Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
2 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
เฉพาะแฟนชิงชัง ..เก็บตก จ้า

ชิงชัง แรงบันดาลใจ..

ย่าหงษ์ เที่ยงธรรม

เมื่อปี 2544 ผมบวชพระย่างพรรษาที่ 2 ในตอนนั้น ผมเพิ่งกลับมาจาก อบรมพระนักเผยแผ่ มาอยู่ที่วัดคีรีวงศ์ เหมือนตอนบวชใหม่ ๆ ตอนนั้น ไฟสำหรับพระธรรมเริ่มแรงแล้ว แต่ว่าลึก ๆ ความปรารถนาเดิม ๆ ตั้งแต่ก่อนจะบวชก็เวียนมารบกวนจิตใจ ผมอยากเป็นนักเขียนครับ ผมเรียนทางด้านสื่อสารมวลชนที่ม.รามคำแหง เรียนเอง จบเอง โดยมีหนังสือเป็นครูคอยชี้แนะ ยอมรับเลยว่า ความมั่นใจในปริญญามีนิดเดียวจริง ๆ..

เหตุที่ผมบวช เพราะเมื่อเรียนจบ ยังไม่ทันได้หางานทำ อย่างที่อยากทำ ปู่ผมก็เสียชีวิต ผมมางานศพ แล้วพ่อของผม(ซึ่งดุมาก) บังคับให้บวชหน้าไฟ ให้ปู่ ผมไม่อยากบวช เพราะไม่อยากหัวโล้น ไปสมัครงาน ก็แข็งขืน แต่ว่าก็สู้อำนาจของพ่อไม่ได้

ผมยอมบวชเณรแต่ผมก็พูดประโยคหนึ่งไว้ว่า “ผมจะบวชพระต่อเลยนะ”..

อันนี้เป็นอย่างที่ใจผมปรารถนา ท่ามกลางความเสียใจของแม่ และพี่สาว ซึ่งอยากจัดงานให้เอิกเกริกให้สมกับมีลูกกับที่รอคอยให้ลูกชายมีอายุครบ 20 ปี แต่ว่าผมหาได้สนใจเสียงท้วงของใคร..ซึ้งบางทีพอมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกผิดที่เอาแต่ใจตัวเอง แต่บางทีก็ดีใจว่า งานเรานั้นเป็นแบบพอเพียง เป็นไปตามที่มันควรจะเป็นจริง ๆ

ครับ ย้อนกลับมาเมื่อ ย่างเข้าสู่พรรษาสอง ผมกลับมาอยู่ที่วัดคีรีวงศ์ ในตอนนั้น ผมก็ว่าง ๆ ยังเลือกไม่ตกว่าจะอยู่เป็นพระต่อ หรือสึกกลับไปอยู่บ้านดี ใจหนึ่งก็อยากอยู่ ใจหนึ่งก็อยากทำงานเป็นนักเขียน แต่ใจที่อยากอยู่มันมีมากกว่า ก็เลย อยู่ก็อยู่ เรื่องทางโลกช่างมันเถิด.. (เป็นคนตามใจตัวเองมาก)

แล้ววันหนึ่งก่อนเข้าพรรษา เมื่อปี 2544 อาที่ดูแลย่า ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับวัดคีรีวงศ์ ต้องเดินทางไปหาสามีที่อยู่อ่างทอง อามาตามผมให้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนย่าบ้างนะ (ตอนกลางวัน) อาเขาไปอ่างทองประมาณ 3 สี่วัน ตอนนั้นย่าก็ 81 แต่ย่าแข็งแรงมาก ผมก็หอบผ้าเดินตากแดดกลับบ้าน (ตอนเป็นพระผมไม่ค่อยกลับบ้านหรอก มันแปลก ๆ เหมือนมันไม่ใช่ที่ของพระ) พอไปถึงบ้านก็เปิดโทรทัศน์ แต่ด้วยเป็นคนไม่ชอบดูโทรทัศน์ ไม่ฟังเพลง (ติดหนังสือมากกว่า) ก็เลย เซ็ง และความเซ็งก็เลยกลายเป็นหาอะไรแก้เซ็ง นั่นก็คือคุยกับย่าดีกว่า..

ก่อนหน้านั้นผมก็อยู่กับย่า เมื่อตอนเรียน ปวช. 15-17 ขวบ แต่ว่า ตอนนั้นมีหลาน ๆ อยู่กันเยอะ ก็ไม่เคยคุยอะไรกันตามลำพัง คุยรวม ๆ เสียมากกว่า..

มันก็เขิน ๆ เหมือนกัน แต่ด้วย กลัวย่าเหงา ก็เลย ถามนั่นถามนี่..

เท่าที่จำได้ ย่าเขาเล่าประวัติของวัดพุทธมิ่งมงคล วัดคีรีวงศ์ วัดหลวงพ่อเท้า(ที่อยู่หลังบ้าน) แล้วก็เอ่ยถึงคหบดีผู้หนึ่งที่เคยเจริญรุ่งเรื่องในเมืองปากน้ำโพ เรื่องที่ย่าเล่าประมาณปี 2508-2515 ภาพของเมืองนครสวรรค์ในตอนนั้น กับปี 2544 นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ย่าเล่าถึงเรื่องราคาที่ดิน ย่านชุมชน เล่าเรื่องพ่อของผมที่ไม่ยอมเรียนหนังสือ อะไรเยอะมาก ๆ ซึ่งผมจะแจกแจงว่า มันกลายมาเป็นชิงชังได้อย่างไรและตรงไหนที่ผมหยิบเรื่องจริงมาใส่ไว้ในนิยาย..

ซึ่งตรงนี้หลาย ๆ ท่านก็คงอยากรู้ เพราะมีกระแส ข่าวลือ ทั้งในเมืองนครสวรรค์และทั่ว ๆ ไป ว่า ชิงชังเป็นเรื่องจริง ที่ผูกมาเป็นนวนิยายและกลายมาเป็นละคร(ฮอตฮิต ตรงนี้พูดได้เต็มปากแล้ว)

และคำว่า เรื่องจริงหรือเปล่านี่ มีมาตั้งแต่ละครออกอากาศ บอกตรง ๆ ว่า ตอนแรกผมก็อึ้งเหมือนกัน เพราะว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงมันมีผลกระทบถึงคนอีกหลาย ๆ คน เพราะตัวละครในละครชิงชังนั้นต่างแรง แรง แรง สรุปว่า แร้งงงงงงงง จริง ๆ กันทุกตัว..

และคำพูดแรง ๆ ที่พลอยให้ญาติ เขม่นผมก็คือ “โครตเหง้ามึงนี่นะ ..” อะไรแบบนี้ ตอนนั้นผมก็ได้ยิ้มแห้งๆ สำนึกว่าพลาดไปแล้ว แต่ว่า อะไรมันก็เรียกคืนมาไม่ได้ ก็ได้แต่ขอโทษขอโพยขออภัยกับความไม่รู้นั้นไป..

ที่ไม่รู้นั่นก็คือ ดันไปนำชื่อ ของ ผู้ใหญ่แก้ว และแม่ทองคำ (พ่อแม่ของย่าหงษ์) ซึ่งมีตัวตนจริง และเป็นคนท่าน้ำอ้อยจริง ๆ มาใช้..แม้ลูกหลานจะรู้ว่าเป็นเรื่องแต่ง แต่ว่า คนอื่น ๆ เขา เหมากันไปแล้วว่า มันเป็นเรื่องของคนบ้านนี้ หลังนี้ อยู่ตรงนี้..

บทเรียนราคาแพงเลย...

ครับกลับมายังเรื่องที่ย่าเล่าให้ฟังแล้วก็ถูกพลิกมาอยู่ในนวนิยาย.. ซึ่งต้องบอกว่า ย่าเป็นคนเล่าเรื่องได้เห็นภาพเป็นอย่างมาก ...ย่าเล่าว่า ก๋งของย่าเป็นคนจีน ผู้ใหญ่แก้วมีเชื้อสายจีน ที่บ้านมีศาลเจ้า ย่าเล่าว่า แม่ทองคำซึ่งเป็นแม่ของย่า และเป็นทวดของผมนั้น ได้บอกกับย่าว่า หงษ์เอ้ย คนเราน่ะไม่รวยถึงสามชั่วอายุคนหรอก

สมัยที่แม่ทองคำเป็นเด็ก ๆ นั้นที่บ้านรวยมาก แต่รวยแบบคนบ้านนอก แม่ทองคำเล่าให้ย่าหงษ์ฟังว่า รวยจนขี้เกียจและเหนื่อยมาก อย่างมีควายก็พยายามต้อนให้ไปหากินหญ้าในเขตที่เขาห้ามไป แบบตรงนั้นมีห่าลง อยากให้ควายไปกินหญ้าแถวนั้นแล้วติดโรคตาย//กับหน้าแล้ง ต้องเกี่ยวหญ้าคามาเก็บไว้เอากรองเป็นตับขายหรือเอาไว้ทำหลังคาโรงเรือน แม่ทองคำ ก็แอบไปเผาซะ แบบจะได้ไม่ต้องเกี่ยว.. นอกจากนั้น ย่ายังเล่าเรื่อง แม่ทองคำกับพี่ ๆ น้อง ๆ ในตอนแบ่งสมบัติ ซึ่งผมฟังถึงกับตกอกตกใจว่า อะไรจะแรงกันถึงขนาดนั้น ประมาณว่า ยิงกันตกแม่น้ำไปเลย ซึ่งตรงนี้ผมก็เลย หยิบมาใส่ในนวนิยายด้วยนิดหน่อย (เรื่องจริง) อย่างหลวงลุง ซึ่งก็มีตัวตนจริง ๆ...แต่คนชุดนั้นทั้งหมดผมเกิดไม่ทันหรอก...

และที่เห็นภาพเด้งที่สุดเลยยยยยยยยยยยยยยย ย่าเล่าถึงตอนสมัยสาว ๆ ซึ่ง ถ้าดูจากรูปแล้ว เค้าความงามของย่าหงส์คงมีอยู่ไม่น้อยเลยยยยยยยยยยยย... ดังตัวอย่าง ในนวนิยายที่ยกมา(ให้ชิม)


(ในตลาดบ้านบนมีร้านเหล้าร้านกาแฟของเฮียอ๋า ลูกชายคนโตของเจ๊กฟาด ซึ่งเป็นสถานที่ให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ได้อาศัยซ่องสุมความคิดและแลกเปลี่ยนข้อมูลของสาวในหมู่บ้านหรือถิ่นอื่น แต่สาวไหนถิ่นไหนในยามนี้ จะมีใครเล่างามเท่า “แม่อิ่ม” ลูกสาวคนโต ของผู้ใหญ่แก้ว

และดอกไม้งาม ย่อมเป็นที่หมายของหมู่ภมร

ยิ่งภมรตัวนั้นเป็นคนอย่างไอ้ทิดยอด ซึ่งใคร ๆ ต่างรู้กิตติศัพท์ในเชิงนักเลงของมันดี หนุ่มหน้าไหนก็เลยไม่กล้าเข้ามาจีบแม่อิ่ม

เพราะเจ้ายอดมันเป็นต่อหลายทาง

บ้านก็อยู่ติดกัน แถมยังมีโอกาสลงแขกทำงานด้วยกันอยู่บ่อย ๆ หนุ่มอื่นจะมีโอกาสก็ต่อเมื่อมีงานวัด งานตรุษ ที่ร้านถั่วต้มถั่วแระของแม่ทองคำ จะแน่นไปด้วยหนุ่ม ๆ ทั้งในถิ่นบ้านท่าน้ำอ้อยและหมู่บ้านใกล้เคียง ถึงจะมีผู้ใหญ่แก้วมายืนกันท่า แต่ว่าคำหมากที่แม่อุ่นแม่อิ่มจีบนี่ หวานชะมัด และในบรรดาหนุ่มเหล่านั้น ก็มีทิดอิน ซึ่งบวชรุ่นเดียวกันกับทิดยอด
ช่วงนั้น หลวงลุงของอิ่ม ถึงกับออกปากว่า

“อีอิ่มนี่มันงามนัก มาวัดที พระเณรไม่เป็นอันทำอะไรกัน แอบมองจนข้างฝากุฏิแทบจะพังครืนลงมา แล้วใครที่ไหนหนามันจะกล้าฝ่าด่านไอ้แก้ว”

บรรดาพระที่ได้ยินต่างก็บอกว่า

“ผมนี่แหล่ะหลวงลุง”

“เรื่องนี้เป็นที่เล่าขานในช่วงที่พระชุดนั้นบวช และก็เป็นทีเฮฮาในวงสุรา เมื่อพระชุดนั้นสึกออกมานุ่งผ้าขาว))


และเรื่องจริงอีกเรื่อง ที่ถือว่าเป็นที่มาของชื่อเรื่อง นั่นก็คือ ความสวยของย่านั้นเป็นภัยมาถึงตัว ย่าถูกเสน่ห์จริง ๆ ตอนนั้นผมตกใจมาก แบบผมไปถามย่าว่า “ย่า พ่อของลุงคนโตล่ะเป็นอย่างไง” ย่าก็เล่าว่า “ย่าไม่ได้รักหรอก คนบ้านติด ๆ กันนั่นแหละ มันรักย่ามาก เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ หยอกบ้าง แกล้งบ้าง ที่ย่าไม่ชอบ เพราะมันเกเร เป็นคนไม่เอาถ่าน ย่าก็พยายามผลักไส ย่าเล่าว่าสมัยสาว ๆ มีหนุ่มมาที่บ้านเยอะ ย่าจะตัดผมเป็น ถ้าใครจะมาให้ย่าตัดผม (ใช้กรรไกรกับมีดโกน ซึ่งเมื่อตอนอายุ 16 ย่ายังเคยตัดผมให้ผมเลยนะ) ก็จะต้องทำงานแลกเปลี่ยน เช่น หาบน้ำ ผ่าฝืน ให้ ซึ่งตรงนี้ ผมจึงต้องนำเสนอแม่อิ่ม ในรูปแบบของคนฉลาดปราดเปรื่องเจ้าคารมคมคายต่อรองเก่ง นิ่งแต่ว่าร้ายลึกมีอำนาจเพราะเป็นพี่สาวคนโต

ตอนหลังผมก็ถามย่าถึงเรื่องของเสน่ห์ ย่าบอกว่า พอ ‘ของ’ ถูกตัวแล้ว ก็ไม่รู้สึกตัว ร้อน ๆ หนาว ๆ วูบวาบ แล้วก็หนีตามเขาไป กลับมาส่งตัว แล้วก็พากันไปอยู่ หนองโพธิ์ที่อุทัยธานี(ไม่ใช่ หนองโพ ที่ตาคลีแบบในละคร) ระหว่างนั้นย่าบอกว่า รู้ตัวว่าถูกเสน่ห์แต่ว่า ก็รู้สึกตัวบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง แต่พอรู้สึกตัว ก็มีแต่ความเกลียดและขยะแขยงผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างมาก แม้แต่กินข้าวก็ไม่กินด้วย ประมาณว่า หุงหาให้แล้วก็กระแทกสำรับให้ ตอนนั้นผมสะเทือนใจมาก ๆ ไม่ได้นึกสงสารย่าหรอก นึกเห็นใจผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างมากกกกกกก

ชีวิตจริงของย่ากับพ่อของลูก ก็จบลงที่ว่า มีลูกแล้วก็เลิกกัน ผู้ใหญ่แก้วไปรับกลับมาอยู่บ้าน แล้วก็หาหมอมาถอนเสน่ห์ให้ แล้วหลังจากนั้น ยายทองคำกับพ่อของลุง (นัยยะว่าเป็นไอ้ยอด) ก็หาได้ดีกันอย่างในนิยายหรือละคร อาผมเล่าให้ฟังว่า ยายทองคำเจอพ่อของลุงที่ไหน ก็เปิดฉากด่าทันที..(คือจะร้ายกว่าผู้ใหญ่แก้วในละครเสียอีก)...จนพ่อของลุงไม่สามารถอยู่ที่ท่าน้ำอ้อยต่อไปได้

อีกประเด็นที่เป็นคนละเรื่องเดียวกันที่ผมดึงมาเล่น..นั่นก็คือ ย่ากับปู่ของผม (อันนี้รักแท้มีลูกด้วยกันตั้ง 11 คน) ย่าเป็นม่ายมีลูกติด ซึ่งประเด็นตรงนี้ ตอนที่ผมสึกมาใหม่ ๆ ย่าบอกผมว่า ถ้าจะแต่งงานก็อย่าไปมองพวกแม่หม้ายแม่ร้างนะ พี่สาวผมมันนั่งอยู่ด้วย ซึ่งมันก็เป็นหม้าย(ผัวทิ้ง) ขัดย่าว่า อ้าว อย่างมันก็หาผัวหนุ่มทั้งแท่งไม่ได้สิ แล้วมันก็นึกออกอีกว่า ย่าก็มีลูกติดแล้วปู่เอาย่าได้ไง..(หลานก็ใช่ย่อย)

เอ้า ย่าเล่าว่า ความสวยของย่าเป็นที่เรื่องลือ ปู่ผมไปทำอะไรที่ท่าน้ำอ้อยไม่รู้ ไปเจอ มาจีบ ตอนนั้นย่ามีลูกติดแล้ว ..จีบไปจีบมาย่าเขาเอาสัญญาข้อเดียวจากปู่ คือต้องรักลูกของเขากับผัวเก่าให้เท่ากับรักลูกของตัว(ที่อาจจะเกิดมาใหม่) ซึ่งปู่ก็รับปาก...ผมถามย่าว่าปู่ทำได้ไหม แล้วย่าพิสูจน์อย่างไร ย่าบอกว่า พอลุงเข้าโรงเรียนอะไรแบบนี้ ย่าจะให้เงินปู่พาลุงไปซื้อพวกเครื่องเรียน ปู่ไม่เคยซื้อของไม่ดีให้ลูกเลี้ยงใช้เลยประมาณว่า เลี้ยงเสมอลูกของตน ซึ้งตรงนี้สรุปว่าปู่รักษาสัญญาไว้ได้ ซึ่งมันดูแมนมาก ๆ ผมก็เลย ให้ไอ้ยอดกลับตัวเป็นคนดี รักษาสัญญา เป็นคนมีศีลห้า..

ส่วนในนวนิยายที่ว่ายอดกับอิ่มสละที่ดินสร้างวัดนั้น อันนี้ผมมาบวกเรื่องสมัยที่ย่าย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองปากน้ำโพแล้ว ซึ่งย่าจะเป็นคนทำบุญชนิดไม่มีกินกูก็ทำ ย่าและปู่เป็นคนทำบุญทั้งคู่ ซึ่งผมโตมาจำความได้ ก็เห็นว่า ปู่กับย่าไปรักษาศีลอุโบสถที่วัดแล้ว ซึ่งตรงนี้ผมก็เลยหยิบมาใส่ไว้ในช่วงที่ยอดและอิ่ม อดมื้อกินมื้อแต่ว่าก็ยังทำบุญสมัยที่อยู่หนองโพธิ์ไว้ด้วย..

และด้วย ตอนที่ผมเขียนเรื่องนี้ผมยังบวชอยู่วัด ในนวนิยายนั้น แม่อิ่มจะไม่ได้รักทั้ง ยอด และอิน ไม่รักเพราะอะไร แบบผมเห็นแม่ชีที่วัดเยอะ ก็เลย ประมาณว่า ให้แม่อิ่มไม่อยากมีครองเรือนตั้งแต่สาว ๆ แล้ว แบบอยากเกิดเป็นผู้ชายในชาติหน้า อยากรักษาพรหมจรรย์ให้ยิ่ง ๆ จะได้พ้นจากเพศผู้หญิงเสีย..(นั่นคืออิ่มฟังธรรมจากหลวงลุงมากกว่าน้อง ๆ เพราะต้องหาบสำรับไปส่งเป็นประจำ) ซึ่งทำให้เหมือนอิ่มเป็นคนไร้หัวใจ...

อีกเรื่องที่ถือว่าเป็นคนละเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือ เรื่องของอินกับบังอร..

เรื่องจริงมีอยู่ว่า เจ๊กฟาด(อันนี้เป็นชื่อจริง ๆของพ่อแฟนเก่าพี่สาว) เจ๊กฟาดมีลูกชื่อ ม. ม.นั้นรักอยู่ จ. (พี่สาวของผม) และวันหนึ่ง จ. ก็ถูก ร. ฉุดไป ตอนที่ส่งตัวพี่สาวผม ม.ก็มาที่งานด้วย แถมร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเตา ก็ไม่ต่างอะไรกับพี่สาวของผม ซึ่งเป็นอะไรที่สะเทือนใจผมเป็นอย่างยิ่ง...เรื่องระหว่าง ม. จ. และร. จบแค่นั้น

แต่ว่า ตัว ม. นั้นอีกหลายปีถัดมาก็ไปแต่งงานกับ น. ซึ่งเป็นคู่รักเก่าของ ร. แต่ว่า ด้วย น.เป็นลูกคนไทย พอแต่งไปอยู่บ้านคนจีนแล้ว น.ไม่สามารถทนอยู่กับระบบกงสีได้ น.กับ ม. เลิกกัน..

มันก็เลย กลายมาเป็น ทิดอิน ซึ่งเป็นลูกคนจีน ซึ่งเคยบวชตามประเพณี เพราะมีแม่เป็นคนไทย แต่ว่าพ่อคนจีนนั้นไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็ปั่นจักรยานจากบ้านไปวัด เพื่อไป เรียนเชิญให้พระสึก ซึ่งเป็นเรื่องโจ๊กมาก ๆ ซึ่งตรงนั้นผมเห็นใจ ม. เป็นอย่างมาก ด้วยเคยอยู่วัดจึงรู้ว่าอารมณ์ของคนที่ยังไม่อยากสึกเป็นอย่างไร ดังนั้น ทิดอิน จึงต้องบวชในตอนหลัง หลังจากที่ พยายามชิงคนรักคนมาด้วยเล่ห์ด้วยกล ด้วยมนต์คาถา แล้วแต่ว่าก็สู้แรงรักที่ยอดทุ่มเทให้ได้...

และที่กลายเป็นเรื่อง นั่นก็คือความบังเอิญมีจริง ตอนที่พี่เขาจะเขียนบท ผมก็บอกว่า ขอเปลี่ยนชื่อตัวละครเจ๊กฟาดนี่ออกนะเพราะเขามีตัวตนจริง ๆ(แต่ว่าอยู่ที่อำเภอลาดยาวห่างจากท่าน้ำอ้อยประมาณ 70 กม.) พี่เขาก็ถามว่า จะเปลี่ยนเป็นชื่ออะไร ผมก็บอกว่าแล้วแต่พี่เถอะ เจ๊กฟาดก็เลยกลายเป็นเจ๊กฮวด ซึ่ง ดัน มีเจ๊กฮวดเป็นเจ้าของโรงสีอยู่ท่าน้ำอ้อยจริง ๆ ในสมัยนั้นเสียอีก.. ทีนี้คนแถวนั้นก็เลย มั่นใจว่า มันคือเรื่องจริง..


เค้าเรื่องจริงอีกเรื่อง ก็ย่านั่นแหละเล่าให้ฟัง ถึงเรื่อง การพนันที่ย่ากับปู่ติดในตอนหลัง ติดจนกระทั่งต้องย้ายจากพยุหะคีรีมาอยู่ที่ปากน้ำโพ ..แบบเป็นอะไรที่ขำ ๆ ย่าผมเป็นคนแรงมาก ย่าบอกว่า พอปู่เล่นย่าก็เล่นด้วย ประมาณว่า ช่วย ๆ กันล่มจม และพอจมจริง ๆ แล้วก็สู้ชีวิตกันใหม่...55555555+

ดังนั้น ไอ้ยิ่งกับอีอุ่น จึงต้องเข้าบ่อนจนตัวตายและขายตัว...(และช่วงหนึ่งของชีวิตผมก็ได้รู้จักพี่พนันด้วย เลยตะหนักว่า ถ้าใครติดมันแล้ว มันแย่ถึงเพียงไหน)

เรื่องจริงอีกเรื่อง ย่าเลี้ยงหลานมาด้วยพริกป่น ดังนั้น ยงชัยกับอาทิตย์จึงต้องช่วยแม่อิ่มบดพริกป่นด้วย

เรื่องจริงอีกเรื่อง ก็คือเรื่องของคหบดี ซึ่งในนวนิยายนั้นเป็นครอบครัวของ ชาญชัย คู่รักของลูกสาวคนที่ 5 เอื้องอรุณ ตรงนั้น ย่าเล่าได้มันส์ถึงใจจนผมต้องอัญเชิญมาไว้ในชิงชังอีกเรื่อง..เพราะมันเป็นชีวิตที่ไม่มีวันคาดคิดถึงอีกเช่นกันครับ


และเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจอีกเรื่องสำหรับ นวนิยาย ชื่อ ชิงชัง ด้วยผมโต ๆ มาก็ได้ยินแว่ว ๆ ว่า ย่ากับน้อง ๆ เคยฟ้องร้องกันเรื่องสมบัติ วันนั้นผมก็เลยถามย่า แต่อีกนั้นแหละ ประวัติ ใครเล่าก็มักจะเข้าข้างตัวเอง ผมก็ฟังด้วยใจเป็นกลาง แต่ว่าก็รู้สึกว่า พี่น้องไม่รักกันด้วยเหตุนี้มันก็แรงนะ ดังนั้น ชิงชัง จึงมีคอนเซ็ปที่ว่า พี่น้องไม่รักกัน (เกลียดกัน) เพราะความรัก และสมบัติ แต่ว่าในความเป็นพี่เป็นน้องมันก็มีอยู่ ประมาณว่าตัดไม่ตายขายไม่ขาด (เรื่องจริง ๆ เมื่ออายุมากแล้ว ย่าผมกับน้อง ๆ เขาก็คุยกัน ทำบุญด้วยกัน ไปมาหาสู่กัน แต่ว่า บางทีก็แอบได้ยินแหนบ ๆ กันบ้าง เหมือนอุ่นกับบังอร เด๊ะ ๆ )

เรื่องจริงก็มีอยู่เท่านี้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดนั้นเป็นจินตนาการครับ..ไม่มีไปเซ อิง หรือ พาดพิง ประวัติของใครอีกทั้งนั้น ผมเล่าไปตามเนื้อผ้า เนื้อใจ ที่ตัวละครควรจะเป็นจริง ๆ..ซึ่งจะบอกว่าเน่าก็ได้ แต่ว่าก็ไม่ไร้สาระจนทนอ่านกันไม่ได้..และระหว่างที่เขียน ผมพยายามคิดให้มันเป็นละคร(แบบเว่อร์ เป็นไปไม่ได้หรอก) แต่ว่า นวนิยายก็จะต้องยังอยู่ โดยที่คนอ่านจะต้องได้อะไรมากกว่าละคร นั่นก็คือเรื่องของพระพุทธศาสนาที่สอดแทรกลงไประหว่างบรรทัด ..





สรุป ผมเริ่มต้นเขียนชิงชัง เมื่อปี 2544 จบ เมื่อปลายปี 2548 (ไม่ได้เขียนอย่างต่อเนื่อง เขียนไปทำอย่างอื่นไป หยุดนานที่สุดคือเกือบปี)


2549 ส่งเข้าประกวดโครงการถนนสู่ดวงดาว ชิงรางวัลทมยันตีอะวอร์ด ครั้งที่ 1 สนพ.ณ บ้านวรรณกรรม

วางแผงสู่สายตาประชาชน เมื่อ มีนาคม 2550

ตุลาคม 2550 บริษัท exact ซื้อบทประพันธ์เพื่อสร้างเป็นละคร ทาง ททบ. 5

ออกอากาศ 3 สิงหาคม 2552- 29 ตุลาคม 2552

ท้ายที่สุด..

วันอาทิตย์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2552 ทริปย้อนรอยชิงชัง/กระชับมิตรเพื่อนจุฬามณี/โมริสา บ้านท่าน้ำอ้อย วัดพระปรางค์เหลือง เมืองปากน้ำโพ วัดคีรีวงศ์ หลวงพ่อศรีสวรรค์วัดนครสวรรค์ ต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา บึงบอระเพ็ด (nakhonsawan aquarium)ฯลฯ อาหารสองมื้อ รถตู้ไปกลับจากอนุสาวรีย์ชัยครับ ออกเดินทาง 06.00 น. รวมตัวกันที่อนุสารีย์ชัยฯ ค่าใช้จ่าย 1000 บาท/ท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ f_nakhon@hotmail.com หรือ โทร.086-9299779 ครับ

ปล.และมีอะไรที่ยังสงสัยเกี่ยวกับชิงชัง ก็ถามไถ่กันได้ข้างล่างเลยครับ ช่วงนี้ผมเป็นหวัดมึน ๆ งง ๆ คิดอะไรไม่ลื่นอย่างที่ตั้งใจไว้เลย..

ปล. 2 ปัจจุบัน ย่าหงษ์ ยังมีชีวิตอยู่นะครับ แต่ว่าไปถือศีลอยู่ที่วัดแล้วครับ





Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2552 14:18:07 น. 16 comments
Counter : 1372 Pageviews.

 
คลองแสนแสบ ขวัญ-เรียม
นครสวรรค์ ชิงชัง ยอด-อิ่ม
555


โดย: แอน_แฟนชิงชัง IP: 125.25.207.151 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:58:56 น.  

 

สวัสดีคะ แวะมาชวนไปลอยกระทงด้วยกันนะคะ



โดย: หน่อยอิง วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:24:38 น.  

 
ย่าสวยจังเลย มะเฟื่อง
ขนาดแก่แล้ว ยังคงมีเค้าของความสวยอยู่เลย



โดย: Jum IP: 199.40.204.245 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:48:59 น.  

 
หลานชายเลยออกมาหล่อไปหมดไงคะคุณจุ๋ม

คือหล่อหายไปหมดไงคะ 555555

ล้อเล่นค่ะมะเฟื่อง

ต้องขอบคุณคุณย่าหงษ์มากๆเลย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดชิงชัง

ถ้าไม่มีคุณย่าหงษ์ ก็ไม่มีจุฬามณีเนอะ ว่าไหม



โดย: โมริสา IP: 125.24.35.219 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:48:16 น.  

 

คิดถึง คิดถึง ชิงชัง จังเลยยยยยยยยยยย


โดย: ยงชัย IP: 117.47.167.3 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:27:56 น.  

 
คุณย่าน่ารักจัง

แต่ทำไมพี่เฟื่องหน้าเหมือนหมอกฤษณ์ คอนเฟิร์มล่ะคะ ?

๕๕๕๕๕+ กุ๊งกิ๊งๆ ไม่โกรธนะ

อยากรู้จัง ของที่คุณย่าถูกทำใส่เนี่ย มันคืออะไรเหรอคะ ?

ต้องไปหาจากที่ไหน (จะได้เอามาใช้บ้าง อะไรบ้าง)

แหะๆ ล้อเล่นนะค้าาาาาาาา *v*


โดย: RaBBiT IP: 113.53.165.21 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:27:36 น.  

 
ย่าหงษ์ สวยมาก ตอนสาวคงสวยกว่านี้

ขนาดตอนนี้ยังดูดีเลย

เป็นกำลังใจให้มีผลงานดีๆออกมาอีกนะคะ



โดย: มาย ราชบุรี IP: 119.42.95.226 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:52:38 น.  

 
ขอบคุณคุณจุฬามณี ที่เซ็น และส่งหนังสือไปให้ ลายมือสวยหมึกที่ใช้ไม่เหมือนใคร มันดูแว๊บๆ
ตัวหนังสือไม่เล็กไม่ใหญ่กำลังสวย

ตอนจบไม่เหมือนในลคร แต่ก็นั่นแหละ ถ้าจบไม่เอนดิ้งคนดูจะไม่ชอบ

หนังสือชิงชัง ลูกสาวที่อยู่ฝรั่งเศสนำกลับไปอ่านด้วย
ดีใจที่ทราบเรื่องหลายตอนที่คุณหยิบไปแต่งนิยาย ชิงชัง

เป็นลครก็ฮิต เป็นหนังสือก็ขายดี ชอบสำนวนชนบทโบราณ
ดี แต่งนิยายแนวนี้อีกนะ


โดย: ยายเก๋า IP: 125.25.88.90 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:44:12 น.  

 
ไม่ได้อ่านนิยายนะคะ แต่ดูละครและชอบมาก
แต่ที่ชอบยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ attitude ของคุณที่มีต่อละครน่ะค่ะ
ปกติเคยเจอแต่นักเขียนยึดติดกับนิยาย มีอัตตาเหลือเกินว่าผู้จัดจะเปลี่ยนไม่ได้ ทั้งที่นิยายกับละครมันต่างกัน
แต่ได้อ่านที่คุณตอบกระทู้ในพันทิพแล้วดิฉันชื่นชมมาก คุณเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่เปิดกว้างต่อการตีความและถ่ายทอดจากตัวหนังสือสู่ภาพเคลื่อนไหว และคุณยังใจกว้างต่อคำวิจารณ์หลากหลายอีกด้วย
ถ้าดิฉันได้กลับไปเมืองไทยเมื่อใด จะพยายามหาหนังสือของคุณมากอ่านค่ะ
ขอให้รังสรรค์งานดีๆ ออกมาประดับวงการ และรักษาความเปิดกว้างของใจของคุณไว้นะคะ มันจะช่วยให้วงการบันเทิงของเราก้าวต่อไปได้ไกลทีเดียว
โชคดีค่ะ


โดย: Chaucerian Reader IP: 128.171.119.133 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2552 เวลา:5:54:13 น.  

 
เป็นแฟนละครเหมือนกันค่ะ

ขอบคุณที่สร้างผลงานดีๆ


โดย: Dear (O_O) (patchar_ii ) วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:38:48 น.  

 
ชิงชัง 2

เขียนโล้ดดดดเลยค่ะคุณพี่



โดย: น้องจิน IP: 124.121.19.131 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:40:23 น.  

 
เห็นย่าหงษ์นั่งพนมมือ

นึกถึงฉากตอนที่ยงชัยกับอาทิตย์บวชจังเลยครับ

คิดถึงชิงชังๆๆๆๆๆๆ

:)

.....นั่งรอละคร&หนังสือเรื่องต่อไปของคุณเฟื่อง


โดย: Obasu IP: 58.8.220.63 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:2:03:44 น.  

 
โอ๊ย คิดถึงชิงชังจังเลยยยย

อ่านเล่มแรกยงไม่จบเลยค่ะ เวลาน้อยมากกกกกก ^_^


โดย: เงาหงษ์ IP: 192.168.2.135, 58.8.71.251 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:35:59 น.  

 

มาทักทายค่ะ


โดย: พายัพ ซอย 2 IP: 118.172.28.83 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:28:50 น.  

 
คิดถึงชิงชังที่สุด


โดย: som IP: 180.180.117.47 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:29:24 น.  

 
อยากทราบวันเกิดของคุณย่า และพี่ๆน้องๆ ทักคนเลย


โดย: เพิ่งดูแต่ขอบมาก IP: 58.11.28.185 วันที่: 9 ตุลาคม 2565 เวลา:3:26:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

F_nakhon
Location :
นครสวรรค์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




email ถึงผู้เขียน

เฟื่องนคร : f_nakhon@hotmail.com
ลิขสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อก เป็นของผู้เขียนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน

-------------------


Friends' blogs
[Add F_nakhon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.