แล้วก็เล่ากันต่ออีกว่า แม่นกไปเกิดใหม่ คราวนี้ไม่ใช่นก แต่เกิดเป็นคน แถมเป็นคนผู้หญิงที่.......
จิ้มลิ้มนิ่มนวล........น่ายวนโลกีย์
เกศเกล้ามาลี.........ดังปีกภุมรา
คิ้วโก่งคือศิลป์........พระทนคือนิล
งามสิ้นโสภา...........พระโอษฐ์นางนาฎ
ดังเอาชาดทา..........พระเนตรซ้ายขวา
คือตาทรายทอง........พระกรสองข้าง
คือดังงวงช้าง..........ไอยราผันผยอง
พระปรางสองข้าง.....เหมือนอย่างปรางทอง
พระถันทั้งสอง..........ดังดอกบุษบง
พระพักตร์เป็นนวล....ราศีถี่ถ้วน
นิ่มเนื้อนวลหงส์........ไหล่ผายท้ายทอย
รอยรับรององค์.........งามรูปงามทรง
ดังอนงค์กินนร...
นอกจากจะมีรูปโฉมงดงามเหมือนหยาดฟ้าดังคำกลอนข้างต้นแล้ว นางยังเป็น พระธิดาโทน(ลูกคนเดียว)ของท้าวพรหมทัต กับพระนางโกสุมาแห่งเมืองโกสัมพี
พระธิดาสุวรรณเกษรนั้นเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์สิริโฉมโสภาเกินกว่าหญิงใดในหล้า แต่เมื่อเกิดมาจวบจนถึงวัยครองเรือน นางกลับไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับผู้ชายคนไหนทั้งสิ้น แม้แต่ผู้เป็นพระบิดาของตนเอง ท้าวพรหมทัตรู้สึกทุกข์ในพระทัยยิ่งนัก ถึงกับให้มีประกาศไปทั่วทุกแคว้นแดนดินว่า หากชายใดสามารถทำให้พระธิดายอมพูดด้วย ก็จะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสุวรรณเกษรทันที
บรรดากษัตริย์รวมทั้งเศรษฐีจากเมืองต่างๆ ได้ส่งพระโอรสและทายาทของตนมาขอทดสอบ แต่ไม่ว่า
จะใช้วิธีไหนเจ้าหญิงสุวรรณเกษรก็ไม่ยอมเอ่ยปากเจรจากับเจ้าชายหรือทายาทหนุ่มของเศรษฐีคนใดเลยแม้แต่เพียงคำเดียว ต่างรู้สึกท้อใจและเดินทางกลับบ้านเมืองของตนไปจนหมดสิ้น
กล่าวถึงพ่อนกกระจาบซึ่งได้มาเกิดใหม่เป็น เจ้าชายสรรพสิทธิ์ พระโอรสของ พระเจ้าวิชัยราชกับพระนางอุบลเทวีแห่งอลิกนคร เมื่อทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระธิดาสุวรรณเกษร ทำให้เจ้าชายสรรพสิทธิ์สนใจนึกอยากจะไปทดสอบดู เพราะเคยไปเรียนวิชาอรภินทวิทยา อันเป็นวิชาเกี่ยวกับการถอดจิต คิดว่าคงจะพอมีวิธีทำให้เจ้าหญิงสุวรรณเกษรพูดกับตนได้
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทราบว่ามีเจ้าชายจากเมืองใกล้เคียงมาอาสาก็ดีพระทัย สั่งให้ทำการกั้นม่านขึ้นเจ็ดชั้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเจ้าชายจะพูดคุยกับเจ้าหญิงได้แต่เพียงข้างนอก ห้ามรุกล้ำเข้าไปด้านในอย่างเด็ดขาด และในห้องใกล้กันนั้นมีวงมโหรีคอยฟังอยู่ หากได้ยินเสียงเจ้าหญิงสุวรรณเกษรเมื่อใดก็จะพากันบรรเลงขึ้นเพื่อเป็นพยาน
ครั้นตกค่ำเจ้าชายสรรพสิทธิ์จึงเข้าไปในที่ซึ่งจัดไว้ พร้อมด้วย ชานุ ผู้เป็นพี่เลี้ยงคนสนิทซึ่งไปเรียนวิชาอรภินทวิทยาจากเมืองตักศิลามาด้วยกัน เจ้าชายได้ถอดดวงจิตของชานุไปสถิตไว้ที่ชวาลาหรือตะเกียงรูปร่างคล้ายคนโทแต่มีพวยเหมือนกาน้ำซึ่งใช้จุดให้แสงสว่างในสมัยโบราณ
แล้วเจ้าชายได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนกับพระธิดาเป็นเนื้อคู่กัน ขอให้นางยอมเอ่ยปากเจรจาด้วย จากนั้นเจ้าชายได้เอ่ยปากพูดคุยกับชวาลาชวนให้เล่านิทานให้ฟัง ชวาลาตอบว่าตนไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า หากเจ้าชายมีเรื่องสนุกก็จงเล่ามาเถิด
เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้เล่าเรื่องราวของพ่อค้าเรือ ๔ คนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน วันหนึ่งพ่อค้าคนหนึ่งเห็นท่อนจันทน์ลอยมาจึงเก็บนำมาแกะเป็นสตรีที่สวยงามและมีชีวิตขึ้นมา พ่อค้าคนที่สองได้นำเครื่องประดับมาตกแต่งให้ พ่อค้าคนที่สามนำอาสนะมาให้รูปแกะสลักนั่ง ส่วนพ่อค้าคนที่สี่ได้นั่งสนทนากับรูปแกะสลักนั้น ในตอนท้ายเจ้าชายเอ่ยถามปริศนากับดวงชวาลาว่า เมื่อพ่อค้าทั้ง ๔ ต่างก็มีใจรักในรูปแกะสลักนั้น ควรตัดสินให้นางเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร ชวาลาตอบว่าควรเป็นของผู้ที่แกะสลักนางขึ้นมาจากท่อนไม้จันทน์
เจ้าหญิงสุวรรณเกษรซึ่งนิ่งฟังเรื่องราวมาโดยตลอดก็เผลอแย้งขึ้นว่า พ่อค้าผู้แกะสลักควรอยู่ในฐานะบิดา พ่อค้าผู้นำอาสนะมาให้นั่งควรอยู่ในฐานะมารดา พ่อค้าผู้มานั่งสนทนาด้วยควรอยู่ในฐานะพี่ชาย ส่วนพ่อค้าผู้นำเครื่องประดับมาตบแต่งให้เธอนั้นเป็นผู้ควรอยู่ในตำแหน่งสามี
ทันใดนั้นเสียงปี่พาทย์ก็บรรเลงขึ้น เจ้าหญิงสุวรรณเกษรทรงนึกได้ว่าเผลอพูดออกไปจึงนิ่งเงียบเหมือนเช่นเดิม เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ย้ายดวงจิตของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงจากดวงชวาลาไปไว้ ณ ข้างเตียงบรรทมของเจ้าหญิง แล้วเล่านิทานปริศนาเรื่องใหม่ว่า มีพระกุมาร ๔ องค์จากเมืองต่างๆ มาเรียนวิชาในสำนักเดียวกันจนกลายเป็นสหายสนิท และต่างก็มีวิชาดีกันคนละอย่าง วันหนึ่งทั้ง ๔ ได้ไปนั่งอยู่ชายฝั่งทะเล คนที่มีวิชาหมอดูบอกกับเพื่อนๆ ว่าประเดี๋ยวจะมีนกอินทรียักษ์โฉบผู้หญิงผ่านมา คนที่เป็นนักแม่นธนูรีบเล็งศรไว้คอยท่าและสามารถยิงสังหารนกอินทรีนั้นได้อย่างแม่นยำ
หญิงที่นกนั้นโฉบมาก็ตกลงสู่ทะเล คนที่เก่งทางดำน้ำก็รีบดำลงไปช่วย ครั้นเห็นว่าหญิงนั้นเสียชีวิตไปแล้ว คนที่มีวิชาชุบคนตายให้ฟื้นจึงชุบชีวิตของนางขึ้นมา ในตอนท้ายเจ้าชายถามต่อดวงจิตของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงว่า เมื่อพระกุมารทั้ง ๔ เกิดการยื้อแย่งกันครอบครอง หญิงผู้นี้ควรเป็นของใคร
ดวงจิตตอบว่าหญิงผู้นี้ควรเป็นของชายคนที่เก่งทางยิงธนู เพราะเป็นผู้ช่วงชิงเธอมาจากนกอินทรียักษ์ เจ้าหญิงสุวรรณเกษรนิ่งฟังอยู่และพิจารณาตามเนื้อเรื่อง เผลอแย้งว่า หญิงนั้นควรเป็นสิทธิของนักประดาน้ำเพราะเขาได้แตะต้องตัวเธอ ครั้นเมื่อได้ยินเสียงปี่พาทย์บรรเลงขึ้นเจ้าหญิงจึงทรงนึกขึ้นได้ก็นิ่งเงียบอีกครั้ง เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ย้ายดวงวิญญาณของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงไปไว้ใกล้พระที่บรรทมของเจ้าหญิงแล้วเล่านิทานปริศนาเรื่องที่ ๓ เกี่ยวกับชายและหญิง ๔ คู่ซึ่งได้มาพบปะพูดจาเกี้ยวพาราสีกัน
เมื่อฝ่ายชายถามฝ่ายหญิงว่าเรือนของเธอนั้นอยู่ที่ไหน หญิงคนแรกใช้นิ้วลูบศีรษะแล้วบอกว่าเรือนของตนอยู่ที่นี่ หญิงคนที่สองเอามือลูบนมพลางบอกว่าเรือนของฉันอยู่ที่นี่ หญิงคนที่สามใช้มือลูบแก้มพลางบอกว่านี่เรือนของฉัน ส่วนหญิงคนที่สี่เอามือลูบคิ้วพลางบอกว่านี่เรือนของฉัน ครั้นหญิงทั้งสี่กลับไปยังเรือนของตน ชายทุกคนต่างปรึกษากันแต่ก็ไขปริศนาไม่ออก เผอิญมีโจรคนหนึ่งถูกหลาวเสียบนอนกลิ้งเกลือกอยู่ใกล้กันนั้น ครั้นได้ยินเรื่องราวของชายทั้งสี่จึงไขปริศนาให้
โดยโจรบอกว่าให้ชายคนที่หนึ่งเดินไปทางทิศตะวันออกราว ๕ อุสุภ (๑ อุสุภยาวประมาณ ๑ เส้น ๑๕ วา)
เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้ต้นไทร ให้ชายคนที่สองเดินไปทางทิศตะวันตกราว ๘ อุสุภ เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้ต้นขนุน ให้ชายคนที่สามเดินไปทางทิศใต้ประมาณกึ่งโยชน์ เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้เตาของช่างปั้นหม้อ ให้ชายคนที่สี่เดินไปทางทิศเหนือประมาณ ๑ โยชน์ เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้สระสาหร่าย (เป็นเรื่องของคำศัพท์ในภาษาจากต้นฉบับ จึงยากแก่การแปลความหมายให้เข้าใจในปริศนา)
เมื่อหญิงทั้งสี่ทราบว่าชายคนรักของตนรู้ปริศนาเพราะโจรช่วยเฉลยจึงพากันขับไล่ และพวกนางต่างไปนำโจรนั้นมารักษา หญิงคนที่หนึ่งนำอาหารมาให้เป็นประจำ หญิงคนที่สองทำหน้าที่อาบน้ำชำระร่างกาย
หญิงคนที่สามเอาน้ำร้อนมาให้ หญิงคนที่สี่เอาปัสสาวะอุจจาระไปเททิ้งให้ ต่อมานายโจรผู้นั้นก็หายเป็นปกติ อยากทราบว่าหญิงคนไหนสมควรอยู่ในฐานะภรรยาของนายโจร ดวงจิตตอบว่าควรเป็นหญิงผู้ที่นำปัสสาวะอุจจาระไปเททิ้งให้ เจ้าหญิงสุวรรณเกษรก็เผลอแย้งว่าควรจะเป็นหญิงที่นำอาหารมาให้เพราะทำหน้าที่เหมือนผู้เป็นภรรยา พลันเสียงพิณพาทย์ก็บรรเลงขึ้นเป็นครั้งที่ ๓
เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ถอดดวงจิตของชานุย้ายไปไว้ที่พระเขนย (หมอน) ของเจ้า หญิงสุวรรณเกษรแล้วถามปริศนาว่า ระหว่างการสัมผัสนุ่นกับสัมผัสเส้นผมอันละเอียดอ่อนของสตรีรูปงามอันเป็นที่รัก สิ่งไหนจะนุ่มมือมากกว่ากัน ดวงจิตตอบว่านุ่น แต่เจ้าหญิงแย้งว่า สามีที่มีจิตอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างต่างหากจึงชื่อว่ามีสัมผัสอ่อนยิ่งกว่านุ่นและสตรี พลันเสียงปี่พาทย์ก็บรรเลงขึ้นเป็นครั้งที่ ๔ พระเจ้าพรหมทัตจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้กับเจ้าชายสรรพสิทธิ์และเจ้าหญิงสุวรรณเกษรและให้ครองเมืองอลิกนครอย่างมีความสุขนับแต่นั้นมา