ทำไมรัสเซียชอบอาหรับกว่ายิว?
มีคำถามว่าทำไมอเมริกาและตะวันตกหนุนยิว และรัสเซียหนุนอาหรับ? ผมอ่านคำถามของท่านแล้วก็จนปัญญา ต้องไปถามท่านผู้ใหญ่ก็ได้คำตอบมาที่น่าจะเป็นและพอมีสาเหตุจากประวัติศาสตร์มารับใช้กันครับ
ยิวตั้งรัฐอิสราเอลเมื่อ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1948 ผู้นำโซเวียตตอนนั้น คือ โจเซฟ วิสซารีโอโนวิช สตาลิน ซึ่งแกคิดว่า เมื่อมีประเทศของตัวเองเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ยิวจะคลายความภักดีต่อโซเวียต และก็อีกอย่าง คอมมิวนิสต์ไม่ชอบความคิดชาตินิยม ดังนั้น ความมีชาตินิยมรุนแรงของคนยิว จึงเป็นภัยต่ออุดมการณ์สังคมนิยม
ยิ่งมีพวกข่าวกรองมาเป่าหูว่า ยิววางแผนฆ่าท่าน สตาลินจึง สั่งให้จับยิว และเอาไปขังไว้ที่ค่ายกักกันแรงงาน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีความผิด
ส่วนยิวที่สมองดี+มีแววเป็นผู้นำชาวยิวได้ สตาลินก็ยัดข้อหาแบ่งแยกดินแดนไครเมีย ตอนนั้นคนโซเวียตได้รับข่าวจากหนังสือพิมพ์ปราฟดาของรัฐบาลว่า ยิวจะเอาไครเมียไปตั้งเป็นเขตปกครองอิสระ และจะโอนเขตอิสระนี้ให้เป็นของสหรัฐฯและอังกฤษ เพื่อตอบแทนที่สหรัฐฯและอังกฤษช่วยให้มีการตั้งรัฐยิวได้สำเร็จ พอข่าวนี้ออกมา สตาลินจึงสั่งให้ไล่ล่าผู้นำที่เป็นปัญญาชนและนักเขียนยิวที่มีชื่อเสียง 26 คน
สมัยก่อนตอนโน้น (หรือแม้แต่ตอนนี้ก็เถอะครับ) ยิวมีอิทธิพลต่อสหรัฐฯมาก คนใหญ่คนโต ดาราดังฮอลลีวูด จะต้องมีเชื้อสายยิวทั้งนั้น สตาลินและพวกผู้นำโซเวียตในสมัยนั้นอาจจะกลัวความเชื่อมโยงตรงนี้ จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการกำจัดชาวยิวในโซเวียต
รัฐบาลโซเวียตสมัยสตาลินจึงเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศ มาเป็นการหนุนอาหรับ ไม่ว่าอาหรับต้องการอาวุธอะไร (ที่จะไปใช้กำจัดอิสราเอล) โซเวียตจัดให้หมด โซเวียตให้ทุนนักเรียนอาหรับเข้ามาเรียนในประเทศหลายหมื่นคน ดูแลพวกนี้เต็มที่ ด้วยหวังว่าเมื่อกลับไปชาติบ้านเมืองของตนแล้ว จะได้ไปเป็นผู้นำและสานสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตต่อไป
รัฐบาลโซเวียตควบคุมการข่าวได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงสามารถปฏิบัติการจิตวิทยาให้ประชาชนคนโซเวียตเกลียดยิว และก็ได้ผลครับ คนโซเวียตในสมัยนั้นแขยงแขงขนคนยิวมาก แม้แต่นิตยสารวรรณกรรมเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยนักเขียนที่เคยเขียนเรื่องราวรักใคร่ ก็กลายมาเขียนรณรงค์ให้พรรคปราบปรามการเคลื่อนไหวของชาวยิว
มีการจับกุมแพทย์ประจำเครมลิน 9 คน ซึ่งเป็นยิวซะ 7 คน ข้อหาวางแผนฆ่าผู้นำสตาลิน หลังจากสารภาพ แพทย์ยิวทั้งหมดก็ถูกนำไปประหารชีวิต
เมื่อปั่นกระแสจนประชาชนเชื่อว่ายิวเลวแล้ว สตาลินก็กำหนดแนวทางการลงโทษชาวยิวเสียใหม่หลายระดับ เช่น ให้ฆ่าทันที ให้นำไปแขวนคอที่จัตุรัสแดง ให้สังหารหมู่ชาวยิวทั้งครอบครัวและชุมชนได้ ให้คนยิวที่สวามิภักดิ์ต่อสตาลินและสหภาพโซเวียต อพยพจากเขตเมืองไปอยู่ในเขตชนบททุรกันดาร
แทนที่คนโซเวียตในสมัยนั้นจะเห็นใจพี่น้องร่วมชาติชาวยิว กลับเห็นว่ายิวเป็นพวกอันตราย อันนี้เป็นเพราะการปั่นกระแสซ้ำๆ ย้ำๆ ว่า ยิวเลวยังงั้น ยิวชั่วยังงี้
กุมภาพันธ์ ค.ศ.1953 สตาลินป่วย พรรคคอมมิวนิสต์ประกาศอาการป่วยวันที่ 4 มีนาคม พอถึงเย็นวันที่ 5 มีนาคม ในโซเวียตก็มี
ประกาศข่าวด่วนเรื่อง มรณกรรมของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของพรรคและประเทศ
ยิวถูกใส่ความว่าเลวมาเรื่อย จนกระทั่งสตาลินตาย มีคนแข่งจะขึ้นเป็นผู้นำโซเวียต 2 คน คือ นายลัฟเรนตี เบเรียน หน.ตำรวจลับเชกา และนายเกอกอร์กี มาเลนตอฟ รมว.ต่างประเทศ สองคนนี่ต่างก็ใส่ความกันเกี่ยวกับการกุเรื่องที่ยิวจะฆาตกรรมผู้นำ สุดท้ายสังคมโซเวียตก็รู้ว่า พวกนี้กุเรื่องแม้แต่เรื่องที่แพทย์ยิวจะฆ่าสตาลินและทรมานแพทย์ให้ยอมรับ
สตาลินตายแล้ว เรื่องยิวในรัสเซียจึงเป็นเรื่องโอละพ่อ ทุกอย่างเป็นเพียงการปั้นเรื่องขึ้นมา เพื่อให้หน่วยงานของตนเองมีความสำคัญเป็นการใส่ความกัน เพื่อใช้โค่นศัตรูทางการเมือง และใช้เป็นบันไดเพื่อให้ตนและพวกพ้องของตนไต่ไปสู่อำนาจ
พอสตาลินตายแล้ว ก็มี Destalinization หรือ การล้มล้างอิทธิพลสตาลิน พวกที่เคยมีอำนาจในยุคสตาลินถูกประหารชีวิตไปหลายคน เหลือแต่นิกิตา เซรเกเยวิช ครุชชอฟ เลขาธิการพรรคสาขามอสโก ที่ไม่เกี่ยวเรื่องการใส่ความยิว แกจึงผงาดได้ขึ้นมาเป็นผู้นำโซเวียต
เพราะคนสำคัญจากอาหรับไม่น้อย เคยเรียนในโซเวียต
ความสัมพันธ์จึงบันดาลความรักแน่นแฟ้น
ต่อเนื่องยาวนาน จนถึงกาลปัจจุบัน.
คุณนิติ นวรัตน์