คุณหญิงกระเจี๊ยบ!!!
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
27 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

รักออฟไลน์...(You’re soul mate.)

พอไหวไม๊?


อย่างที่บอกค่ะ เจี๊ยบอ่ะชอบเหลือเกินการอ่านนิยาย ก็ไม่ผิดใช่ไม๊ที่อยากจะเขียน ไหนๆก็ไหนๆ เอามาเขียวแล้วละเลงมันตรงนี้เลยดีกว่า 55 ก็ขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้มาปล่อยของหน่อยก็ละกันนะคะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นก้อนนะคะ อันที่จริงเคยเอาไปลงที่ถนนนักเขียนนานแล้ว แต่ก็ยังอยากเอามาลงที่นี่อยู่ดี ลองอ่านนะ ใครสนใจจะเม้นเสนอแนะอะไร เจี๊ยบยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็นนะคะ


รักออฟไลน์...(You’re soul mate.)

เขามาแล้ว...เขาออนไลน์แล้ว โปรแกรมที่ฉันใช้งานอยู่แจ้งสถานะขึ้นตรงมุมซ้ายด้านล่างบอกฉันว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในรายชื่อเพื่อนๆที่ใช้โปรแกรมนี้เช่นเดียวกัน ฉันไม่แน่ใจว่าสถานะของตัวเองที่แสดงไว้เป็นอะไร จึงเปิดหน้าต่างของโปรแกรมขึ้นมาอีกครั้ง ปกติฉันมักจะนั่งทำงานเพลินโดยที่เปิดโปรแกรม Window Live Messenger หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า MSN ทิ้งไว้เสมอ หากแต่เมื่อไรก็ตามที่พบว่าเขาออนไลน์มาสถานะของฉันจะเปลี่ยนไปแสดงเป็นออฟไลน์ทันที เขาจะไม่มีโอกาสเห็นฉันอยู่ในลิสต์ของเขาทั้งที่มีฉันก็ออนไลน์อยู่

วันนี้ชื่อของเขาเศร้าเหมือนเดิม “ถึงหน้าผาย่อมมีทางออก แต่เมื่อทางออกไม่เป็นอย่างที่คิด” ฉันไม่แน่ใจว่า ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร จะสบายดีไหม เพราะฉันไม่มีโอกาสได้คุยกับเขามาเป็นเวลานานจนย่างเข้าสู่ปีที่หกแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราคุยกันปกติ ฉันไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาจะมีความคิดถึงหรือระลึกถึงฉันอยู่หรือไม่ ในเมื่อฉันเป็นคนเดินออกมาจากชีวิตของเขา โดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลาด้วยซ้ำไป

เมื่อหกปีก่อน ฉันในตอนนั้นเป็นเพียงนักศึกษาที่ไม่ประสากับเรื่องใดๆ โลกภายนอกที่มีอะไรมากมายและซับซ้อนยิ่งนัก ตอนนั้นฉันได้พบกับใครคนหนึ่ง ในวันที่เพื่อนสาวของฉันแนะนำและสอนให้ฉันรู้จักโปรแกรมแชท (Chat Programmed)ที่ชื่อว่า MSN เพื่อนสาวของฉันได้ทำการสมัครสมาชิกเพื่อให้ฉันมีที่อยู่ที่เรียกว่า E-mail address รวมทั้งสอนให้ฉันได้รู้จักตัวไอคอนน่ารักที่เป็นเหมือนรูปมนุษย์สีเขียวสองตัวที่ยืนซ้อนกัน มันดูน่ารักนักสำหรับคนที่เพิ่งหัดเล่นอย่างฉัน เพื่อนบอกอีกว่า ฉันสามารถจะรู้จักใครๆได้มากมาย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ ณ ที่แห่งใดในโลก ฉันรู้สึกเหมือนโลกใบใหญ่จะเล็กลงทันทีด้วย MSN มันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำให้เราสามารถพูดคุยข้ามน้ำข้ามทะเลกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อตั๋วและเครื่องบินไปหาด้วยซ้ำ วิเศษเหลือเกินแต่ฉันก็ต้องมีหรือรู้ E-mail address ของคนที่เราต้องการจะติดต่อด้วยก่อน รู้สึกว่าจะเป็นปัญหาสำหรับฉันแล้วล่ะเพราะไม่รู้จะไปเอามาจากที่ไหนในลิสต์ของฉันมีเพียงเพื่อนสาวคนที่ทำการสมัครให้เท่านั้น แล้วจินตนาการกับความตื่นเต้นก็หมดลง ฉันทำหน้าเซ็งจนเพื่อนอดที่จะหันมาถามไม่ได้

‘เป็นอะไรไป ทำไมไม่เล่นล่ะ’ เพื่อนกระซิบถามเสียงแผ่วเบา เพราะคอมพิวเตอร์ที่พวกเราใช้นั้น เป็นของหอสมุดในมหาวิทยาลัย ฉะนั้น มีป้ายติดเกือบทุกที่ว่า 'กรุณางดใช้เสียง'

‘ไม่รู้จะคุยกับใคร’ ฉันตอบไปอย่างเสียมิได้ เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

‘อ๋อ’ เธอทำหน้าเข้าอกเข้าใจแล้วเดินอ้อมมาที่หน้าจอมอนิเตอร์ของฉัน พร้อมกับยึดคีย์บอร์ด และจิ้มๆอะไรบางอย่างลงไป

‘ทำอะไร’ ฉันถามเธอ

‘แกจะไม่มีเพื่อนคุย ถ้าแกไม่แอดคนอื่น’ ฉันทำหน้างง อะไรคือแอดอย่างนั้นหรือ แล้วเพื่อนสาวของฉันก็ทำการอธิบายให้ฉันฟังจนเข้าใจว่า เราต้องนำเอา E-mail address ของเราไปโฆษณา เช่นวางไว้ตามเว็บบอร์ด (Web Board) ต่างๆเพื่อให้คนอื่นๆสนใจและเลือกเราเข้ามาเป็นเพื่อน เมื่อเราทำการตอบรับแล้วพวกเขาจึงจะสามรถคุยกับเราได้ แต่ถ้าไม่รับพวกเขาก็จะไม่สามารถเห็นว่าเราออนไลน์ได้นั่นเอง

ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีมีคนส่งข้อความมาเพื่อขอให้รับรายชื่อเหล่านั้นเป็นเพื่อนมากมาย ชื่อแต่ละคนนั้นก็แปลกอย่างกับพระเอกหนังก็มีอย่าง ‘เฉินหลง’ หรือ ‘โอโม่’ ท่าทางคนตั้งชื่อนี้คงขาวผุดผ่องเหมือนผงซักฟอกตราโอโม่ หรือจะเป็นแนวการ์ตูนโปรดของฉัน ‘มาโมรุ’ ชื่อพระเอกในเซเลอร์มูน ฉันคลิกปุ่มอนุญาตไปอย่างที่เพื่อนเคยสอนเอาไว้ จากนั้นไม่นานรายชื่อเพื่อนในรายการมากมายที่เข้ามาคุยกับฉัน ทั้งหมดล้วนเป็นเพศชาย น่าแปลกใจเสียจริง ทำไมไม่มีผู้หญิงเข้ามาคุยกับฉันสักคน ฉันนั่งพิมพ์คำตอบเดิมๆที่คนเหล่านั้นถามมา จนรู้สึกว่าฉันเริ่มเมื่อยนิ้วแล้ว อยากกลับหอพักเสียที เบื่อแล้วที่จะต้องพิมพ์ว่า ‘ฉันชื่อ ศศิกานต์ อายุ 20บ้านอยู่กรุงเทพฯ ฝั่งธนฯ เรียนอยู่วิศวฯปี2 ที่มหาวิทยาลัย...’ และทุกครั้งที่ฉันพิมพ์สถานที่และสาขาที่ฉันเรียนลงไปก็ต้องมีคำตอบกลับมาว่า ‘โอ้โฮ เก่งจังเลยเสมอ’ ฉันยังไม่เห็นว่าตัวเองจะ ‘เก่งจังเลย’อย่างที่ใครๆบอกที่ตรงไหน ทุกคนมักมองว่าคณะที่ฉันเรียนอยู่ถูกจำกัดให้แต่เพศชายท่านั้น เมื่อเจอว่ามีผู้หญิงเรียนในจำนวนไม่มากนักก็ต้องแสดงความประหลาดใจเป็นธรรมดา

ฉันเริ่มรู้สึกว่า MSN ไม่ยักสนุกอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก เพราะทุกคนที่อยากได้ฉันเป็นเพื่อนในตอนแรกนั้นมักขอดูรูป เบอร์โทรศัพท์ ให้ตายเถอะนี่มันโปรแกรมหาคู่ชัดๆ ฉันไม่เอาด้วยหรอก ใครก็ไม่รู้จะให้ฉันแจกเบอร์และไปทำความรู้จักสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร จริงอยู่ว่าฉันอาจจะบอกและตอบคำถามพวกเขาด้วยความจริงทั้งหมด แต่ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาก็บอกฉันด้วยความจริงเช่นกันของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา ช่างเถอะตอนนี้ฉันอยากกลับแล้ว

ในขณะที่ฉันกำลังจะทำการออกจากระบบ ก็มีคำขออนุญาตจากใครอีกคนขอเข้ามาเป็นเพื่อนเหมือนหลายๆคนที่เพิ่งคุยไป ฉันกดรับไปตามความเคยชินและปิดโปรแกรมออกจากระบบในทันที ฉันขี้เกียจเล่นแล้ว พยายามฉุดกระชากเพื่อนสาวให้เดินกลับหอพักของมหาวิทยาลัยด้วยกัน หากแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย เพื่อนของฉันนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอ-มอนิเตอร์อย่างมีความสุข ฉันจึงจำใจเดินกลับมานั่งที่คอมพิวเตอร์เครื่องของตัวเองอีกครั้ง เปิดโน่นดูนี่และสุดท้ายก็เปิด MSN ที่ปิดไปเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้ง

ในเวลานั้นมีคนแสดงสถานะออนไลน์อยู่ไม่ถึง 10 คนและคนเหล่านั้นก็ได้ตั้งคำถามยอดนิยมกับฉันไปจนหมดแล้ว พวกเขาไม่คิดจะคุยกับฉัน ในขณะที่ฉันก็ไม่คิดจะคุยกับใครอีกเช่นกัน เหมือนเล่นเกมจ้องจอมอนิเตอร์ อยู่ๆ ก็มีข้อความปรากฏขึ้นมาที่หัวมุมล่างของหน้าจอ เหมือนกับครั้งที่พวกคนอื่นๆเคยทัก ฉันคลิกขึ้นมาอ่านอย่างรู้งาน คนๆนี้มาแปลกกว่าผู้เล่นอื่นๆที่ฉันคุยด้วยเพราะเขาทักทายฉันว่า ‘ทำอะไรอยู่’ ทักราวว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน ไม่มีคำสวัสดีหรืออะไรสักอย่างที่แสดงว่า เราเพิ่งรู้จักกัน ฉันเองก็เป็นคนตรงเลยตอบไปว่า

‘รอใครสักคนมาทักนี่ล่ะ เพราะไม่มีอะไรจะทำ’ โถ คิดแล้วก็อดสงสารตัวเองไม่ได้ที่ว่างเสียจนไม่มีอะไรทำ อยากจะกลับหอพักก็ไม่ได้เพราะเพื่อนสาวที่มาด้วยกันยังติดลมกับการท่องโลกไซเบอร์ของเธอ

‘เราก็ทักแล้วนี่ไง เราชื่อเอนะ’ เขาเป็นฝ่ายแนะนำตัว แล้วฉันก็ตอบชื่อตัวเองไปอย่างรู้งาน

‘เราเจ’เท่านั้น สั้นๆง่ายๆ
‘ทำงาน/เรียน’ เอาอีกแล้ว เริ่มเข้าสู่เกม 20 คำถามแบบเดิมๆที่ฉันเพิ่งพิมพ์มาเป็นสิบรอบแล้ว ฉันจึงตอบไปเป็นแพทเทิน เพราะหวังว่าเขาจะได้ไม่ต้องถามอีก หากแต่เมื่อเขาได้รับคำตอบก็เปลี่ยนเรื่องไม่ถามเรื่องส่วนตัวอีกเลย


AA said: ‘เธอชอบเที่ยวป่ะ’

JJ said: ‘ก็ชอบ สนุกดี’

AA said: ‘หรอ เด็กสมัยนี้นี่นะ’

JJ said: ‘ทำไม เราชอบเที่ยวต่างจังหวัด ผิดด้วยหรือ’

AA said: ‘เราหมายถึง เที่ยวกลางคืนต่างหาก’

JJ said: ‘อ่าว ใครจะรู้...แต่เราก็เพิ่งไปมา’


ฉันกำลังจะสารภาพไปถึงการเที่ยวผับ ย่านรัชดาซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งที่อายุฉันยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ คืนนั้นเป็นงานบายเนียร์ ของรุ่นพี่คนที่ฉันแอบชอบอยู่ ฉันเลยถือโอกาสกล้าหาญที่จะทำผิดกฎหมาย อายุไม่ถึง 20 ปีหนีเที่ยวสถานบันเทิงยามวิกาลเป็นครั้งแรก ครั้งนั้นฉันบังเอิญและโชคดีอาศัยจังหวะตำรวจสายตรวจไปเข้าห้องน้ำและเวลานั้นเจ้าหน้าที่หน้าผับก็ไม่ได้สนใจเท่าไรจึงถือโอกาสเข้าไปในสถานบันเทิงนั้นได้โดยไม่ผ่านการตรวจสอบใดๆ โชคช่วยอะไรเช่นนี้ แต่เมื่อฉันเข้าไปภายในแล้ว ฉันไม่ค่อยพิสมัยบรรยากาศของผับสักเท่าไหร่ ตั้งแต่เสียงเพลงที่ดังอึกทึกในจังหวะที่วัยรุ่นสมัยฉันชื่นชอบ ควันบุหรี่ที่อบอวนจนรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ ความจริงแล้วผับแห่งนี้ต้องถูกปิดเพื่อรุ่นพี่โดยเฉพาะ หากแต่การตรวจสอบที่หละหลวมของทางร้าน ฉันก็ยังคงเห็นคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่เพื่อนๆหรือพี่ๆในคณะเข้ามาเดินโปรยยิ้มมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ ฉันก็รู้สึกไม่ชอบอยู่ดี แม้จะได้เพียงไปนั่งจิบโค้กมองรุ่นพี่คนที่ฉันแอบชอบก็ตาม มันไม่สนุกเอาเสียเลย

เมื่อเอถามเกี่ยวกับประสบการณ์การท่องเที่ยวยามราตรีนั้น ฉันก็มีเพียงประสบการณ์เดียวที่ไม่ได้ประทับใจสักเท่าไหร่

JJ said: ‘ก็ดีนะ เราว่ามันก็สนุกดี ตรงที่เราได้หนีตำรวจที่ตรวจเข้าไปได้ทั้งที่อายุเรายังไม่ถึงนี่ล่ะ’

แล้วฉันก็ตอบเอไปแบบนั้น ช่างไรเหตุผลจริงๆที่ยกเอาการหนีตำรวจได้เป็นเรื่องที่น่าสนุกในตอนนั้น ทั้งที่ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างรุ่นพี่ที่ดูแลน้องๆจะคอยช่วยทุกอย่าง หน้าที่อย่างเดียวก็คือ การเดินตามพี่เข้าไป แค่เป็นน้องที่ว่าง่ายก็พอ ถ้าวันนั้น ฉันเจอรุ่นพี่ที่ไม่ดีเข้า ป่านนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรหนอ ก็ถือว่า สวรรค์ยังปรานี เพราะพี่คนที่พาเข้าไปนั้น ทุกวันนี้ก็เป็นคบและนับถือกันได้ดีเรื่อยมา

AA said: ‘หนีตำรวจ!!!’

เอพิมพ์มาถามแบบนั้น ทำไมล่ะ มันเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอ

JJ said: ‘ใช่ ทำไมล่ะ ก็ตำรวจอยากโง่เอง คนตรวจตราไม่มีประสิทธิภาพ ประชาชนก็หาช่องโหว่ได้สิ ห้าห้าห้า’

ฉันตอบพร้อมพิมพ์เลียนแบบเสียงหัวเราะใสให้เอ สามครั้ง น่าแปลกจัง ทำไมฉันคุยกับเอคนนี้แล้วรู้สึกสบายใจจัง คงเพราะเขาถามคำถามที่ไม่เหมือนคนอื่น หรือเพราะว่าเขาเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เลยทำให้ไม่มีความระแวงสงสัยใดๆ

AA said: ‘มันเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดเลย ถ้าวันนั้นเป็นเรา เราจะไม่ยอมปล่อยเธอเด็ดขาด แม่สาว JJ’

JJ said: ‘เอ จะไม่ปล่อยเราหรอ แหม ทำอย่างกับตัวเองเป็นตำรวจอย่างนั้นแหละ ทำเป็นเดือดร้อนแทน’

AA said: ‘ก็ผมเป็นตำรวจ’

อะไรนะ ใครก็ได้ ช่วยบอกว่าฉันอ่านผิดหรือไม่ก็เขาล้อเล่น แต่ใครจะช่วยได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้มีเพียงฉันคนเดียวที่หน้าจอมอนิเตอร์นี้ โอ้สวรรค์ เรื่องตลกชัดๆ ฉันไม่ตอบ เพราะกำลังอึ้งถึงขีดสุด

AA said: ‘ทำไมแม่คนเก่ง ไม่พูด ไม่ใช่สิไม่พิมพ์ต่อล่ะ เก่งๆอย่างนี้เดี๋ยวก็จับเข้าห้องขังเสียเลย’

ฉันยังเงียบอยู่เพราะไม่รู้จะพิมพ์อะไรลงไป ท่าทางเอเป็นตำรวจจริงๆแล้วล่ะ แต่ไม่เป็นไรตำรวจหญิงน่าจะใจดี ไม่ทำอะไรฉันหรอก อีกอย่างเราเพียงแค่สื่อสารกันผ่านโลกไซเบอร์ เอรู้จักฉันจริงๆเสียที่ไหนกัน

JJ said: ‘เอเป็นตำรวจหญิงที่ใจดี ไม่จับเราหรอกเนาะ’

ฉันอ้อนไปก่อนเพราะยังไงเสียคนที่คุยกับฉันตอนนี้ก็ไม่มีทางมาจับฉันได้อยู่แล้ว แต่แล้วก็ต้องอึ้งเป็นรอบที่สองเพราะเอพิมพ์ตอบกลับมาว่า

AA said: ‘ใครเป็นตำรวจหญิง เราบอกเมื่อไหร่ว่าเป็นผู้หญิง’

นั่นไง ฉันจะเจออะไรอีกนี่ การคิดเองเออเองของฉันกำลังจะนำพาให้เกิดอาการอับอายขายขี้หน้าเพราะเข้าใจผิดแล้วไง

AA said: ‘คิดเองเออเองนะเธอนี่’

JJ said: ‘ไม่จริง เราไม่เชื่อหรอก เธอไม่ใช่ตำรวจจริงๆหรอก’

ฉันเริ่มเกเรกลบเกลื่อน เรื่องอย่างนี้ล่ะเก่งนักเชียว เอไม่ตอบอะไรอีก ฉันไม่รู้ว่าเอโกรธหรือเปล่าที่ฉันไม่เชื่อเขา ลิงค์อะไรบางอย่างถูกส่งมาให้ ฉันจึงกดเข้าไปดูแต่เข้าไม่ได้ มันเป็นเว็บที่ต้องใส่รหัสผ่านแล้วตัวเลขสี่หลักก็ถูกพิมพ์ส่งมาตามหลังจากลิงค์นั้นไม่นานนัก ฉันพิมพ์มันตามที่ผู้ส่งให้มาจากนั้นก็ได้พบรูปผู้ชายตัวสูงๆหัวเกรียนหลายคน ฉากหลังเป็นป้ายชื่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน และอีกหลายรูปที่แสดงว่าเอเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ หนึ่งในนั้นมีรูปหนึ่งที่เขียนชื่อเขา ‘เอคุงคับ’ รูปหนุ่มน้อยหน้าคมคายแต่ผิวขาวออกเหลือง ส่งสายตาเจ้าเล่ห์มองกล้อง ใจฉันหวั่นไหวทันทีทั้งที่มันเป็นเพียงแค่รูปถ่ายเท่านั้น ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลบางอย่างต่อฉัน แต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร

AA said: ‘ไง แม่คนเก่ง คราวนี้เชื่อรึยัง’

JJ Said: ‘เรา...’

ฉันพิมพ์ได้เท่านั้นจริงๆ เพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาคุยกับเขาอีก อายจนอยากแทรกตัวหนีออกจากระบบไปเสียเลย

AA said: ‘เราต้องไปตรวจท้องที่กับรุ่นพี่แล้ว ตอนนี้เราฝึกงานอยู่ที่ สถานีตำรวจ.....นะ ถ้ามีโอกาสคงได้คุยกันอีก คุยกับเธอสนุกดีแล้วคุยกันใหม่ แม่สาว JJ คนเก่ง’

เอทำให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยเป็นฝ่ายบอกลาฉันไปในที่สุด เขาออกจากระบบไปแล้ว เหลือแต่ฉัน...ฉันคนที่เพิ่งปล่อยไก่ตัวใหญ่ๆออกไปน่าขายหน้าเหลือเกิน

ฉันออกจากระบบหลังจากเอออกไปไม่นานนัก ความรู้สึกอายกับการโม้ไม่ดูตาม้าตาเรือของตัวเองยังมีอยู่เต็มเปี่ยม กลับหอพักดีกว่าไม่สนใจจะรอเพื่อนสาวแล้ว เธอยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับจอมอนิเตอร์เหมือนเดิมไม่ต่างจากเมื่อครู่เลย ฉันเดินคอตกกลับไปด้วยความคิดบางอย่าง แต่เมื่อกลับหอไปก็เจอเพื่อนๆก็พรั่งพรูคำบอกเล่าและเหตุการณ์ที่เจอใน MSN เพื่อนร่วมห้องทั้งสามคนของฉันหรือที่เราชาวหอเรียกกันว่า ‘เมท’ นั้นต่างพากันหัวเราะกับการปล่อยไก่ที่น่าอาย แล้วฉันก็ลืมเรื่องนี้ในไม่ช้าด้วยเรื่องเรียนที่น่าตื่นเต้นเข้ามาแทน หากแต่ภาพรูปหน้าใครบางคนที่ฉันเห็นเมื่อกลางวันยังติดตรึงในความจำฉันอยู่

ความจริงแล้วจุดประสงค์ของการเข้าห้องสมุดและสืบค้นทางอินเตอร์เน็ทในวันนั้น เพราะความอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ฉันหลงใหลมานาน แต่มันออกจะเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเด็กสายวิทย์กับภาษาช่างเป็นอะไรที่ห่างเหินยิ่งนัก ฉันไม่ชอบภาษาอังกฤษและไม่คิดอยากเรียนเพิ่มเติมเพื่อให้ตัวเองเก่งด้วย แต่กลับหันไปเรียนภาษาใหม่ ที่ได้ยินมาว่า ยากกว่าอังกฤษเสียอีก เพราะต้องมีหลักไวยากรณ์และท่องคำศัพท์มากมายกว่า การสืบค้นในวันนี้ก็ทำให้ฉันได้ข้อมูลมากพอที่จะไปสมัครเรียน สถานที่ที่ฉันเลือกเป็นของสมาคมนักเรียนเก่าในญี่ปุ่นที่อยู่ย่านสีลม ฉันชอบสีลม แม้ว่าการเดินทางจากหอพักของมหาวิทยาลัยฉันจะต้องไกลเสียหน่อยก็ตามแต่ระยะทางไม่อาจขวางกั้นความอยากได้ใคร่ดีของฉันได้ ฉันไปเรียนที่นั่นทุกวันเสาร์ช่วงบ่าย

สัปดาห์นี้ ฉันไปเยี่ยมคุณอาและครอบครัว ซึ่งอยู่ไกลกับบ้านของฉันในฝั่งรังสิตพอสมควร ฉันจึงตัดสินใจหอบเอาหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นมาด้วย เพราะคืนนี้คงนอนค้างกับท่านและน้องสาวที่บ้านย่านฝั่งธนฯ จะได้เดินทางไปเรียนได้ด้วยรถไฟใต้ดินอย่างที่ฉันชอบทำเสมอ การใช้รถไฟใต้ดินนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ที่ใจกลางกรุงโตเกียว ชาวต่างชาติรวมทั้งชาวญี่ปุ่นนิยมใช้วิธีการเดินทางโดยรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินเพราะสะดวกและรวดเร็ว ฉันมักจะได้ยินชาวญี่ปุ่นพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติภายในนี้เสมอๆ แล้วตัวเองก็จะกลายเป็นคนเสียมารยามเงี่ยหูฟังเสียทุกครั้งไป ใช่ว่าฉันอยากรูเรื่องราวของพวกเขาหรอกนะ ก็ฉันแค่อยากได้ยินภาษาญี่ปุ่นในสำนวนของเจ้าของภาษาก็เท่านั้นเอง แม้จะฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่นี่ถือว่าเป็นชั่วโมงการฟังที่ดีเลยทีเดียว

วันนี้ก็เช่นกัน ชาวญี่ปุ่นวัยรุ่นสองคนหญิงและชายหน้าตานำสมัยเดินเข้ามาที่สถานีต้นทางหัวลำโพง และนั่งในที่นั่งตรงข้ามกับฉันพอดิบพอดี ทั้งสองจดจ่อกับแผนที่ในมือและชี้นิ้ววุ่นวายไปที่แผนการเดินรถ แล้วดวงตาสองคู่ก็หันมามองที่ฉันด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความหวัง

‘คุณพูดภาษาอังกฤษได้ใช่ไหม’ สาวญี่ปุ่นใบหน้าจิ้มลิ้มเป็นคนเอ่ยถามฉันด้วยภาษาอังกฤษสำนวนเป็นคำๆแบบญี่ปุ่น

เจ้าภาพแห่งสยามประเทศที่ดีอย่างที่พอจะงูๆปลาๆได้ ก็ตอบไปว่า นิดหน่อย ตามประโยคสนทนาที่เคยเรียนมา นัยน์ตาของทั่งคู่ดูมีความหวังอีกครั้ง แล้วถามฉันเกี่ยวกับการเดินทางไปตลาดนัดจตุจักรว่าเขาต้องลงที่สถานีจตุจักรอย่างในแผนที่เท่านั้นใช่หรือไม่ ไม่ผิดอย่างที่ฉันคาดไว้นักนักท่องเที่ยวไม่ว่าชาติใดที่เป็นวัยรุ่นก็ย่อมหลงใหลการชอปปิงและตลาดจตุจักรก็เป็นแหล่งชอปปิงที่มีชื่อเสียงไม่แพ้ที่ไหนเช่นกัน

ฉันตอบคำถามทั้งสองด้วยสายตายิ้มแย้ม และใช้ภาษาอังกฤษแบบผิดๆถูกๆ สรรหาเอาคำง่ายๆเท่าที่สมองจะคิดได้ออกมาอธิบายแค่ตอบได้ก็ดีที่สุดแล้วสำหรับคนที่อ่อนแอทางภาษาอย่างฉัน เขากล่าวขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่น ฉันจึงบอกไปว่าไม่เป็นไรในภาษาญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน แววตาของคนทั้งคู่เป็นประกายและมีความหวังเฉิดฉายเหมือนค้นพบขุมทรัพย์เพชรพระอุมา และปล่อยภาษาญี่ปุ่นออกมาเป็นชุด ซึ่งในขณะนั้นประตูรถไฟฟ้าปิดลงเพื่อเตรียมตัวออกจากสถานีหัวลำโพงแล้ว ทำให้มีผู้โดยสารหนาแน่นกว่าเดิม ทุกสายตาจับจ้องมาทางฉันด้วยความชื่นชมที่สามารถแนะนำนักท่องเที่ยวได้ แต่จะให้พูดอย่างไรหนอว่าฉันพอรู้แค่คำง่ายๆของภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นเพิ่งเรียนไปไม่ถึงเดือนเลย ที่พอพูดได้ก็พูดไปหมดแล้ว สุดท้ายก็พยายามยิ้มสยามตอบภาษาอังกฤษกลับไปว่ารู้แค่นิดเดียวเพราะเริ่มเรียนได้ไม่นาน แม้สายตาของทั้งสองจะไม่เป็นประกายเช่นเดิมหากแต่ก็ดีใจที่ได้รู้ว่า ยังมีเด็กไทยที่สนใจในภาษาชาติของตนอยู่ และเมื่อรู้ว่าฉันแค่งูๆปลาในทั้งสองภาษานั้น ทั้งสองก็เอ่ยขอบคุณอีกครั้งแล้วกลับไปใจจดใจจ่อกับสถานีจตุจักรต่อไป

ไม่มีสายตาหลายๆคู่ที่จ้องมองมาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หากแต่ความรู้สึกแบบนั้นยังไม่จางไป ฉันจึงหันไปหายังที่นั่งที่อยู่โบกี้ถัดไปในทิศตรงข้ามกับฉันพอดี เหมือนสายตาคู่นั้นก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนที่มองมาหาฉัน แต่มันแตกต่างตรงที่ว่า เหมือนเขาจะมองมาด้วยความสงสัยมากกว่าชื่นชม ทันใดนั้นสมองซีกขวา ของฉันก็ทำทบทวนความทรงจำบางอย่าง คุ้นตาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน และความจำสั้นของฉันที่ยังจำได้ก็อุทานเบาๆออกมาทันที ‘เอ’ ผู้ชายคนนั้นหน้าเหมือนเอ คุณตำรวจคนที่ฉันเจอใน MSN นั่นเอง

รถไฟจอดรับรับส่งผู้โดยสารที่สถานีสามย่านแล้ว ผู้ชายคนนั้นยังคงจ้องมาไม่วางตา หรือเขาจะจำฉันได้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเราคุยกันแค่ครั้งเดียวเองและฉันไม่ได้ส่งรูปให้เขาดูเหมือนที่เขาส่งมาให้ฉัน ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าควรเดินเข้าไปถามดีหรือไม่ แต่ถ้าจะเดินเข้าไปเพื่อถามว่าเราเคยพบกันมาก่อนหรือ มันก็ช่างเป็นสิ่งไม่สมควรเลยยังไงเสียฉันก็เป็นผู้หญิงจะเดินไปทักผู้ชายที่ไม่น่าจะรู้จักมาก่อนก็ยิ่งไม่สมควร ฉันยังมีความเป็นกุลสตรีอยู่บ้างถึงจะคลุกคลีกับพวกทโมนในวิศวะฯมามากก็เถอะ เกิดได้คำตอบว่า ‘เราไม่รู้จักกัน’ ล่ะ ฉันก็จะกลายเป็นหน้าแตกเสียเปล่าๆ และสมองซีกซ้าย ก็บอกฉันให้อยู่เฉยๆจะดีกว่าสถานีหน้าจะเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับแล้ว ฉันหันไปเอ่ยอำลาชาวญี่ปุ่นทั้งสองที่พูดคุยกันเมื่อครู่ด้วยภาษาของพวกเขา ก่อนเดินไปหยุดรอรถจอดที่หน้าประตู

เมื่อถึงที่หมายก็ทำให้ฉันอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ชายคนนั้นที่นั่งจ้องฉันมาตลอดตั้งแต่ออกเดินทางจากหัวลำโพงมาลงที่สีลมเช่นเดียวกับฉันอะไรจะบังเอิญเหลือเกิน เขายืนขึ้นเต็มความสูงแล้วทำให้รู้ว่าเขาสูงมากเลยทีเดียว เพราะฉันซึ่งมีความสูงเกือบร้อยเจ็ดสิบแล้ว เขายังสูงกว่าถึงสองคืบประมาณร้อยแปดสิบเป็นอย่างต่ำฉันประเมินด้วยสายตา เราต่างคนต่างเดินไปในทิศทางของตัวเองซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางเดียวกันคือ ออกประตูคอนแวนต์ เขายังมองฉันอยู่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ฉันจึงเร่งฝีเท้าเดินแซงหน้าไปขึ้นบันไดเลื่อนอย่างเร่งรีบทั้งที่เหลือเวลาก่อนเข้าห้องเรียนเกือบครึ่งชั่วโมงทีเดียว

ฉันเดินลัดเลาะเข้าซอยของสถานที่เรียน แต่ก็ยังเห็นเขาเดินตามอยู่ ช่างเป็นสถานการณ์ที่แปลกเสียแล้ว หรือเขาจะสะกดรอยตามฉัน แต่จะเพื่ออะไรล่ะ แม้ฉันจะจัดเป็นคนที่น่ารักไม่ใช่น้อย แต่ก็ไม่น่าจะมากพอถึงขนาดจะมีคนมาสะกดรอยตาม โรคคิดเองเออเองกำเริบอีกแล้วคิดได้ดังนั้นก็ยิ่งเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ฉันใช้บันไดเดินขึ้นตึกไปยังชั้นสาม ฉันไม่ชอบใช้ลิฟต์ แม้ว่ามันจะมีให้บริการก็ตามเพราะกลัวลิฟต์ค้างแล้วติดอยู่ในนั้น เป็นไงล่ะความคิดฉันบรรเจิดเสมอ แต่ออกไปในทางไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่

เมื่อเดินมาถึงชั้นสามอันเป็นที่ตั้งของห้องเรียนก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เขาคนนั้นยืนอยู่ที่หน้าประชาสัมพันธ์ เขามาถึงก่อนทั้งที่เดินตามหลังฉัน คงเพราะขึ้นลิฟท์ล่ะสิ เขาติดต่อพูดคุยกับคุณประชาสัมพันธ์คนสวยด้วยท่าทางสนิทสนม เท่าที่หูของฉันได้ยินการสนทนาของทั้งคู่ที่ลอยมาตามลม สาบานว่าได้ยินเพราะลอยมาตามลมจริงๆ ไม่ได้แอบฟังนะ เหมือนเขากำลังสนใจจะเรียนไม่หลักสูตรใดก็หลักสูตรหนึ่งของที่นี่ ในขณะที่จะได้ยินประโยคต่อไปก็มีเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันมาเรียกฉันเสียก่อน ฉันจึงหันไปสนใจกับเพื่อนโดยไม่ได้มองไปทางเขาอีกเลย แต่เมื่อหันไปมองทางเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์อีกครั้งก็ไม่พบเขาเสียแล้ว เขาไม่ได้ตามฉันมาเป็นแค่ความบังเอิญที่เรามาที่เดียวกันด้วยทางเดียวกัน เขาคงสังเกตเห็นหนังสือภาษาญี่ปุ่นสีเหลืองของโรงเรียนที่ฉันถืออยู่ก็เลยมองว่าเป็นนักเรียนที่นี่เหมือนกันเท่านั้นเอง นั่นไงสมองข้างซ้ายฉันประมวลผลผิดพลาดเสียแล้ว

ฉันเลิกสนใจแล้วเดินเข้าไปจองที่ในห้องเรียนเหมือนที่ทำเป็นประจำถ้าวันไหนมาถึงก่อนเวลา การเรียนในวันนี้ฉันถูกอาจารย์ถามเยอะมาก ท่านบอกว่าฉันดูใจลอยไม่ตั้งใจเอาเสียเลย ก็จะไปมีแก่ใจได้อย่างไรเล่า ก็ฉันหน้าแตกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วหนอ กับการคิดเองเออเองของตัวเองแบบนี้ เห็นทีต้องเลิกเสียที แต่จะไปเลิกที่ไหนล่ะต้องไปถึงวัดถ้ำกระบอก ไหมนะ

ฉันกลับไปหอพักในวันอาทิตย์เหมือนเช่นทุกครั้ง เพื่อนๆของฉันที่กลับมาแล้วต่างก็พอกันเอาของกินมารวมกัน วันนี้พวกเราจะมีปาร์ตี้ย่อมๆเกิดขึ้นประจำสัปดาห์เหมือนเช่นเคย ฉันบอกเล่าเหตุการณ์ของเมื่อวานที่ได้พบให้เพื่อนๆฟัง ทุกคนหัวเราะชอบใจในความคิดไปเองของฉันและนั่งสลับกันเล่าเรื่องของตัวเองที่ได้ไปเจอมาในวันหยุด พวกเราจะมีความสุขกันเสมอ ถ้าไม่ใช่เวลาสอบ เพราะไม่ต้องมานั่งคิดถึงว่าจะต้องหาแนวข้อสอบหรือเตรียมทำสรุปย่อไว้อ่านแต่ละวิชาทันหรือไม่ พวกเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มนักศึกษาที่เอาแต่เรียนไปวันๆจนเคร่งเครียด หากแต่ผลการเรียนของแต่ละคนก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน

สองสัปดาห์ต่อมาฉันกลับมาเข้าห้องสมุดอีกครั้งเพื่อคืนหนังสือที่ยืมไปเมื่อครั้งก่อน ปกติหอสมุดจะให้นักศึกษายืมหนังสือได้ครั้งละ 10 เล่ม และกำหนดเวลาคืนที่ 15 วันต่อครั้ง ฉันขนหนังสือเล่มหนาที่ใช้ทำรายงานเสร็จแล้วมาคืนในสภาพเหมือนเก่า ไม่ชำรุดฉีกขาดใดๆ เพราะหากใครทำให้หนังสือมีอันเป็นไปไม่ได้อยู่ในสภาพเหมือนก่อนหน้าที่จะยืมไปนั้น ต้องถูกปรับเป็นสองเท่า ฉันไม่กล้าเสี่ยงกับราคาตำราภาษาอังกฤษเหล่านี้หรอก เพราะมันแพงหูฉีกเลยทีเดียว จึงรักษามันอย่างดีให้กลับมาสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิมทั้งที่แต่ละเล่มก็อยู่ในสภาพผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน

วันนี้ฉันมีรายการหนังสือที่ต้องยืมเพิ่มอีก 3 เล่ม เพราะรายงานวิชาใหม่ได้ถูกมอบหมายเข้ามาแล้ว บางครั้งฉันก็เหนื่อยกับการแบ่งเวลาเรียนในมหาวิทยาลัย คณะที่ฉันเรียนนี้นอกจากจะมีวิชาปฏิบัติแล้วอาจารย์แต่ละท่านยังขยันแจกรายงานมาให้อย่างไม่ขาดสาย ไหนจะเวลาที่ต้องไปทำชิ้นงานส่งใน Shop ของภาควิชา ไหนจะเวลามาค้นคว้าทำรายงานและต้องเตรียมการนำเสนออีก งานที่ได้รับมอบหมายเยอะจนอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดขึ้นง่ายๆเหมือนกันถ้าทำไม่ทัน บ่อยครั้งที่วันกำหนดส่งของทุกวิชาอยู่ใกล้กันเหลือเกิน ฉะนั้นแล้วฉันต้องหาวิธีคลายเครียดเสียหน่อย ฉันเดินลงไปห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของหอสมุดที่แยกออกมาในชั้นสอง เพื่อทำการจองห้องและขอเข้าใช้เครื่องเดิมเมื่อครั้งที่ฉันได้ใช้คราวก่อนที่มากับเพื่อนสาวคนสนิท

เมื่อได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการแล้วก็ไม่รีรอที่จะต่อระบบเข้าไปยังอินเตอร์เน็ทและเปิดโปแกรม MSN ขึ้นมาทันที ในรายชื่อที่แสดงสถานะออนไลน์นั้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ฉันไล่สายตามองไปทีละคนจนมาหยุดอยู่ที่ชื่อหนึ่งที่เคยทำให้ฉันหน้าแตก ‘AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่’ วันนี้ชื่อของเอมีคำอธิบายต่อท้ายด้วยภาษาที่กำกวมเหลือเกิน ในขณะที่ฉันกำลังจะเลือนเพื่อดูชื่อของคนถัดไป ชื่อของเอก็ทักทายขึ้นมาในประโยคง่ายๆ

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘ไง ไม่ได้เจอกันนานนะแม่คนเก่ง’

เขาทักฉันว่า ‘แม่คนเก่ง’ เหมือนอย่างที่เคยเคยเรียกครั้งก่อนขาดแต่เติมคำว่า JJ ลงไปด้วย

JJ said: ‘ไม่ไงหรอก สบายดี’

ช่างเป็นคำตอบที่ธรรมดาเสียจริง

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘มีอะไรอยากเล่าไหม เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา’

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมาอย่างนั้นหรือ จะมีอะไรล่ะ ฉันก็ไปเรียนแล้วก็กลับหอ ชีวิตปกติไม่รู้จะเล่าอะไร ฉันคิดเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พิมพ์ตอบอะไรไป จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายพิมพ์มาอีกครั้ง

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘ตอนนี้เราฝึกงานใกล้จบแล้ว คงได้กลับไปโรงเรียนและรับกระบี่ในเร็ววันแล้วล่ะ ดีจังนะ'

อ้อ เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเลย เพราะเคยได้ยินว่า เมื่อรับกระบี่เสร็จเหล่านักเรียนก็เตรียมตัวติดยศร้อยตรีสินะ ทีนี้เอก็คงเป็นนายตำรวจเต็มตัว ฉันอ่านข้อความของเขาแล้วคิดตามๆไป

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘แต่เรื่องที่ไม่ดีก็ตรงที่เจอสาวที่ชอบแต่ไม่กล้าจีบเนี่ยละ’

หืม...อะไรนะ แล้วมาบอกฉันทำไมไม่ทราบ เขายังพิมพ์ต่อมาติดๆ ไม่คิดจะเว้นระยะให้ฉันได้ตอบหรือบอกอะไรเลยสักคำเดียว

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘ถ้าเป็นเธอ จะเชื่อไหม เรื่องพรหมลิขิตน่ะ’

นี่เป็นคำถามหรือแค่คำพูดลอยๆกันแน่ และดูเหมือนว่า เอจะใช้ไวยากรณ์ผิดนะ ประโยคนี้ถ้าเขียนแบบภาษาไทยควรจะเป็น ‘เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่า’ มากกว่า ฉันคิด แต่ไม่ได้พิมพ์ลงไปอีกเช่นกัน

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘ถ้าเราได้เจอเธอเร็วกว่านี้ คงดีนะ เพราะเรากับแฟนก็เพิ่งตกลงคบกันเมื่อไม่นานมานี้เอง เสียดาย น่าเสียดาย ดูเหมือนเราจะชอบเธอคนนั้นมากกว่า’

‘เธอคนนั้น’ เธอไหนล่ะ ฉันไม่รีรอพิมพ์คำถามไปทันที

JJ said: ‘คุยอะไรไม่รู้เรื่อง เธออะไร เธอไหน และใครเป็นใครบอกมาดีๆสิ เริ่มไม่เข้าใจแล้ว’

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘คิดว่าวันนี้จะไม่คุยกับเราเสียแล้ว ห้าห้าห้า’

แล้วเอก็พิมพ์เสียงหัวเราะให้ฉัน อะไรกันนี่ฉันงงกับการสื่อสารผ่านตัวอักษรของเขาแล้วนะ

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘เราไปเจอสาวน่ารักคนหนึ่งเมื่อเสาร์ที่ผ่านมา เธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้น่ารักมากเลยทีเดียว’

JJ said: ‘แล้วไปเจอได้ไงล่ะ’

ฉันเริ่มอยากรู้

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘เธอมาเรียนภาษาญี่ปุ่นทีเดียวกับที่เราไปสมัครให้น้องสาวของเราเรียน เธอเดินมาขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนเดียวกับเราที่หัวลำโพง เธอบอกทางให้กับชาวญี่ปุ่นสองคน เราแอบฟังเหมือนว่าสองคนนั้นกำลังจะไปจตุจักรกัน’

อะไรนะ ทำไมเหตุการณ์มันคุ้นๆอย่างนี้ คล้ายๆกับเรื่องของเราเสียจริง

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘เธอพูดภาษาอังกฤษได้แย่นะ แย่กว่าเราอีก แต่เราว่าเธอน่ารักดี ทำหน้าที่เป็นชาวไทยที่พยายามแนะนำชาวต่างชาติได้ดี’

เอยังคงเล่าต่อ

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘เรื่องมันเหมือนความบังเอิญนะ น้องสาวเราจะไปเรียนต่อญี่ปุ่นอีกสามเดือนข้างหน้า เลยขอร้องให้เราไปสมัครเรียนภาษาเพิ่มความมั่นใจก่อนเดินทางให้ เราบังเอิญไปสมัครให้ที่เดียวกับที่เธอคนนั้นเรียนด้วยสิ หลังจากสมัครเรียนให้น้องเสร็จ เราได้รับหนังสือเล่มสีเหลืองเหมือนที่เธอถืออยู่เอากลับบ้านมาให้น้องสาวเราด้วย เธออาจจะเรียนหลักสูตรเดียวกับน้องสาวเรานะ แต่คงคนละห้อง เรื่องแบบนี้ไม่น่าเชื่อใช่ไหม’

ฉันย้อนความจำกลับไปที่วันเสาร์ที่ผ่านมา วันนั้นฉันเองก็ถือหนังสือของโรงเรียนเสียด้วยหรือว่า...

AA…เหมือนจะใช่ แต่ไม่กล้าใช่ said: ‘เธอน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจเจนี่ล่ะ เสื้อยืดสีชมพูลายแมวน้อยคิตตี้กับกางเกงบลูยีน ผมสีดำที่ยาวถึงกลางหลังของเธอมันดูมีเสน่ห์ ผิวขาวอมชมพูกับตาบ้องแบ๊วคู่นั้นก็น่าเอ็นดูมาก น่ารัก บอกได้คำเดียวจริงๆ เรานี่แย่นะเอาเรื่องผู้หญิงที่เพ้อถึงมาเล่าให้เธอฟังทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว’

ใช่ เอมันแย่ แย่มากๆด้วย เพราะผู้หญิงคนนั้นคือฉัน มันคือชุดที่ฉันใส่ในวันเสาร์ที่ผ่านมาเสื้อยืดแมวน้อยคิตตี้สีชมพูตัวโปรดที่เพื่อนๆซื้อให้ในวันเกิด กางเกงบลูยีนส์ที่เพิ่งถอยมาจากประตูน้ำเมื่อสัปดาห์ก่อน เพิ่งได้ใส่มันอย่างเป็นทางการก็วันนั้นนั่นแหละ ผมดำยาวที่ปล่อยถึงกลางหลังให้มันทิ้งดิ่งตามแรงโน้มถ่วงของโลกรวมทั้งผิวขาวที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบุพการีทั้งสอง

ฉันคือเธอ และเอก็คือผู้ชายคนที่มองฉันวันนั้นที่ฉันสงสัยว่าอาจเป็นเอ และก็ใช่จริงๆแต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าในเมื่อเอมีแฟนแล้ว ฉันไม่นิยมชอบคนมีเจ้าของสักนิด ให้ตายเถอะ ทำไมฉันรู้สึกเศร้าล่ะอย่าบอกนะว่า ฉันหลงชอบเอไปแล้ว ไม่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องจริง คนอย่างฉันไม่ใจง่ายขนาดนั้นหรอก คนอย่างศศิกานต์ไม่ง่ายขนาดนั้น!!!

ฉันไม่สามารถจะคุยกับเอได้อีก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนของแข็งกระแทกเข้าที่สมองอย่างรุนแรง ทุกอย่างมันเบลอไปหมด สมองหยุดการทำงานไปชั่วขณะ หัวใจเบาหวิวเหมือนล่องลอยออกไปไหนก็ไม่รู้ หรือนี่จะเป็นอาการของ ’คนอกหัก’ ง่ายไป...หลงรักคนง่ายไป ฉันออกจากระบบโดยไม่เอ่ยลาเอสักคำ กลับหอพักแล้วนั่งสงบใจอยู่คนเดียว โดยไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครได้รู้นอกจากเพื่อนสาวคนสนิทที่สังเกตเห็นความผิดปกติของฉัน อาการซึมเศร้าไม่ได้แสดงออกด้วยท่าทางแต่มาจากสายตา เพื่อนสาวบอกก่อนจะก้มปลอบ เธอรู้ว่าฉันกำลังไม่สบายใจ สุดท้ายฉันก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟังจนหมด ไม่เหลือแม้แต่ความรู้สึกที่ฉันมีให้เอ หัวใจฉันรู้สึกเบา หรือเพราะมันได้ระบายความรู้สึกให้ใครสักคนที่ไว้ใจได้รับรู้ ไม่ต้องทนเก็บความเจ็บไว้เพียงลำพัง ฉันเชื่อว่าไม่นานนักมันจะกลับมาเข้มแข็งและหนักแน่นเหมือนเดิม

เพื่อนสาวขอร้องให้ฉันกลับไปคุยและบอกความจริงกับเอ เพราะมันอาจจะทำให้ฉันสมหวังก็ได้ เขาอาจจะคบกับฉัน เราอาจจะได้รัก แล้วอย่างไรล่ะ ถึงแม้ว่าสิ่งที่คิดไว้ว่า ‘อาจจะ’ เป็นได้อย่างนั้นก็ตาม แต่ก็ต้องมีใครสักคนที่ต้องเสียใจอยู่ดี ฉันก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ เพื่อนสาวบอกว่าฉันเริ่มทำตัวเป็นนางเอกผู้เสียสละเสียแล้ว แต่ไม่ใช่หรอก ฉันในตอนนี้เป็นได้เพียงตัวประกอบในละครที่แอบหลงรักพระเอกเท่านั้นแหละ

หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่ฉันเล่น MSN แล้วพบว่าเอออนไลน์ ฉันจะซ่อนตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เขาเห็นเสมอ ต่อเมื่อเขาออกจากระบบไปแล้วนั้นแหละจึงปรากฏตัวมาคุยกับเพื่อนๆ ฉันไม่อยากเจอกับเขาอีก ไม่อยากคุย ไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องราวของฉันว่าเพื่อนในโลกไซเบอร์คนนี้คิดไม่ซื่อกับเขา ฉันยังไม่รู้จักเขาดีพอ แต่ก็เผลอรักไปและยิ่งเจ็บกว่าเมื่อรู้ว่าเขาก็ชอบฉันเช่นกัน แต่ไม่รู้ด้วยโชคชะตาหรืออะไรที่ทำให้เราไม่ได้รักกัน เอมีแฟนแล้วฉันต้องเตือนตัวเองและอวยพรให้ความรักของเขากับเธอหวานชื่นไปด้วยกันได้ดีตลอดไป



===== ดูเเหมือนว่าสาวเจเจของเราจะอกหักดังเป๊าะเสียและนะคะ แต่ว่า....เรื่องราวจะจบอย่างแสนเศร้าแบบนี้หรอคะ คงไม่ดีเนาะ เอาเป็นว่าไปติดตาม ตอนท้ายอีกนิดดีกว่านะ จะได้รู้ค่ะ ว่าจะจบสวยหรือเปล่า =====




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2553
3 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2553 19:45:37 น.
Counter : 1603 Pageviews.

 

ว่างไปเยี่ยม blog บ้างน่ะครับวันนี้ว่างๆไม่ไรทำเซ็งจังเลยว่างๆไปติดตาม เว็บเกี่ยวกับแฟชั่นของผมมากน่ะครับไม่รู้จะมีไรโดยใจเพื่นๆป่าว Mytato ฟังเพลง

 

โดย: preampcc 27 กุมภาพันธ์ 2553 20:27:25 น.  

 

ขอบคุณนะคะที่แวะไปทักทาย..จะกลับมาติดตามตอนจบค่ะ..อัพเร็วๆนะคะ

 

โดย: ในความอ่อนไหว 14 พฤษภาคม 2553 20:53:17 น.  

 

คงจะมีอีกหลายคนที่มีเรื่องราวเหมือนในเนื้อหาข้างบนนี้นะครับ ขอให้โชคดี

 

โดย: คนที่ผ่านมา IP: 117.47.143.134 3 ตุลาคม 2553 12:09:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


aim_j
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add aim_j's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.