา โดยใช้เทคโนโลยียิงเลเซอร์ลงบนพื้นหินเป็นพระพุทธรูปแบบประทับนั่งปางมารวิชัย ความสูง 109 เมตร ซึ่งได้ชื่อว่าคือพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก! มากี่ครั้งๆก็ประทับใจตลอด ผู้คน นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเยี่ยมชมความงาม รวมถึงพระสงฆ์ซึ่งมาประกอบพิธีเนื่องในอีกไม่กี่วัน (28 กค 57) เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าฟ้าชาย

แดดร่มลมตก ต้องเดินทางต่อเพื่อเข้าที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากค่ะ ขับรถผ่านไร่องุ่น Silver Lake และสวนนงนุชมาหน่อยก็ถึงละค่ะ

"บุรีธารา" ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่ให้ complimentary มาพักที่นี่ เป็นรีสอร์ทแนวธรรมชาติ เน้นออกแบบวัสดุและสีจากไม้เอิร์ธโทน ให้บรรยากาศอบอุ่นดีค่ะ เชคอินเสร็จเรียบร้อย มีรถกอล์ฟมารับเข้าที่พักถ้าไม่อยากเดินจาก front ไปยังที่พัก เพราะสถานที่กว้าง ซึ่งห้องพักแต่ละหลังค่อนข้างส่วนตัวและเงียบพอสมควร เสียดายไม่มีโทรศัพท์ภายในและผ้้าม่านปิดไม่สนิท ถ้าจะให้ดาวก็คงอยู่ที่ 2ดาวครึ่ง-3ดาวค่ะ

พนักงานแจ้งว่า 6 โมงเย็นมีอาหารมื้อค่ำพร้อมเสริฟที่ริมสระว่ายน้ำ พอดีเลย อยากไปนั่งเล่ยชิลล์ๆริมสระรอดดูตะวันตกดินซะหน่อย สระว่ายน้ำที่นี่ยกระดับอยู่สูงบนเนิน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเพราะออกแบบเพื่อต้องการให้มองเห็นทะเลและวิวทิวทัศน์โดยรอบ นอกจากมีสระว่ายน้ำแล้ว ยังมี fittness, bar, ร้านอาหาร indoor-outdoor ด้วยค่ะ ซึ่งร้านอาหารมี 2 ชั้น ชั้นบนยังเป็นพื้นที่โล่ง มีโต๊ะอาหารอยู่ไม่กี่ตัว คิดว่าคงเป็นพื้นที่สำหรับเลี้ยงสังสรรค์เสียมากกว่า

นั่งกินอาหารเย็นริมสระ จิบไวน์แดงเย็นๆ ทอดอารมณ์ว่างเปล่าไปเรื่อยๆ มีความสุขจัง บรรยากาศดีมากๆค่ะ ลมเย็นพัดโชยอยู่ตลอดเวลา

เช้าวันใหม่ ตื่นมารับอรุณพร้อมอาหารเช้าที่รีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ที่บริเวณสระว่ายน้ำเช่นเดิม เราเดินช้าๆชื่นชมบรรยากาศของรีสอร์ท อืม...ซึ่งมองๆดูแล้วเนี่ย รีสอร์ทเหมือนยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดีสักเท่าไร ยังมีที่ว่างบางพื้นที่ที่ยังไม่ได้จัดสรรค์ว่าจะทำอะไร เอ!!!หรือว่าเค้าตั้งใจปล่อยโล่งปลูกต้นข่าหว่า??? ซึ่งพอถามพนักงานก็บอกว่าเป็นมาเป็นปีแล้วนะ

อาหารเช้าเป็นแบบบุพเฟ่ต์อาหารไทย-ฝรั่ง ตักบริการตนเองทั่วไป แดดยามเช้าอากาศดี ลมโชยเย็นๆสบายจริงๆค่ะ

พอกินเสร็จก็เดินเล่น เก็บภาพถ่ายรอบๆสักพัก แล้วจึงจัดแจง check out เริ่มเดินทางคร๊าา :)

เป้าหมายเรื่อยๆ เฉื่อยๆจริงๆค่ะ search ดูในเนตเค้าบอกว่าร้านที่น่าสนใจที่ควรแวะคือร้าน Skech book art cafe อ่ะ เราก็ไปดูกันดีกว่า ร้านร่มรื่นน่านั่งมากๆ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ ถึงแม้ร้านจะตั้งอยู่หัวมุมไฟแดงพอดี แต่ธรรมชาติเขียวขจีในร้านก็กลบ ลบล้างเสียงแว๊นมอ'ไซค์ ได้บ้าง

ประทับใจร้านนี้ตั้งแต่แรกเข้า...เอิ่ม แต่ราคาแอบต๊กกะใจนิสนุงง่ะ ราคาไม่น่ารักเท่าไหร่เลยค่ะ เครื่องดื่มก็ประมาณเกือบแตะ 100 บาท ส่วนอาหารก็แตะๆ 200 หรือมากกว่า ก็เลยตัดสินใจเดินชื่นชมร้านแล้วจึงเดินทางกลับ กทม แวะกินกาแฟอเมซอนก็ได้ว๊า ยังพอสู้ไหวได้บ้าง

สรุปแล้วก็คือ มุ่งตรงกลับ กทม ค่ะ ไปกินชาบูชิ ชิลล์ๆแทนซะงั้น555 เพราะถ้ากลับช้า 5-6 โมงเย็นก็กลัวรถจะติดที่มอเตอร์เวย์ซะก่อน นับว่าเป็นทริปที่ไม่ได้กะเกณท์อะไรไว้ตายตัวเลย เพราะไม่งั้นเดี๋ยวถ้าไม่ได้ทำตามแพลนที่วางไว้แล้วจะจิตตกเปล่าๆ ปล่อยให้เวลาเดินช้าลง ทำอะไรสบายๆบ้างก็มีความสุขดีค่ะ :)