เกาะเซนโตซ่า เป็นจุดหมายของการเที่ยวในวันนี้เราต้องนั่งรถไฟ MRT ไปลงที่สถานี Harder front แล้วนั่งรถบัสเข้าไปยังเกาะหรือใครจะเลือกที่จะนั่งเรือข้ามฟากหรือนั่งกระเช้าลอยฟ้าก็มีให้เลือกได้ตามใจชอบเราเลือกที่จะนั่งรถบัสเนื่องจากดูแล้วว่าจะเป็นการประหยัดที่สุดแล้ว และกระเช้าลอยฟ้าก็ได้นั่งมาแล้วเมื่อตอนไป Genting ที่มาเลเซียเมื่อนั่งรถบัสสีเหลืองสดใสข้ามสะพานไปยังเกาะเซนโตซ่า อันเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ปลายสุดของแหลมมาลายู เราก็ต้องลงรถไปซื้อบัตรผ่านประตูเพื่อเข้าไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อเป็นบัตรชุดที่สามารถเข้าไปเที่ยวยังทุกจุดหรือจะซื้อบัตรผ่านประตูอย่างเดียวก็ได้ โดยราคาค่าบัตรผ่านประตูจะอยู่ที่ประมาณ 3 เหรียญ ซึ่งก็รวมถึงค่ารถบัสที่วิ่งรับส่งไปยังจุดต่างๆ ที่เกาะด้วยหลังจากที่จ่ายเงินค่าบัตรผ่านประตูเรียบร้อยแล้วจุดหมายแรกที่เราจะไปชมก็คือ Underwater World หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนั่นเองค่าบัตรผ่านเข้าชมอยู่ที่ประมาณ 300 บาท เมื่อเข้าไปด้านในเราจะพบกับสัตว์น้ำรูปร่างหน้าตาแปลกๆ มากมายมีทั้งปลาน้ำจืดและน้ำเค็ม ไม่ว่าจะเป็นปลาปิรันญ่า ปลาหมึกหน้าตาแปลกๆ แมงกระพรุนตัวเล็กๆ น่ารักหลากหลายสี และส่วนที่เป็น Hiligth ก็คือ ส่วนที่เป็นกระจกลอดใต้บ่อปลาขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ใต้ทะเล แล้วยังมีฝูงปลาน้อยใหญ่ว่ายวนอยู่รอบตัวเรา มีทั้งปลาฉลาม ปลากระเบน และปลาอื่นๆ อีกนับร้อยชนิด ในช่วงเวลาที่เรากำลังเดินชมอยู่ก็มีการให้อาหารปลาพอดี โดยผู้ให้อาหารจะต้องใส่ชุดดำน้ำลงไปให้โดยการป้อนกันให้ถึงปากเลยทีเดียว สร้างความตื่นเต้นได้ไม่น้อยเพราะนอกจากจะได้เห็นฝูงปลาว่ายกันเข้ามาแย่งอาหารกันชุลมุนแล้วยังต้องลุ้นกลัวปลางับเอามือของคนให้อาหารอีกด้วยหลังจากที่เดินชมปลานานาชนิดอยู่เกือบ 1 ชั่วโมง เราก็เดินออกมาด้านนอกซึ่งยังมีฝนตกปรอยๆ ลงมาอย่างไม่ขาดสายช่วยให้บรรยากาศเย็นสบายแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เปียก เราจึงเดินกันไปเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณที่เป็นชายหาดสำหรับผู้ที่ต้องการเล่นน้ำทะเล และกิจกรรมอื่นๆ เช่น วอลเล่ย์บอลชายหาด รวมถึงการอาบแดด สำหรับอาหมวยที่เบื่อผิวสีขาวแต่โชคร้ายไปหน่อยที่เรามาในวันที่ไม่มีแดดพอดี น่าเสียดาย !...เรานั่งเล่นอยู่บนชายหาดได้สักพักก็ออกเดินต่อไปยังจุดอื่นๆ ต่อโดยแต่ละจุดก็จะถูกจัดไว้ให้เป็นที่ที่มีความน่าสนใจต่างๆ กันไป เช่น สวนผีเสื้อและแมลง Fort Siloso ที่แสดงป้อมปืนโบราณ Dolphin Lagoon ที่เป็นที่อยู่ของปลาโลมาสีชมพู รีสอร์ท สนามกอล์ฟ และที่เรากำลังเดินไปดูก็คือ The Merlion แต่จะมีขนาดใหญ่กว่าที่แม่น้ำสิงคโปร์หลายเท่าตัว และสามารถขึ้นเดินชมภายในตัว Merlion ได้แต่ต้องจ่ายตังค์ค่าบัตรผ่านเสียก่อน แน่นอนว่าเราขอดูจากข้างนอกก็พอใจแล้วประหยัดไว้ก่อนหลังจากที่ได้เที่ยวชมรอบเกาะ Santosa แล้ว จุดหมายต่อไปสำหรับเราในช่วงเวลาเกือบ 4 โมงเย็นก็คือ Little India เรานั่งรถออกจากเกาะมาลงที่สถานี MRT และซื้อบัตรโดยสารมุ่งหน้าไปลงที่สถานี Little India ทันที ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที เราก็มาเดินกันอยู่ในย่านของคนแขกในสิงคโปร์ โดยเราตั้งใจจะไปยังห้าง Mutafa ที่ขึ้นชื่อว่ามีสินค้าราคาถูกกว่าห้างอื่นๆ ในสิงคโปร์ ไม่รู้จริงหรือป่าวเลยต้องไปพิสูจน์ดู
ออกจากสถานีรถ MRT แล้วใช้เวลาเดินอีกประมาณ 20 นาที จึงมาถึงห้าง Mutafa ซึ่งมีคนเดินจับจ่ายสินค้ากันอย่างเนืองแน่น เมื่อเดินเข้าไปสำรวจด้านในจะพบกับสินค้านานาชนิดไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิตอล เสื้อผ้าแบรนด์เนม นาฬิกา เครื่องสำอางค์ น้ำหอม ขนมนานาชนิด ที่นี่มีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายแล้วแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละคน ซึ่งราคาของสินค้าบางชนิดก็ถูกกว่าของไทย บางชนิดก็แพงกว่า ต้องสำรวจดูให้ดีจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง เราดูคนอื่นจับจ่ายซื้อของอย่างเพลิดเพลิน ปนกับความอิจฉานิดๆ ซึ่งดูเหมือนกับว่าของที่วางขายเป็นกองๆ นั้น เป็นสินค้าราคาถูกที่นำมาลดราคาแต่จริงๆ แล้วสินค้าแต่ละอย่างนั้นเป็นสินค้าแบรนด์เนมของแท้ทั้งนั้น แต่วางกองกันเหมือนของลดราคาไม่มีผิดด้วยความรักชาติกลัวเงินบาทจะไหลออกนอกประเทศมากจนเกินไป เราจึงเลือกซื้อของด้วยความประหยัดสุดๆ (ที่จริงก็ไม่มีเงิน) ส่วนใหญ่ที่ซื้อก็จะเป็นของฝากพวกขนมและของที่ ระลึกราคาไม่แพงมากนัก โดยเน้นปริมาณเป็นหลัก
เช้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวใน TRIP นี้ เราจองตั๋วเครื่องบินกลับ BKK ไว้เวลาเกือบ 5 ทุ่ม ดังนั้นเราจึงมีเวลาเหลืออยู่ในประเทศสิงคโปร์อีก 1 วันเต็มท้องฟ้าวันนี้ยังคงมืดครึ้มอยู่เหมือนเดิม ฝนที่ตกยังคงรักษาระดับไว้อย่างสม่ำเสมอทำให้บรรยากาศเหมาะแก่การนอนมากๆ และเมื่อรวมความเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนเที่ยวทั้ง 7 วันที่ผ่านมาทำให้วันนี้เราตื่นสายกันเป็นพิเศษวันนี้เรามีโปรแกรมที่จะไปเดินช๊อปปิ้งกันที่ถนน Orchard อันมีชื่อเสียงในด้านของการเป็นแหล่งรวมของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่นับสิบห้างทีเรียงรายกันอยู่ทั้ง 2 ข้างถนนเราแพ็คของทั้งหมดใส่เป้ใบใหญ่เพื่อเตรียมตัว Check out ออกจากโรงแรม แต่เราจะฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ก่อนเพื่อจะไปช็อปปิ้งที่ถนน Orchard แล้วจะกลับมาเอากระเป๋าในตอนเย็นจึงค่อยเดินทางไป Airportหลังจากที่ Check out และจัดการกับอาหารมื้อสายเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยังถนน Orchard ทันทีโดยเราจะไปขึ้นรถไฟ MRT ไปลงที่สถานี Somer Set ซึ่งเป็นสถานีที่ตั้งอยู่บนถนน Orchard เลยก็ได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องเดินผ่านทั้งสองสถานีอยู่แล้วจึงเลือกลงที่ สถานี Somer Set แถมยังประหยัดค่ารถไฟ MRT ได้อีกด้วย
ถนน Orchard เป็นถนนที่มีชื่อเสียงมากสายหนึ่งของสิงคโปร์ทั้งสองฝั่งของถนนมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามมีทั้งต้นไม้ขนาดใหญ่ยืนต้นกันอยู่อย่างเรียงรายสร้างบรรยากาศที่เย็นสบาย ห้างสรรพสินค้าที่มีการออกแบบตกแต่งอย่างสวยงามเชิญชวนให้ผู้คนแวะเวียนเข้าไปช๊อปปิ้ง แถมยังมีการทำทางใต้ดินเชื่อมต่อกันระหว่างห้างต่างๆ ให้เดินได้โดยไม่รู้สึกสะดุดหรือขาดตอนที่นี่มีแม้กระทั่งห้างที่ขายเฉพาะของเล่นเด็กโดยเฉพาะ และยังมีร้านค้าแปลกๆ เช่น Sex shop ก็มีให้เข้าไปแวะชมกันได้ และที่สำคัญก็คือ ความสะอาดของถนนและบริเวณรอบๆ ของห้างต่างๆ นั้นได้ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี สมกับเป็นประเทศที่เคร่งครัดเรื่องความสะอาดจริงๆ กิจกรรมหลักของเราในช่วงนี้ก็คือ การเดินดูของตามห้างร้านต่างๆ ที่เดินอย่างไรก็คงจะไม่ทั่วเพราะมันมีชั้นต่างๆ และร้านค้าหลายร้อยร้านโดยเฉพาะแค่ร้าน แมคโดนัลด์อย่างเดียวก็มีนับ 10 สาขาแล้วที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน เราเดินไปนั่งพักไปและหาอะไรกินเป็นระยะๆ จนถึงเวลาเกือบ 5 โมงเย็น จึงเดินกลับไปยังสถานี Somer Set เพื่อกลับไปยังโรงแรมที่เราฝากเป้เอาไว้เมื่อกลับมาถึงโรงแรมและจัดการแบกเป้ใบใหญ่ขึ้นหลังแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังสนามบิน Changi ทันที เรากลับไปขึ้นรถไฟ MRT ที่ City Hall เพื่อไปยังสถานี Changi Airport ใช้ เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ลงจากรถไฟฟ้า MRT และเดินเข้าไปยังสนามบินได้ทันที
สนามบิน Changi เป็นสนามบินที่ทันสมัยมาก มีการออกแบบตกแต่งไว้อย่างสวยงามและระหว่าง Terminal 1 กับ Terminal 2 ก็ยังมีรถไฟฟ้าไว้บริการอีกด้วย เรามาถึงที่ Changi Airport เวลา ประมาณ 1 ทุ่ม ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าเครื่องจะออกเลยใช้เวลาที่เหลือนั้นเดินสำรวจสนามบินแห่งนี้ ที่สะดุดตาก็คือที่นี่มีการจ้างคนแก่หรือผู้สูงอายุที่คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 60 70 ปี คอยเก็บรถเข็นกระเป๋าที่ผู้โดยสารจอดทิ้งไว้ ซึ่งเห็นแล้วคิดว่าเป็นความคิดที่ดีที่ให้โอกาสผู้สูงอายุได้มีงานทำไม่ต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆ แถมยังมีรายได้อีกด้วยเวลา 3 ทุ่มกว่าๆ หลังจากที่เช็คตั๋วและโหลดกระเป๋าเรียบร้อย เราก็ได้เข้ามายังส่วนของผู้โดยสารขาออกที่รอเวลาขึ้นเครื่อง โดยมีร้านค้าปลอดภาษีหลาย 10 ร้าน ไว้ให้เดินเลือกซื้อสินค้าระหว่างขึ้นเครื่องหรือสำหรับผู้ที่ตั้งใจจะใช้เงินเหรียญสิงคโปร์ให้หมดก่อนจะกลับบ้านหรือไปประเทศอื่นๆต่อเครื่อง Air Asia ของเราออกจาก Changi เวลา 5 ทุ่มกว่า เกือบตลอด 2 ชั่วโมง ของการเดินทางเราต้องเจอกับฝนตกตลอด จนมาถึงช่วงที่เครื่องกำลังจะลงเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างจะเห็นวิวของกรุงเทพได้ชัดเจนทั้งสะพานพระราม 9 อนุสาวรีชัยสมรภูมิ และถนนหนทางต่างๆ ที่ดูคุ้นตาไม่ว่าจะเป็นถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งทิวทัศน์ยามค่ำคืนเมื่อมองจากบนเครื่องบินก็สร้างความตื่นเต้นและประทับใจได้ไม่น้อยเมื่อมาถึงสนามบินดอนเมือง และก้าวลงจากเครื่องบินสิ่งแรกที่รู้สึกได้ก็คือ ความเย็นของอากาศ และความรู้สึกอุ่นใจที่สามารถกลับมาถึงประเทศไทยได้นับว่าเป็นการเดินทางที่สร้างความประทับใจได้อย่างไม่รู้ลืมสำหรับการเดินทางตลอด 8 วัน 7 คืน ในสถานที่ต่างๆ ที่มีความสวยงามแตกต่างกันไป และรู้สึกคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 1 หมื่นบาท แต่สิ่งที่ได้พบเห็นและสัมผัสตลอดเส้นทางนั้นมันเกินกว่าที่จะประเมินค่าเป็นตัวเงินได้ ถ้ามีโอกาสอีกเมื่อไหร่ผมก็คงจะแบกเป้ออกเดินทางอีกแน่นอน เพราะโลกนี้มันยังมีอะไรที่เราไม่รู้ ไม่เคยเห็นอีกมากมายเหลือเกิน........ คุณรู้ไหมว่าโลกใบนี้มันกว้างมาก ถ้าไม่รีบไปเที่ยวซะตอนนี้คุณอาจจะตายซะก่อนที่จะได้ไปทั่วโลก ด้วยสายตาของนักเดินทาง ไม่ว่าสิ่งที่พบเห็นนั้นจะมีความสวยงามหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกสิ่งก็ล้วนแต่ดูน่าตื่นตาไปเสียหมด และมันจะกลายเป็นความทรงจำที่ งดงามเมื่อได้คิดถึง หนังสือเดินทางเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงได้ถึงประสบการณ์และเส้นทางแห่งความประทับใจของนักเดินทางทุกคน นอกจากเกิดบนประเทศไทยแล้ว ผมยังเกิดบนโลกมนุษย์อีกด้วยถ้าหากไม่ออกไปดูให้รู้ว่าโลกนี้มีหน้าตาอย่างไร ก็คงจะเสียชาติเกิด ต่อให้มีคนมาเล่าให้คุณฟังมากแค่ไหน หรือคุณจะอ่านหนังสือจนคุณคิดว่าคุณรู้ในทุกๆ แง่มุมของสถานที่ที่จะไปแล้ว แต่คุณจะยังคงรู้สึกประทับใจ และต้องประหลาดใจทุกครั้งที่ได้รู้ว่าไม่มีใครสามารถบอกคุณได้ใกล้เคียงกับความรู้สึกและประสบการณ์ที่คุณได้รับเมื่อได้มาพบเห็นมันด้วยตัวคุณเอง ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาคุณจะรู้ได้เลยว่า วันนี้จะไม่เป็นเหมือนแผนการที่วางไว้ และสิ่งที่จะได้พบไม่มีวันเหมือนกับสิ่งที่คุณได้จินตนาการเอาไว้ก่อนนอน แต่มันจะเป็นอีกวันหนึ่งที่น่าตื่นเต้นจากปัญหาที่คุณไม่คาดคิด และพบกับสถานที่ที่สร้างความประทับใจให้กับคุณเกินกว่าที่คุณจะคาดคิดหรือจินตนาการได้ ไหนๆ ทุกวันนี้เราล้วนแต่เดินทางกันเป็นวงกลม คือ ได้ไปที่โน้นที่นี่แล้วก็กลับมาที่เดิมอยู่แล้ว งั้นคราวนี้ขอเดินเป็นวงที่ใหญ่กว่าเดิมหน่อยก็แล้วกัน ขอเป็นวงกลมรอบโลกเป็นไง !
ปีหน้า เราก็มีโครงการจะไปเที่ยวแถวนั้นค่ะ แต่ต้องดูว่าจะได้ไปเปล่า
ขอบคุณสำหรับรูปนะคะ