Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
26 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 

Versus Arena Vol.1 Canon G10 VS LX3 Panasonic

Versus Arena  สังเวียนกล้องดิจิตอล        by  Jonaja 




Free TextEditor


Canon Powershot  G10  VS  LX3  Panasonic Lumix




Free TextEditor





ตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพคระดับโปรซูเมอร์ (Prosumer) นั้น ใขณะนี้ถือว่าได้รับความนิยมอย่างสูง จากข้อดีที่สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพได้ยืดหยุ่นดังใจเหมือนกล้อง DSLR และยังสามารถพกพาติดตัวไปใช้งานทุกวันได้อย่างสะดวกเหมือนกล้องคอมแพค อาจจะไม่เล็กขนาดใส่กระเป๋าเสื้อได้สะดวก แต่ก็ไม่กินพื้นที่ในกระเป๋าถือของสุภาพสตรีหรือกระเป๋าทำงานของท่านสุภาพบุรุษมากนัก จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก และมีความจริงจังกับการสร้างสรรค์ภาพมากกว่าระดับทั่วไป ไม่ใช่ประเภทถ่ายทิ้งถ่ายขว้าง เห็นอะไรก็แชะๆไว้ก่อน แต่จะเป็นประเภท เห็นสถานที่แล้วนึกมุมมอง และครีเอทการถ่ายไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว จึงต้องการกล้องดิจิตอลที่สามารถตอบสนองจินตนาการตรงนี้ได้ ซึ่งผมมองว่ากล้องคอมแพคประเภทนี้น่าสนใจกว่ากล้องคอมแพคประเภท DSLR Like ซึ่งเป็นชื่อทางการตลาดที่บริษัทกล้องตั้งขึ้นมาเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ จริงๆแล้วก็คือกล้องคอมแพคเหมือนกัน เพียงแต่ออกแบบรูปทรงให้ใช้งานในลักษณะใกล้เคียง DSLR เท่านั้น จึงเหมือนเป็นการรวมข้อเสียของกล้อง 2 ประเภทเข้าไว้ด้วยกันคือ พกพาลำบากเหมือน DSLR แต่คุณภาพไฟล์เทียบเท่ากล้องคอมแพค (แต่มันก็แล้วแต่คนจะคิดกันนะครับ แค่คิดกลับด้านความคิดก็ต่างกันแล้ว)

หลังจากที่ทาง Canon ได้ปล่อยกล้องดิจิตอลตระกูล G series เข้าตีตลาดผู้ใช้กล้องดิจิตอลคอมแพคระดับจริงจังมาเป็นระยะเวลานาน นานเสียจนมีคู่แข่งออกตามมาร่วมต่อกรแก่งแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดด้วยกันหลายค่าย จนถึงทุกวันนี้ G series มีคู่แข่งล้อมอยู่รอบด้านเต็มไปหมด จนต้องเข็นขุนศึกรายใหม่ที่ฝีมือฉกาจขึ้นมาร่วมรบในสมรภูมินี้ด้วย เพื่อต่ออายุการเป็นผู้นำในตลาดนี้ที่มีการทำตลาดมายาวนาน ไม่ให้เสียชื่อพี่น่อนเค้าล่ะ

โดยคู่ต่อกรที่ผมนำมาประกบกับ G10 ที่เป็นขุนศึกจากทัพใหญ่ของมหาอำนาจในวงการกล้องนั้น มาจากทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่แพ้กัน เพราะมีศักดิ์ศรีเป็นถึงมหาอำนาจแห่งวงการเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่หันมาเอาดีทางด้านกล้องดิจิตอลและก็ทำท่าว่าไปได้ดีเสียด้วย โดยส่งแม่ทัพหนุ่ม นาม LX3 ซึ่งถึงแม้ประวัติชาติตระกูลอาจจะยังเทียบ G10 ไม่ได้ แต่ LX3 ตัวนี้ก็พกพาเขี้ยวเล็บอันฉกาจมาต่อกรชนิดสูสีกันเลยทีเดียว ทั้งระบบต่างๆที่ทันสมัยและดีไซน์ที่สวยคลาสสิคไม่แพ้กัน งานนี้ไม่ใช่เพียงแคนนอนเท่านั้นที่จะลำบากใจ แต่ยังสร้างความปวดหัวให้กับผู้ซื้ออีกด้วย เพราะไม่รู้จะเลือกใครดี



ว่ากันที่รูปลักษณ์ Body Design





ทางด้านบอดี้ภายนอกนั้น ถือว่ารูปทรงแตกต่างกันชัดเจนมาก ทางด้าน G10 นั้น ออกแนวบึกบึน ดุดันชัดเจน ซึ่งการออกแบบนั้นพัฒนามาจากรูปทรงของขุนศึกรุ่นเก่าอย่าง G7 และ G9 ซึ่งเป็นคู่แฝดต่างวัยกัน โดยออกแบบให้ส่วนกริปมือจับมีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถจับถือได้สะดวกกว่า ตรงนี้หลายๆคนเข้าใจว่ากล้องคอมแพคไม่มีกริป เพราะไปนึกถึงกริปแนวตั้ง (Vertical Grip) ในกล้อง DSLR ที่สามารถใส่แบตเตอรี่เพิ่มเติมได้และมีชัตเตอร์แนวตั้งให้ใช้ จริงๆแล้วคำว่า “กริป” หมายถึงส่วนที่มือเราใช้จับถือกล้องนะครับ ขณะที่วงแหวนเลือกโหมดถ่ายภาพและ ISO ก็มาอยู่รวมกัน แต่การวางซ้อนกันเป็นเจดีย์งานวัดแบบนี้ทำให้ดูแล้วรู้สึกแปลกๆ ดูยื่นๆเกินๆ ไม่ลงตัวแบบ G9 ที่วางแยกสองข้างดูแล้วสมดุลกว่า แต่ก็ได้มาซึ่งการปรับตั้งที่สะดวกกว่า และมีพื้นที่ให้วงแหวนปรับชดเชยแสงไปวางแทนอีกวงนึงในด้านซ้ายด้วย การตั้งค่าต่างๆสามารถทำได้อย่างสะดวกด้วยปุ่มควบคุมที่แยกออกมาอยู่บนตัวกล้อง มองดูแล้วป็นรูปธรรมกว่าการนำไปไว้ในเมนูภายใน ซึ่งจุดนี้ทำให้ผมชื่นชอบ G10 จริงๆ นอกจากการดีไซน์แนว retro ที่ทำให้ตัวกล้องดูคลาสสิคไปได้อีกนาน ปุ่มควบคุมจำนวนมากแบบนี้ อาจทำให้มือใหม่ขวัญผวาเมื่อต้องใช้งานในครั้งแรก แต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณใช้งานจนคล่อง หรือเป็นนักถ่ายภาพที่มีจินตนาการสร้างสรรค์ภาพไว้ในหัวอยู่แล้ว ปุ่มควบคุมที่สามารถเข้าถึงได้เพียง 1 จึ๊กนี้ จะทำให้คุณรู้สึกสะดวกและประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว

ขณะที่ LX3 นั้นออกแบบมาดูเรียบร้อยกว่า ออกแนวเนี้ยบเฉียบขาดและคลาสสิคแบบนุ่มลึก ถ้าเปรียบ G10 เป็นชายหนุ่มใส่เสื้อ Camel ขับ Land Rover LX3 ก็คงเปรียบเหมือนชายใส่เชิ้ตมีราคาขับ Mini Cooper ตัวกล้องออกแบบเรียบง่ายแต่ดูดีและแฝงความหรูหราไว้หน่อยๆ กริปมือจับที่ทำจากหนังล้อมรอบด้วยโครเมียม มันทำให้กล้องตัวนี้ดูดีมากจริงๆ และตัวอักษร “Mega O.I.S. / 24 mm WIDE ” สีแดงตัดกับผิวบอดี้สีดำ ช่วยสร้างบุคลิคให้กล้องมีความสปอร์ตขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมโลโก้รูปตัว L มุมขวาล่าง บ่งบอกถึงชาติตระกูลให้รู้ว่าใช้ชิ้นเลนส์ของ Leica เชียวนะเธอ และอีกสิ่งที่จะทำให้เจ้าของ LX3 สามารถไปคุยฟุ้งกับเพื่อนได้ก็คือจอแสดงผลด้านหลัง ที่เป็นสัดส่วนแบบ 3 : 2 ซะด้วย แต่ความแนวของ LX3 ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะแฟลชในตัวยังเป็นแบบ Pop Up อีกต่างหาก แหวกแนวจากกล้องคอมแพคทั่วไปในตลาดอย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่ทาง Panasonic ดูจะเน้นมากก็คือการปรับสัดส่วนของภาพ เลยแยกปุ่มปรับสัดส่วนภาพออกมาให้ต่างหากทั้ง 3:2 4:3 และ 16:9 ที่บริเวณเหนือกระบอกเลนส์อีกด้วย



เทียบสเปคกันไปเลย Specification Compare

เริ่มกันที่ส่วนสำคัญที่สุดของกล้องดิจิตอล นั่นก็คือเซ็นเซอร์ที่ใช้ในการรับภาพนั่นเอง ทางด้าน G10 นั้น ดูเน้นเรื่องคุณภาพของภาพในส่วนนี้มากๆ จึงเลือกใช้ CCD ขนาดใหญ่กว่ากล้องคอมแพคทั่วไปที่ขนาด 1/1.7 นิ้ว ทำให้สามารถลดการเกิดสัญญาณรบกวนหรือ noise ได้เป็นอย่างดี พร้อมด้วยความละเอียดสูงถึง 14.7 ล้านพิกเซล ซึ่งสามารถถ่ายรูปพอลล่าไปอัดเป็นโปสเตอร์ติดหน้าห้องนอนได้อย่างสบายมากๆ แต่ช้าก่อน! ทางด้าน LX3 ไหนๆก็ออกมาทีหลัง จะให้น้อยหน้ากว่ากันได้อย่างไร จึงมาพร้อมกับ CCD ขนาดใหญ่กว่า ที่ขนาด 1/1.63 นิ้ว แต่ก็มาพร้อมความละเอียดที่น้อยลง 10.1 ล้านพิกเซล แต่ก็ยังเพียงพอที่จะสามารถถ่ายภาพ เคน ธีรเดช อัดเป็นโปสเตอร์ไปปิดไว้ข้างๆโปสเตอร์พอลล่าได้อยู่ดี เนื่องจากความละเอียดระดับ 10 ล้านพิกเซลขึ้นไปนั้น ถือว่าเพียงพอแล้วกับการใช้งานในระดับผู้ใช้ทั่วไป ที่ไม่ได้ต้องการภาพไปใช้งานเชิงพาณิชย์ ดังนั้นความละเอียดของ G10 ที่มากกว่า อาจส่งผลดีได้เพียงแค่ความรู้สึกทางจิตใจเท่านั้น และการที่ LX3 ใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่กว่าบวกกับการไม่เพิ่มความละเอียดสูงสุดขึ้นไปเกินความจำเป็น ทำให้โอกาสที่จะเกิด noise ในภาพนั้นก็จะมีน้อยกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระบบประมวลผลของกล้องด้วย ซึ่งคงต้องไปวัดกันอีกทีระหว่าง Digic 4 ของแคนนอน กับ Venus Engine 4 ของทางพานาโซนิค

เลนส์ของ G10 นั้นดูจะได้เปรียบด้วยความกว้างของช่วงเลนส์ที่มากกว่าคือ 28-140 พร้อมรูรับแสง 2.8-4.5 ซึ่งครอบคลุมทั้งระยะมุมกว้างที่ 28 มม. เป็นการปิดจุดอ่อนของ G7 และ G9 ที่เลนส์ขาดช่วงมุมกว้างไป แต่ก็ลดระยะเทเลลงมาเหลือแค่ 140 มม. ซึ่งผมมองว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่เหมาะสมแล้ว เพราะการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันเรามักจะมีโอกาสได้ใช้ที่ช่วงมุมกว้างมากกว่า และกล้องประเภทคอมแพคนั้น การจะถ่ายภาพด้วยเลนส์ช่วงเทเลที่มีกำลังซูมสูงมากๆ สามารถทำได้ยากมาก เพราะด้วยความสั่นของมือ ถึงแม้จะมีระบบกันสั่นมาช่วยก็ตาม ต้องถ่ายในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอจริงๆเช่นกลางแจ้งแดดจัดๆ ให้ได้สปีดชัตเตอร์ที่สูงมากๆ จึงจะได้ภาพที่ไม่เบลอเพราะการสั่นไหว และการที่เราพกคอมแพคนั่นหมายถึงการต้องการพกพากล้องไปใช้งานในชีวิตประจำวัน อาจเป็นที่ทำงานหรือเดินเล่นในห้าง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด จึงมีโอกาสได้ใช้งานในช่วงมุมกว้างมากกว่า

แต่เมื่อเทียบกับเลนส์ของทาง LX3 ที่ถึงแม้ช่วงเลนส์จะแคบกว่าที่ 24-60 มม. แต่ก็มาพร้อมกับรูรับแสงที่กว้างกว่าที่ 2.0-2.8 ทำให้โอกาสที่จะได้ภาพที่ดีในที่แสงน้อยนั้นมีมากกว่า สามารถถ่ายภาพในกรณีที่ต้องการแสงธรรมชาติโดยที่ไม่อยากให้แสงแฟลชไปรบกวนบรรยากาศภาพได้เป็นอย่างดี เช่นต้องการถ่ายร้านอาหารที่มีการประดับไฟอย่างสวยงาม หรือในสถานที่ที่ห้ามใช้แฟลชอย่างในพิพิธภัณท์ นอกจากนี้พานาโซนิกยังเป็นผู้ผลิตกล้องรายแรกๆที่พัฒนาเลนส์สวนกระแสตลาดกล้องดิจิตอลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เน้นไปที่ช่วงเทเลเยอะๆ ซูมได้ไกลๆ มาเป็นการพัฒนาเลนส์ให้มีมุมกว้างมากกว่าแทนและเป็นผู้นำด้านเลนส์มุมกว้างในตลาดตอนนี้ จากมาตรฐานเมื่อก่อนที่กล้องคอมแพคส่วนมากมีช่วงมุมกว้างเริ่มกันที่ 35 มม. กล้องพานาโซนิคก็มีเลนส์เริ่มที่ 28 มม. และเมื่อตอนนี้มาตรฐานของตลาดอยู่ที่ 28 มม. พานาโซนิคจึงพัฒนามาตรฐานให้มุมกว้างมากขึ้นไปอีกให้สมกับฐานะผู้นำซะหน่อย จนตอนนี้ไปอยู่ที่ 24 มม.แล้ว และ LX3 ยังไม่เน้นช่วงซูมเลนส์ที่กว้างมาก โดยใช้แค่ 24-60 มม.เท่านั้น ไม่ให้มีช่วงซูมที่มากเกินไปให้เสียคุณภาพของเลนส์ ซึ่งก็ถือเป็นข้อดีคนละอย่าง G10 จะได้เรื่องความสะดวกในการใช้งานจากช่วงซูมที่มากกว่าและซูมได้ไกลกว่า ขณะที่ LX3 ซูมได้น้อยกว่าเพื่อรักษาคุณภาพของเลนส์ให้สูงสุด และได้รูรับแสงที่กว้างกว่ากับมุมรับภาพที่กว้างกว่า

ระบบกันสั่นนั้น ทั้ง G10 และ LX3 ใช้ระบบที่ทำงานต่างกัน โดยระบบ IS ของ G10 จะเป็นการทำงานโดยการขยับชิ้นเลนส์เพื่อลบล้างการเคลื่อนไหวของภาพ ขณะที่ระบบ Mega O.I.S. ของ LX3 จะเป็นการขยับที่ CCD แทน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ออกมาเชียร์ระบบของตนเองว่ามีความเหนือกว่า ซึ่งอันนี้ก็คงสรุปได้ยาก แต่ทั้ง 2 ระบบนี้ต่างก็เป็นระบบกันสั่นที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งคู่ แต่ก็ต้องเข้าใจไว้หน่อยนึงว่า มันคือระบบที่ช่วยลดการสั่นไหวของมือได้ในระดับนึงเท่านั้น ซึ่งผู้ใช้งานบางคนไม่เข้าใจ ไปทดสอบระบบกันสั่นด้วยการเขย่ามือแล้วถ่าย ( T_T ) ยังงั้นมันก็เบลอสิครับคุณ บางคนก็ถ่ายในที่แสงน้อยมากๆแล้วก็มาบ่นว่าระบบกันสั่นไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย โดยมากแล้วจะช่วยได้ประมาณ 3-4 stop ประมาณนั้นนะครับ

โหมดการถ่ายภาพนั้นเหมือนกันแทบจะทุกอย่าง แต่ต่างกันนิดนึงที่ระบบอัตโนมัติของพานาโซนิคนั้นจะฉลาดกว่าระบบอัตโนมัติของกล้องยี่ห้ออื่นๆ ในขณะที่ G10 นั้น เมื่อปรับโหมดออโต้ กล้องจะปรับความเหมาะสมให้แบบง่ายๆ ถ้าเราต้องการคุณภาพของภาพที่ดีกว่านั้นก็ควรเลือกโหมดถ่ายภาพสำเร็จรูปให้ตรงกับวัตถุที่เราจะถ่าย เช่น ต้องการถ่ายคน ก็เลือกโหมด Portrait กล้องจะเลือกปรับรูรับแสงให้กว้างที่สุดเพื่อให้มีระยะชัดตื้นมากที่สุด และภาพจะออกโทนซอฟหน่อยๆ หรือถ้าต้องการถ่ายอาหาร ก็เลือกโหมดสำหรับการถ่ายอาหาร กล้องจะปรับให้สีมีความสดใสมีความอิ่มตัวสูง หรือเลือกโหมดถ่ายงานเลี้ยง กล้องก็จะปรับแฟลชเป็นแบบ slow sync และเปิดรับแสงนานขึ้น เพื่อเก็บแสงภายนอกให้ฉากหลังไม่มืด และเมื่อเลือกโหมดถ่ายดอกไม้ กล้องก็จะปรับเป็นโหมดมาโครให้อัตโนมัติ เป็นต้น

แต่เมื่อเลือกใช้โหมดอัตโนมัติ หรือ IA ( Intelligent Auto) ของพานาโซนิค กล้องจะทำการประมวลผลวัตถุที่อยู่ตรงหน้าว่าคืออะไร และปรับเข้าโหมดสำเร็จรูปให้โดยอัตโนมัติ เช่น กล้องกำลังจ่อที่ดอกไม้อยู่ ก็จะปรับเข้าโหมดมาโครให้ทันที หรือหันกล้องไปถ่ายคน กล้องก็จะเปลี่ยนเป็นโหมด Portrait ให้ และปรับโหมดการโฟกัสไปเป็นแบบ Face Detection ให้แทน ซึ่งถือว่ากล้องฉลาดเอามากๆ เป็น Full Auto อย่างแท้จริง เป็นการใช้งานโหมด auto ที่ง่ายและได้ผลดีกว่าที่เคยเป็นมา เหมาะสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ต้องการใช้งานแบบง่ายๆและรวดเร็ว ไม่ต้องคอยเข้าไปเลือก scene mode ให้ตรงกับวัตถุที่ต้องการถ่ายด้วยตัวเอง






ด้านความไวแสงของกล้อง G10 ทำได้ตามมาตรฐานที่กล้องดิจิตอลสมัยนี้ควรจะเป็น คือมี iso ให้เลือกใช้ตั้งแต่ 80 ไปจนถึง 1600 ซึ่งช่วยให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อย “ พอได้ ” ในการใช้งานจริงคงไม่ค่อยมีใครใช้กันไปถึงขนาดนั้น เพราะขนาด DSLR ยังไปไม่ค่อยจะรอด ภาพจะเริ่มออก noise มาบานอย่างเห็นได้ชัด คงไม่ต้องพูดอะไรมากกับเซ็นเซอร์ขนาดเล็กของกล้องคอมแพค ที่ iso สูงขนาดนี้ ถ้าถ่ายในที่มืดมากๆ ภาพจะออกมาดูไม่จืดอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม มีให้ใช้ก็ยังดีกว่าไม่มี เพราะเราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆได้ เช่น ถ่ายการแสดงในร่มที่มีแสงไฟสว่าง แต่อาจจะไม่มากพอที่จะได้ความเร็วชัตเตอร์ที่จะหยุดการเคลื่อนไหวได้ เราก็สามารถดัน iso ให้ขึ้นไปสูงมากๆ เพื่อจะได้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูงขึ้น ให้สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของการแสดงได้ เพราะภาพที่มี noise มากยังไงก็ดีกว่าภาพที่เบลอจนดูไม่รู้เรื่องนะครับ

ลองมาดูด้านความไวแสงของ LX3 กันบ้าง เห็นสเปคแล้วน่าตกใจ เพราะมีช่วงความไวแสงที่กว้างมาก ตั้งแต่ 80-6400 ซึ่งผมมองว่า iso ที่ให้มาสูงขนาดนี้ ไม่น่าจะมีประโยชน์มากนักในการใช้งานจริง เพราะผู้ใช้งาน LX3 นั้นน่าจะต้องหวังผลในเรื่องคุณภาพของภาพถ่ายในระดับนึง จึงไม่น่าจะต้องการภาพที่เกรนหยาบมากๆจากการใช้ iso ที่สูงขนาดนี้ เหมือนกับว่าเป็นการทำออกมาเพื่อโชว์เทคโนโลยี เพื่อแสดงความเหนือกว่าคู่แข่งที่ออกมาก่อนเพียงเท่านั้น โดยสามารถปรับได้เองถึง iso 3200 และเมื่อปรับไปใช้โหมด High iso แบบ Auto กล้องจะสามารถดัน iso ไปได้สูงสุดที่ 6400

ความไวชัตเตอร์สูงสุดนั้น G10 ดูจะเป็นต่อทางด้าน LX3 อยู่ โดย G10 มีความไวสูงสุดอยุ่ที่ 1/4000 วินาที ซึ่งเพียงพอสำหรับการถ่ายภาพกีฬามันๆกลางแจ้งให้หยุดนิ่งจนเราสามารถเห็นใบหน้าอันเหยเกสุดตลกของนักกีฬาขณะกำลังแข่งขันได้ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า ดนัย อุดมโชค ตอนหวดไม้เทนนิสเต็มแรง (คุณคงต้องซื้อบัตรราคาแพงหน่อย จะได้นั่งใกล้ๆพอที่ระยะซูมของกล้องจะทำงานถึงด้วยนะ) หรือจังหวะที่ลีซอกำลังกระโดดแย่งโหม่งบอล (คุณคงต้องเป็นเด็กเก็บบอลข้างสนามแล้วล่ะ ถึงจะได้ใกล้ขนาดนั้น) และความไวชัตเตอร์ต่ำสุดอยู่ที่ 15 วินาที อาจฟังดูน้อยไปหน่อย แต่ก็สามารถใช้ถ่ายไฟกลางคืนหรือพลุโดยใช้ขาตั้งกล้องได้ ขณะที่ทาง LX3 นั้นมีความไวชัตเตอร์สูงสุดน้อยกว่าคือ 1/2000 วินาที แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว แต่ก็มีความไวชัตเตอร์ต่ำสุดนานถึง 60 วินาที ซึ่งทำให้คุณสามารถสร้างสรรค์ภาพแสงไฟยามค่ำคืนได้มากกว่า เช่นในกรณีต้องการถ่ายแสงไฟที่มีแสงน้อยมากๆ ทำให้ต้องเปิดรับแสงนานมากขึ้น ตรงจุดนี้ LX3 จะได้เปรียบ

เรื่องของการถ่ายต่อเนื่องนั้น G10 จะมาแบบเนิบๆไม่หวือหวา โดยสามารถถ่ายได้ 0.7 ภาพต่อวินาที ไปได้เรื่อยๆจนกว่าการ์ดจะเต็ม ซึ่งดูทาง LX3 จะเน้นทางด้านนี้มากกว่า มีการออกแบบระบบถ่ายภาพต่อเนื่องให้มีความยืดหยุ่น โดยสามารถกดถ่ายภาพต่อเนื่องได้ที่ 2.5 ภาพต่อวินาที แต่สามารถถ่ายติดกันได้สูงสุด 8 ภาพเท่านั้น จากนั้นจะต้องรอให้กล้องทำการถ่ายโอนภาพจากบัฟเฟอร์ในตัวกล้องลงสู่การ์ดให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงจะถ่ายต่อได้ แต่ถ้าเรายอมลดความละเอียดลงมาเหลือแค่เพียง 3 ล้านพิกเซล บัฟเฟอร์ในกล้องก็จะมีพื้นที่รองรับภาพได้มากขึ้น ทำให้สามารถถ่ายต่อเนื่องได้ถึง 6 ภาพต่อวินาที ซึ่งเป็นความเร็วระดับเดียวกับที่ DSLR ทำได้ ถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆเลยเชียว ความเร็วระดับนี้คุณสามารถถ่ายรถกำลังดริฟท์ที่สนามหลังซีคอน โดยกดถ่ายไปพร้อมกับแพนกล้องตามแล้วมาเลือกภาพทีหลังได้สบายๆ หรือนำ LX3 ไปถ่ายนักกีฬากระโดดน้ำพร้อมกันกับ G10 ก็จะมีภาพให้เลือกใช้ได้มากกว่า ตรงจุดนี้ถือว่า LX3 นั้นได้เปรียบอยู่ แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ชอบถ่ายภาพแนวแอคชั่นอะไรมากมาย ข้อดีตรงนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นประโยชน์อะไร

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องของจอภาพ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะเป็นส่วนที่เราน่าจะได้ใช้มันบ่อยที่สุด กล้องทั้ง 2 ตัวนี้ ต่างก็ใช้จอขนาด 3 นิ้วเหมือนกัน แต่ต่างกันที่สัดส่วนของจอภาพ ทาง LX3 นั้นเลือกที่จะทำอะไรแนวๆอีกแล้ว ด้วยการเลือกใช้จอที่มีสัดส่วน 3:2 ซึ่งเป็นสัดส่วนเดียวกับการถ่ายภาพเพื่อนำไปอัดขนาด 4x6 ที่ร้าน โดยความละเอียดนั้นใกล้เคียงกัน จอของ G10 มีความละเอียดที่ 641,000 พิกเซล จริงๆแล้วจะถือว่าเท่ากันก็ได้ เพราะที่ LX3 นั้นความละเอียดหายไป 1000 พิกเซล นั่นก็เพราะเรื่องของสัดส่วนหน้าจอที่ต่างกันนี่แหละ ซึ่งความละเอียดระดับนี้ ดูจะป็นมาตรฐานความละเอียดของจอภาพในสมัยนี้ไปเสียแล้ว จากเมื่อก่อนที่มาตรฐานเดิมจะอยู่ที่ จอขนาด 2.5 นิ้ว กับความละเอียด 230,000 จนเมื่อมาตรฐานขนาดของหน้าจอมีการเพิ่มขึ้นมาเป็น 3 นิ้วในปัจจุบัน จึงต้องปรับเพิ่มความละเอียดให้มากขึ้นตามไปด้วย

จะเห็นได้ว่ากล้องทั้ง 2 ตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น G10 หรือ LX3 ต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันในส่วนต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้งาน ดังนั้นในการเลือกจึงขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของเราเป็นหลัก โดยพิจารณาจากสถานการณ์ที่ต้องใช้บ่อยๆแล้วดูว่ากล้องตัวไหนสามารถตอบสนองตรงส่วนนั้นได้ดีกว่ากัน ส่วนเรื่องของการดีไซน์นั้น คงเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคลแล้วล่ะครับ ต่างคนต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกัน และยังอยู่ที่สไตล์การซื้อของแต่ละคนด้วย บางคนเลือกที่ดีไซน์เป็นหลัก ให้เรื่องสเปคต่างๆเป็นรอง เพราะคงต้องยอมรับว่ากล้องดิจิตอลคอมแพคนั้น ถือเป็นสินค้าไอทีประเภทแฟชั่นอย่างนึง ที่สามารถใช้แสดงถึงรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของผู้เป็นเจ้าของ ใช้บ่งบอกบุคลิกความเป็นตัวเองเหมือนเช่นกับโทรศัพท์มือถือหรือรถยนต์ ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นกล้องสำรองสำหรับผู้ใช้กล้อง DSLR ที่อาจต้องการมีวันสบายๆ ถ่ายภาพเก็บไว้ดูเล่นบ้าง หรือใช้พกไปกินข้าว เดินเที่ยวห้าง โดยที่ไม่ต้องการพก DSLR ไปให้ลำบาก ซึ่งกลุ่มนี้มักจะมองที่สเปคและการตอบสนองความต้องการทางการถ่ายภาพเป็นหลัก และค่อนข้างจริงจังกับคุณภาพไฟล์ที่ดีอีกด้วย

ดังนั้นก่อนจะเลือกซื้ออะไรก็ตัดสินใจจากความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เพราะกล้องที่ดีที่สุดสำหรับหลายคน อาจไม่ใช่กล้องที่ดีที่สุดสำหรับคุณก็ได้นะครับ






* ( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต )



ผู้เขียน / เจ้าของบทความ วิทวัส เหนี่ยวองอาจ ( Jonaja )
e-mail jo_naja@hotmail.com
website //jonaja.multiply.com




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552
6 comments
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 13:55:51 น.
Counter : 1528 Pageviews.

 

ดังนั้นก่อนจะเลือกซื้ออะไรก็ตัดสินใจจากความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เพราะกล้องที่ดีที่สุดสำหรับหลายคน อาจไม่ใช่กล้องที่ดีที่สุดสำหรับคุณก็ได้นะครับ

ผมก็เห็นด้วยกับประโยคข้างต้น

แต่มีเทียบกะGX200ไหมครับ อยากอ่านเหมือนกันพอจะเทียบไหวไหม

เลนส์มุมกว้าง Ricoh เขาใช้มานานแล้วน่ะครับ ในคอมแพคเท่าที่รู้มา

 

โดย: ทำไมผมเลือก?? GX200 IP: 58.10.80.65 26 กรกฎาคม 2552 19:42:37 น.  

 

กำลังสนใจตัว G10 อยู่พอดี ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ

 

โดย: AnnaBelle's World IP: 58.11.27.154 30 กรกฎาคม 2552 21:42:21 น.  

 

"ตัดสินใจจากความต้องการของตัวเองเป็นหลัก"

ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ

 

โดย: oRanGIsM 6 สิงหาคม 2552 5:33:11 น.  

 

อ่านสนุกค่ะ ขำๆ เข้าใจง่ายด้วย..ขอบคุณค่ะ

 

โดย: คิดหนักเลย IP: 124.122.162.56 15 สิงหาคม 2552 23:09:22 น.  

 

 

โดย: 360D Gallery 20 สิงหาคม 2552 22:23:05 น.  

 

เขียนได้ดีมากครับ

 

โดย: พัฒน์ IP: 124.121.113.176 26 กันยายน 2552 8:23:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Jo Witt
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Jo Witt's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.