Group Blog
 
 
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
“อยู่เฝ้าบ้านนะลูก เดี๋ยวแม่กลับมาจะซื้อขนมมาฝาก”


เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่กระทบคือ คิดถึงเรื่องเมื่อวานนี้ที่แม่โทรมาหาผม ความตั้งใจของแม่ผม ผมคาดว่าท่านน่าจะโทรมาเพื่อปลอบใจผม ที่น้องสาวผมจะพาทั้งครอบครัวไปเมืองจีน แต่ไม่คิดจะชวนผมไปด้วย (แม้แต่จะชวนเพื่อมารยาท)

ผมมีความรู้สึกว่า แม่พูดกับผม เหมือนผมเป็นเด็กที่ไม่ได้ตามไปตลาดกับแม่ด้วย และปลอบว่า
“อยู่เฝ้าบ้านนะลูก เดี๋ยวแม่กลับมาจะซื้อขนมมาฝาก”

ผมเชื่อว่าหลายคนก็ต้องเคยเจอกับคำปลอบแบบนี้
แต่วันนี้ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมอายุ40กว่า (กว่าต้นๆนะ...ตัวเอง) หัวก็เริ่มหงอกแล้ว ดูสิยังมีโอกาสได้รับ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยจากแม่อยู่เลย

แม่ก็ยังคือแม่นะ ความรัก ความห่วงใย ความหวังดี และอีกหลายสิ่งที่ดีๆ
ไม่เคยเปลี่ยน….
และส่วนใหญ่แล้ว อาการเช่นนี้จะเป็นประมาณเกือบจะ100% ของแม่ทั่วโลก ส่วนดีกรีความเข้มข้น หรือการแสดงออก ก็อาจจะต่างกันไปบ้าง ตามขนบธรรมเนียมประเพณี ท้องถิ่น หรือค่านิยม หรืออะไรก็แล้วแต่

บริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ สวยงาม....เกินบรรยาย....และข้อสำคัญ.....ไม่มีวันหมดอายุ
นี่คือเรื่องแรกที่ผมอยากจะพูด

และนี่คือเรื่องที่สอง

ตอนผมรู้เรื่องน้องสาวคนดี ก็มีความรู้สึก..............................เหมือนกัน
แต่ไม่สามารถบอกหรือเติมคำในช่องว่างได้ ว่ามันเป็นความรู้สึกเช่นไร

รู้แต่ว่ามันเป็นความไหวๆอยู่ระหว่างกลางอก ((นี่แหละมั้ง...ภาษาวัยรุ่นเมื่อหลายปีที่แล้ว (ตอนที่ผมยังหนุ่มๆ) เขาเรียกว่า ความอ่อนไหว ส่วนปัจจุบันน่าจะเรียกว่า แอ๊บ..........อะไรซักอย่างมั้ง))

แต่มันเป็นอกุศลแน่ๆ เพราะมันมีความหมองเศร้าอยู่น้อยๆ มันเป็นทุกข์เล็ก.......
ผมไม่นิยมให้ความทุกข์มันกินหัวผมฝ่ายเดียว...จะกินหัวผมแล้วเดินสะบัดก้น...ออกไปหน้าตาเฉย..ไม่มีทาง...ต้องจ่ายค่าเสียหาย....

เมื่อเห็นทุกข์ก็ย่อมเห็นธรรม อย่าปล่อยให้ทุกข์ลอยนวล จับมันมาพิจารณา แทงให้ทะลุและนำมาชำแหละ
(ให้หายแค้น...อ่ะ...ล้อเล่น...)สิ่งที่ผมนิยมใช้ ในการชำแหละความทุกข์มานาคือ

ผมจะถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่เราไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจ แล้วก็จะไล่เรียงเช็คชื่อหามันไปเรื่อยๆ

ข้อที่1 เสียใจที่ไม่ได้ไปจีนหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ใช่เลย เพราะอะไรหรือ เพราะผมไม่ได้ชอบประเทศนี้ และไม่เคยคิดที่จะไป
( ตอนนี้กำลังหาข้อมูลประเทศหนึ่งที่ผมอยากจะไปมาก ไม่ใกล้ไม่ไกล และตั้งใจจะไปเองเพียงคนเดียว)

ข้อที่2 ถามต่อว่าเสียใจที่ไม่ได้ของฟรีหรือเปล่า คือถ้าเขาชวนและออกเงินให้ด้วย ผมจะไปไหม?
คำตอบก็คือ ไม่ไป เพราะไม่ชอบได้อะไรของใครมาฟรีๆ ไม่ชอบติดค้างใคร (ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการสิ่งตอบแทน)

แล้วทุกข์นั้นมันเกิดจากสิ่งใด?
ผมเชื่อว่ามาถึงตรงนี้หลายคนคงเดาออกแล้ว

ก็คงจะมาจากความรู้สึกน้อยใจที่ไม่ได้รับการชวน
แล้วทำไมเราถึงน้อยใจ

น้อยใจ ...มันเป็นคำสมมุติ..ของภาษาไทย...
ถ้าเป็นสมมุติของภาษาอังกฤษก็อาจจะเป็น Feel hurt. to feel neglected. to feel ignored. หรือ to feel oneself inferior (ทำไมเยอะจัง ขอความกรุณาอย่าคิดว่าผมเก่งภาษาอังกฤษ เพราะผมลอกในดิกมา
ลำพังแค่ความรู้ผมคงใช้ “A little heart” ไปแล้ว

แต่สำหรับภาษาอื่นๆก็จะมีคำที่สมมุติใช้แทน คำๆนี้แตกต่างกันไป

น้อยใจ...คำนี้ถ้าแยกเป็นจิตกับเจตสิกแล้ว...น่าจะชื่อหรือประกอบด้วยอกุศลตัวไหน (ขอติดไว้ก่อน เพราะพึ่งจะไปเรียนอภิธรรมมาได้ครั้งเดียวเมื่อวานนี้ ถ้าเรียนแล้วรู้จะมาตอบ)

ความน้อยใจในกรณีนี้ เกิดจากการที่เราคาดหวังว่า คนอื่นน่าจะเห็นความเป็น “เรา”
ไม่น่าจะมองข้ามความสำคัญ ของเรา ทั้งที่เรา.......................
(ก็แล้วแต่จะมีประสบการณ์เช่นไรมา)

เพราะเขาไม่เห็นหัวเรา เพราะเขาไม่เห็นความสำคัญของ “เรา”
ทั้งที่เราเคยช่วยเหลือเขา โอ๊ย......ยิ่งคิด ก็ยิ่งปรุง... ยิ่งปรุง ก็ยิ่งทุกข์ .......สารพัดจะสรรหามาปรุง

ถ้าเราไม่มีสติที่จะตัดมัน มันก็จะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวมันก็
กินหัวกินหาง....กินกลางตลอดตัว แล้ว
อ้าว...ผมไม่ได้พูดเล่นนะ เคยเห็นคนโกรธจนป่วยไหม
หรือคุณเคยโกรธจนตัวสั่นไหม
หัวใจแทบจะออกมาเต้นนอกตัว “... ออกมาเต้น เอ๊า......ออกมาเต้น เด็ดขาดลีลาไปเลย....”

คนเรานี่ก็แปลก เรารับรู้ การมีตัวตนของ เรา คนเดียวก็ไม่พอ
ต้องบังคับให้คนอื่นมาร่วมเป็นพยาน การ เป็น อยู่ คือ ของตัวเรา ด้วย ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิท มิตรสหาย ลูกพี่ ลูกน้อง เพื่อนๆ ยามหน้าหมู่บ้าน
แม่บ้านที่ทำงาน และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก
แค่นั้นก็ยัง.......ยังไม่พอ

บางคนต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม ชุมชน ประเทศหรือทั่วโลก
ต้องการทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง เพื่อให้คนอื่น เห็น รู้จัก ยอมรับ ความมีอยู่...ของตัวตน....ของตนเอง...

ถ้าทำไปแล้ว ไม่ได้ผล คนเขาไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับ ตัวเรา ก็ต้องทุกข์อีก
ถ้าเขาเห็นด้วยและ แต่ต่อมาเขาลืมเลือน ก็ทุกข์อีก

ไม่ต้องการแค่ รู้จักตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ (ยังพอชื่นชมได้)....แต่ยังต้องการให้โลกจารึก จดจำ ในความเป็นเรา ไปตลอดชั่วลูกชั่วหลาน.....
ถ้าสร้างอนุสาวรีย์(เอาไว้ให้นกขี้รด)ได้เลย....ยิ่งดี...

เห็นแก่(ความเป็น)ตัวเองจริงๆ..

มันก็มีแต่ทุกข์... กับทุกข์กว่า ..และทุกข์ที่สุด

นี่แค่น้ำจิ้ม โทษภัยของการมีตัวตน สาธยายเท่าไรก็ไม่มีหมด


พระพุทธองค์ท่านเคยสอนว่า “มีสิ่งใดก็จะทุกข์ กับสิ่งนั้น”

ถ้าเรามีตัวตน....เราก็ทุกข์กับตัวตน...
แต่การเข้าถึงสภาวะของ การไม่มีตัวตน ก็ไม่ใช่เรื่องจะเป็นไปได้ง่าย ๆ
เพราะมันเป็นสภาวะของพระอริยะเจ้า

แต่เราสามารถ เลือกระดับของความทุกข์ที่จะเจอได้
โดยการเลือกระดับของการมีตัวตน

แล้วคุณล่ะที่ผ่านมา….ต้องการคนยอมรับมากน้อยแค่ไหนล่ะ
และสำหรับสิ่งที่กำลังจะผ่านไป.....
ถ้าต้องการทุกข์น้อยๆก็ต้อง เห็นความเป็นตัวเป็นตน...ให้น้อยที่สุด....

ลองดูก่อนก็ได้นะ ลองไปไหนหรือ ทำอะไรก็ได้ แต่ให้สมมุติว่าตัวคุณล่องหนได้ ไม่มีใครเห็นคุณ
แต่จะมีข้อแม้ว่าคุณก็ต้องไม่ไปใส่ใจคนอื่น และถ้าคุณใส่ใจหรือจ้องตาคนอื่น
เมื่อไร เมื่อนั้นเขาจะเห็นคุณ
ให้คุณใส่ใจเฉพาะกับเรื่องที่คุณทำอยู่เท่านั้น....
คุณจะแคะขี้มูก ดูดขี้ฟัน เดินไปตดไป ก็ไม่มีรู้ใครเห็น ไม่มีใครสนใจคุณ

แล้วคุณจะรู้ว่า...เวลาไม่มีตัวตน...แล้วมันจะสุขขนาดไหน

สาธุ

ป.ล. อ่านแล้วงงงงงงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันเป็นของมันเช่นนั้นเอง

วันที่24 ประเทศไทยสมมุติว่า กันยายน 2550
และก็สมมุติอีกว่ามันเป็นเวลา 15.32




ข้อที่1ข้อที่2


Create Date : 24 กันยายน 2550
Last Update : 24 กันยายน 2550 17:11:17 น. 1 comments
Counter : 444 Pageviews.

 
Test


โดย: รังสิโยภาส วันที่: 27 กันยายน 2550 เวลา:17:25:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รังสิโยภาส
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add รังสิโยภาส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.