แก่นสารของการใช้เงิน
เงินที่ถือกันว่าเป็นอสรพิษ ก็เพราะผู้ใช้เงินนั้น “ตกเป็นทาสของเงิน” หรือ “ใช้เงินโดยขาดปัญญา” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า “ใช้สตางค์ โดยขาดสติ”
ตามทัศนะทางพุทธศาสนา เราถือกันว่าเงินเป็นเพียง “ปัจจัย” คือ เครื่องอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต ถึงกับมีหลักการของปราชญ์แต่กาลก่อนสรุปไว้อย่างชัดเจนว่า
“สาระของเงินอยู่ที่การให้ สาระของชีวิตอยู่ที่ (มี) ธรรม”
แต่เดี๋ยวนี้ โลกทัศน์ของคนร่วมยุคสมัยเปลี่ยนไปอย่างชนิดเป็นคนละทางกับที่ปราชญ์ท่านวางหลักการไว้ กล่าวคือ เราถือกันว่าเงิน คือ เป้าหมายสูงสุดของชีวิต เมื่อเชื่อเช่นนี้ โลกทั้งโลกจึงหมุนไปเพราะเงิน และกำลังวิบัติก็เพราะเงินอีกเหมือนกัน
แม้แต่ในเมืองไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราเอง ก็มีการกล่าวกันว่า ท่ามกลางการชุมนุมของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเวลานี้นั้น รัฐบาลควรจะรีบแก้ปัญหา (บางกลุ่มถึงกับกระตุ้นให้รัฐใช้ความรุนแรง) เพราะหากปล่อยยืดเยื้อเรื้อรังออกไป จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท นี่ก็คือ โลกทัศน์ของคนในยุคนี้ที่มองเห็นแต่ “เงิน” แต่มองไม่เห็น “คน” และ “ปัญหา” ที่ถาโถมอยู่ตรงหน้า ชีวิตของคนที่บาดเจ็บ ล้มตาย แทนที่จะสำคัญยิ่งกว่า แต่เรากลับห่วงผลกระทบทางเศรษฐกิจยิ่งกว่า
คติที่ว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง”
ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ในยุคนี้ เพราะ ณ เวลานี้ คนไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศล้วนเห็นว่า เงินต่างหากคือของจริง ส่วนข้าวปลานั้นกลับถูกลดความสำคัญลงไป ยกเงินขึ้นมาเป็นใหญ่ จนอาจกล่าวได้ว่า เงิน คือ ศาสดาของประชาชนในยุคโลกาภิวัตน์ ห้างสรรพสินค้าก็คือโบสถ์วิหารที่ใช้ทำพิธีกรรมในการใช้เงิน เครดิตการ์ดก็ไม่ต่างอะไรกับธูปเทียน คัมภีร์ที่คนยุคนี้เชื่อมั่นศรัทธา ก็คือ คัมภีร์ที่ว่าด้วยการลงทุนและเทคนิคการสอนลูกให้รวย สาวกของศาสนาแห่งเงินตรา ก็คือ ผู้คนมากมายในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ถือปรัชญา “เงิน คือ เป้าหมายสูงสุดของชีวิต”
ในสมัยพุทธกาล ผู้รู้ท่านมองว่าเงินมีสถานะสองสถาน สถานหนึ่ง เงินคือปัจจัย มีความสำคัญคือเป็นเพียง “สภาพเอื้อ” ให้เกิดความสะดวก|ในการดำรงชีวิต เช่น เกื้อกูลให้มีความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ การกิน การอยู่ การนุ่งห่ม การเยียวยารักษาโรค เมื่อเงินช่วยให้ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจพรั่งพร้อมแล้ว ก็ “บริจาค” เงินนั้นออกไปใช้ในการเกื้อกูลสังคมให้มีแต่ความสุขความเจริญ เหมือนกับที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศมอบเงินก้อนโตจากรางวัลโนเบลให้แก่องค์กรการกุศลทั้งหมด และประกาศยกรายได้กว่า 60% จากรายได้อันเกิดแต่งานเขียนเบสต์เซลเลอร์สองเล่มให้เป็นสาธารณประโยชน์ หรือเหมือน บิล เกตส์ ที่บริจาคเงินมหาศาลให้การช่วยแก้ปัญหาของโลกในทุกทวีปอย่างกว้างขวาง จนนิตยสารไทม์ยกให้เป็นบุคคลแห่งปีเมื่อหลายปีก่อนในฐานะ “ผู้ให้แห่งปี” นี่ยังไม่นับบริจาคเงินกว่า 1,100 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เพื่อปฏิรูประบบการศึกษาของชาติของสหรัฐอเมริกา ในสมัยพุทธกาล ก็มีมหาเศรษฐีที่รู้จักใช้เงินระดับ บิล เกตส์ อยู่เหมือนกัน มหาเศรษฐีคนนี้เป็นชาวพุทธชั้นนำในยุคพุทธกาล ที่รู้จัก “เปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม” อย่างน่ายกย่องยิ่งนัก
มหาเศรษฐีคนนี้เดิมชื่อ “สุทัต” แต่คนร่วมสมัยไม่ค่อยรู้จักท่านในชื่อนี้มากนัก เพราะต่างก็พากันเรียกขานด้วยสมัญญานามที่เกิดจากการรู้จักใช้เงินอย่างชาญฉลาดมากกว่า ชื่อของท่านซึ่งเป็นผลของการรู้จักใช้เงินก็คือ “อนาถปิณฑิกเศรษฐี” (เศรษฐีผู้ยินดีให้ก้อนข้าวแก่คนอนาถา) ว่ากันว่า ท่านเศรษฐีเปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรมทุกวัน ด้วยการตั้งโรงทานที่สี่มุมเมือง แจกทานแก่คนอนาถาเป็นกิจวัตรประจำวัน จนคนเขารู้กันทั่วว่า ท่านเป็น “เศรษฐีใจบุญ นายทุนใจดี” แห่งยุค
ถ้าเทียบกับสมัยนี้ท่านก็คงเป็น “บิล เกตส์” แห่งยุคพุทธกาลนอกจากถือเอาสาระของเงินด้วยการ “ให้” และ “บำเพ็ญสาธารณประโยชน์” แล้ว ท่านเศรษฐียังสละเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตสร้างวัดพระเชตวันถวายเป็นที่ประทับแก่พระพุทธองค์และที่จำพรรษาแก่คณะสงฆ์อีกด้วย จนทุกวันนี้ เวลาเราอ่านพระไตรปิฎก ในคำอารัมภบทของพระสูตรจำนวนมาก เราจะพบชื่อของอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีตีคู่มากับพระนามของพระพุทธองค์ เช่น ที่ระบุว่า “สมัยหนึ่ง ขณะพระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนารามมหาวิหาร ซึ่งท่านอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวาย...”
การรู้จักเปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม ทำให้ท่านเศรษฐี ยังคงเป็นอมตะ คือ ตัวตายแต่ชื่อยังมาจนปัจจุบัน อีกตัวอย่างหนึ่งของการรู้จักใช้เงินก็คือ เศรษฐีพิจารณาเห็นว่า ลูกชายคนเล็กของตนไม่สนใจใฝ่ธรรม ท่านจึงใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง คือ ท่านมีเงินมาก ลูกชายก็ละโมบในเงินดีนัก วันหนึ่งท่านจึงใช้เงิน “จ้างลูกไปฟังธรรม” ทำอยู่เช่นนี้สามครั้ง ลูกชายของเศรษฐีก็ค้นพบว่า ในโลกนี้ยังมี “สิ่งที่สูงกว่าเงิน” นั่นคือ ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน
คุณค่าชีวิตด้านใน คือ แก่นสารที่แท้ ที่เงินควรเชื่อมต่อไปให้ถึง ไม่ใช่มีเงิน เพื่อเงิน หรือมีเงิน เพื่อสร้างสิ่งไร้สาระ นี่คือ ตัวอย่างของการรู้จักคุณค่าที่แท้ของเงิน คือ “เปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม”
สถานหนึ่ง เงินคืออสรพิษ เงินคืออสรพิษ นี่เป็นคำของพระพุทธองค์เลยทีเดียว เงินที่ถือกันว่าเป็นอสรพิษ ก็เพราะผู้ใช้เงินนั้น “ตกเป็นทาสของเงิน” หรือ “ใช้เงินโดยขาดปัญญา” เมื่อใช้เงินโดยไม่มีปัญญา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า “ใช้สตางค์ โดยขาดสติ” เงินก็จะแสดงตนเป็นอสรพิษที่พร้อมจะก่อความหายนะให้แก่ผู้เป็นเจ้าของเงิน หรือผู้ครอบครองทันที เราคนไทยเวลานี้ ใช้เงินกันอย่างไร ในสถานะไหน เงินคือปัจจัย หรือเงินคืออสรพิษ
โดย... ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
Free TextEditor
",
title: {
text: 'BlogGang.com',
button: 'Close'
}
},
position: {
my: "bottom center", // Position my top left...
at: "top center", // at the bottom right of...
target: $("#followfeed2") // my target
},
style: {
classes: "ui-tooltip-blue ui-tooltip-shadow" ,
width: "250px"
},
show: 'mousedown',
hide: 'mousedown'
});
});
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|