. . เ ส รี ภ า พ แ ห่ ง ค ว า ม คิ ด . .
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
28 มกราคม 2553
 
 

บั น ทึ ก จ า ก บ้ า น บ า ง ล ะ มุ ง . . .

บันทึกจากบ้านบางละมุง..

( เรื่องนี้ยาวหน่อย แต่เราก็อยากให้คุณ print ออกมาอ่าน )


ผู้ปกครองบ้านสงเคราะห์คนชราบางละมุง หยิบสมุดที่เจ้าหน้าที่นำมาให้ หลังจากที่เจ้าของสมุดบันทึกเพิ่งเสียชีวิต สมุดบันทึกเล่มนี้มีจุดที่น่าสนใจตรงที่สวยงาม ลายมือสวยและมีระเบียบเรียบร้อยมันแสดงออกถึงจิตใจและบอกให้รู้ถึงการศึกษาตลอดจนความเป็นเจ้าระเบียบ ผู้ปกครองหญิงวัยกลางคนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก มีงานที่จะต้องทำอีกมาก แต่ต้องเปิดดูก็เพราะความมีระเบียบ ตัวหนังสือสวยและอ่านง่าย จึงเปิดดูไปเรื่อยๆ แต่แล้วสายตาก็มาหยุดอยู่ตรงข้อความที่เขียนเอาไว้มุมหนึ่งซึ่งแยกออกต่างหาก ข้อความจึงโดดเด่น


"มุมนี้สำหรับท่านผู้ปกครองที่เปี่ยมด้วยเมตตา ขอได้โปรดรับรู้ด้วยว่า ในขณะที่ท่านอ่านบันทึกอยู่นี้ดิฉันได้พบกับความสุขอันแท้จริงแล้วหมดกรรมสำหรับชีวิตที่อาภัพของดิฉันแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าดิฉันคือใครก็ลองอ่านบันทึกของดิฉันดูซิคะ บางทีท่านอาจจะมองเห็นสัจธรรมบางข้อของมนุษย์ สำหรับดิฉันปลงได้ค่ะ

ดิฉันมาอยู่ภายใต้การปกครองของท่านก็มีความสุขตามอัตภาพ เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ดีมีเมตตา ขอให้บุญกุศลที่ท่านได้ก่อแล้วจงดลบันดาลให้ท่านและเจ้าหน้าที่ทุกท่าน
ได้พบกับความสุขสมหวังในสิ่งที่พึงปรารถนาจงทุกประการ เทอญ ...จากดิฉัน"


ผู้ปกครองขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ด้วยความอยากรู้จึงเริ่มอ่านบันทึกอย่างตั้งใจ พร้อมกับคิดไปด้วยว่า เธอผู้นี้เป็นใครกันหนอ
...เราได้เข้ามาอาศัยอยู่ภายใต้ร่มไม้ชายคาของบ้านสงเคราะห์คนชราบางละมุงชลบุรีเพราะเจ้าหน้า ที่ได้ไปพบเราอยู่เพียงลำพังไม่มีลูกหลาน ไม่มีใครเลี้ยงดู ไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาดู หรือว่ามาเองแล้วพบโดยบังเอิญ สรุปก็คือเราได้รับความเมตตาให้มาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่กว้างขวาง ร่มรื่น ดูเหมือนจะติดชายทะเลเสียด้วย อากาศดีมาก เหมาะสำหรับผู้ชราที่จะพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต ที่นี่มีที่พักและอาหารให้ มีอะไรๆ อีกหลายอย่างที่พอจะให้ความสุขกับเราได้พอสมควรถ้าไม่คิดมากจนเกินไป แต่ดูเหมือนวัยอย่างพวกเราก็ไม่น่าจะมีอะไรคิดมากนัก มันไม่มีทางเลือก

สถานที่ต้องถือว่าดีที่สุด เจ้าหน้าที่ทุกคนพูดจาเรียบร้อยไม่กระโชกโฮกฮาก มีเตียงนอนเป็นส่วนตัว กินอาหารเสร็จต้องทำความสะอาดแล้วเก็บเอาไว้หากไม่สบายก็จะมีแพทย์ให้ความช่วยเหลือเวลาว่าง จะมีงานเล็กๆ น้อยๆ ประเภทงานฝีมือทำดีกว่าจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ เกือบทุกเสาร์อาทิตย์ จะมีผู้ใจบุญนำอาหารมาเลี้ยงพวกเรา เราจะได้กินอาหารแปลกๆ บ้าง เราอวยพรให้เขาด้วยความสำนึกในน้ำใจของพวกเขา พวกเราสวดมนต์อวยพรให้พวกเขามีความสุข อย่าให้มีชีวิตเหมือนกับพวกเราเลย ขอให้ลูกหลานเลี้ยงดูเขาอย่างดีให้สมกับที่เคยเลี้ยงดูเขามา


มีผู้ใจบุญเขาถามเราว่า .. "คุณยายมาจากไหน ญาติพี่น้องไม่มีบ้างเหรอ มีลูกไหม" ...เราจำเป็นต้องโกหกทั้งๆ ที่เราไม่อยากโกหก แต่เราจะพูดจริงได้อย่างไรกัน เราพูดไม่ได้... เราพูดไม่ได้ ให้มันตายไปกับเราเถิด
ผู้ปกครองรู้สึกว่าผู้บันทึกจะมีอาการบีบคั้นทางจิตใจของผู้บันทึกมากทีเดียว ถ้าเดาไม่ผิดรอยด่างในกระดาษน่าจะเป็นหยดน้ำตาผู้บันทึกจะต้องร้องไห้ มันเป็นน้ำตาของความคับแค้นที่ไม่สามารถจะระบายออกมาให้ใครรู้ได้
...เราบอกกับเขาไปว่าเราไม่มีญาติที่ไหนอีก เหลือเพียงตัวคนเดียว นี่ก็อายุ 75 แล้วคงจะอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เราบอกเขาไปอย่างนั้น

เธอผู้นั้นก็ปลอบใจเราและอวยพรขอให้เรามีอายุมั่นขวัญยืน เราก็ได้แต่ขอบคุณแต่ในใจเราค้านว่า จะมีอายุยืนไปทำไมกัน อันที่จริงเราอยากจะตายวันพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ พอแล้วชีวิตของเราเข้มข้นพอแล้ว จะว่าคุ้มค่ามันก็คุ้มค่าแหละนะ ย้อนไปสู่อดีตเมื่อราว 30 ปีที่ผ่านมา ถ้าเอ่ยชื่อ ผกาแก้ว เกรียงไกรยศ มีใครบ้างที่ไม่รู้จัก เพราะว่าเธอจะมีข่าวแทบจะรายวันทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี แม้กระทั่งวิทยุ งานสังคม ถ้าไม่มีคนชื่อผกาแก้วก็ต้องถือว่าเป็นงานไม่มีระดับ เธอเป็นสาวสังคมที่เพียบพร้อมทั้งความสวย รวยทรัพย์แถมมีเกียรติสูง สามีเป็นถึงนายพลคนสำคัญของกองทัพบก มีคนหวาดหวังน่าจะมีโอกาสเป็นถึงผู้บัญชาการทหารบกด้วยซ้ำไป


ผกาแก้วมีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน เมื่อลูกเรียนจบปริญญาตรีเมืองไทย ก็ส่งไปเรียนต่อต่างประเทศทันที ชีวิตของผกาแก้วเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาสำหรับคนบางกลุ่ม

ผู้ปกครองฯ เงยหน้าจากสมุดบันทึก นึกทบทวนย้อนหลังไปเมื่อเกือบ 30 ปี ขณะนั้นเธอมีอายุได้ 17 ปี จำได้ว่าคนที่ชื่อผกาแก้วโดดเด่นมากเป็นสาวไฮโซที่ไม่มีใครเทียบได้ยังเคยแอบคิดในใจว่า เขาทำบุญด้วยอะไรนะชีวิตถึงได้เพียบพร้อมอย่างนั้น สามีก็มียศตำแหน่งสูง ลูกๆ ก็มีการศึกษาดีเป็นเด็กดีแล้วทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่บ้านสงเคราะห์คนชราได้เล่า


มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ แล้วที่ไม่น่าเชื่อก็คือไม่เหลือร่องรอยของผกาแก้วในอดีตให้เห็นแม้แต่น้อย เวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ ความไม่แน่นอนย่อมเกิดได้ทุกขณะ พลเอกไกรสร เกรียงไกรยศประสบอุบัติเหตุรถส่วนตัวประสานงากับรถบรรทุก ท่านนายพลเสียชีวิตทันทีพร้อมกับคนขับ


มีเสียงวิพากษ์กันกว้างขว้างว่าเป็นการฆาตกรรม เพราะรถบรรทุกดูเหมือนเจตนาจะพุ่งเข้าชนรถท่านนายพลทั้งๆ ที่คนขับพยายามหลบอย่างสุดความสามารถ


ท่านนายพลกำลังจะได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เหลือเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่เสียใจอย่างใหญ่หลวงคือผกาแก้ว ร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้ท่านนายพลคืนชีพมาได้ ลูกสองคนถูกเรียกให้กลับจากต่างประเทศ พอดีลูกชายคนโตจบ คนเล็กจะต้องเรียนต่ออีกปี ไม่ต้องพูดถึงความยิ่งใหญ่ของงานศพไม่อยากเอ่ยถึงมันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย แม้จะยิ่งใหญ่เพียงใด คนที่เธอรักก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้ มันเปรียบเสมือนความจอมปลอมของสังคมมากกว่า กว่าจะสร่างโศก กว่าจะปลงตกก็ปาเข้าไป 3-4 เดือน งานสังคมไม่ออกโดยเด็ดขาด

ชื่อเสียงที่เคยเด่นดังก็ค่อยๆ จางหายไป นานๆ จะมีข่าวออกมาสักครั้งเฉพาะงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อายุเราก็เริ่มมากขึ้น ลูกชายแต่งงานไปแล้ว ลูกสาวก็มีครอบครัวอยู่ต่างประเทศ ก็เป็นเรื่องของเขา เราเริ่มปล่อยวางเขาจะให้เราไปอยู่กับเขาที่ต่างประเทศ ไปอยู่กับสามีฝรั่งซึ่งเราไม่นิยม เราจึงปฏิเสธ ลูกชายก็มีลูกของเขา เราเริ่มมีความรู้สึกว่ารักหลานเราเป็นย่าแล้วนะ นี่ถ้าท่านนายพลยังอยู่ก็คงจะชื่นชมหลาน เพราะท่านเป็นคนรักเด็ก

เราก็ได้แต่มองภาพถ่ายของท่าน ดูท่านยิ้มกับเรา ท่านเป็นคนดีมีเมตตา เป็นที่รักของผู้ใต้บังคับบัญชา แรกๆ ก็มีคนมาดูแลถามทุกข์สุขบ้าง แต่พอนานๆ ไปทุกคนหายเงียบไป มันเป็นธรรมดา มันเป็นสัจธรรม เมื่อมีอำนาจ มีบารมี ผู้คนย่อมต้องมีไปมาหาสู่มากมาย แต่เมื่อหมดสิ้นบารมี ทุกอย่างมันก็หมดสิ้นไปด้วย เราเข้าใจจึงไม่คิดอะไรมาก เราเริ่มเข้าวัดเพื่อฟังธรรมมันช่วยให้จิตใจผ่องใสขึ้น คิดในแนวทางที่ถูกต้อง ทุกอย่างมักจะคู่กัน มีเกิดก็ต้องมีดับมีดีก็ต้องมีชั่ว...

ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องแม่ผัวกับลูกสะใภ้ก็คงจะไม่เชื่อในเรื่องที่เราบันทึกนี่แน่ เราเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาพบกับปัญหานี้ ลูกสะใภ้ของเราก็เป็นคนมีตระกูล พ่อแม่มีฐานะไม่แพ้เรา แรกๆ มาอยู่ก็ดี รู้จักเอาใจใส่ดูแลเราพอสมควร พูดจาอ่อนหวาน แต่นานไป... นานไปชักมีอะไรไม่ชอบมาพากลจากกิริยาที่เปลี่ยนไปสายตาที่เวลาเผลอจะมีประกายทีบอกไม่ถูกว่ามัน แปลว่าอะไรแต่เรารู้แก่ใจดีว่า กำลังถูกลูก สะใภ้ย่ำยี มานอนคิดนั่งคิด เราทำผิดไปแล้ว ยกมรดกให้กับลูกชายหลังจากลูกสาวมีจดหมายมาบอกว่าไม่ต้องการมรดกเพราะสามีร่ำรวยและจะไม่ กลับมาเมืองไทยอีก แต่จะมาเยี่ยมปีละครั้ง นี่สองปีแล้วก็ยังไม่เห็นหน้าเลย สะใภ้เริ่มมีอาการไม่ชอบหน้าแม่สามีก็ตอนที่สามีได้รับมรดกแล้ว


เรากลายเป็นผู้อาศัยสมบูรณ์แบบ ต่อหน้าสามีเธอก็จะเอาใจ พอลับหลังก็แสดงอาการเบื่อหน่าย บางทีก็ถึงกับพูดกระทบกระเทียบเสียดสี
เรายังจำได้และขอบันทึกเอาไว้ "เฮ้อ กลุ้มใจจริง ต้องหมดเปลืองเปล่าประโยชน์กับคนที่ไร้ประโยชน์ ตายยากตายเย็นจริง ทีคนอื่นตายกันโครมๆ ทำไมถึงหนังเหนียวนักก็ไม่รู้..." อันทีจริงยังมีประโยคที่น่าฟังอีก แต่เราทนไม่ไหวต้องรีบเดินหนีไปเสีย ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ พยายามอดกลั้นเอาไว้ ไม่อยากให้ลูกชายรู้ กลัวจะไม่สบายใจ คิดว่าคงจะไม่ยืดเยื้อเพราะเราเป็นฝ่ายยอมแพ้ แต่เราคิดผิดถนัด นับวันจะรุนแรงยิ่งเห็นเราไม่พูด ไม่ต่อล้อต่อเถียงก็ยิ่งได้ใจคิดว่าเราคงจะหมดหนทางแน่ ซึ่งอันที่จริงเราก็หมดหนทางจริงอย่างที่เขาคิดน่ะแหละ มรดกมองให้กับลูกจนหมด แต่ยังดีที่พอมีเงินสดในธนาคารนิดหน่อย มันทำอะไรไม่ได้นอกจากจะเอาไว้กินไว้ใช้เท่านั้น เราอยากให้สะใภ้ของเราสบายใจจึงไม่รบกวนเรื่องอาหาร เราซื้อกินเองอยากกินอะไรก็ซื้อมากิน ลำพังคนเดียวกันนิดๆ หน่อยๆ ก็อิ่มแล้ว คิดว่าเสียงบ่นเสียงด่าคงจะหายไป แต่เราคิดผิด มันกลับเป็นเรื่องที่เราจะต้องบอกกับลูกชาย แต่เป็นการบอกที่ไม่ตรงกับความจริง
"ทำไมคุณแม่จะต้องไปซื้ออาหารมากินด้วย ที่บ้านเราก็มีมากมาย คุณแม่อยากทานอะไรก็บอกกับศรีเขาได้นี่ เห็นศรีเขาบอกผมว่าคุณแม่ชอบซื้ออาหารนอกบ้านมากิน มีเหตุผลอะไรเหรอครับ"


เราอยากจะบอกเหลือเกินว่า แม่กินไม่ลงก็เพราะแม่เฉิดศรีของแกน่ะแหละ แต่คำตอบที่ออกไปจริงๆ กลายเป็นว่า "ไม่มีอะไรหรอก แม่อยากจะกินแกงโบราณ ไม่อยากกวนใจแม่ศรีเขาหรอก แกงพวกนี้คนสมัยใหม่เขากินกันไม่เป็นหรอก แม่ซื้อมาถุงก็พอ ไม่จำเป็นต้องทำให้เสียเวลา" ลูกชายบ่นอะไรอีกสองสามคำแล้วกำชับให้เราใช้บริการเมียของเขา เราอยากร้องกรี๊ดออกมาให้สาสมใจกับที่ถูกเก็บกดเอาไว้แต่เราก็สงสารลูกไม่อยากให้เกิดปัญหาร้าว ฉานขึ้นภายในครอบครัวของเขา เราจะอยู่อีกซักกี่ปีเชียว

จากความเอื้ออาทรของลูกชายในระยะแรกๆ แต่เราสังเกตว่าในระยะหลังๆ ลูกชายไม่ค่อยพูดจากับเรามากนัก ความอาทรดูจะจางหายไปในที่สุด เรารู้สึกเสียววูบเข้าไปในหัวใจเมื่อคิดว่าเรากำลังจะถูกลูกชายเกลียดชังอีกคนแล้วหรือ ไม่อยากคิดจริงๆ อยากคิดแต่เพียงว่า เรามันอายุมาก อาจคิดมากไป เขายิ่งว่าคนแก่นี่เรื่องมาก ทำตัวเหมือนเด็ก เลี้ยงยากกว่าเด็กเสียด้วยซ้ำ เราจะต้องไม่ทำให้เหมือนอย่างที่เขาว่า แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมจริงๆ

เมื่อก่อนเวลาลูกชายกลับบ้านเร็วหน่อยก็จะมีของกินเล่นที่เราชอบมาฝาก พูดจาแบบห่วงใย แค่นี้เราก็ปลื้มแทบแย่ อันที่จริงเราไม่ต้องการอะไรจากลูก เราเป็นผู้ให้มากกว่าส่งที่เราต้องการก็คือความเอื้ออาทรที่ลูกมีให้เราเท่านั้น สำหรับของกินของใช้ที่หาให้เรานั้นมันเป็นเรื่องของความกตัญญู ใครทำให้พ่อแม่มีความสุข เขาผู้นั้นก็จะได้พบกับความเจริญในชีวิต ตรงกันข้ามลูกคนไหนทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตก นรกคือปลายทางของเขา เราไม่ได้แช่ง แต่เขาสอนกันมาอย่างนั้น เราเห็นลูกชายกลับบ้านแต่วัน ดีใจอยากจะพูดกับลูกเพราะช่วงนั้นหลายวันแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกันเลย อยากจะพูดว่าเขาพยายามหลบเรา แต่ใจก็ยังคิดว่าไม่น่าจะใช่ เขาอาจจะมีงานมาก พอมาถึงบ้านคงเหนื่อยก็อยากพักผ่อนคิดเสียได้อย่างนี้มันก็ค่อยสบายใจความคิดของคนเรานี่มันเป็น เสมือนดาบสองคม ถ้าเราคิดในแง่ลบมันก็บาดใจตัวเราเอง ถ้าคิดในแง่บวกในเราก็สบาย
"วันนี้ลูกกลับบ้านเร็ว งานยุ่งไหมลูก"
"ผมเหนื่อย ไม่ค่อยสบายด้วย ผมขอตัวก่อนนะครับ" เราอึ้ง น้ำตามันทำท่าจะเอ่อมาล้นขอบตา เราพยายามบังคับไม่ให้มันไหลออกมา แต่ในที่สุดเราก็ต้องปล่อยให้น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจไหลออกมา เพราะทันทีที่ลูกชายเราพูดจบประโยคเสียงแจ๋วๆ ของแม่เฉิดศรีก็ดังขึ้น


"แหมศรีรอพี่ตั้งนาน มีเรื่องสำคัญจะปรึกษาด้วย ก็เรื่องที่ที่บางนานั่นละมีคนเขาต้องการจะซื้อ เขาว่าราคามันแพงไปหน่อย..." เสียงลูกชายเราตอบเมียด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผิดกับที่พูดกับเราทั้งน้ำเสียงและท่าทางจะไม่ให้เราน้อยใจได้ไง ที่ดินที่เขาจะขายก็เป็นที่ดินที่เรายกให้ ท่านนายพลรักที่ตรงนั้นมาก เราเคยขอร้องเอาไว้ว่าอย่าขายตรงนี้ แต่นี่เขาบอกขายทั้งๆ ที่เรายังไม่ตาย แสดงว่าเราไม่มีความหมายอะไรเลย


ถึงอย่างไรเราก็จะต้องถามให้ได้ว่าทำไมจะต้องขายที่ตรงนี้
หลายวันกว่าจะมีโอกาสพบหน้าเจ้าลูกชายที่น่ารัก เราขอเวลาพูดด้วย เขามีสีหน้าคล้ายรำคาญ แต่ไม่พูดอะไร เราถามเขาว่าทำไมจะต้องขายที่ด้วย เขาตอบเราว่าไงรู้ไหม... เขาตอบเราว่าคุณแม่ยกให้ผมแล้ว ผมจะเอาไปทำอะไรก็ได้มิใช่หรือ

ผมเห็นว่ามันได้ราคาดีอยากได้เงินมาลงทุนจึงบอกขาย คุณแม่คงไม่ว่าผมนะครับ แล้วเขาก็ผละไป ไม่หันมามองว่าเรากำลังยืนเซ่อ ทำอะไรไม่ถูก ใช่...เราทำอะไรไม่ถูกมาแต่ต้นแล้ว มีคนมาพูดว่าอย่าพึงยกมรดกให้ลูกก่อนที่เราจะตาย เราไม่เคยเชื่อ ก็จะให้เราเชื่อได้อย่างไรกัน ลูกที่เราเลี้ยงมากับมือ อบรมสั่งสอนมาอย่างดี ไม่มีวี่แววส่อไปในทางไม่ดีแม้แต่น้อย ไม่คิดว่าพอมีเมียเท่านั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่นี้มาถึงหลาน เรามีหลานาอยู่ 2 คน คนโตเป็นชายอายุ 9 ขวบ คนเล็กเป็นหญิงอายุ 5 ขวบ ปกติหลานทั้งสองจะรักเรา มาหาเราคุยกับเราทุกวันตั้งแต่ยังเล็กๆ อยู่เรามีความสุขเพราะหลานทั้งสองนี่แหละ

เด็กไร้เดียงสาจะพูดจาอะไรก็ดูน่ารักไปทั้งนั้น เราก็เลยกลายเป็นยายแก่หลงหลานไปโดยไม่รู้ตัว นั่นมันเหตุการณ์ก่อนที่เราจะยกมรดกให้พอหลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปมันเปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มจากหลานคนโตเริ่มเหินห่าง ถ้าไม่เจอกันจังๆก็จะไม่พูดไม่จาเหมือนปกติ พอเราถามก็มักจะบอกว่ามีการบ้านมาก จะต้องไปซ้อมกีฬา โอ๊ยสารพัดจะแก้ตัว เราไม่อยากคิดว่าจะเป็นเรื่องของการเสี้ยมสอนจากผู้ใหญ่ เด็กอาจจะโตเลยติดเพื่อน แต่คนเล็กที่เคยคุณย่าจ๊ะคุณย่าจ๋าก็จะไม่ได้ยินเสียงอย่างนั้นอีกแล้ว เคยโผเข้ามากอดคอแล้วหอมแก้มเรา...

ผู้ปกครองรู้สึกสะดุด เพราะประโยคที่เขียนดูจะไม่ราบเรียบ แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของผู้ที่บันทึกเปลี่ยนไป แม่บ้านผู้ปกครองบ้านสงเคราะห์คนชราบางละมุง รู้ซึ้งเพราะตนมีหลาน มีความรู้สึกเหมือนกับที่บรรยายมาเป็นตัวหนังสือ มองเห็นภาพชัดเจนว่าผู้บันทึกจะต้องเสียน้ำตาแน่เมื่อบันทึกมาถึงตอนนี้ ระยะหลังหลานคนเล็กก็ห่างเหินเราไป แต่เมื่อเวลาเจอกันตามลำพังแม่หนูก็ยังโผเข้ามากอดจูบเรียกย่าขา

พอเราถามว่าทำไมไม่มาหาย่า คำตอบทำให้เรารู้สึกคอแห้งผากไม่สามารถแม้แต่จะกลืนน้ำลายได้ มันตีบตันไปหมด ได้แต่กอดหลานเอาไว้แน่น มันคงจะแน่นมากเกินไปจนทำให้หลานต้องร้องบอกว่าเจ็บนั่นละเราถึงได้สติ พยายามกล้ำกลืนทุกอย่างที่มันกำลังประดังเข้ามาให้มันลงไปอยู่ข้างในไม่ต้องการให้เด็กไร้เดียงสาเห็น ความผิดปรกติของเรา เพราะความไร้เดียงสาของเด็กจึงบอกตามจริง

"คุณแม่ไม่ให้มาหาคุณย่า บอกว่าคุณย่าเป็นแม่มด ชอบกินตับเด็ก"
"แล้วหนูเชื่อหรือเปล่า"
"หนูไม่เห็นคุณย่าเป็นเหมือนแม่มดเลย แม่มดจะต้องหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เจ้าเล่ห์หนูดูในการ์ตูน คุณย่าไม่เห็นเหมือน หนูไม่กลัวหรอกค่ะ" ค่อยชื่นใจหน่อยที่หลานยังไม่เกลียด กำลังจะถามอะไรอีกก็มีเสียงแจ๋วๆ ดังมาจากข้างบน นั่นละเสียงของแม่มดตัวจริง
"น้องบี...น้องบี อยู่ไหน?" เรารีบดุนร่างของหลานรักให้รีบไปหาพร้อมกับกระซิบบอกว่า

"อย่าบอกคุณแม่นะว่ามาพบย่า...อย่าบอกเป็นอันขาดเชียวนะ" เด็กน้อยรับคำแล้ววิ่งปร๋อไปทันที เราไม่ได้ตั้งใจจะสอนเด็กให้โกหก แต่ถ้าเด็กบอกความจริงเราก็จะไม่มีโอกาสได้พบกับหลานอีก มันเป็นความทรมานใจเหลือเกินสำหรับเราจะมีคนแก่ที่ไหนมีความทุกข์เหมือนเราไหมหนอ นี่หรือที่ใครๆ เขาอิจฉาความสุขาของเรา

ตอนนี้ยังจะมีใครอิจฉาอีกไหม เด็กบอกอย่างไรเราไม่มีโอกาสารู้ แต่ผิดสังเกตก็คือเราไม่ได้พบกับหลานสาวตัวเล็กๆที่น่ารักอีก เราอยากจะรู้ว่าเขาทำอย่างไรจึงไม่ให้เด็กมาพบกับเราได้ พยายามมองเลียบๆเคียงๆ อยู่แถวๆ หน้าห้อง แล้วเราก็ได้รู้อะไรที่เราไม่คิดว่าจะได้รู้ เราตกใจแทบช็อก คิดไม่ถึงว่าลูกแท้ๆ เลือดในอกของเรา...จะทำกับผู้เป็นแม่ โดยเฉพาะแม่ที่แก่ชราได้ถึงเพียงนี้ ลองฟังคำพูดของเขาดูซี่ เราจะคัดมาให้อ่านกันโดยไม่ตัดทอน

"เราขายที่ทั้งหมดที่มีอยู่ได้รวบรวมเงินแล้วย้ายไปต่างประเทศกันดีกว่าน้องสาวของศรีอยู่ที่อเมริกา เขาได้กรีนการ์ดแล้ว จะพยายามหาทางช่วยเราให้ได้กรีนการ์ด
เรามีเงินอยู่ที่ไหนก็ได้ โดยเฉพาะที่อเมริกา เราสบายทุกอย่าง ลูกๆ ของเราก็จะได้มีอนาคต"
"แล้วคุณแม่ละ จะเอาท่านไปไว้ที่ไหน ผมอยากจะเอาท่านไปด้วยคงจะไม่เปลืองเท่าไหร่ แล้วมรดกทั้งหมดที่เราขายไปนี่ก็เป็นของท่านทั้งนั้น"
"โอ๊ย..คุณอย่ามาพูดอย่างนี้ หน้าที่ของพ่อแม่จะต้องเลี้ยงดูให้ลูกมีความสุข หมดหน้าที่แล้วก็ควรพักผ่อน ศรีว่าให้อยู่กรุงเทพนี้แหละ เราทิ้งเงินเอาไว้สักก้อน หาบ้านให้อยู่สักหลัง หรือทางที่ดีเราเอาไปฝากสถานสงเคราะห์คนชราที่ไหนสักแห่งก็ได้ เราช่วยบริจาคเงินสักก้อน ฝากเอาไว้ เขามีเจ้าหน้าที่คอยดูแล อาหารการกินไม่ต้องห่วง"


"มันจะดีหรือ ผมกลัวคนเขาจะด่าหาว่าผมอกตัญญูนะซี" น้ำตาผู้เป็นแม่ไหลอาบเปียกหน้าเราบรรยายไม่ถูกว่าสมองคิดอะไร มันมึนชาจนไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ดีเพราะจะได้ยินคำพูดของลูกสะใภ้ที่แสนดีของเรา
"คุณอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาอะไรที่ไหนเลย เรามีเงินมากพอที่ใครๆ จะต้องยอมรับนับถือเรา อีกอย่างคุณแม่ของคุณก็ไม่ลำบากนี่คะ ศรีเคยไปดูคนชราที่บ้านบางแคที่บางละมุงมาแล้ว อยู่กันอย่างสบาย มีเพื่อนวัยเดียวกัน ไม่สบายก็มีหมอ ไม่ต้องกังวลอะไร พอหมดอายุเขาก็จะต้องจัดการให้ตามประเพณี คนเราก็เท่านี้แหละ แก่แล้วจะอยู่ไปสักกี่ปี่เชียวขืนเราเอาข้ามน้ำข้ามทะเลไปด้วย ศรีว่าเรื่องยุ่งจะมากกว่า อากาศหนาวหน่อยก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้ ศรีนะคิดรอบคอบแล้วนะคะ"


"งั้นก็ตามใจคุณ เห็นว่าอะไรเหมาะอะไรควรก็จัดการตามนั้น ผมจะอธิบายให้คุณแม่ท่านเข้าใจเอง" เราไม่รอให้ลูกชายที่แสนดีอธิบายหรอก เพราะวันนั้นเองเราก็จากบ้านหรูหราของเราเองออกมา เพราะอีกไม่นานก็จะต้องเปลี่ยนมือไปแล้ว บ้านที่เราและท่านนายพลเคยมีความสุขร่วมกันมานาน บัดนี้มันกำลังจะเปลี่ยนมือไปแล้ว นี่แหละอนิจจังละ ไม่มีอะไรแน่นอน แม้แต่เราเองซึ่งอดีตเคยเป็นเจ้าของบ้านก็จะต้องระเห็จออกจากบ้านที่เรารักไปแล้ว เป็นการไปอย่างไม่มีทางที่จะกลับมาอีก ด้วยกระเป๋าเสื้อผ้ากะทัดรัดเพียงใบเดียว เราไม่รูเหมือนกันว่าจะไปไหน ในตัวยังพอมีเงินทำให้อุ่นใจ ตั้งใจจะหาบ้านเช่า เอาแบบห้องเล็กๆ พออยู่ได้ เรื่องอื่นค่อยคิดทีหลัง มันเข้าลักษณะที่ว่าคับที่อยู่ได้ ลืมอดีตให้หมด พยายามรักษาชีวิตที่ยังเหลืออยู่ให้ดีที่สุด เราไม่เคยคิดทำลายตัวเองเพราะมันจะเป็นบาปมหันต์


คนที่คิดทำลายตัวเองนับว่าเป็นคนมีใจโหดเหี้ยมมาก ตัวเองยังฆ่าได้ แล้วเราก็มาถึงจุดหมายที่เราต้องการ ในซอยค่อนข้างลึก เราเองก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกซอยอะไรซึ่งมันก็ไม่สำคัญนัก รู้แต่ว่ามันไกลความเจริญพอสมควร มันคือสลัมดีๆ นี่เอง เราได้ห้องเล็กๆ เกือบจะเป็นสี่เหลี่ยม มีที่นอนกับที่พอจะวางของได้ไม่มากนัก มีไฟให้ดวงหนึ่ง มีก๊อกน้ำหน้าบ้าน เราเรียกว่าบ้านเพื่อความสบายใจ ค่าเช่าถูกสมราคาบ้าน เราตกลงใจเช่าจ่ายล่วงหน้าไปสามเดือนตามที่เขาเรียกร้อง เจ้าของบ้านดูจะยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะได้เงินง่าย

แถมผู้เช่าก็ไม่มีปากเสียง เราก็เลยกลายเป็นคนที่เขาคอยเอาใจใส่ อยากได้อะไรจะมีเด็กวิ่งไปซื้อมาให้ หมั่นมาคุยเสมอทำให้เราค่อยหายเหงาไปบ้าง เขาถามว่าเราเป็นใครมาจากไหน ลูกหลานไม่มีหรือไง ทำไมจะต้องมาอยู่คนเดียว แน่นอนเราก็ต้องตอบแบบเลี้ยงบาลี เราไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องราวของเราในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ บันทึกจะรู้ก็ต่อเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว เราไม่ได้เจตนาจะประจาน แต่อยากจะให้เป็นทานแก่สังคม ให้รู้ว่าในโลกนี้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ แรกๆ เราก็ไม่ค่อยไว้ใจใครทั้งนั้น บอกตรงๆ มันเข็ด ลูกเราเองแท้ๆ ยังทำกับเราได้ขนาดนี้ แล้วคนอื่นเขาจะไม่ทำกับเราหรือดังนั้นเงินที่เรานำติดตัวไปด้วยจึงถูกเก็บอย่างมิดชิดจะมีติดตัวก็เพียง เล็กน้อยเท่านั้น นอกนั้นถูกฝังเอาไว้ข้างๆบ้านซึ่งมีที่ว่างอยู่ซักศอกเป็นแนวยาวไปตามตัวบ้านซึ่งเราก็ใช้ประโยชน์ในการ ปลูกพริก มะเขือ โหระพา เท่าที่จะทำได้อย่างน้อยก็ไม่มีใครสงสัย เจ้าของบ้านดูจะเป็นคนดีจริงๆ เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้ซักถามเรื่องราวส่วนตัวอีกมีแต่คอยถามว่า


"ยายอยากกินประแนมไหม เจ้านี้เขาทำอร่อยนะ ขายถูกด้วย" พอเราจะซื้อเจ้าของบ้านวัยกลางคนที่ใครๆ เขาเรียกกันว่ายายเม้าก็บอกว่า
"ฉันซื้อให้ยายกิน ยายนี่เหมือนแม่ฉันจังเสียดายแกตายไปหลายปีแล้ว แม่ชอบกินประแนมมาก ยายกินก็เหมือนแม่ฉันกินน่ะแหละ" แค่นี้ก็ทำให้เราปลื้มได้ ที่มันปลื้มมิใช่เพราะได้กินประแนมที่มีค่าเพียง 10 บาท แต่มันปลื้มในน้ำใจต่างหาก เขาเป็นคนอื่นยังมีน้ำใจ เราคิดแค่นี้ก็ต้องหยุดบอกกับตัวเองแล้วว่าจะไม่เอาความหลังมาใส่ในหัวใจอีกต่อไป เราขอชดใช้กรรมให้หมดในชาตินี้ ยายเม้าคนนี้มีห้องแบ่งเช่าหลายห้องหลายคนกลัวปากแกมาก ว่ากันว่าค่าเฉียบขาดนักแกเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจาเชื่อถือได้ ใครผิดนัดกับแกละก็เป็นเจอดีแน่ แต่กับเรากลับดีอย่างเหลือเชื่อ เห็นเราเหงาๆ ก็ชวนไปดูโทรทัศน์ที่บ้าน นี่เองเรามีโอกาสได้เห็นประกาศหาตัวเราจากหนังสือพิมพ์ ขอให้เรากลับบ้านลงชื่อลูกชายของเรา คงจะกลัวสังคมรุมด่ากระมังก็เลยประกาศพอให้เห็นว่ายายแก่อย่างเราคงงอนแล้วออกจากบ้าน ลูกชายที่แสนดีก็พยายามตามหาอย่างเต็มที่หาไม่พบก็ประกาศผ่านหนังสือพิมพ์ เรารีบวางหนังสือพิมพ์กลัวยายเม้าจะสงสัย ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ขอกลับไปเด็ดขาด ที่เราออกจากบ้านมาไม่ใช่เพราะเรางอน แต่เราตั้งใจออกมา ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ไม่อยากฟังคำอธิบายาของลูกชาย ไม่อยากให้เขากังวลใจ เราออกมาซะทุกอย่างมันอาจจะดีขึ้น ก็จริงอย่างที่ลูกสะใภ้คนดีของเราว่า คนแก่จะอยู่อีกสักกี่ปี ถ้าเอาไปด้วยก็จะเป็นปัญหา เราเองก็ไม่อยากไป


เรื่องเมืองนอกน่ะอันที่จริงเราเคยไปมาแล้วหลายต่อหลายประเทศ ไปในฐานะภริยาของท่านนายพลบ้าง ไปเที่ยวกับเพื่อนพ้องบ้าน
เราไม่เห็นประเทศไหนจะน่าอยู่จริงๆ เท่าประเทศไทยเลย ประเทศไทยมีความสมบูรณ์พลูสุขมากมีผลไม้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้กินตลอดทั้งปีอยากกินอะไรก็ได้ อาหารมีสารพัดสารพันสถานที่ท่องเที่ยวก็มีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทะเลของไทยก็งามไม่แพ้ใคร ภูเขาก็มี น้ำตกเอย ดอกไม้สวย ธรรมชาติงามทั้งภาคเหนือและภาคใต้ ศิลปวัฒนธรรมของไทยก็เป็นที่ยอมรับของชาวโลก เรามีอะไรๆ ที่ชาวโลกเขาสนใจ
พากันท่องเที่ยว เราภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย แต่ทำไมลูกของเราจึงคิดไม่เหมือนเรา ยายเม้าเห็นเรานั่งเหม่อกระมัง แกเข้ามาถามว่ายายคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่ดูละครล่ะเรื่องนี้เขาฮิตกันทั้งเมือง แต่ฉันเบื่อมันสร้างซ้ำซาก ทำไมไม่รู้จักหาเรื่องดีๆ มาสร้างก็ไม่รู้คนดูก็แปลกดูแล้วดูเล่า พระเอกนางเอกเปลี่ยนมาหลายยุคหลายสมัย ว่ากันว่าเรื่องเป็นอมตะ ฉันเองก็ไม่เข้าใจนักว่ามันเป็นอมตะยังไง รู้แต่ว่าดูแล้วเซ็งชะมัด


"อ้าวแล้วดูทำไมละ" "คิดว่ายายจะชอบ เพราะใครๆ เขาก็ชอบกัน ก็เอาใจยายน่ะแหละกลัวจะเหงา" เออแฮะ ยายเม้านี่แกเป็นคนตรงจริงๆ ชักจะชอบแกขึ้นมาแล้ว คนปากร้ายแต่ใจดีมีถมไปดีกว่าคนปากหวานแต่ใจเค็ม เราเริ่มมีความสุขบ้าง แม้สภาพแวดล้อมจะไม่สู้ดีนัก แต่ผู้คนรอบตัวเรามีแต่คนดี จิตใจโอบอ้อมอารีคอยถามว่ายายกินข้าวหรือยัง เอาแกงมาให้บ้าง ขนมบ้าง บางทีก็ผลไม้ เรานึกกระดากเพราะเราเป็นฝ่ายรับฝ่ายเดียว ครั้นจะให้บ้างมันก็ดูไม่เหมาะ เพราะสภาพของเรามันก็คือผู้ยากไร้ และก็เป็นจริงอย่างนั้น เรามีเงินเหลืออีกไม่มากนัก ยังวิตกอยู่ว่าถ้าเงินหมดยายเม้าแกจะว่ายังไง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือพยายามใช้เงินให้น้อยที่สุดเราก็กลายเป็นผู้รับโดยปริยาย สิ่งที่เราให้ก็คือพร เป็นพรจากใจของเรา ส่วนจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ก็เป็นเรื่องราวของโชคชะตามากกว่า


แล้ววันหนึ่ง เป็นวันที่ทำให้ชีวิตของเราต้องผกผันอีกครั้ง มีเจ้าหน้าที่ของทางราชการมาพบเราตอนนั้นเราจำไม่ได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาจากไหน เขาสอบถามว่าเราอยู่กับใคร มีลูกหลานไหม เราก็ต้องตอบตามความเป็นจริงที่เราสร้างขึ้นใหม่ คือเราตัวคนเดียว ไม่มีญาติที่ไหน ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ ที่อยู่ตรงนี้ก็เพราะพอมีเงินเก่าอยู่บ้างพอเป็นค่าเช่า เมื่อสอบจนแน่ใจแล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าจะให้ไปอยู่ในความดูแลของสถานฟักฟื้นคนชรา ซึ่งเราเองก็งงเหมือนกัน เราเคยไปบ้านที่บางแคเห็นความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุมาแล้ว แต่เจ้าหน้าที่บอกเราว่าจะให้ไปอยู่ที่บางละมุง เพราะกรุงเทพไม่มีว่าง ที่บางละมุงอากาศดีมาก ทุกอย่างมีพร้อมไม่เดือดร้อน ยายเม้าก็สนับสนุนทันที แกบอกว่าอยู่ที่นี้ไม่ได้รังเกียจ มันไม่มีหลักประกันอะไรอยู่ที่บ้านพักคนชราของหลวงเขามีเจ้าหน้าที่คอยดูแล แกว่าเป็นฉากๆ พร้อมกันนั้นก็มียายหว่างกับยายพริ้งอีกสองคนที่เข้าข่าย ตกลงเราก็ได้มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา


แต่น่าเสียดายที่ยายหว่างกับยายพริ้งมาอยู่ที่นี้ได้เพียงปีเศษก็ตายไป ยังเหลือเราแต่คิดว่าก็คงจะอยู่อีกไม่นาน ที่นี่สบายก็จริงแต่มันเหงา ไม่มียายเม้าคอยชวนพูดชวนคุย ว่าไปแล้วยายเม้าก็มีน้ำใจ เรียกว่ารักเราจริงเหมือนกัน เพราะแกมาเยี่ยมเราแถมพาพรรคพวกหาอาหารมาเลี้ยงพวกเราชาวคนแก่ด้วย พอเห็นหน้ายายเม้าน้ำตาเราก็ซึม มันซึ้งในน้ำใจ เขาเป็นคนอื่นแท้ๆ กลับรักและห่วงใยเรา แต่เรามีทั้งลูกทั้งหลาน ลูกสองคนก็มีฐานะ โดยเฉพาะลูกสาวถือว่าร่ำรวย แต่เขาไม่เคยคิดถึงแม่เลย เขาทิ้งแม่ได้ลงคอ (ขออนุญาตร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย)


ผู้ปกครองวางบันทึกลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน น้ำตามันพาลจะไหลออกมา นึกสงสารเจ้าของบันทึกจนสุดจะกลั้น หัวอกของผู้เป็นแม่ย่อมเข้าใจดีถึงอย่าไรก็ตัดสายเลือดในอกไม่ได้ ลูกหลายคนแม่เลี้ยงได้ แต่แม่คนเดียวลูกหลายคนเลี้ยงไม่ได้

มันเป็นเรื่องจริงความกตัญญูมันหายไปไหนหมด จิตใจเขาเป็นอย่างไรหนอ ทำไมถึงทอดทิ้งแม่ให้ตกระกำลำบากถึงเพียงนี้ นี่มันกรรมแท้ๆ เชียว พยายามสงบสติอารมณ์ ครู่ใหญ่จึงหยิบบันทึกที่เกือบจะปิดฉากขึ้นมาอ่าน เมื่อคืนเราฝันถึงท่านนายพล ท่านมาหาเราพูดกับเราว่า เธอกำลังจะหมดกรรมแล้วมาอยู่กับฉันเถอะ ฉันกำลังรอเธออยู่

อย่าไปกังวลอะไรเลย ไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติทั้งนั้น เราตื่นขึ้นมากลางดึกนอนไม่หลับ รู้สึกว่าท่านนายพลมาอยู่ข้างกายเรา ทำให้เกิดความอบอุ่นอย่างประหลาด เรานั่งสมาธิจิตนิ่ง แล้วสิ่งที่เราเห็นก็คือปราสาทหลังใหญ่สวยงามมาก
สวยอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เราเห็นท่านนายพลนั่งอยู่ท่ามกลางบริวารแวดล้อมมากมาย ดูท่านสง่างามมาก แต่งกายสวยงาม ท่านยิ้มกับเราแล้วบอกว่า ฉันรอเธออยู่นะ เช้าวันนี้เรารู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด รีบบันทึกเรื่องราว นึกสังหรณ์ว่าน่าจะเป็นการบันทึกสุดท้ายของเรา ทำไมใครๆ เขาจึงกลัวความตาย เรากลับไม่กลัว ยังไงก็ต้องตายแน่ แต่ขอตายอย่างผู้มีสติ ตายอย่างเต็มใจจะดีกว่า จิตใจสดชื่น ยิ้มรับกับความตายที่กำลังมาถึง ดังนั้นพอหลังอาหารเช้าเราจึงสวดมนต์ไหว้พระแล้วนั่งสมาธิ เราอยากตายในขณะนั่งสมาธิ และหากเป็นไปได้จริงเราก็ขอยุติการบันทึกเรื่องราวของเราลงเพียงแค่นี้ จุดประสงค์ของเราเพียงเพื่อจะได้มีส่วนในการเตือนใจสำหรับผู้ที่ถูกทอดทิ้งอย่างเราจะได้ปลงตก เพราะไม่ใช่มีแต่เราเท่านั้น ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ก็มีคนเคยประสบมาแล้ว มันเป็นเรื่องของกรรม จงสร้างแต่กรรมดีเอาไว้เถิด แล้วจะพบแต่ความสุข...

บันทึกที่สมบูรณ์ได้มาถึงแล้ว ที่ว่าสมบูรณ์เพราะหลังจากนั้นก็มีคนไปพบว่าคุณยายผกาแก้วนั่งสมาธิตายเสียแล้ว ใบหน้าของแกดูสดชื่นเหมือนนั่งหลับ บันทึกของแกจึงมาอยู่ในมือผู้ปกครองฯ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์มาก ชีวิตที่น่าศึกษาของคุณยายผกาแก้วชีวิตที่สูงส่ง เพียบพร้อมไปด้วยชื่อเสียงและเกียรติยศ แต่วาระสุดท้ายต้องกลายมาเป็นผู้ชราที่ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครเหลียวแล

วูบหนึ่งของความคิดของแม่อย่างผู้ปกครองบ้านสงเคราะห์คนชรา มีคำถามว่าผู้เป็นลูกยังมีความเป็นคนอยู่หรือ ผู้ที่เป็นลูกทั้งหลายสมควรจะเป็นลูกที่ดีมีความกตัญญูต่อบิดามารดา หรือว่าไม่สนใจห่วงใยปล่อยปละละเลยผู้มีประคุณอย่างคุณยายผู้นี้

ก็ต้องตอบคำถามตัวเอง...ไม่มีใครตอบแทนได้แน่..




 

Create Date : 28 มกราคม 2553
0 comments
Last Update : 28 มกราคม 2553 20:03:59 น.
Counter : 1056 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

jirachon
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add jirachon's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com