Group Blog
 
 
มกราคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
30 มกราคม 2548
 
All Blogs
 
© ถ้อยคำ/ สาระ/ ภาพ/ ตามทางเดิน ภาค 1 - 2

Let’s Go !!!!

แล้วก็มาถึงวันนี้ที่รอคอย คือวันที่เราจะได้ออกเดินทางออกจาก กทม.ไปยังประเทศเพื่อนบ้านของเรา เพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆที่จะได้พบเห็นและสัมผัสตลอดช่วงเวลาของการเดินทางที่แสนจะน่าตื่นเต้นนี้...

ตามแผนการเดินทางของเราในวันนี้ก็คือ การออกเดินทางจากกรุงเทพโดยรถไฟ ผมคำนวณดูแล้วปรากฏว่าเราต้องอยู่บนรถไฟเป็นเวลา 22 ชั่วโมง รถไฟจะออกจากหัวลำโพงเวลาบ่ายสองสี่สิบ และมีกำหนดการถึงบัทเตอร์เวิรท์ประเทศมาเลเซียเวลาบ่ายโมงของวันถัดไป

ด้วยเหตุที่เราจะต้องอยู่บนรถไฟเป็นเวลาเกือบ 1 วันและอีก 1คืน เราจึงต้องเตรียมเสบียงไว้สำหรับมื้อต่างๆ บนรถไฟด้วย เพราะคาดว่าราคาค่าอาหารบนรถไฟตามสถานีต่างๆ น่าจะแพงกว่าปกติ ก่อนขึ้นรถไฟผมจึงให้หนุ่ยไปซื้อข้าวกล่องเตรียมเอาไว้สำหรับมื้อเย็น

ก่อนถึงเวลารถไฟออกเล็กน้อย เราก็เข้าไปจับจองที่นั่งในโบกี้ที่ 2 และเมื่อสังเกตดูผู้โดยสารร่วมโบกี้ ก็เริ่มแปลกใจว่าทั้งโบกี้ไม่มีใครพูดภาษาไทยเลย แล้วก็สรุปได้ว่าผู้โดยสารร่วมเดินทางของเราล้วนแต่เป็นแขกชาวมาเลเซียที่เดินทางมาด้วยกันและรู้จักกันหมดทั้งโบกี้ มีคนไทยเพียง 2 คนเท่านั้น เรียกได้ว่าเราเริ่มได้บรรยากาศของประเทศมาเลย์ตั้งแต่รถไฟยังไม่ทันออกจาก กทม.เลยทีเดียว.....

หลังจากรถไฟออกจากหัวลำโพงแล้ว ผมสังเกตว่าหนุ่ยมีท่าทีเหมือนไม่สบายใจอะไรบางอย่าง ผมคิดว่าหนุ่ยคงจะอึดอัดกับกลิ่นตัวของแขกมาเลย์รอบตัวเรา แต่แล้วหนุ่ยก็สารภาพออกมาว่า ข้าวกล่องเตรียมเอาไว้สำหรับมื้อเย็นนั้น หนุ่ยได้ซื้อข้าวหมูผัดกระเทียมมา และกลัวว่าพวกแขกมาเลย์จะได้กลิ่นหมูแล้วจะไล่เราลงจากรถไฟ......


On train
ค่ำคืนแรกของการเดินทางเราต้องนอนในรถไฟโดยเป็นที่นอน 2 ชั้น ผมกับหนุ่ยจับฉลากเลือกกันว่าใครจะได้นอนชั้นบนหรือชั้นล่าง ปรากฏว่าผมได้นอน ชั้นล่างซึ่งสบายกว่าชั้นบน แต่พอเอาเข้าจริงผมกับนอนหลับบ้างตื่นบ้างตามสภาพของรางรถไฟไทย แต่เมื่อรถไฟได้เข้าสู่ประเทศมาเลย์ในตอนเช้าวันถัดมา รู้สึกได้ของความแตกต่างของระดับการสั่นสะเทือนจากรางรถไฟ ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่รู้สึกว่ารางรถไฟของมาเลย์เรียบกว่าของไทย หรือว่าคิดไปเอง ?

แต่ข้อดีของเตียงล่างอีกอย่างหนึ่งคือมีกระจกให้ชมวิวด้านนอกแม้ว่าภายนอกหน้าต่างบานใหญ่จะมืดมิดจนมองไม่เห็นทิวทัศน์ข้างทาง แต่ตลอดทั้งคืนนั้นก็ยังปรากฏแสงสว่างสีขาวนวลของดวงจันทร์ครึ่งเสี่ยวที่คอยวิ่งตามรถไฟมาอยู่เป็นเพื่อนให้ผมได้นอนชมจันทร์จนเผลอหลับไป..............

หาดใหญ่
เช้าวันใหม่แรกของการเดินทาง ลืมตาตื่นมาพบว่าตัวเองอยู่ในตู้นอนของรถไฟที่ยังคงความสั่นสะเทือนได้อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งคืน ตอนนี้เวลาประมาณ 7 โมงเช้า พอชะโงกหน้าออกไปมองคนอื่นๆ ในโบกี้ปรากฏว่าเขาตื่นนอนและเก็บที่นอนกันหมดแล้ว เหลือแต่เพียงหนุ่มไทย 2 คน ที่ยังคงสภาพของที่นอนอยู่ ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจเลยนอนตื่นสาย แต่ผมตั้งใจว่าจะเก็บแรงเอาไว้เที่ยว จริงๆ นะ..........

พอถึงเวลาสัก 8 โมงกว่าๆ เราก็มาถึงสถานีรถไฟหาดใหญ่ ผมกับหนุ่ยจึงถือโอกาสลงไปยืดเส้นยืดสายแถวชานชลา แล้วเริ่มมองหาเสบียงยามเช้า แล้วก็ลงเอยที่ไก่ทอดกับข้าวเหนียวร้อนๆที่มีแม่ค้ามานำเสนอเชิงยั่วยวน ด้วยกลิ่นหอมๆของไก่ที่พึ่งทอดเสร็จใหม่ๆ โดยเป็นอาหารมื้อเช้าที่กินได้โดยไม่ต้องเกรงใจเพื่อนร่วมโบกี้เหมือนกับข้าวหมูทอดกระเทียมเมื่อวานนี้....

ที่สถานีหาดใหญ่นี้ มีการตัดตอนตู้โบกี้รถไฟจากขบวนยาวเกือบ 20 โบกี้ที่วิ่งมาด้วยกันจากกรุงเทพ ก็จะถูกตัดให้สั้นลงเหลือเพียง 5 โบกี้เท่านั้น สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางไปลงที่บัทเตอร์เวิรท์ ทำให้รู้สึกคล้ายๆกับว่าโดนตัดหางปล่อยวัดยังไงก็ไม่รู้......

ด่านปาดังเปซาร์
หลังจากที่รถไฟออกจากสถานีหาดใหญ่มาได้สัก 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงด่านปาดังเปซาร์ อันเป็นประตูสู่ประเทศมาเลเซียหากเดินทางโดยทางรถไฟ ก่อนที่รถไฟจอด พี่เจ้าหน้าที่พนักงานรถไฟไทย ก็เข้ามาบอกว่าเราต้องขนของทั้งหมดลงไปเพื่อเช็ค passportและเขียนใบ Boarding pass สำหรับเดินทางเข้ามาเลเซีย

ในระหว่างที่เข้าแถวรอตรวจ passport นั้น เราก็ถือโอกาสแอบมองสำรวจเพื่อนร่วมเดินทางของเรา ปรากฏว่าส่วนใหญ่จะเป็นชาวมาเลย์ที่เดินทางกลับบ้าน และมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 5 – 6 คน ที่แบกเป้มาเที่ยวและคาดว่าน่าจะมีจุดหมายปลายทางเดียวกับเราคือ เกาะปีนัง

ในบรรดานักท่องเที่ยวนั้นมี 2 คนที่เป็นผู้หญิงเดินทางมาเที่ยวคนเดียวตามลำพัง คนหนึ่งเป็นฝรั่ง อีกคนหนึ่งเป็นคนญี่ปุ่น เท่มากๆ กล้าสุดๆ อยากให้ผู้หญิงไทยกล้าแบบนี้จัง....

เรื่องหนึ่งที่ประทับใจมากก็คือ ความใจดีของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของมาเลย์ ที่เข้ามาช่วยเหลือในระหว่างที่เรากำลังกรอกใบ Bording pass คงเป็นเพราะว่าท่าทางของเราที่กำลังงงกับคำถามภาษาอังกฤษที่จะต้องBording pass เจ้าหน้าที่ผู้หญิงตัวใหญ่หน้าตาดุแต่ใจดีเลยเข้ามาช่วยกรอกให้เราเรียบร้อย แถมยังพูดภาษาไทย (สำเนียงใต้) ได้อีกต่างหาก อยากให้เจ้าหน้าที่ของไทยใจดีแบบนั้นบ้างจังเลย....

Welcome Malasia
หลังจากที่สามารถผ่านด่านเข้าสู่มาเลย์ได้แล้วรถไฟก็เคลื่อนขบวนต่อไปยังจุดหมายปลายทาง โดยในระหว่างทางนั้นได้มีการจอดรับผู้โดยสารชาวมาเลย์ตามสถานีต่างๆ ขึ้นมาจนเต็มโบกี้ จากที่เราเคยเป็นเจ้าของที่นั่ง ที่นอน แต่เพียงผู้เดียว เลยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับชาวต่างประเทศแบบไหล่ชนไหล่เป็นครั้งแรก แถมยังมีการเตรียมเสบียงมากินบนรถไฟอีกต่างหาก และแล้วกลิ่นแปลกๆ ก็อบอวลไปทั้งโบกี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าอร่อยหรือเปล่า ถือว่าเป็นการเข้าถึงวิถีชีวิตของประเทศเพื่อนบ้านอีกแบบหนึ่งก็แล้วกัน


เรือเฟอรี่ to ปีนัง
พอเวลาประมาณบ่ายโมงรถไฟของเราก็มาถึงที่หมายสถานีปลายทาง คือ สถานีบัทเตอร์เวิรท์ พอลงจากรถไฟ ผมกับหนุ่ยก็เริ่มทำตามแผนที่วางไว้ คือ เดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไปก่อน คาดว่าเค้าน่าจะรู้ว่าท่าเรือเฟอรี่อยู่ไหน แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ คือ เดินจากสถานีรถไฟมาประมาณ 10 นาที เราก็พาตัวเองขึ้นมาอยู่บนเรือเฟอรี่เพื่อไปยังเกาะปีนัง ค่าโดยสารผมว่าถูกมาก คือ 60 เซนต์ RM หรือประมาณ 6 บาท แถมขากลับคือถ้านั่งมาจากฝั่งปีนังก็ไม่ต้องเสียเงินอีกต่างหาก

บนเรือเฟอรี่ลำใหญ่ เราได้ที่นั้งอยู่บนชั้นที่สองเพราะในชั้นล่างจะเป็นชั้นที่จอดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ต้องการข้ามไปยังเกาะปีนัง หลังจากหาที่นั่งและวางเป้เรียบร้อยแล้วเรารีบเดินไปที่หัวเรือเพื่อชื่นชมทัศนียภาพของเกาะปีนังทันที

จากด้านหน้าของเรือที่กำลังแล่นอย่างช้าๆผ่านทะเลที่เงียบสงบ เราสามารถมองเห็นเมืองจอรจ์ทาวน์ที่ตั้งอยู่บนเกาะปีนัง โดยมีตึก Komtar ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในเกาะ และเป็นจุดศูยน์กลางของรถเมล์และรถบัสสายต่างๆสำหรับการเดินทางภายในเกาะ และเมื่อมองไปทางซ้ายมือที่เห็นอยู่ลิบๆ ก็คือ สะพานปีนังอันเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเกาะปีนังกับเมืองบัทเตอร์เวิรท์และถือว่าเป็นสะพานที่ ยาวเป็นอันดับ 4 ของโลก





เรือเฟอรี่ลำใหญ่สีสดใสใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็เข้าเทียบท่าที่เกาะปีนัง พอลงจากเรือแล้วเราก็คงใช้แผนเดิม คือ เดินตามพวกนักท่องเที่ยวฝรั่งเค้าไปเรื่อยๆ เดียวก็คงจะถึงที่พักไปเอง

แต่ปรากฏว่าขาฝรั่งยาวกว่าขาคนไทยก็เลยคลาดกัน เราก็เลยเคว้งคว้างหาทางไปไม่ถูก ยืนงงอยู่หลายสิบนาทีพอตั้งสติได้ก็คว้า Lonely planet ออกมาเปิดดูจึงพบหนทางสว่าง คือ เราต้องไปหาที่พักแถวถนน Jalan Chulia หรือถนนจูเลีย ( Jalan แปลว่า ถนน ) ว่าแล้วเราก็โบกรถเมล์เก่าๆ ได้คันหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ารถเมล์สายอะไร แต่สุดท้ายก็นำเรามาถึงยังที่หมายจนได้

พอลงจากรถเราก็ตระเวนหาเกสต์เฮาส์ โดยเกือบทั้งหมดของตึกทั้งสองข้างถนนจะเป็นตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล บางตึกดูดีสีสดใส บางตึกก็ดูน่าขนลุกชอบกล





การที่ต้องเดินแบกเป้ใบใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 13 กิโลท่ามกลางแดดร้อนเวลาบ่ายสอง ประกอบกับความด้อยประสบการณ์ในการหาที่พัก ทำให้เราได้ตัดสินใจเลือกเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตึกที่จัดอยู่ในประเภทน่าขนลุก พอเข้าไปสอบถามกับเจ้าของปรากฏว่าค่าที่พักถูกมาก คือ 17 RM หรือประมาณ 170 บาทสำหรับห้องพัก 2 เตียง

ด้วยความดีใจจึงตกลงจ่ายเงินก่อนที่จะได้สำรวจให้ดีเสียก่อน ปรากฏว่าพอเข้าไปถึงห้องจึงพบกับบรรยากาศภายในห้องน่ากลัวไม่แพ้สภาพตึกภายนอกเลย แถมในห้องยังมีกระจกเงาเก่าๆ ที่คาดว่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ขนาดใหญ่พอๆ กับประตูติดอยู่ที่ผนังอีกต่างหาก และที่สำคัญที่ชั้นล่างของเกสเฮาส์ยังเต็มไปด้วยสาวๆ จำนวนมากนั่งแต่งหน้าทาปากกันอยู่ และเมื่อเห็นสองหนุ่มเดินผ่านเข้าไปทุกคนต่างมีแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ไม่รู้เหมือนกันว่าหวังอะไร ?.........

เมื่อได้พักเรียบร้อยแล้วเราจึงจัดการล้างหน้าล้างตาและเตรียมออกไปเที่ยวทันที แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องเราจึงต้องหาอาหารเพื่อเติมพลังเสียก่อน

อาหารมื้อแรกในมาเลย์ก็คือ บะหมี่เกี๊ยวแห้งหมูแดง แต่ไม่รู้ว่าคนแถวนี้เค้าเรียกกันว่ายังไง เราสั่งตามโต๊ะข้างๆ คือชี้ไปที่เค้ากินอยู่แล้วบอกว่า “ Same this two ! ” จะด้วยเพราะว่าหิวและเหนื่อยหรือว่าของเค้าอร่อยจริงๆ ก็ไม่รู้บะหมี่ชามนั้นหมดอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือราคาก็ไม่แพง เลยตั้งใจว่าคืนนี้จะกลับมากินอีก ติดใจ...

ปีนังฮิลล์
หลังจากที่เติมพลังกันเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางไปยังสถานที่เที่ยวกันทันที โดยสถานที่แรกที่วางแผนกันเอาไว้ก็คือ ปีนังฮิลล์

เราได้โอกาสชมบ้านเมืองของเกาะปีนัง เพราะรถเมล์ที่เราโดยสารมานั้น พาเราวนไปรอบๆเมืองอ้อมไปอ้อมมา ตามถนนทั้งใหญ่และเล็กของเมืองจอรจ์ทาวน์

ชมวิวจนเพลินสักพักใหญ่จึงมาถึงจุดจอดรถที่มีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก เราจึงนึกว่าน่าจะมาถึงทางขึ้นปีนังฮิลล์แล้ว จึงลงจากรถแล้วเดินตามเค้าไปเรื่อยๆตามแผนเดิม โดยไม่รู้เลยว่าสถานที่เรากำลังเดินตามเค้าไปอยู่นี้มันไม่ใช่ปีนังฮิลล์จุดมุ่งหมายปลายทางของเรา

เดินมาได้พักใหญ่จึงมาถึงบางอ้อ เมื่อพบว่าเรากำลังจะเดินเข้าไปในวัดจีนแห่งหนึ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือ มีชื่อว่าวัดเขาเต่า จึงเริ่มจะรู้ตัวว่ามาผิดที่ หรือเรียกได้ว่าแค่วันแรกก็ผิดแผนซะแล้ว!!

แต่ว่าไหนก็มาถึงทางเดินขึ้นวัดแล้ว ก็เข้าไปดูซะเลยจะได้ไม่เสียเที่ยว วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาสูงพอสมควร แต่ระหว่างทางเดินขึ้นจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะจะมีการตั้งแผงขายของตลอดทาง ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นวัดอันเป็นจุดหมายปลายทางได้เลย เพราะมองไปทางไหนก็จะเจอแต่ร้านขายของที่ระลึกและของกินหลากหลายชนิดตลอดทางเดินขึ้นเขา

วัดแห่งนี้จัดว่าเป็นวัดที่ค่อนข้างจะใหญ่โตอลังการมากเลยทีเดียว โบสถ์ เจดีย์ต่างๆที่มีความสวยงาม ตามรูปแบบวัดจีน และมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ ไว้ให้สักการบูชา โดยมีการสร้างอาคารต่างๆลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ ตามสภาพภูเขา



พอลงจากวัดเขาเต่าเราก็ต่อรถเมล์อีกประมาณ 5 นาที เพื่อจะไปขึ้นปีนังฮิลล์ โดยเราจะต้องนั่งรถรางขึ้นไป เสียค่าขึ้นประมาณ 5 RM และถือว่าเป็นรถรางที่ยาวที่สุดที่ผมเคยนั่งมา โดยจะต้องขึ้นรถรางต่อกันสองระยะและ ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีจึงจะขึ้นถึงยอดของปีนังฮิลล์



จากยอดปีนังฮิลล์ เมื่อมองลงมาจะสามารถมองเห็นได้เกือบทั่วเกาะปีนังไปยังแผ่นดินใหญ่ที่เมืองบัทเตอร์เวิรท์ ต้องขอบอกว่าวิวที่นี่สวยมากจริงๆ แถมอากาศยังเย็นสบายอีกต่างหาก เพราะอุณหภูมิจะต่ำกว่าด้านล่างประมาณ5 องศา เนื่องจากที่ที่เรายืนชมวิวอยู่มีความสูงจากเมืองจอรจ์ทาวน์ ถึง 850 เมตร เราใช้เวลาเดินชมวิวและสวนดอกไม้บนปีนังฮิลล์ประมาณ 2 ชั่วโมง

และเมื่อแสงจากท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมืดลง แสงสีระยิบระยับจากบ้านเรือนและท้องถนนเบื้องล่างก็ค่อยๆสว่างขึ้นแทนที่ เป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็นได้อย่างไม่รู้ลืม ......



หลังจากที่ชมวิวจนเป็นที่น่าพอใจเราก็ลงจากปีนังฮิลล์ แล้วนั่งรถเมล์มายังตึกKomtarอันเป็นศูนย์กลางของรถโดยสาร เพราะว่าเราจะต้องจองตั๋วรถสำหรับเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์(KL.)ในวันพรุ่งนี้ เราจองตั๋วรถรอบบ่ายเพราะคาดว่าจะใช้เวลาช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้เพื่อไปเที่ยวชมวัดต่างๆและเมืองจอรจ์ทาวน์กันก่อน

อาหารมื้อเย็นของวันนี้เราเลือกร้านอาหารแขกใกล้กับตึก Komtar เราได้กินข้าวสี เหลือง ที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศนานาชนิด ราดด้วยสตูเนื้อที่รสจัดมากๆ เมื่อรวมกันแล้วปรากฏว่ายิ่งกินยิ่งเผ็ด แต่ก็ O.K. อร่อยดี แล้วก็เหลือบมองไปเห็นโรตีแผ่นใหญ่ที่ทอดอยู่หน้าร้านเลยตั้งใจพรุ่งนี้จะต้องลองกินโรตีกับแกงกะหรี่ดูบ้าง แต่ต้องไปศึกษาดูก่อนว่าจะสั่งยังไงยังพูดกันไม่รู้เรื่องกลัวว่าสั่งแล้วจะได้เป็นโรตีกล้วยหอมเหมือนเมืองไทย

หลังจากกินอิ่มหนำสำราญแต่ต้องเสียเหงื่อและน้ำตาซึมจากความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ เราก็เดินกลับที่พักโดยไปเรื่อยๆ และถือโอกาสชมเมืองจอรจ์ทาวน์ตอนกลางคืนโดยเฉพาะย่านไชน่าทาวน์ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารนานาชนิดมีทั้งร้านที่อยู่ในอาคารทรงโบราณและร้านแบบรถเข็น ที่สร้างความคึกคักและชีวิตชีวาให้กับเมืองเก่าแห่งนี้ได้อย่างลงตัว

เราเดินชมเมืองกันจนถึงถนนจูเลีย อันเป็นที่ตั้งของเกสต์เฮาส์ที่เราได้เปิดห้องเอาไว้ ทันใดนั้นความรู้สึกหวาดหวั่นน่าขนลุกก็เข้ามาจู่โจมเราอีกครั้ง เมื่อเรายืนมองดูตึกทรงโบราณที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยความมืด ไม่ปรากฎแสงสว่างส่องออกจากหน้าต่างห้องพักใดๆเลย ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านร้างไม่มีผิด

ผมกับหนุ่ยจึงตัดสินใจว่าจะหาเกสต์เฮาส์อื่นในย่านเดียวกัน ถ้าหากเจอเกสต์เฮาส์ที่ถูกใจราคาไม่แพงเราจะขอย้ายที่พักแม้ต้องเสียตังค์เพิ่มก็ยอม...

จนในที่สุดเราก็พบเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งชื่อ 37 inn ซึ่งตัวตึกแม้จะเก่าแต่ก็ทาสีไว้สวยงามสภาพห้องก็ดูดีใช้ได้ แถมเจ้าของยังอัธยาศัยดีอีกต่างหาก เราจึงตกลงย้ายที่พักโดยต้องจ่ายตังค์สำหรับค่าที่พักสำหรับคืนนี้อีก 23 RM แต่ก็ดีกว่าเสี่ยงที่จะถูกผีหลอกในต่างแดน หรือกลัวว่าจะมีภาพใครปรากฏจากกระจกเงาบานใหญ่บานนั้น......

คืนแรกในมาเลเซียผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วคงเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางบนรถไฟและการหาที่พักที่เที่ยวเมื่อวานทำให้ผมกับหนุ่ยหลับสนิทแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย...........



Create Date : 30 มกราคม 2548
Last Update : 26 เมษายน 2548 2:39:42 น. 7 comments
Counter : 1579 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ พอดีอ่านแล้วรู้สึกชอบบทความนี้นะ เหมือนฟังเพื่อน หรือเพื่อนกำลังเขียนโปสการด์มาเล่าเรื่องราวระหว่างไปเที่ยวให้ฟัง อ่านแล้วเพลินดี แต่ว่ายังมีคำที่เขียนผิดอยู่ เช่น welcome นะจ๊ะ ไม่ใช่ wellcome แต่ว่ามันก็เป็นแค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น โดยรวมแล้วดีนะ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเพื่อนกันเลยวิจารณ์ซะดี แต่อ่านแล้วเพลินจริง อ้อ ยังไงคราวหน้าก็คงพัฒนาภาษาไปได้เรื่อย ๆ เพราะอ่านบางตอนมันยังขัด ๆ ภาษาบางครั้งอ่านแล้วมันดูสละสลวยชวนเลี่ยนไปบ้าง เช่น สีขาวนวลของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว... เป็นต้น หวานซะ นึกว่านายกับเพื่อนหนุ่ยเป็นแฟนกัน โรแมนติก (ล้อเล่น) โดยรวมดูดีแล้วนะกฤษณ์ อยากอ่านตอนต่อไป แล้วจะอ่านให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่งแล้วกัน แล้วก็ชมเรื่องรูปประกอบหน่อย สวยมาก สวยดี เมื่อไรจะทำโปสการด์มาขายล่ะ เพื่อนเราเก่งจังวุ้ย


โดย: เพื่อนจุ IP: 203.185.154.52 วันที่: 31 มกราคม 2548 เวลา:16:03:44 น.  

 
อ้าว ... ไม่ใช่แฟนกันหรอกหรือ


โดย: เมาะลำเลิง IP: 203.147.0.42 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:7:47:01 น.  

 
หนุกจัง ^_^

แต่เสียดาย...

น่าจะพักเกสต์เฮาส์แรก ไม่แน่นะเผื่อจะมีไรหนุกๆ ก็ได้

หรือว่า...อยาก Sweet กะ หนุ่ย (", )? อืม...นะ


โดย: uhu IP: 58.147.41.33 วันที่: 11 เมษายน 2549 เวลา:16:23:00 น.  

 
ไม่มีใครเข้ามาpost อีกแล้วเหรอ ไม่โฆษณาให้เพื่อนเค้าเข้ามาอ่านกันหน่อยล่ะ พ่อคุณทั้งหลาย...


โดย: ju IP: 58.137.3.178 วันที่: 30 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:10:31 น.  

 
อีกหน่อย... เพื่อนหนุ่ยมีแฟนยัง?



โดย: ju IP: 58.137.3.178 วันที่: 30 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:11:15 น.  

 
สนุกจังค่ะ ที่แท้พี่กิดก้อกลัวผีนี่เอง ตัวก้อใหญ่นะ...อิอิ นู๋ว่าผีอาจกลัวพี่กิดเหมือนกาน...ว่ามั๊ยคะ...แต่พี่กิดแอบใจร้ายนะคะ ไปพี่ตำรวจที่มาช่วยว่าน่ากลัวอีก...อิอิ... ไปอ่านภาคต่อไปดีก่า กำลังมานเยย


โดย: Bee IP: 203.209.38.228 วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:15:01:31 น.  

 
สวยดี


โดย: ... IP: 125.24.28.42 วันที่: 19 เมษายน 2551 เวลา:16:18:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Onter
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Onter's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.