"Be the change you want to see in the world." - महात्मा (Mahatma Gandhi)

จอมเยอะเล่า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




สิ่งที่น่านับถือในจอมยุทธ์หาใช่วิทยายุทธไม่
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
7 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add จอมเยอะเล่า's blog to your web]
Links
 

 
Into the West (USA): อเมริกาตะวันตก ท่องหุบเขาแล้ง เที่ยวหุบเหวลึก



"And then in the desert, when the sun comes up, I couldn't tell where heaven stopped and the earth began. It's so beautiful. " - Forrest Gump

"แล้วตอนนั้นในทะเลทราย ตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นมา ผมบอกไม่ถูกว่าสวรรค์สิ้นสุดที่ไหน และ โลกเริ่มจากที่ใด มันช่างงดงามจริงๆ" ... ประโยคจากหนังเรื่อง ฟอร์เรสต์ กัมป์

แล้วตอนที่ตัวเอกของเรื่อง พูดประโยคนี้ หนังก็ตัดไปที่ภาพ ทะเลทราย แล้วก็มี เนินชันเดี่ยว (butte) เป็นหย่อมๆ ช่วยให้เห็นมิติของภูมิทัศน์ บวกกับ พระอาทิตย์ขึ้น ทอแสงสีส้มเรื่อชมพู ดูแล้วสวยมากๆ ทั้งหนัง ทั้งภาพ ติดตาติดใจผมมานาน ผมตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสจะต้องไปดูด้วยตาตัวเอง แล้วโอกาสนั้นก็คือปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง

ผมใช้เส้นทางเริ่มจากอุทธยานรัฐริดจ์เวย์ (Ridgway State Park) ในโคโลราโด ไปผ่านทางเมืองเทอเลอลายด์ (Telluride) แล้วจึงเข้าไปโมนูเมนต์วัลเล่ย์ (Monument Valley) ต่อไปทะเลสาปเพาว์เวล Lake Powell, อุทธยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park), และ จบที่ อุทธยานแห่งชาติไบรซ (Bryce Canyon National Park)

ทริปนี้เริ่มต้นไม่ดีนัก คือ วันแรกผมก็ไปชนกวางใกล้ๆกับอุทธยานรัฐริดจ์เวย์ โชคดีที่คนผ่านทางมา เขามาช่วยแนะนำว่า ต้องทำอะไรบ้าง ... โทรแจ้งตำรวจลาดตระเวนรัฐ (State patrol), โทรแจ้งบริษัทรถเช่า, โทรไปแจ้งบริการประกันรถเช่าของบัตรเครดิตที่ผมใช้ และก็คอยช่วยผมจนเสร็จเรื่อง

ทุกๆที่ที่ผมไปเที่ยว ไม่ว่าทิวทัศน์จะสวยงามขนาดไหน ไม่ว่าอาหารจะอร่อยถูกปากยังไง ไม่จะทำกิจกรรมอะไรตื่นเต้นน่าสนใจขนาดไหน ... ทุกๆครั้ง ก็ยังคงเป็น น้ำใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นี่หละ ที่ประทับใจผมที่สุด

“The whole idea of compassion is based on a keen awareness of the interdependence of all these living beings, which are all part of one another, and all involved in one another.” - Thomas Merton

"ประเด็นของความเห็นใจผู้อื่นนั้น อยู่บนพื้นฐานของการรับรู้ถึง การพึงพาอาศัยซึ่งกันและกันของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและทุกๆสิ่งเกี่ยวข้องกัน" ... โธมัส เมอร์ตัน

เรื่องร้ายๆผ่านไป บริษัทรถเช่าก็นำรถคันใหม่มาให้ผมในวันรุ่นขึ้น
วันนั้นเป็นวันที่สองของการเดินทาง
ผมเลือกเส้นทางผ่านไปทางเมืองเทอเลอรายด์ เพราะว่าเป็นเส้นทางผ่านป่าซานฮวน (San Juan National Forest) ซึ่งสวยงามมาก ทิวทัศน์จะเป็น ภูเขาสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่แต้มป้ายไปด้วยหิมะสีขาว และ ป่าสน หญ้า กับ แอสเพนที่เพิ่งแตกใบใหม่สีเขียวสดใส



หลังจากขับรถอยู่หลายชั่วโมง กว่าจะออกมาจากป่าได้ ก็เริ่มเข้าสู่เขตทะเลทราย และก็โชคดีที่ถึงที่พักใกล้ๆกับโมนูเมนต์วัลเล่ย์ก่อนค่ำ ที่พักแถวนี้ค่อนข้างแพงโรงแรมคืนละเกือบสองร้อยดอลล่าห์ แต่ถ้าเช่าเป็นห้องเคบินห้องละราวๆเจ็ดสิบ ส่วนผมพักเต็นท์ก็เสียค่าที่กางเต็นท์ไปเกือบๆสามสิบดอลล่าร์ แต่ลมที่นั่งแรงมากๆ จนผมกับเพื่อนต้องหาหินหนักๆมาทับเต็นท์ไว้ไม่ให้ปลิว
เขตแถวโมนูเมนต์วัลเล่ย์ นี้เป็นเขตสงวนของชนพื้นเมืองดั่งเดิมเผ่านาวาโฮ (Navajo Reservation) นาวาโฮ คือ ชนพื้นเมืองซึ่งอาศัยอยู่แถบนี้มาก่อน และเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในอเมริกา แต่จริงๆแล้วคำว่า นาวาโฮ มาจากภาษาสเปน แต่เดิมชาวนาวาโฮเรียกตัวเองว่า ไดเน่ ซึ่งแปลว่า ประชาชน

ในอดีต (ราวๆศตวรรษที่ 16 ถึง 20) นาวาโฮ เป็นเผ่ากึ่งเร่ร่อน เลี้ยงชีพโดยการ ล่าสัตว์ (เช่น กวาง กวางก้นขาว แกะภูเขา รวมถึงสัตว์เล็กๆเช่น กระต่าย และ กระรอก) เลี้ยงสัตว์ (เช่น แพะ แกะ) ปลูกพืช (เช่น ข้าวโพด ถั่ว และ ฟัก) รวมถึง เก็บของป่า
รูปร่างหน้าตาของชาวนาวาโฮ ที่ผมเห็นในปัจจุบัน คล้ายคนไทยค่อนข้างมาก ผมเองก็เจอสาวนาวาโฮทักว่า หน้าตาคล้ายๆกับอาของเธอ



วันที่สามผมใช้เวลาช่วงเช้าขับรถเที่ยวในโมนูเมนต์วัลเล่ย์ ซึ่งพอจ่ายค่าผ่านประตูแล้วเขาจะให้แผนที่มา ทางในโมนูเมนต์วัลเล่ย์เป็นทางดิน เป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง บางส่วนก็เป็นทรายเวลาขับต้องใช้ความระมัดระวัง บางครั้งผมรู้สึกว่ารถเสียการควบคุมไปบ้างเพราะวิ่งบนทราย
ผมโชคดีในความโชคร้าย เพราะ รถคันที่ชนกวางเป็นรถขนาดเล็ก แต่พอมันเกิดอุบัติเหตุ บริษัทรถเช่า เอารถคันใหม่มาให้เป็นรถคันใหญ่แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้การขับรถในโมนูเมนต์วัลเล่ย์ง่ายขึ้นมาก

โมนูเมนต์วัลเล่ย์นี้ ชาวนาวาโฮ เรียกว่า Tsé Bii' Ndzisgaii (แปลว่า หุบเขาแห่งหิน) อยู่ในที่ราบสูงโคโลราโด (Colorado Plateau) เกิดจากการสึกกร่อนของชั้นหินทราย สภาพภูมิทัศน์ปัจจุบ้นมีลักษณะเป็นที่กว้าง พื้นของโมนูเมนต์วัลเล่ย์เป็นทราย สีโทน แดง ส้ม และมีเนินชันเดี่ยวกระจายอยู่ทั่ว

ผมกับเพื่อนรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารในโมนูเมนต์วัลเล่ย์ ซึ่งจะรสชาดไม่เลว แต่บริการค่อนข้างช้า
เพื่อนผมสั่งแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งแทนที่จะเป็นแป้งขนมปังแฮมเบอร์เกอร์ทั่วๆไป แฮมเบอร์เกอร์ที่นี่ เซิร์ฟด้วย ขนมปังทอดแบบอินเดียนแดง (Indian fry bread)
ขนมปังทอดอินเดียนนี้รสชาติเหมือนปาท่องโก เพียงแต่รูปทรงมันไม่ได้มาเป็นแท่งคู่ๆเท่านั้นเอง ทรงมันเป็นแผ่นแบนกลมแบบพิซซ่า แต่ฟูจากการทอด



ประวัติของขนมปังทอดอินเดียนนี้ค่อนข้างสลด ไม่แพ้ประวัติของปาท๋องโก๋
ขนมปังทอดอินเดียนนี้คิดค้นโดยชาวนาวาโฮ แต่ก็แพร่หลายอย่างดีกับเผ่าอื่นๆ
เรื่องย่อๆว่า นาวาโฮ แพ้สงครามในราวๆปี พ.ศ. 2407 ชาวนาวาโฮประมาณ 8,000 คนทั้ง ผู้ชาย ผู้หญิง และ เด็ก ถูกบังคับให้เดินทางจาก แคนยอนเดอเชวลี่ (Canyon de Chelly, Arizona) ไปที่่บอสเก้เรดอนโด (Bosque Redondo)ใกล้ๆฟอร์ตซัมเนอร์ (Fort Sumner, New Mexico) รวมระยะทางราว 480 กิโลเมตร ใช้เวลา 18 วัน ชาวนาวาโฮ ราวๆ 300 คนตายระหว่างการเดินทาง และอีกไม่น้อยที่เสียชีวิตต่อมาในระยะเวลา 4 ปีของการถูกควบคุมตัวที่บอสเก้เรดอนโด ก่อนที่จะมีสนธิสัญญาบอสเก้เรดอนโด้ เพื่อก่อตั้งเ่ขตสงวนของนาวาโฮขึ้น

ระหว่างการถูกควบคุมที่บอสเก้เรดอนโด ชาวนาวาโฮได้รับ มันหมู แป้ง เกลือ น้ำตาล ผงฟู และก็ นมผง เพื่อใช้ประกอบอาหาร ชาวนาวาโฮ ได้ใช้ส่วนผสมเหล่านี้ ทำขนมปังทอดขึ้น

ประวัติศาสตร์ ไม่ได้มีไว้เพื่อสร้างความโกรธแค้นเกลียดชัง หากแต่มีไว้เพื่อเรียนรู้เข้าใจและไม่กระทำผิดซ้ำเดิมอีก

หลังอาหารเที่ยงพวกเราออกเดินทางต่อไปที่เมืองเพจรัฐอริโซน่า เมืองนี้ติดกับทะเลสาปเพาว์เวล ซึ่งเป็นที่เล่นเรือ หรือ กีฬาทางน้ำที่นิยมของคนในแถบนั้น
คืนนั้นฝนเริ่มตกและตกตลอดจนถึงเช้าวันที่สี่ และก็ยังคงตกอยู่และตกหนักมากๆ ทำให้วันที่สี่ ซึ่งตามแผนแต่แรกคือ ผมกับเพื่อนจะไปทัวร์หุบเหวช่องแคบแอนทิโลป (Antelope Slot Canyon) แต่ทัวร์ถูกยกเลิกไปเนื่องจากฝนตกหนักมาก คนที่นั่นบอกว่า ปกติแล้วแถบนั้นไม่ค่อยมีฝน แต่ไม่รู้ว่าภาวะโลกร้อนอากาศแปรปรวน หรือ เพราะเหตุใด แต่สรุปคือ พวกเราไม่ได้ไป หุบเหวช่องแคบแอนทิโลป เราก็เลยมุ่งหน้าต่อไปที่จุดหมายต่อไปแทน ซึ่งก็คือ อุทธยานแห่งชาิติไซออน ในตอนเช้าของวันนั้นเลย



ผมกับเพื่อนพักที่เมืองสปริงเดลใกล้ๆกับอุทธยานแห่งชาติไซออน
อุทธยานแห่งชาติไซออนคนค่อนข้างเยอะ ผมไม่รู้ว่าคนเยอะเป็นปกติในช่วงหน้าร้อน หรือ ว่าเป็นเพราะ ผมไปที่นั่นตรงกับ วันหยุดยาวของวันแห่งความทรงจำ (Memorial day) หรืออย่างไร
แต่คนเยอะมากๆ หาที่จอดรถไม่ได้เลย ต้องออกไปจอดที่เมืองสปริงเดล ซึ่งอยู่ติดกับทางเข้าอุทธยาน แล้วนั่งรถบัสของอุทธยานกลับเข้าไป การจัดการอุทธยานที่นี่ดีมาก เขาจะมีรถวิ่งรับส่งคนจากเมืองเข้าอุทธยาน และ รถวิ่งไปจุดต่างๆภายใจอุทธยานเอง สะดวก และ ฟรี ดีกว่าขับรถเองเสียอีก

ผมกับเพื่อนมีเวลาพอสมควรที่ไซออน ราวๆวันครึ่ง ก็เลยใช้เวลา เดินเส้นทางอุทธยาน สามเส้นทาง คือ เส้นทางไปบ่อมรกต เส้นทางเรียบแม่น้ำและในแม่น้ำ แล้วก็เส้นทางเทวดาลงดิน

เส้นทางไปบ่อมรกต (Emerald pools trail) เดินไม่ยาก และ ก็ไม่ไกล คนจึงเดินมาก ก็จะมีการจราจรนิดหน่อย แต่บ่อมรกต ที่ไปดูมีอยู่สามบ่อ แต่ก็เล็กทั้งสามบ่อ ตัวบ่อมรกตเองไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่เดินเล่นในเส้นทางร่มๆ ทิวทัศน์ที่ไม่ถึงกับอลังการแต่ก็เพลินตาไปเรื่อยๆ ก็นับเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่ง

เส้นทางเรียบแม่น้ำ (Riverside wak) เป็นเส้นทางเดินลาดซีเมนต์อย่างดี เด็กเดินดี ผู้เฒ่าเดินได้ ผนังหน้าผาข้างๆมีมอส และดอกไม้ขึ้นมาแต้มเป็นหย่อมๆ เพิ่มความเพลิดเพลินในการเดิน แต่ที่ผมกับเพื่อน และ หลายๆคนที่ไปเดินเส้นนี้ไม่ได้หยุดแค่ เส้นทางเดินลาดซีเมนต์ เราถลกขากางเกง (แต่ยังไงก็เปียก) เดินลงไปในแม่น้ำเวอร์จิ้น (Virgin River) และ เดินตามแม่น้ำไปเพื่อดู หินทรายที่ถูกแม่น้ำเวอร์จิ้นผ่าของเป็นช่องแคบๆ ที่เรียกกันว่า ไอ้ช่องแคบ (The Narrows).

ไอ้ช่องแคบ เป็นหุบเหวแคบๆ ที่สองข้างผนังเหวหินทรายสูง ผนังมีลักษณะเป็นระลอกคล้ายคลื่นสีดำเข้ม ระหว่างช่องแคบก็เป็นแม่น้ำเวอร์จิ้นสีเขียวไหลค่อนข้างแรง และ ในบางช่วงของการเดิน จะเห็นภูเขาหินสีแดงแต้มสีเขียวอ่อนจากพืชพันธุ์ อยู่เป็นฉากหลัง สวยงามคุ้มค่าตัวเปียกเลยครับ
แต่ ถ้าจะมีใครไปเดินลุยน้ำแบบนี้ ผมแนะนำว่าแทนที่จะใส่รองเท้าของเราไปเดินน้ำให้มันเปียก น่าจะลองไปถามร้านเช่าอุปกรณ์ในเมืองสปริงเดล เพราะผมเห็นนักท่องเที่ยวหลายๆคน เช่า รองเท้าเดินแม่น้ำกับชุดกันน้ำมาใส่ดูแล้วท่าทางจะสะดวกสะบายว่า เดินเ้ท้าเปียกๆตัวเปียกๆกลับบ้านครับ



แต่ถึงจะเท้าเปียกตัวแฉะ ผมกับเพื่อน ก็ไม่ได้กลับบ้านเลยตอนบ่ายก็ใช้เวลาไปเดิน เส้นทางเทวดาลงดิน (Angels Landing) ที่หลายคนร่ำลือ ช่วงแรกๆก็การเดินก็รู้สึกเหนือยบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ายากเย็นอะไรมาจนมาเห็นป้ายว่าเหลืออีกแค่ 0.5 ไมล์ ผมก็เพื่อนก็รู้สึกเหมือนกับ ถึงแล้ว แต่พอไปเห็นวิธีขึ้นของไอ้ 0.5 ไมล์ที่เหลือ ผมนึกถึงภาพของ หัวซาน ที่มีคนชอบส่งมาให้ทางอีเมล์บ่อยๆ คือ เป็นเขาหินสูงๆชันๆ แล้วก็มีโซ่ให้เกาะ ประมาณว่า เกาะดีๆนะ ถ้าลื่นตกก็ตกยาวเลย ถ้าจะเขียนเป็นสูตรก็ น่าจะราวๆ ความเสียว เท่ากับ ความสวย ยกกำลังสอง
0.5 ไมล์ท้ายของเทวดาลงดินนี้ อาจจะไม่ได้โหดเหมือนกับ หัวซาน ที่ผมเคยเห็นในรูป แต่ ผมบอกจากความรู้สึกได้เลยว่า ถึงไม่เหมือนก็เพื่อนๆญาติๆกันหละครับ ผมกับเพื่อนไม่ได้ไป 0.5 ไมล์สุดท้ายนี้จนสุดทาง เราไต่โซ่กันไปอีกพักหนึ่งได้ที่ชมทิวทัศน์พอใจแล้วก็กลับ




วันที่หก ผมกับเพื่อนออกจาก สปริงเดล ไป อุทธยานแห่งชาิติไบรซ ระยะแค่ราวๆ 85 ไมล์ ใช้เวลาไม่ถึง สองชั่วโมงดี ที่พักใกล้ๆ อุทธยานแห่งชาิติไบรซ มีอยู่เยอะ มีที่หนึ่งที่เป็นที่พักแบบทีพีหรือกระโจมอินเดียน ผมไม่ได้เข้าไปถามเพราะตอนนั้นเขาได้โรงแรมแล้ว แต่คิดว่าราคาคงไม่แพงเหมือนโรงแรม และได้บรรยากาศแปลกไปอีกแบบ
ที่พักแบบทีพีนี้ ผมเองเคยพักมาแล้ว แต่เป็นที่อื่น ตอนนั้นเป็นที่ แถวๆ เมืองแฟร์แบงค์ อลาสกา ผมจำชื่อได้คล้ายๆว่า ชื่อ Go North หรืออะไรทำนองนั้น ที่นั่น มันเป็นเหมือนเต็นท์ใหญ่ๆ ข้างในมีเตียงสองเตียงแต่ ไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่ม ต้องเอาเครื่องนอนไปเอง ก็ได้ความรู้สึกแปลกๆดี

ที่อุทธยานไบรซ คนไม่เยอะเท่าไซออน พอจะขับรถเที่ยวและหาที่จอดได้ มีกวางอยู่ค่อนข้างเยอะ ก็ทำให้ผมกับเพื่อนซึ่งพึ่งมีอุบัติเหตุกับเพื่อนมันมา เสียวๆเหมือนกัน

ที่ไบรซ นี้จะขับรถเที่ยวถ่ายรูปอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้ามีเวลา ผมว่าน่าจะลองเดินเส้นทางนาวาโฮกับสวนราชินี (Navajo - Queen's garden) ดูครับ ไม่ยาวมาก ไม่นานมาก แต่สวยมากๆ ดินหินสีแดงส้มระเรือชมพู โทนๆเดียวกับสี แซมมอนซาชิมิ แต่มีลวดลายรูปทรง ราวกับปราสาทเขมร ที่ถูกแกะสลักโดยธรรมชาติ สีสันสดใส บวกรูปทรงน่าสนใจ เดินไม่ทรมานสังขารมาก ไม่ควรพลาดครับ



"Study nature, love nature, stay close to nature. It will never fail you." - Frank Lloyd Wright

"เรียนรู้ธรรมชาติ รักธรรมชาติ อยู่ใกล้กับธรรมชาติ ธรรมชาติจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง" ... แฟรงค์ ลอยด์ ไรจ์ต




"The richness I achieve comes from Nature, the source of my inspiration." - Claude Monet

อ้างอิง

นาวาโฮ:
//cpluhna.nau.edu/People/navajo.htm
//en.wikipedia.org/wiki/Navajo_people

โมนูเมนต์วัลเล่ย์:
//en.wikipedia.org/wiki/Monument_Valley
//th.wikipedia.org/wiki/หุบเขาโมนูเมนต์

ขนมปังทอดนาวาโฮ:
//whatscookingamerica.net/History/NavajoFryBread.htm
//en.wikipedia.org/wiki/Kit_Carson#Carson.27s_Navajo_campaign
//en.wikipedia.org/wiki/Long_Walk_of_the_Navajo

อุทธยานแห่งชาติไซออน:
//www.nps.gov/zion/

อุทธยานแห่งชาติไบรซ:
//www.nps.gov/brca/


Create Date : 07 พฤษภาคม 2552
Last Update : 23 มิถุนายน 2553 1:26:07 น. 4 comments
Counter : 3489 Pageviews.

 
น่าเที่ยวค่ะ
ขอบคุณที่เข้าไปเยี่ยมบ้านนะคะ
มีรูปสาวกานา มาฝากแล้วนะ


โดย: shada วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:17:41:34 น.  

 
น่าไปเที่ยงจังเลยค่ะ


โดย: freedom.banana วันที่: 3 มิถุนายน 2552 เวลา:13:47:15 น.  

 
เอ้ย...น่าเที่ยวค่ะ ไม่ใช่น่าเที่ยง เฮ่อ...


โดย: freedom.banana วันที่: 3 มิถุนายน 2552 เวลา:13:47:53 น.  

 
จริงค่ะ ธรรมชาติไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ


โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:15:25:31 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.