อีกสักครั้ง...กับตำนานสมเด็จพระนเรศ
แทรกคิวลงด่วน กับการอัพบล็อกเรื่องนี้ แม้หลายคนอยากจะอ่าน แถกกก! ของจุ ก็ไม่สนล่ะ เรื่องนี้ต้องเล่าคือว่า...เมื่อวานนี้ จุมีภาระกิจ ( นั่น เขียนซะเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ) คือ มีคิวที่จะต้องไปพบอาจารย์ทุกวันจันทร์ เพื่อพูดคุยเรื่องเรียน แต่ว่า อาจารย์ไม่ได้เข้มงวดมากมายว่า ต้องมาหาฉันทุกวันจันทร์เอ่อ..แต่ว่าจุห่างหายจากการพบหน้าอาจารย์มาเป็นเวลา 2 อาทิตย์แล้ว อาทิตย์นี้ก็เลยหอบหนังสือมาอภิปรายกับอาจารย์แบบว่า ให้อาจารย์รู้ว่าที่หายๆ 2 อาทิตย์เนี่ย หนูไปอ่านหนังสือมานะ ส่วนเปเปอร์ ยังไม่เสร็จ จุนั่งคร่ำเคร่งราวคนคงแก่เรียน บนรถโดยสาร ลงหน้า มหาวิทยาลัย ปกติ รถไฟฟ้าของ มหาวิทยาลัยบริการฟรี จะจะนั่งไปลงหน้าตึก พอผ่าน อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวร ก็จะไหว้ แต่คราวนี้แปลก จุเดินขึ้นไปที่ลานพระบรมอนุสาวรีย์ แล้ว จุดธูปไหว้ ( ธูป 9 ดอกนะคะ )แล้วก็เดินอารมณ์ดีไปที่ตึกสังคมศาสตร์ผ่านห้องอาจารย์ที่สนิทกับจุมากๆ และเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของจุด้วยคนหนึ่ง ท่านคือ อาจารย์จิราภรณ์ สถาปนวรรธนะ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์จุแวะเข้าไปไหว้ด้วยความคุ้นเคย แล้วก็คุยถึงแนวทางวิทยานิพนธ์นิดหน่อย กำลังจะขอตัวไปเรียนกับอาจารย์อีกคน ก็เหลือบไปเห็น หนังสือ พระนเรศวร ของท่านมุ้ย วางอยู่บนโต๊ะ ก็เลยถาม ว่า อาจารย์ดูหรือยังจะ ..ดูแล้ว จุล่ะ ดูหรือยัง ....ดูแล้วค่ะ.... เออ แล้วเห็นยังงัย เรามาดูซิว่า มันขัดแย้งกับเอกสารทางประวัติศาสตร์ยังงัยจากประโยคนั้น ทำให้จุต้องใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นกับอาจารย์ 4 ชั่วโมงครึ่ง 55555555 ไม่ได้เรียนอีกตามเคยระหว่างที่คุยๆๆๆ เรื่องพระนเรศอยุ่กับอาจารย์ ก้มีน้องๆ นิสิต แวะเวียนเข้ามาเสวนากันกับหนังเรื่องนี้" อาจารย์อย่าไปยอมเพิกเฉยนะ เราลูกพระนเรศ ข้อมูลอย่างนี้สร้างความสับสน" จุเริ่มยุคือ อาจารย์ จะมีโปรแกรมจัดรายการวิทยุของมหาวิทยาลัยในช่วง ภาควิชาประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้น เรื่องข้อเท็จริงทางประวัติศาสตร์ กับบทภาพยนต์ของท่านมุ้ย มันคือประเด็นที่จะต้องพูดอาจารย์ ก็บอก ใช่ๆๆ เรามหาวิทยาลัยนเรศวร จะเพิกเฉยเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะบทภาพยนต์ สรางความสับสนและเข้าใจผิดให้กับประชาชน องค์ประกอบของหนังที่ใช้เบื้องหลังทางประวัติศาสตร์เข้ามารองรับนั้น อาจารย์พูดเป้นลำดับขั้น 3 ข้อ แต่จุจำไม่ได้ จำได้ แต่เพียงว่า จิณนาการมันต้องมีความสมเหตุสมผลเข้ามารองรับด้วยเอาละ เล่าไปเดี๋ยวจะยืดยาว .. ตลอดเวลาที่ อาจารย์ลูกศิษย์ถกเถียงกันนั้น ( ไม่ได้ถกเถียงต้องคำพูดเพียงอย่างเดียว เพราะห้องอาจารย์ มีหนังสือ พงศาวดาร เอกสารต่างๆ มากมาย รวมทั้งบทภาพยนต์ของท่านมุ้ย ) ก็ประมวลออกมาคร่าวๆ จุขออนุญาติไม่ใส่รายละเอียดเข้าไปมากมาย เพราะเดี๋ยวจะปวดหัวกันเปล่าๆ ขอเป็นแค่หัวข้ออ่านง่ายๆ เท่านั้นนะคะข้อเท็จจริงตามเอกสาร กับความขัดแย้งในตัวบทของภาพยนต์ ( คร่าวๆ แค่ 5 ข้อนะคะ )1.การลำดับญาติของพระวิสุทธิ์กษัตริย์ จะเอางัยแน่ จะเป็นพระพี่นาง หรือ จะให้พระมหินทร์เป็นพี่ชาย ซีนนี้ ไม่น่าหลุด2.พระมหาเถรคันฉ่อง เป็นอาจารย์บาเยงนอง? เป็นอาจารย์พระนเรศ ? แล้วเดี๋ยวจะตามมาจำวัดที่วัดมหาธาตุอยุธยาอีก... อายุ?3.มณีจันทร์...กำเนิดของมณีจันทร์ เป็นไปตามจิณนาการของท่านมุ้ยแน่ๆ แต่ขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ ชนิดที่ คนทั่วไป ถ้าไม่รู้ก็อาจจะไม่เอะใจ บาเยงนองขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ และก่อนพระนเรศเกิด ประมาณ 6-7 ปี ถ้าจุจำไม่ผิด เมื่อบทหนังจะให้ มณีจันทร์ ถูกนำมาฝากเลี้ยงในช่วงที่หนีราชภัย เมื่อบาเยงนองปราบกบฎให้พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ แล้วขึ้นครองราชย์ จำต้องประหารเจ็ดชั่วโคตรของกบฎ นั่นคือ สมิงทอตุ พ่อของตะละแม่จันทรา ถ้าเป็นไปตามบทภาพยนต์เช่นนี้ ก็ขัดแย้งกันแล้ว ว่า อายุของมณีจันทร์ ย่อมมากกว่า พระนเรศ 6-7 ปี ไม่ใช่วัยไล่เลี่ยกันอย่างในหนังนั่นยังไม่รวมถึง ตะละแม่จันทรา ซึ่งตามประวัติศาสตร์ คือ ธิดาเมืองอังวะ เป็นมเหสีของบาเยงนอง ไม่ใช่ลูกสมิงสอตุ แต่ก็อาจจะเป็นคนละคนกันตามจิณนาการ หากแต่การรับรู้ของคนทั่วไปนั้น คือ ตะละแม่จันทรา คือ มเหสีคนหนึ่งของบางเยงนอง3.พระเทพกษัตรีย์ ไม่ได้ฆ่าตัวตายตามบทภาพยนต์ หากแต่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมเหสีของบาเยงนอง อันเนื่องด้วยเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าช้างเผือก ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจักรพรรดิ์4.พระมหินทราธิราช ตามพงศาวดาร ป่วยระหว่างทางที่เสด็จไปพม่า หาใช่ป่วยอยู่พม่า คนที่ตายอยู่ในพม่าคือ พระราเมศวร5.พระยาราม ในบทภาพยนต์ เป็นทหารรับจ้างใช้ฝรั่งคนหนึ่งแสดงแทน หากแต่ในพงศาวดาร พระยารามคือ ชาตินักรบ เป็นถึงเจ้าเมืองกำแพงเพชรความไม่สมจริงของฉากภาพยนต์ (เอาแบบเห็นชัดๆ )1. ฉากส่งเสด็จพระเทพกษัตริย์ไปให้พระเจ้าไชยเชษฐานั่นน่ะ พระธิดาสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์ ไม่ใช่ธิดาเจ้าเมืองเล็กๆ ขบวนส่งเสด็จ 2 แวนั่งเสลี่ยง ช่างเป็นภาพที่...รับไม่ได้จริงๆ2.ฉากกระสุนดินดำ โลงศพเดียวเนี่ยนะ บรรจุกระสุนดินดำจนตีเมืองอยุธยาได้3.อายุของผู้แสดง ขี้เกียจพูดเลยเรื่องนี้ แม่นางเกรซ กับ ดช.บีเจ... ราวแม่กับลูก4.ไก่ชน อ่ะ เหลืองหางขาวของเรา กลายเป้นไก่ชนพื้นบ้าน แล้วก็ใช้คนละตัว เข้าใจว่าใช้คนละตัวอ่ะได้ แต่ว่าให้มันใกล้เคียงกันหน่อย แล้วไก่เหลืองหางขาว กับพระเจ้า 5 พระองค์นั่นก็ นะ ในภาพอ่ะมันไม่ใช่5.ฉากที่รบในเมืองสองแคว ยังกับรบในพระราชวังจันทร์ มันรบกันใกล้ขนาดนั้นเลยเหรอ? ซึ่งจริงๆ สมรภูมิมันอยู่นอกเมืองไม่ใช่ติดกำแพงเมืองขนาดนั้น และที่สำคัญ ควรจะมีคำบรรยายใต้ภาพด้วยว่า พระอัธฐารส (เขียนงัยหว่า ) พระยืนที่เห็นในภาพยนต์นั่น เป็นพระยืนที่วัดวิหารทอง ไม่ใช่วัดใหญ่ หรือวัดของพระพุทธชินราช อย่างที่ลหายๆ คนเข้าใจกันเอาแค่นี้ละกัน จุชักเหนื่อย...อาจารย์จะได้ไปกี่ข้อไม่รู้ระหว่างที่เราคุยกัน เพราะจุขออาจารย์ไว้ว่า รบกวนให้เจ้าหน้าที่อัดซีดี ที่อาจารย์จัดรายการพูดถึงเรื่องนี้ ไว้ให้จุ 1 แผ่นด้วยก่อนจุกลับ อาจารย์บอกว่า ทำไมรีบกลับ แล้วก็บอกว่า วันนี้สนุกมาก จุก็บอกว่า จุก็สนุกค่ะอาจารย์ และอย่างน้อย ความดีของหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้เราค้นหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ด้วยความสนุกสนานด้วยกัน ออกจากห้องอาจารย์ จุค่อยๆ ย่องไปหาอาจารย์ที่สอน บอกกับท่านว่า หนังสือที่ค้นคว้าเดี๋ยวจุทำเปเปอร์มาส่งนะคะ แล้วก็ยิ้มมม แบบจริงใจสุดๆ ภาค 2 ของพระนเรศ จะเข้าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จุคงได้มีโอกาสคุยกับน้องๆ และอาจารย์อีกครั้ง คิดแล้วมีความสุขจัง Create Date : 30 มกราคม 2550 35 comments Last Update : 30 มกราคม 2550 8:27:11 น. Counter : 1052 Pageviews. ShareTweet
ขอบคุณทุกๆ ความเห็นนะคะ ความจริงแล้ว จุไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดท่านมุ้ยเลยนะคะแต่จุดูหนังในฐานะ นักเรียนประวัติศาสตร์คนหนึ่งสำหรับภาควิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งกำลังเกิดวิกฤติเพราะ หลายๆ มหาวิทยาลัย ยุบภาควิชานี้ออกไป ก็อยากจะแสดงภูมิอ่ะนะ อยากมีกิจกรรมกับสังคมบ้าง เพราะคนที่ยุบภาควิชาไป เขาบอกมันล้าสมัย ใช้ประโยชน์ได้น้อย ไม่มีคนเรียน เฮ่อจุจบปริญญาตรีประวัติศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว วิชาโท น่าจะเป็น วิชายุยงส่งเสริม 55555แม้ว่า หนังจะทำออกมาอย่างไรก็ตาม จุก็เข้าไปดูนะ 1. ไปดูความตั้งใจของคนทำ2. ไปดูจิณนาการของคนทำ3. ไปดูเพื่อสืบค้น ในสิ่งที่สงสัยตามประวัติศาสตร์หนังเรื่องนี้ดูสนุก และมันทำให้เกิดข้อวิพากษ์ขึ้นในภาควิชา สำหรับจุนี่คือ ความดีของภาพยนต์เรื่องนี้นะคะ ไม่ว่าจะทำออกมาอย่างไร จุเชื่อในมือท่านมุ้ย ว่าทำภาพยนต์ออกมาน่าสนใจ ส่วนบท ก็ว่ากันไปตามวิชาการที่จุเรียนมาค่ะ อิอิ......ขอบคุณสำหรับภาพยนต์เรื่องนี้ ที่ทำให้ประวัติศาสตร์กลับมาเป็นที่สนใจได้ในวงกว้างได้อีกครี้ง หลังจาก สุริโยทัย
ตอบน้องป้อจาย ต้องขอโทษที่พี่ไม่มีเอกสารในมือเลย เอาจากความทรงจำแล้วกันนะคะ1.ประวัติของพระสุพรรณกัลยา ในพงศาวดารไทย มีน้อยมาก แต่พอมีบ้างในเอกสารพงศาวดารพม่า (มีฉบับไทยซึ่งชำระในสมัยรัชกาลที่ 4 ) เราเริ่มมาศึกษาจริงๆ จังๆ เรื่องพระสุพรรณกัลยาในช่วงหลวงปู่โง่น เกจิอาจารย์เมืองพิจิตรดังขึ้นมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณเสียส่วนใหญ่ อ.สุเนตร (คนเดียวกับที่เป็นที่ปรึกษาด้านบทภาพยนต์ของท่านมุ้ย) ได้รวบรวมประวัติของพระสุพรรณกัลยาไว้ในหนังสือตามร้อยพระสุพรรณฯ หนังสือเล่มนั้น จะรวบรวมเอกสารไว้หลากหลาย แต่ก็ยังมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน ทั้งฉบับวัน วลิต หลวงประเสริฐ บริติชมิวเซี่ยม แล้วก็มีหนังสือหลายๆ เล่มที่คัดลอกกันมาจากพงศาวดารแล้วก็ตีความกันไป ตามเอกสารพม่าซึ่งเรานำมาอ้างอิง เพราะพงศาวดารไทยเราไม่ระบุถึง คือ เมื่อพระองค์ดำชันษา 15 ปี พระมหาธรรมราชา ถวายพระธิดา พระสุวรรณกัลยาให้กับพระเจ้ากรุงหงสา เพื่อขอพระราชโอรสกลับไปช่วยราชการบ้านเมืองที่เมืองสองแคว ก็คือให้เป็นอุปราชเมือง 2 แคว ไม่ได้เสด็จหนีมาเช่นในบทภาพยนต์ แต่นั่นก็เป็นแค่เอกสารชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็ขัดแย้งกับเอกสารอีกหลายชิ้น ท่านมุ้ย เลือกจะเชื่อเอกสารของใคร นั่นก็แล้วแต่จิณนาการของท่านบางที นักประวัติศาสตร์ ก็ตีความกันว่า บาเยงนอง เลี้ยงดูพระองค์ดำเช่นโอรส มีความเป็นไปได้ว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปี น่าจะมีการเดินทางไปกลับพิษณุโลกบ้าง เพราะพระมหาธรรมราชากับบาเยงนองนั้น รักใคร่กันดีในฐานะพระสหาย ก็แล้วแต่ใครจะตีความอ่ะนะ2.มณีจันทร์ มีตัวตนจริงๆ นี่ล่ะ แต่จะกล่าวถึง ในลักษณะที่ว่า ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปราสาททอง ( ยศขณะนั้นพี่จำไม่ได้ เกร็ดประวัติก็คือเป็นลูกของพระเอกาทศรถกับนางอินที่เกาะบางปะอิน ) ถูกจำคุก เพราะไปมีเรื่องกับคนในวัง เจ้าขรัวมณีจันทร์ ชายาหม้ายในอดีตพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พระนริศ ) ทรงทูลขอไว้ การตีความของนักประวัติศาสตร์จึงรับรู้ ว่า มณีจันทร์ ก็คือ พระชายาของพระนเรศ และมีอิทธิพลพอสมควร เพราะสามารถทูลขอพระเอกาทศรถในการลงโทษคนได้ส่วนประวัติว่าจะเป็นลูกใคร มีความเป็นมายังงัยนั้น แล้วแต่จิณนาการของผู้สร้างนะ ท่านมุ้ย สร้างผูกปมให้กับบาเยงนอง เพื่อนำไปสู่การรักใคร่พระนเรศวรดุจโอรส แต่คงลืมนึกไปว่า ช่วงที่ขึ้นครองราชญ์กับช่วงที่พระนเรศเกิดขึ้นห่างไกลกัน จิณนาการนี้เลยไม่สมจริง ขณะที่ป้าทมยันตรี ใช้จิณนาการว่าเป็นลูกสาว เจ้าเมืองไทยใหญ่ (หรือลูกสาวมอญหว่า) มันก็ให้น้ำหนักไปในแง่ที่ว่า มอญกับพม่าเกลียดกัน แล้วมณีจันทร์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาช่วงประกาศอิสรภาพ เพราะบรรดาหัวเมืองอื่นๆ ที่เคยอยู่กับพม่า หันมาอยุ่กับไทยเสียหายเมือง ( จริงๆ เราตีได้ )3.มหาเถรคันฉ่อง...เป็นจิณนาการของท่านมุ้ย ตามเอกสาร พระนเรศ เจอกับท่านที่ เมืองแครง ท่านเป็นอาจารย์ของพระยาเกียรติพระยาราม แต่จิณนาการของท่านมุ้ย ตีความว่า พระนเรศ น่าจะฝึกวิชากับพระผู้ใหญ่ ช่องว่างตรงนี้ จึงทำให้ ท่านมุ้ยส่งให้พระมหาเถรคันฉ่อง ไปเป็นอาจารย์อย่างในภาพยนต์ ส่วนศิลปะโยเดียนั้น ถูกกลืนไปกับพม่า เหมือนการปรับตัวของผู้คนนั่นแหละ มันจะคงมีเค้าอยู่ แต่ไม่ทั้งหมดที่สุดแล้ว อยากจะบอกว่า เรื่องราวของประวัติศาสตร์นั้น มันไม่มีอะไรเป็นข้อเท็จจริงล้วนๆ ทุกอย่างถูกอ้างอิง ตีความมาจากหลักฐานที่ค้นพบ ข้อเท็จจริงวันนี้ อาจถูกเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า หากมีหลักฐานใหม่ๆ มายืนยัน ประวัติศาสตร์ สำหรับพี่ มันสนุกก็คือ การตีความนี่ละ มันใช้จิณนาการได้อย่างมากมาย แต่นั่นก็ต้องรองรับด้วยความสมจริงสมจัง และสมเหตุสมผลด้วยภาค 2 พี่ก็ว่า จะไปดู แล้วค่อยมาวิพากษ์กันใหม่นะ
เมื่อวานได้มีโอกาส คุยกับ ชาวอังกฤษผู้ใหญ่มากๆ ท่านหนึ่งค่ะ ท่านเล่าถึง ในพงศาวดารพม่า ซึ่งแตกต่างจากเรา ...ซึ่งท่านทราบทั้งจาก พงศาวดารและ พระผู้ใหญ่ชาวพม่า
ทำให้ประกายดาว อดรุ้สึกถึง การบันทึกประวัติศาสตร์ในมุมมอง ของแต่ละประเทศมากๆ ...หลายข้อที่คุณจุ ยกมา คุณยาย ประกายดาวก็ คิดเช่นกัน เช่นเรื่องอายุ เรื่อง พระสุพรรณกัลยา และ มณีจันทร์ น่าสนใจ ค่ะ
ขอบคุณมากๆ ไว้คุณจุ มาวิเคราะห์อีกนะคะ