เที่ยวปารีสกับเจ้าถิ่น (Day 1)

มาตามที่เคยบอกเอาไว้ ว่าจะมา review trip Paris ตอนนี้ก็ผ่านไปปีนึงแล้วหลังจากไปเที่ยว (4-11 เม.ย. 2553) ดองไว้นานจริงๆ แหะๆ นี่กำลังจะมีอีก trip นึง ก็เลยต้องมาปล่อยของดองซะก่อน..

การไปเที่ยวครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ใช้บริการทัวร์ แล้วก็ไปกันกับน้องสาวแค่สองคน ไม่ใช่ว่ามีใครที่พูดหรืออ่านเขียนภาษาฝรั่งเศสได้หรอกนะคะ แต่ว่าได้รุ่นน้องของน้องสาวที่เค้าไปเรียนต่อที่นู่นคอยจัดโปรแกรมเที่ยวให้ แล้วก็พาเที่ยวด้วย เราเองไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย แค่บอกน้องเค้าว่ามีที่ไหนที่เราอยากเที่ยวบ้าง กับเวลาในปารีส 8 วัน (พอดีจองโรงแรมที่เดียวเลย เพราะตัดสินใจเอา 1 เดือนก่อนไป) น้องเค้าก็ยังไม่ปิดเทอม เลยพอดีกันว่าไม่ต้องไปนอนค้างนอกเมืองไกลๆ ที่เราทำก็คือซิ้อตั๋วเครื่องบินกับจองโรงแรมแค่นั้นเอง มาพลาดเอาตรงเรื่องจัดกระเป๋านี่แหละ ทั้งที่เราก็ตามดูสภาพอากาศช่วงนั้นตลอดว่ามันยังหนาว (ปกติเมษายนจะเข้าช่วง spring) แต่น้องบอกว่าไม่ต้องหอบ overcoat ไป เอาเข้าจริงๆก็หนาวตั้งแต่วันไปถึงจนใกล้จะกลับเลย แบบว่าปีที่แล้วหน้าหนาวยาวกว่าปกติ

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า วันแรกของการเดินทาง บินไปกับเครื่องของ Etihad (ที่นั่งกว้างดี มีของกินตลอดเวลา) ออกจากสุวรรณภูมิตอนค่ำ ไปแวะ Abu Dhabi รอเปลี่ยนเครื่องไป Charles de Gaulle ได้ดูหนังเรื่อง New Moon กับ series สองตอน



ไปถึงตอนเช้า น้องมารอรับแล้วนั่งรถไฟ RER (แอ-เออ-แอ) เข้าเมือง (วันแรกงงมาก เพราะมีรถ Metro 14 สายวิ่งในเมือง กับ RER 5 สายที่วิ่งไกลกว่า แต่อยู่ไปๆก็ชิน ดู map เป็นแล้ว) เอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมก่อน ยัง check-in ไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้อาบน้ำ ได้แค่ล้างหน้าแปรงฟันจากบนเครื่องบิน เพราะฉะนั้นวันนี้ทั้งวัน เราจะไม่ถ่ายรูปตัวเองนะ หน้ามันมากกกก

การเดินทางของเราใช้แต่รถไฟเรียกว่า Metro ซื้อตั๋วทีละ 10 ใบ เพราะจะถูกกว่า พอซื้อตั๋วเรียบร้อยก็ไปโบสถ์ Sainte Chapelle (แซงค์ ชาเปล) อยู่ที่สถานี Cite (ซิเต้) คนต่อคิวเยอะมาก น้องบอกว่าสิ่งที่คนมาดูกันคือกระจกสีในโบสถ์แค่นั้นเอง ไม่คุ้มกับการเสียเงิน 8-9 Euro ค่าเข้า (ตอนนั้นยัง 44-45 บาทต่อยูโร) ก็เลยถ่ายจากข้างนอกแทน



นี่สถานีที่มา



ระหว่างทางผ่าน Palais de Justice ที่เคยเป็นศาลมาก่อน ทีนี้ทางเข้าโบสถ์กับศาลนี่เป็นทางเดียวกัน เลยต้องถอดเสื้อกันหนาว เข็มขัด รองเท้า scan ก่อนเข้าไป



พอออกมา เดินข้ามถนนไปจะเจอป้ายนี้



ถึงแล้ว Notre Dame วันนี้คนเยอะมากๆ ต่อคิวกันล้นถึงด้านหน้า เป็นแถวขดไปมา เราเลยยังไม่ได้เข้าไปดูด้านใน



เดินอ้อมตัววิหาร ดูรูปปั้นที่บนหลังคา ตอนนั้นกำลังซ่อมแซมอยู่



ทะลุสวนสาธารณะ



ข้ามสะพานนี้ไป (จะมีวงดนตรีมาเล่นเป็นระยะ) ก็จะเป็นเกาะ Ile St. Louis (อิล แซงค์หลุยส์) เพิ่งรู้ว่าปารีสก็มีเกาะ ที่เห็นนี่คือแม่น้ำ Seine (แซน) นะเนี่ย



เดินตรงไป เดี๋ยวก็เจอบรรดาร้านขายอาหารและขนมมากมาย



รูปรวมๆ ข้างล่าง Calixte และ Boulanger เป็นร้านขายพวก bakery ที่เราซื้อเป็นมื้อกลางวันกัน อ้อ! Calixte เนี่ยมี terrine (แตร์ครีน) ที่อร่อยดี (ซื้อกลับมากินอีกวันยังอร่อยเลย) ส่วน Amorino และ Berthillon (แบติยง) ขายไอศกรีม ร้าน Berthillon ที่นี่เป็นร้านแรกเลยนะ น้องบอกว่าเจ้าอื่นก็รับจากที่นี่ไปขาย มีหลายรสและอร่อยมากๆ (ไม่ได้ถ่ายเมนูมาแฮะ) ไปกันสามคน สั่งคนละ 2 scoops ใส่โคน ต้องขอบอกว่า chocolate (ชอคโกลา) ของที่นี่อร่อยเข้มข้นมาก Must try!



ช่วงบ่ายเดินไปเรื่อยๆ แวะซื้อของนิดหน่อย ร้าน Paul (รูปเล็กซ้ายล่างสุด) เป็นร้านขาย macarons (มากาฮอง) เกรดทั่วไป มีสาขาเต็มไปหมด เป็นยี่ห้อที่สามารถเก็บค้างคืนได้โดยไม่นิ่ม



ผ่านย่านมหาวิทยาลัย Sorbonne (ซอกบอน) ระหว่างทางไป Metro station



มาโผล่ที่นี่ Musee D’Orsay (มูเซ่ ดอร์กเซ่) ใช้เวลาต่อแถวจากที่เห็นนี่จนได้เข้าตัวพิพิธภัณฑ์เป็นครึ่งค่อนชั่วโมง คงเพราะเป็นวันหยุด เข้าชมฟรีด้วยมั้ง



เดินดูภาพเขียนเกือบชั่วโมง อันนี้แอบถ่ายมา Blue Water Lilies ของ Monet (โมเน่)



ด้านในของ Musee มีนาฬิกากับหลังคาโค้ง ให้อารมณ์สถานีรถไฟหัวลำโพงบ้านเรา



กลับมาโรงแรมตอน 6 โมง ขนของเข้าห้อง ท้องฟ้ายังสว่างอยู่เลย นี่ห้องพักที่ Ibis Paris Place D’italie อยู่ไม่ไกลจาก Metro station Place D'italie



โยเกิร์ตข้นอยู่ในขวด ไม่เหมือนเมืองไทย แต่อร่อยไปอีกแบบ



... to be continued ...

Create Date : 14 พฤษภาคม 2554 Last Update : 14 พฤษภาคม 2554 1:44:57 น. Counter : 1048 Pageviews.		0 comments
Share Tweet